|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยมุสลิม,มุสลิม,พระยา,สมันตรัฐบุรินทร์,ประวัติ,ผลงาน,รายงานตรวจราชการ,สตูล |
Author |
สมันตรัฐบุรินทร์ |
Title |
ประวัติและเรื่องน่ารู้ของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
35 |
Year |
2506 |
Source |
บทความ (จากประวัติและคำไว้อาลัย หน้า 1-35, 109-122) พิมพ์แจกเป็นบรรณาการในงานพระราชทานขมาศพอำมาตย์เอก พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ทจ.ทช. ภปร. 2 |
Abstract |
พระยาสมันตรัฐบุรินทร์รับราชการครั้งแรกเป็นล่ามมลายูสังกัดกระทรวงกลาโหม และได้รับแต่งตั้งเป็นล่ามมลายูในกองข้าหลวงมณฑลปัตตานี ประจำอยู่หัวเมืองภาคใต้ที่อำเภอยะหริ่ง สายบุรี และหนองจิก ต่อมาได้รับราชการเป็นขุนราชบริรักษ์ ล่ามมณฑลปัตตานี ในปี พ.ศ.2459 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯเป็นพระยาสมันตรัฐบุรินทร์และได้ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลสืบต่อมาถึง 18 ปี เป็นผู้วางรากฐานในการพัฒนาท้องถิ่นอำเภอเบตงขึ้นเป็นคนแรก เมื่อได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ก็ปฏิบัติหน้าที่ในการเอาใจใส่ดูแลประชาราษฎร์ และพัฒนาจังหวัดเป็นอย่างดี เป็นผู้จัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทยขึ้นเป็นครั้งแรก จากเดิมที่โรงเรียนสอนแต่ภาษามลายู ทั้งยังได้พัฒนาด้านการคมนาคมด้วยการตัดเส้นทางทั้งทางรถไฟ และทางรถยนต์ เป็นตัวอย่างในการขุดบ่อเลี้ยงปลาที่ตำบลละงู ทั้งยังแนะนำส่งเสริมให้ราษฎรปลูกกาแฟ พริกไทยจนสามารถส่งออกไปขายยังปีนังอีกด้วย พระยาสมันตรัฐบุรินทร์เป็นผู้ที่สนใจศึกษาสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและชนเผ่าในท้องที่ ทั้งยังมีความรู้ในเชิงกว้างทางด้านประวัติศาสตร์ ตำนานเรื่องเล่าทางศาสนา หลักความเชื่อตามหลักศาสนาอิสลาม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีการของชาวมลายู ชนเผ่าซาไกและชาวน้ำ จากรายงานการตรวจราชการและการตั้งข้อสังเกตผ่านบทความและปาฐกถาพบว่า พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้ให้ข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ เหมาะสมจะนำไปปฏิบัติพัฒนางานด้านการศึกษาและการดูแลด้านสุขอนามัยแก่เยาวชน |
|
Focus |
เน้นศึกษาประวัติของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล รวมถึงผลงานที่เป็นเกียรติประวัติสำคัญ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตุ๋ย บินอับดุลล่าห์ เกิดเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2414 ณ บางลำพูล่าง คลองสาน ธนบุรี ได้รับการศึกษาภาษามลายูและการอบรมด้านศาสนาสืบประเพณีฝ่ายบิดาคือหลวงโกชาอิศ ซึ่งรับราชการตำแหน่งกรมท่าล่ามมลายูเป็นเจ้าหน้าที่รับเครื่องราชบรรณาการจากประเทศราชมลายู เมื่ออายุได้ 8 ขวบพญาเมืองเปอรสิศได้ขอตัวไปอุปการะเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม ได้รับการศึกษาจากราชสำนักเมืองเปอรสิศ จนมีความรู้แตกฉานทั้งภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีของมลายูเป็นอย่างดี หลังจากเดินทางกลับมายังบ้านเกิดที่กรุงเทพฯ ได้ถวายตัวเข้ารับราชการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2432 เป็นล่ามมลายูสังกัดกระทรวงกลาโหม 8 ปี ประจำหัวเมืองภาคใต้ อำเภอยะหริ่ง สายบุรีและหนองจิก ได้รับยศเป็นขุนราชบริรักษ์ ปี พ.ศ.2441 เป็นนายอำเภอเบตงอยู่ถึง 14 ปี ต่อจากนั้นได้ดำรงตำแหน่งปลัดเมืองสตูลอยู่ 3 ปี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระโกชาอิศ ปี พ.ศ.2457 ได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ปี พ.ศ. 2459 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลมา 18 ปี จนอายุ ครบ 55 ปี ได้ต่ออายุราชการมาจนถึงปี พ.ศ.2475 ระหว่างที่รับราชการเป็นนายอำเภอเบตงได้พัฒนาให้เป็นเมืองที่น่าเข้ามาลงทุน ผลงานที่สำคัญของท่าน อาทิ จัดให้มีโรงเรียนสอนหนังสือไทยขึ้นเป็นครั้งแรกใน จ.สตูล เสนอให้มีการวางรางรถไฟและตัดถนนเพื่อย่นระยะการเดินทาง จัดให้มีการสงวนที่ดินก่อตั้งโรงเรียนเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ส่งเสริมให้ราษฎรทำสวนกาแฟและพริกไทยเพื่อเป็นสินค้าส่งออกไปขายยังปีนัง ส่งเสริมให้มีการขุดบ่อเลี้ยงปลา นอกจากนี้ท่านยังได้นำหลักข้อบัญญัติทางศาสนาอิสลามเข้ามาช่วยในการปกครอง โดยการปฏิบัติตนเป็นอิสลามิกชนที่เคร่งครัด เป็นตัวอย่างของความขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพการงาน รู้จักนำกุศโลบายมาสั่งสอนทั้งยังมีปฏิภาณไหวพริบในการปกครองจนได้รับฉายาว่าเป็นเทศาลิ้นทอง ในสมัยที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสภาคใต้ ท่านได้ตามเสด็จติดสอยห้อยตามไปหลายหัวเมือง ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้รับเป็นแม่งานคุมการจัดสร้างที่ประทับแรมที่น้ำตกทั้งยังร่วมติดตามไปยังปีนัง และเมื่อปี พ.ศ. 2502 เมื่อท่านมีอายุได้ 87 ปี (รัชกาลปัจจุบัน) ได้เป็นล่ามพิเศษติดตามขบวนเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรที่จังหวัดภาคใต้ แปลกระแสพระราชดำรัสเป็นภาษามลายู ได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ชั้น 2 เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อท่านว่างจากภารกิจด้านการเมืองก็หันกลับมาเป็นชาวสวน ท่านได้ดำรงตำแหน่งประธานสภาจังหวัดสตูลจนวาระสุดท้ายของชีวิต ในปี พ.ศ. 2500 ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งยังได้เป็นกรรมการที่ปรึกษากองประสานราชการกระทรวงมหาดไทย รวมอายุ 91 ปี (หน้า 1-20) ประวัติเกี่ยวกับเมืองสตูล เป็นเมืองที่จัดตั้งขึ้นเช่นเดียวกับอำเภอเบตง แต่มีพระยาครองเมืองเชื้อสายมลายูขอแยกตัวมาสวามิภักดิ์ ฝ่ายไทยไม่ยอมขึ้นต่ออังกฤษ สตูลจึงเป็นเมืองทางชายแดนภาคใต้ที่สำคัญและได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษจากฝ่ายไทย มีการปรับปรุงการปกครองเพื่อให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีของราชอาณาจักรไทย เมื่อครั้งที่เจ้าคุณสมันตรัฐบุรินทร์ดำรงตำแหน่งเป็นพระโกชาอิศได้รับเลือกให้ไปเป็นปลัดเมืองสตูล เจ้าผู้ครองเมืองสตูลสมัยนั้น คือ พระยาอิทรวิชัย (ตนกูบาฮารุดดิน) เป็นชาวมลายู ไม่มีความรู้ภาษาไทยและขนบธรรมเนียมไทยเลย หนังสือราชการจึงต้องมีลายเซ็นปลัดเมืองกำกับ ทั้งยังต้องรับภาระเอาใจใส่ในการรักษาน้ำใจส่วนตัวและรับหน้าที่ปฏิบัติให้เป็นไปตามแบบแผนราชการเคร่งครัดถือเป็นข้าราชการไทยคนแรกที่ปกครองเมืองสตูล จนเมื่อ พ.ศ. 2457 ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ สตูลถือเป็นเมืองชายแดนที่ไม่มีการคมนาคมติดต่อทางบกกับไทย ผู้คนส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ตามป่าตามดงหรืออาศัยอยู่ริมทะเล พลเมืองบางกลุ่มเป็นซาไกซึ่งยังไม่กล้าออกมายังที่ชุมนุมชนเนื่องจากกลัวผู้คน เมื่อท่านได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลก็เริ่มพัฒนาการคมนาคม รวบรวมพลเมืองให้ตั้งหลักแหล่งทำมาหากินเป็นหมู่เหล่าให้สะดวกต่อการพัฒนา ทั้งยังได้เข้าไปใกล้ชิดกับกลุ่มซาไกจนได้รับรู้ถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ของชาวป่าเป็นอย่างดี (หน้า 10 -11) |
|
Economy |
บทบาททางเศรษฐกิจ จากคำบอกเล่าในบทความ "คำไว้อาลัย" ของพระยารามราชภักดีชี้แจงว่า การยังชีพของประชาชนในจังหวัดสตูลสมัยนั้นไม่ดีนัก ประชาชนประกอบอาชีพทำประมง ทำสวนยาง ปลูกพืชไร่ ตัดฟืนเผาถ่าน และปลูกข้าวได้แต่ไม่พอเลี้ยงตัว การคมนาคม ขนส่งลำเลียงสินค้าออกสู่ภายนอกก็ไม่สะดวกนัก เนื่องจากเส้นทางมีเพียงสายเดียวเชื่อมระหว่างจังหวัดสงขลาและสตูลทั้งยังเป็นถนนดิน ทำให้ในฤดูมรสุมรถยนต์ผ่านไม่ได้ ผลิตผลส่วนใหญ่มักจัดส่งไปจำหน่ายที่ปีนังเพราะได้ราคาดี พระยาสมันตรัฐได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยการขุดบ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่และทำไร่สับปะรดให้ราษฎรเห็นเป็นตัวอย่าง จากนั้นจึงแบ่งปันพันธุ์ไก่และพันธุ์ปลาให้ประชาชนนำไปเลี้ยงขยายพันธุ์ นับเป็นการส่งเสริมอาชีพทางหนึ่ง (หน้า 31-32) |
|
Social Organization |
ความสัมพันธ์ในครอบครัว พระยาสมันตรัฐบุรินทร์มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น 16 คน เป็นบุตรคนที่ 12 เป็นบุตรคนที่ 12 ในจำนวน 16 คนของหลวงโกชาอิศและนางเลี๊ยบ บินอับดุลล่าห์ คุณหญิงภรรยาท่านมีนามเดิมว่าพร ไม่มีบุตรด้วยกัน ส่วนบุตรธิดาที่เกิดจากภรรยาอื่นมีทั้งสิ้น 8 คน คือ นางพิณ สมันตรัฐ (ถึงแก่กรรม) นางเผื่อน สมันตรัฐ นางอิ่ม สมันตรัฐ น.ส.เพิ่มสุข สมันตรัฐ (รับราชการแผนกอนามัย จ.สตูล) นายเติมศักดิ์ สมันตรัฐ (รับราชการนายอำเภอเมืองสตูล) น.ส.เสริมศรี สมันตรัฐ นายเสรี สมันตรัฐ และนางชัยรัฐ สมันตรัฐ (หน้า 1-2) |
|
Political Organization |
บทบาททางการเมือง ในบทความเรื่อง "ประวัติและความมุ่งหมายแห่งพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร. ศ.116" ของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ก่อน พ.ศ.2440 การปกครองหัวเมืองแบ่งเป็น 2ภาค คือ หัวเมืองภาคใต้และหัวเมืองภาคกลาง - ภาคเหนือ และภาคบูรพา มีสมุหนายกเป็นผู้ปกครอง หัวเมืองภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไปรวม 19 หัวเมือง ขึ้นกับกระทรวงกลาโหม มีเสนาบดีกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชา ประกอบด้วย เมืองประจวบคีรีขันธ์ เมืองชุมพร เมืองสุราษฏร์ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา เมืองปัตตานี เมืองนราธิวาส เมืองยะลา เมืองสตูล เมืองปลิศ เมืองเคดะห์ เมืองกลันตัน เมืองตรังกานู เมืองพัทลุง เมืองตรัง เมืองกระบี่ เมืองภูเก็ต เมืองพังงาและเมืองระนอง มีเสนาบดีกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชา มอบให้กรมทหารเรือเป็นผู้รักษาความปลอดภัย เนื่องจากสมัยนั้นมีโจรสลัดชุกชุมมากทางทะเลฝั่งตะวันตกและยังไม่มีตำรวจภูธร ขณะที่พวกอั้งยี่ก็มักสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนและมักยกพวกรบรากันแย่งชิงความเป็นใหญ่ จนรัฐบาลต้องเกณฑ์ทหารและพลเมืองเข้าปราบปรามพวกโจรสลัดและพวกอั้งยี่ให้สงบราบคาบ (หน้า 67-68) เมื่อครั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย ทรงรวบรวมหัวเมืองปักษ์ใต้และฝ่ายเหนือซึ่งในเวลานั้นมีพระยาเมือง สุลต่าน เจ้าผู้ครองนครและผู้ว่าราชการเมืองดูแลปกครองเข้าไว้ด้วยกันให้มาขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย มีการรวมหัวเมืองเป็นมณฑลและแต่งตั้งสมุหเทศาภิบาลปกครอง จะมี 7 หัวเมืองฝ่ายใต้ที่ประกาศใช้ภายหลังมณฑลอื่น ๆ ประกอบด้วย เมืองตานี เมืองยะหริ่ง เมืองหนองจิก เมืองสายบุรี เมืองระแงะ เมืองรามัญ เมืองยะลา ต่อมามีการยุบหัวเมืองเหลือไว้เพียง เมืองตานี เมืองยะลาและเมืองนราธิวาส นอกนั้นยุบเป็นอำเภอขึ้นกับ 3 จังหวัดดังกล่าว ส่วนเมืองกลันตัน และตรังกานูมิได้เป็นมณฑล แต่มีข้าราชการจากกระทรวงมหาดไทยไปแนะนำราชการบางคราว เมืองเหล่านี้มีสุลต่านเป็นผู้เก็บผลประโยชน์ แล้วจัดส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองเป็นเครื่องราชบรรณาการให้ "สีตะวัน" กรมการเมืองนำขึ้นทูลเกล้าถวาย ส่วนเมืองเคดะห์ เมืองปลิศ เมืองสตูลโปรดให้เจ้าพระยาไทรบุรีสุลต่านอับดุลฮาเหม็ดเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑล หัวเมืองไทรบุรีเก็บภาษีอากรแต่มิได้ส่งเข้าสู่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพียงแต่จัดส่งราชบรรณาการและต้นไม้เงินต้นไม้ทองให้สีตะวันเช่นเดียวกับกลันตัน และตรังกานู รัฐบาลไทยกับรัฐบาลอังกฤษได้ทำสัญญาเปลี่ยนแปลงเขตแดนระหว่างสหพันธรัฐมลายูตามสันปันน้ำ โดยสัญญามีผลเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ.2451 ให้เมืองไทรบุรี ปลิศ กลันตันและเมืองตรังกานู 4 เมืองตกไปอยู่ในอารักขาของอังกฤษ เหลือแต่เมืองสตูลให้ไปขึ้นกับมณฑลภูเก็ต ภายหลังกระทรวงมหาดไทยเห็นว่าสตูลไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในมณฑลภูเก็ต จึงโปรดให้ยกมาขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ตเวลานั้นเห็นว่า เมืองสตูลควรเก็บผลประโยชน์และภาษีอากรเข้ารัฐบาล และรวมผลประโยชน์ภาษีอากรเข้ากระทรวงพระคลังมหาสมบัติเป็นผลประโยชน์ของแผ่นดิน จึงทรงอนุมัติและพระราชทานเงินค่าใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินเช่นเดียวกับหัวเมืองในมณฑล (หน้า 69-70) |
|
Belief System |
บทบาททางศาสนา ข้อมูลในประวัติของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้กล่าวถึง ราษฎรในแถบจังหวัดสตูลว่าส่วนใหญ่เป็นชาวไทยอิสลาม เช่นเดียวกับที่ตัวท่านเองก็เป็นอิสลามที่เคร่งครัด จึงใช้หลักข้อบัญญัติทางศาสนามาปกครอง ด้วยการโน้มน้าวจิตใจให้ประชาชนหันมานับถือ ผู้ปกครอง รู้จักรักบ้านรักเมือง เคารพเชื่อฟังรัฐและยึดมั่นศาสนาเป็นแนวทางดำเนินชีวิต ทั้งยังสอนให้นึกถึงความสำคัญของการละหมาดตามเวลา นอกจากนี้ยังมีแนวทางสั่งสอนชี้แจงให้กับผู้ที่มีความเชื่อทางพุทธ ผีและไสยศาสตร์ เช่น สอนให้ป้องกันผีด้วยวิธีการปรับปรุงบ้านเรือนให้สะอาด ได้รับแสงสว่าง เพราะผีมักชอบอยู่ในที่มืด บ้านเรือนที่สกปรก เต็มไปด้วยน้ำขัง (หน้า 12-13) |
|
Education and Socialization |
บทบาททางการศึกษา จากรายงานตรวจราชการแผนกธรรมการ กล่าวถึงการตรวจการศึกษาตามท้องที่ตำบลต่าง ๆ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้ให้หลวงบรรสารวิชาเชาวน์รับหน้าที่เป็นธรรมการจังหวัดสตูล จากการตรวจตำบลที่ตั้งโรงเรียน 5 ตำบลพบว่า 1. ตำบลบ้านจีนมีโรงเรียน 1 โรง ครู 2 คน มีเด็กนักเรียนชาย 55 คน หญิง 9 คน เด็กขาดเรียนกันมาก อีกทั้งโรงเรียนยังสร้างไม่ถูกแบบ มีการสั่งให้ครูรายงานธรรมการอำเภอเอาโทษผู้ปกครองเด็ก 2. ตำบลโกตา มีโรงเรียน 1 โรง ครู 3 คน เด็กนักเรียนชาย 83 คน หญิง 8 คน มีจำนวนนักเรียนมาก เนื่องจากปลัดกิ่งอำเภอละงูได้ปรับผู้ปกครองเด็กเมื่อนักเรียนขาดเรียน โรงเรียนยังสร้างไม่ถูกแบบ เกิดจากการบอกบุญเรี่ยไรสร้างขึ้น มีการสำรองที่ใหม่และล้อมรั้วไว้เพื่อจัดสร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ เพื่อให้นักเรียนฝึกหัดทำการเพาะปลูกมีอาชีพที่เหมาะแก่อาชีพของพลเมืองในถิ่น มีความเห็นว่าจะทำโรงเรียนเก่าเป็นตลาดนัดค้าขายเก็บเงินไว้บำรุงโรงเรียนที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ 3. ตำบลทุ่งหว้า (ที่ตั้งอำเภอ) มีโรงเรียน 1 โรง มีครู 1 คน เป็นชาย 74 คน หญิง 11 คน อาศัยสโมสรเสือป่าเป็นที่เล่าเรียนชั่วคราว ที่แห่งใหม่ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นสมบัติของโรงเรียนอยู่ริมถนน มีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ ซึ่งสามารถใช้ฝึกหัดทำการเพาะปลูกได้ 4. ตำบลโตละใต้และตำบลโตละเหนือ รวมกันตั้งโรงเรียน 1 โรงที่โรงเรียนโตละใต้ มีครู 1 คน เป็นชาย 40 คน ไม่มีนักเรียนหญิง อาศัยที่พักข้าราชการซึ่งขุนโตละภิรมย์ กำนันตำบลโตละใต้ใช้เป็นที่เรียนชั่วคราว ตัวโรงเรียนจริงขุนโตละภิรมย์ปลูกสร้างขึ้นอย่างถูกแบบเป็นการถาวร หลังคามุงฝาแผงไม้ไผ่ มีการขอแรงราษฎรในท้องที่ โรงเรียนได้กันพื้นที่ริมถนนไว้ 2 แปลง เนื้อที่ 80 ไร่ อีกแปลงอยู่คนละฝั่งถนนเนื้อที่ 200 ไร่เศษ ขึ้นไว้เป็นสมบัติของโรงเรียน 5. ตำบลกาแบง มีโรงเรียน 1 โรง ครู 1 คน เด็กนักเรียนชาย 45 คน อาศัยบ้านนายเจ๊ะหมาด ราษฎรในตำบลเป็นสถานที่เล่าเรียนชั่วคราว ตัวโรงเรียนมีห้องเรียน 3 ห้อง ที่พักครู 1 หลัง จุเด็กได้ 100 คน สร้างตามแบบตำบลโตละใต้ มีการสงวนเนื้อที่ไว้ 200 ไร่เศษขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของโรงเรียน เสาและเครื่องประกอบเป็นไม้แก่นหลังคามุงจาก ฝาแผงไม้ไผ่ ยกดินโรยทรายตีพื้น ต่อไปจะลาดปูนซีเมนต์ 6. ตำบลที่ยังไม่มีโรงเรียน เช่น ควนโพธิ์ บาราเกต แหลมแค และตำบลเปรีย มีการสำรองที่และวางโครงการไว้แล้ว โดยสำรองที่ริมถนนตำบลควนโพธิ์ไว้เป็นที่ตั้งโรงเรียน มีเนื้อที่ 200 ไร่เศษ นอกจากนี้ยังมีทุ่งว่างเป็นนาอีก 100 ไร่ ทั้งสามตำบลได้สำรองที่ไว้สร้างโรงเรียนและสั่งให้อำเภอสงวนไว้เป็นสมบัติของโรงเรียนไม่ต่ำกว่า 200 ไร่ เพื่อเป็นที่ฝึกหัดเพาะปลูกสร้างอาชีพให้พลเมือง พระยาสมันตรัฐตั้งข้อสังเกตว่า การศึกษาของจังหวัดสตูลล้าหลังกว่าจังหวัดอื่น เพราะขาดแคลนครู และหาเด็กที่มีความรู้พอที่จะส่งไปฝึกหัดวิชาครูยาก มีแต่ความรู้อ่อน ครูบางคนมาจากจังหวัดอื่นได้เงินเดือนน้อย มาอยู่ได้เพียง 2-3 เดือนเมื่อเห็นโอกาสที่อื่นดีกว่าก็ลาออกไปทำงานอื่น พระยาสมันตรัฐได้ปรึกษาหลวงบรรสารเพื่อหาทางแก้ไข เห็นว่าควรหาทางให้เด็กได้มีโอกาสเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 เมื่อจบแล้วก็ส่งไปเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมท่าชะมวง พอสำเร็จแล้วก็ส่งไปเป็นครูอยู่ประจำตามตำบลต่าง ๆ ต่อไป ผู้ที่เป็นครูอยู่ประจำก็หาทางอุดหนุนให้มีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐาน หรืออำนวยความสะดวกอื่นเพื่อให้ครูพอใจที่จะตั้งตัวในพื้นที่ต่อไป (หน้า 117-120) เป็นที่น่าสังเกตว่า พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ความสำคัญกับการศึกษาและให้คำแนะนำต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ดังเช่นที่ปรากฏในสำเนาคำสั่งที่โรงเรียนทุ่งหว้า อาทิ การให้คำแนะนำต่อครูเกี่ยวกับเด็ก "... น่าจะชมครูที่ได้เอาเป็นธุระแก่เด็กเป็นอันดี ครูต้องทำให้เด็กรักและทำให้เด็กรักโรงเรียน โดยหาอุบายให้เด็กชายหญิงได้เล่นกีฬาและนำกันไปเที่ยวกันเวลาวันที่ว่าง จึงเด็กจะรู้สึกการสนุกและหมั่นในการเรียน" (สมันต ผู้ว่าราชการจังหวัด : หน้า 121) "ให้ครูหาวิธีเล่นชนิดใด ๆ เช่น วันหยุดโรงเรียนนำเด็กไปเที่ยวตามทุ่ง ตามชายทะเลหรือจะนำเด็กไปช่วยในการใด ๆ ตามบ้านเรือนผู้ปกครอง เช่น ถ้าเขามีการอะไรก็ให้ช่วยทำ เช่น การเพาะปลูก ถางป่า ทำสวน ทำรั้ว...ถ้าครูทำได้เช่นว่านี้ จะเป็นคะแนนดีของครูในหน้าที่ ทั้งเจ้าบ้านทั้งหลายจะนิยมครูมากขึ้น เด็ก ๆ ก็จะสนุกและรักครู" (พระยาสมันต ผู้ว่าราชการจังหวัด : หน้า 122) |
|
Health and Medicine |
บทบาททางด้านสาธารณสุข เป็นที่น่าสังเกตว่าพระยาสมันตรัฐบุรินทร์มีความห่วงใยทั้งในเรื่องสุขอนามัย มารยาทความประพฤติ รวมถึงสวัสดิภาพของเด็กที่มาเรียนหนังสือ ปรากฏในสำเนาคำสั่งที่โรงเรียนทุ่งหว้า และในสำเนาคำสั่งในสมุดหมายเหตุโรงเรียนกาแบง ดังนี้ "การรักษาความสะอาดในตัวเด็กพอสมควร ต่อไปก็ให้ตรวจในเรื่องความสะอาดให้มากขึ้นเพราะเป็นข้อสำคัญ ตรวจกิริยาวาจาให้สุภาพ" (พระยาสมันต ผู้ว่าราชการจังหวัด: หน้า 121) "ให้ครูตรวจเด็ก ๆ ทุกคน ให้รู้จักรักษาความสะอาดในตัวและที่อยู่ ตรวจกิริยาวาจาให้สุภาพ ให้จนติดนิสัย" (พระยาสมันต ผู้ว่าราชการจังหวัด : หน้า 122) "ต่อไปในโรงเรียนนี้จะมีเด็กหญิงเข้าเรียนด้วย ขอให้ครูระวังให้จงหนัก ป้องกันระวังอย่าให้เด็กชายจงอย่าเอาเปรียบเด็กหญิง และต้องให้เด็กชายให้ความสุภาพแก่เด็กหญิงเสมอไปทั้งกิริยาวาจาด้วย" (พระยาสมันต ผู้ว่าราชการจังหวัด : หน้า 122) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
จากบทความปาฐกถาเรื่อง "ความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมของคนป่าและชาวน้ำ" ได้เล่าถึงการแต่งกายของซาไกไว้ว่า มันนินิยมใช้เปลือกไม้ปกปิดร่างกายเฉพาะส่วนโดยทำเป็นเข็มขัดผูกแน่นที่บั้นเอวใช้เปลือกไม้สอดชายขึ้นไป ให้มีชายตอนหน้าเหลือพอที่จะบังด้านหน้า ชายอีกด้านหนึ่งสอดขึ้นทางเข็มขัดหวายด้านหลัง แล้วรั้งให้ตึงกระชับห้อยชายไว้ด้านหลัง หญิงมักใช้รากหินทำเป็นสายยาวสีดำห้อยระย้ารอบบั้นเอวมีการใช้เปลือกไม้ปกปิดกำบัง ใช้อยู่จนเปลือกไม้ที่พันกายใช้ไม่ได้จึงผลัดเปลี่ยน เครื่องประดับของซาไกทำจากฟันสัตว์นำมาเจาะร้อยสลับกับลูกปัด ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวร้อยสลับกัน ใช้คล้องคอห้อยลงมาเป็นชั้น ๆ บ้างก็ใช้พันตามลำคอ บ้างก็ใช้รากหิน 4-5 เส้นผูกเป็นสร้อยข้อมือ หรือผูกที่ต้นแขน ใช้หวีซี่ไม้ไผ่เป็นวงโค้งแซมด้วยดอกไม้ตามธรรมชาติประดับผม ตอนบนสลักเป็นลายขนมเปียกปูน นิยมใช้ยางไม้สีเหลืองใส กลิ่นคล้ายเตยหอม รสเอียน ๆ ทาบริเวณหน้าผากและจมูก (หน้า 39-40) สำหรับธรรมเนียมการสร้างที่พักอาศัยของซาไก มักมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกผู้หญิง หากผู้ชายทำที่พักก็อาจเกิดเหตุอาเพศต่าง ๆ ได้ (หน้า 42) การร้องรำทำเพลงของซาไก ซาไกมีเครื่องดนตรีประกอบที่ทำจากไม้ไผ่ ลักษณะคล้ายซอมีทั้งสายเอกและสายทุ้ม มีไม้ดีดสายอย่างตะเข้ อีกประเภทหนึ่งเป็นเครื่องเคาะนิยมใช้กระบอกไม้ไผ่กรวงเคาะกับก้อนหินให้เกิดเสียง สำหรับเพลงที่ใช้ร้องเป็นเพลงภาษาซาไกกล่าวถึงกำเนิดทุเรียนหรือผลไม้ต่าง ๆ เพลงที่นิยมร้องกันมากคือ "เพลงจระเข้ " (หน้า 43) บทความเรื่อง "ชาวน้ำ" พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้เล่าถึง การปลูกเรือนของชาวน้ำว่ามีลักษณะเป็นเรือนยกพื้น รูปเรือนเป็นเรือนเดี่ยวไม่มีระเบียงเป็นแบบเดียวกันหมด เรือนขนาดใหญ่มี 3 ห้อง ขนาดเล็กมี 2 ห้อง มีนอกชานหน้าบันไดและครัวอยู่ในตัวเรือน การปลูกเรือนมักปลูกตามแนวดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก ห้ามปลูกขวางดวงอาทิตย์ แต่ละครัวเรือนจะมีเรือหนึ่งลำ เป็นแบบเรือมาดยาวประมาณ 3-7 วา ตอนบนของเรือเป็นไม้ระกำอัดแน่นจนน้ำเข้าไม่ได้ รูปทรงเป็นแบบเรือเดินทะเล หากจะเดินทางไกลจะใช้เสาใบ แต่ตามปกติจะใช้กรรเชียง ตัวเรือมักทำกันเอง บางลำเขียนเป็นรูปปลาฉลามหรือพญานาคไว้ที่หัวเรือ มักเก็บเรือไว้บนหาดใช้ใบไม้ปิดไม่ให้ถูกแดด (หน้า 51-52) สำหรับการแต่งกายของชาวน้ำ แต่งเลียนแบบมลายูทั้งหญิงและชาย (หน้า 51) |
|
Folklore |
จากบทความของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์เรื่อง "กำเนิดมนุษย์คนแรกของโลก" ได้กล่าวถึงข้อสันนิษฐานการกำเนิดมนุษย์ 2 แนวคิด คือ เชื่อว่ามนุษย์สืบเชื้อสายมาจากเทวดานางฟ้าลงมากินง้วนดินแล้วกลับขึ้นวิมานไม่ได้ ต้องอยู่สืบเชื้อสายเป็นมนุษย์ เป็นแนวคิดของกลุ่มที่ถือคติโบราณอย่างเคร่งครัด (หน้า 74) อีกแนวคิดหนึ่งได้จากการค้นคว้าโครงกระดูกมนุษย์โบราณ เชื่อว่ามนุษย์นั้นมีวิวัฒนาการมาจากลิง ในขณะที่ผู้เขียนกลับมีความเห็นว่า ทั้งสองความเชื่อยังขาดเหตุผลและหลักฐานที่เพียงพอมารองรับ อย่างไรก็ดี คัมภีร์โกรอ่านของศาสนาอิสลามได้กล่าวไว้ชัดเจนในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกมนุษย์ ผู้เขียนได้แปลแล้วนำมาเล่าไว้ว่า ก่อนที่โลกจะมีเจ็ดชั้นฟ้าและเจ็ดชั้นดินนั้น โลกยังเป็นอากาศว่าง ๆ พระเจ้าได้สร้างลูกทรงกลมสีขาวขึ้นมามีรัศมีลอยเด่นถึง 70,000 ปี เมื่อถึงกำหนดพระองค์ก็ทรงบันดาลให้เกิดน้ำไหลบ่าเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ถึง 70,000 ปี แล้วบันดาลให้เกิดไฟลุกไหม้น้ำทั้งมหาสมุทรจนเดือดไปทั่ว เกิดควันเป็นฟ้าทั้งเจ็ดชั้น และฟองเป็นแผ่นดินทั้งเจ็ดชั้น แล้วก็ทรงรับสั่งให้ทูตสวรรค์มากวาดต้อนฟองน้ำ บันดาลให้ลมพัดตะล่อมฟองรวมเข้ามาเป็นแผ่นดินลอยอยู่เหนือน้ำ ศูนย์กลางของแผ่นดินเรียกว่า "เมกกะ" ถือเป็นศูนย์กลางของโลกเป็นที่ตั้งกะบะห์มหาวิหาร เมื่อทูตไม่สามารถยึดเหนี่ยวพื้นพิภพให้อยู่ได้ท่ามกลางกระแสปั่นป่วน พระเจ้าก็บันดาลให้เกิดภูเขาตรึงโลกไว้ พิภพก็เกิดเป็นชั้น ๆ นับได้เจ็ดชั้น โลกว่างอยู่ถึง 70,000 ปี ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด พระเจ้าก็บันดาลให้เกิดปลาขึ้นก่อนสัตว์ประเภทอื่น ต่อมาก็ให้โคถือกำเนิดขึ้นบนผืนดิน เกิดดวงอาทิตย์ ดวงดาว สวรรค์ นรก โดยเริ่มสร้างโลกในวันเสาร์เสร็จในวันพฤหัส อิสลามจึงได้ยึดถือเอาวันศุกร์เป็นวันสำคัญทางศาสนา เมื่อทรงสร้างโลกแล้วหลายล้านปียังไม่มีมนุษย์ มีแต่สัตว์และญาณ (มารหรือพวกปีศาจ) ซึ่งได้ก่อความวุ่นวายและยุคเข็ญแก่โลก ต่อมาพระเจ้ารับสั่งให้อิสราอิลทูตสวรรค์นำดินจากผืนพิภพและน้ำจืด น้ำเค็ม น้ำคาวและน้ำขมไปถวาย นำไปปั้นเป็นร่างมนุษย์คือ อาดัมไปวางไว้บนพื้นโลก สั่งให้นำวิญญาณจากใบตอปักบนสวรรค์มาวางไว้ที่ศีรษะของอาดัม เมื่อวิญญาณของอาดัมเดินไปทั่วร่าง มีเลือดเนื้อและเคลื่อนไหวได้จึงกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ พอได้เครื่องแต่งกายและม้าแล้ว ก็นำตัวอาดัมไปชมสิ่งสวยงามบนสวรรค์ทั่วทุกชั้น พร้อมมีโองการให้มาลาอิกัตทูตสวรรค์กราบคารวะอาดัมอย่างพร้อมเพรียงกัน เว้นแต่อิบลิสหรือมารปีศาจไซตานที่ขัดขืนรับสั่ง อิบลิสอ้างว่าที่ตนไม่กราบอาดัมเนื่องจากมีศักดิ์สูงกว่า เพราะพระเจ้าสร้างอาดัมจากดิน ในขณะที่เนรมิตอิบลิสจากรัศมีไฟ พระเจ้าจึงขับไล่ สาปแช่งและเนรเทศอิบลิสออกจากใต้ฟ้าและแผ่นดินไปจนถึงวันสิ้นโลก ส่วนอิบลิสก็กราบทูลขอจองเวรต่อลูกหลานมนุษย์ของอาดัม ด้วยการชักจูงให้เห็นผิดเป็นชอบ เพื่อให้ได้รับโทษตกนรกตามอิบลิสไปจนถึงวันสิ้นโลก ยกเว้น บรรดาผู้ที่มีศรัทธามั่นต่อพระเจ้าที่อิบลิสจะชักจูงไม่ได้ (หน้า 74-80) หน้าที่ของอิบลิส (พวกชิน ญาณ ปีศาจ หรือมารถูกสร้างขึ้นจากธาตุไฟในนรก) ที่ได้ลงมาอยู่ในพื้นพิภพนั้น คือการล่อลวงคนให้หลงใหลไปในทางเลวทรามต่ำช้า ตั้งแต่นั้นอิบลิสและมนุษย์ก็กลายเป็นศัตรูกันสืบมาตราบจนทุกวันนี้ เป็นเหตุให้ชาวอิสลาม ถือคติประจำใจว่า ความดีทั้งหลายมาจากพระผู้เป็นเจ้า แต่ความชั่วร้าย การเบียดเบียน ความอิจฉาริษยา ความประมาท โอหังมาจาก " อิบลิส" หรือ "ไซตาน" ต่อมาพระอัลเลาะห์ได้บันดาลมารดาของมนุษยชาติคือ " ซีตีฮาวา " มาอยู่เคียงข้างอาดัม เมื่อ พระเจ้าทำการสมรสให้แก่ทั้งคู่แล้ว ก็ประกาศแก่เทวดาทั้งหลายให้สวรรค์เป็นที่อยู่ของทั้งสองให้มีสิทธิ์ในสิ่งต่าง ๆ ยกเว้นต้นไม้ที่ชื่อ "คัรได" หากเข้าใกล้หรือบริโภคจะได้รับภัยพิบัติแก่ตน วันหนึ่งอิบลิสจำแลงเป็นคนแก่มานั่งรอที่ริมประตูสวรรค์ที่อาดัมอยู่ แต่ก็เข้าไปในสวรรค์ไม่ได้ ขณะที่รอหาโอกาสอยู่นั้น มีนกยูงออกมาถาม อิบลิสก็พยายามล่อลวงให้เปิดประตูให้ แต่นกยูงว่ากุญแจอยู่กับมาลาอิกัต นกยูงได้กลับไปบอกงูว่า มีคนแก่มานั่งร้องไห้อยู่ที่ประตู อิบลิสล่อลวงและแปลงกายเข้าไปในปากงูจึงเข้าไปในสวรรค์ได้ อิบลิสได้ขอร้องให้งูนำไปที่ต้นไม้และพักผ่อนอยู่ที่นั้น จนเมื่อเทพธิดา (รวมถึงซีตีฮาวา) มาพบเข้า อิบลิสก็ล่อลวงให้เก็บผลไม้ต้องห้ามกิน หากต้องการอยู่ในสวรรค์ชั่วกัลปาวสาน โดยที่อิบลิสกล่าวคำสาบานในนามของพระอัลเลาะห์ ซีตีฮาวาเมื่อได้ยินเข้าก็เชื่อถือ เอื้อมไปเด็ดผลไม้คัรไดมารับประทาน แล้วนำอีก 2 ผลกลับไปฝากอาดัม ซีตีฮาวาจัดแจงรินน้ำคอมาร์ (สุรา) ให้อาดัมดื่มจนมึนเมา แล้วรับประทานผลไม้ เมื่ออาดัมกลืนผลไม้ล่วงลงคอ เสื้อผ้าอาภรณ์ของทั้งคู่ก็หลุดอันตรธานไปหมดสิ้น จนต้องเด็ดใบไม้มาปกปิดร่างกายแทน (หน้า 80-85) เมื่อพระเจ้าทราบเรื่องก็เนรเทศอาดัม ซีตีฮาวา นกยูง และงูออกจากสวรรค์ไปสู่พื้นพิภพ อาดัมได้เอากิ่งไม้ถือติดมือมาเป็นไม้เท้าป้องกันตัว (ถือเป็นไม้เท้ากายสิทธิ์ตกทอดต่อกันมายังนาบีองค์สำคัญ) อาดัมตกลงมายังที่แห่งหนึ่งเรียกว่า "ซรันเด็ด" ซีตีฮาวาตกลงมายัง "ยิดดะห์" (ท่าเรือที่จะขึ้นไปยังเมืองเมกกะที่ช่องทะเลแดง) นกยูงตกที่ฮินดูสถาน งูตกลงมาที่ซะฟาฮาน (แผ่นดินแอฟริกา) อิบลิสตกลงมาที่ตำบลกัมมันตรัน อาดัมและฮาวาต่างร้องไห้ขอรับสารภาพโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ทำการฝ่าฝืนข้อบัญญัติ น้ำตาอาดัมไหลเป็นลำธาร จนเกิดต้นทับทิม และอินทผาลัม ซีตีฮาวาร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นลำธารออกมาถึงทะเล ในทะเลาเกิดเป็นหอยมุก และริมลำธารเกิดเป็นหินผุเปื่อยชนิดหนึ่ง เรียกว่า "ซะระ" (ใช้เป็นยาที่พวกอาหรับนำมาทาริมขอบตา เชื่อว่าทำให้ตาสว่างและทำให้นัยน์ตาคมยิ่งขึ้น) วันหนึ่งยิบราอิลมาแจ้งรับสั่งพระเป็นเจ้าแก่อาดัมให้ขึ้นฮะยีครั้งหนึ่งก่อนตาย อาดัมเดินทางไปนมัสการสักการะพระผู้เป็นเจ้าที่วิหารตามทิศที่ยิบราอิลชี้ให้ ตลอดทางด้วยอำนาจยิ่งใหญ่ทำให้ที่ต่าง ๆ กลายเป็นเมืองและประเทศใหญ่ เมื่ออาดัมเดินทางมาถึงเมกกะก็พบกับมาลาอิกัตที่มากระทำกิจทักษิณาวัตก่อนหน้าถึง 2000 ปี วันหนึ่งอาดัมเห็นร่างของซีตีฮาวาผู้เป็นภรรยาเดินอยู่ในทุ่ง เมื่อทั้งคู่พบกันต่างก็กอดกันร่ำไห้คิดถึงอดีตที่ล่วงมาแล้วในสวรรค์ และได้ขอลุแก่โทษต่อพระเจ้า พระเจ้าได้สั่งให้มาลาอิกัตเปิดสวรรค์ให้อาดัมมองเห็นตลอดขึ้นไปถึงสวรรค์เจ็ดชั้นฟ้า รวมถึงคำจารึกสรรเสริญอันเป็นคาถาสำคัญของอิสลามทั่วโลก ปฏิญาณตนไปตราบจนสิ้นลมหายใจว่า " ข้าขอนับถือและปฏิบัติตามพระองค์อัลเลาะห์แต่เพียงผู้เดียวและนบีมูฮัมมัดนั้นเป็นข้าและเป็นทูตของพระองค์ " (หน้า 85-87) เมื่อพระผู้เป็นเจ้าให้อภัยต่ออาดัมและฮาวาแล้ว อิบราอิลก็นำอาดัมไปขัดสีชำระร่างกายที่แม่น้ำเพื่อเป็นมงคลแก่ลูกหลานที่จะเกิดต่อไป พระผู้เป็นเจ้าให้ดวงวิญญาณลูกหลานของอาดัมมากมายที่จะเกิดมาบนโลก ล้อมรอบกายอาดัมแล้วชี้ให้เห็นว่า วิญญาณเหล่านี้ด้านขวาจะเป็นมุนิน ด้านซ้ายเป็นมุนาเพียะ ซินติดและอาซี พวกที่นั่งแถวหน้าเป็นพวกนาบีและวาลี (พวกที่สำเร็จเป็นอรหันต์) แถวหลังเป็นพวกกาพีรีน และมาซริก แล้วมีรับสั่งให้กราบไหว้ ผู้ที่กราบไหว้ตามรับสั่งเป็นอิสลาม เป็นผู้ที่จะได้ไปสวรรค์ ส่วนผู้ที่ไม่กราบไหว้ไม่ใช่อิสลามจะต้องแยกไปทางนรก พระเป็นเจ้าได้รับสั่งตักเตือนอาดัมอีกว่าอย่างได้ประมาทและละเมิดอีกเป็นอันขาด เพราะอิบลิสได้มาอยู่ร่วมโลกกับเจ้าและลูกหลาน ทั้งยังได้เปิดให้อาดัมเห็นชะตากรรมของวิญญาณทั้งหลายซึ่งเรียกว่า "อาซัน" เป็นลิขิตที่ติดตัวมาแต่กำเนิดซึ่งถือกันมาแต่ดั้งเดิม แต่มีบทห้ามว่า มนุษย์จำต้องขวนขวายใช้ความสามารถด้วยตนเอง มิใช่อยู่นิ่งรอรับทานเช่นมนุษย์เบียนโลก ไม่ได้สร้างคุณประโยชน์อันใด ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า กลของอิบลิสเป็นกลแบบตีท้ายครัวโดยใช้อุบายให้ซีตีฮาวาหลงกลกินผลคัรได แล้วให้ซีตีฮาวาไปใช้กลให้อาดัมหลงใหลจนพลอยเสียกันไปทั้งคู่ เป็นคติเตือนใจตราบจนทุกวันนี้ พระเป็นเจ้าได้ให้พรแก่อาดัมและฮาวา โดยย้ำเตือนว่าให้ลูกหลานปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อให้ได้ไปสวรรค์อย่าได้ประมาทหลงเชื่ออิบลิส แล้วได้ทรงประทานหินสีขาวก้อนหนึ่งจากสวรรค์มาไว้ที่ประตูกะบะห์มหาวิหารที่เมืองเมกกะบนพื้นพิภพตราบจนทุกวันนี้ เพื่อให้ผู้กระทำฮะยีจูบหินสักการะให้เกิดสิริมงคล เล่าว่าเมื่อคนไปทำฮะยีได้จูบหินดูดเอาบาปไปด้วย ทำให้หินกลายเป็นสีดำ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานคำมั่นต่ออาดัมแล้ว ได้รับสั่งให้รอซูลและนาบีมาสั่งสอนดูแลต่อกันมาจนวันสิ้นโลก (หน้า 87- 91) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากบทความในปาฐกถาเรื่อง "ความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมของคนป่าและชาวน้ำ" ของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ เล่าไว้ว่า ซาไกมีรูปร่างลักษณะค่อนข้างเตี้ย รูปร่างผอมเกร็ง ลำตัวเรียว ท้องกว้าง หลังคู้ ผมหยิกขมวดเป็นก้นหอย ผิวดำ นัยน์ตาขาวโปน จมูกใหญ่ปลายรั้น ริมฝีปากหนา ฟันซี่เล็กยาว มักเป็นโรคผิวหนังกันมาก ซาไกที่สูงอายุไม่มีผมหงอกและฟันไม่หัก (หน้า 39) ซาไกมีนิสัยสุภาพเรียบร้อย ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่นิยมต่อสู้ ค่อนข้างขลาดกลัว แต่มักจะแอบด้อม ๆ มอง ๆ ลอบทำร้ายด้วยลูกดอกอาบยาพิษแล้วจึงหนีไป ซาไกนิยมสูบยาฉุนถือว่าชาวบ้านมีศักดิ์สูงกว่า (หน้า 46) ส่วนซาไกบูเก็ตหรือซาไกภูเขามักอยู่บนที่สูงตามไหล่เขา ไม่ชอบอยู่ในที่ราบ ซาไกบูเก็ตมักสูงกว่ามันนิตันยง หน้าอกผาย ผิวขาว นัยน์ตาและคิ้วคล้ายคนจีน ริมฝีปากไม่หนา ไม่ไว้หนวดไว้เครา สักหน้าผากเป็นสามแฉกคล้ายลูกศร สันจมูกสักดำแบบอินเดีย เจาะจมูกเหมือนวัวที่สนตะพาย นำขนเม่นเสียบไว้ที่จมูกทั้ง 2 ข้างแลดูคล้ายเขี้ยวยักษ์ ตามช่องจมูกเจาะใส่วงแหวนข้างละ 2 วง เจาะหูใส่ห่วงทองเหลืองแบบอินเดีย หญิงซาไกบูเก็ตรูปร่างหน้าตาผิวพรรณพอใช้ ไม่เป็นโรคผิวหนัง ไม่มีการเจาะจมูก (หน้า 48) จากบทความเรื่อง "ชาวน้ำ" ของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ได้กล่าวถึงรูปร่างลักษณะของชาวน้ำไว้ว่า ชาวน้ำมีร่างกายแข็งแรง หน้าอกกว้าง ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ผอมไม่อ้วน ผู้ชายมีหน้าตาคมขำกว่าผู้หญิง หญิงรูปร่างสูงโปร่ง แต่ผิวพรรณหน้าตาไม่สวยนัก (หน้า 51) จากคำปาฐกถาเรื่อง "การเป็นอยู่ในมลายู" พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้รวบรวมมาจากหนังสือเก่าของมลายู กล่าวว่า แหลมมลายูมีชาติพันธุ์ต่าง ๆ 4 จำพวกคือ พวก "กาฮาซี"มีผิวดำ ตาโปนขาว ผมหยิก หน้าบาน ฟันแหลม ชอบรับประทานเนื้อสัตว์และเนื้อคน มีนิสัยดุร้าย คนไทยเรียกว่า "ยักษ์" พวกที่สองเรียกว่า "ซาไก" มีตาโปน ริมฝีปากหนา ผมหยิกดำ นิสัยไม่ดุร้าย พวกที่สามเรียกว่า "เซียมัง" คล้ายกับพวกซาไก ชอบอยู่บนภูเขาสูง พวกที่สี่เรียกว่า "โอรังลาโวด" (ชาวน้ำ) เร่ร่อนไม่เป็นหลักแหล่งอาศัยอยู่ตามเกาะและชายทะเล (หน้า 94-95) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|