สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,ภาคเหนือ
Author บุญช่วย ศรีสวัสดิ์
Title แม้ว
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 42 Year 2545
Source ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม
Abstract

ม้งในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 เผ่า คือ ม้งขาว ม้งดำและม้งลาย ทั้งสามเผ่ามีภาษา ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน ต่างเพียงเครื่องแต่งกาย ม้งนับถือผีฟ้า และผีเรือน เชื่อว่าผีฟ้ามีอำนาจเหนือมนุษย์และสัตว์ ส่วนผีเรือน เป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ผีอื่น ๆ แม้วถือเป็นผีร้าย ม้งเคยอยู่ทางทิศใต้ของมองโกเลียแล้วอพยพมาอยู่ตอนกลางของจีน มีอาณาจักรและกษัตริย์ปกครอง ชาวจีนเคยเรียกพวกแม้วว่า "ชนชาติฮั่น" ครอบครัวม้งนับถือระบบอาวุโสเป็นหลัก และมักจะนับถือชายมากกว่าหญิง การสืบแซ่ตระกูลตกอยู่กับฝ่ายชาย ม้งรู้ภาษาจีนมากกว่าภาษาอื่น ถัดมาคือภาษาลาว -ไทย ม้งบางคนพูดภาษาจีนฮ่อได้ แต่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาจีนน้อยกว่าเย้า เป็นชนเผ่าที่สูบฝิ่นจัดกว่าชาวเขาเผ่าอื่น โดยเฉพาะในพื้นที่สูงชันห่างไกลจากหมู่บ้าน เสื้อม้งรัดตัวมากกว่าเผ่าอื่น นุ่งกางเกงจีนยาวถึงข้อเท้า มีเป้ายาน หญิงม้งนุ่งกระโปรงมีลวดลายดอก มีแผ่นผ้าสี่เหลี่ยมปิดจากเอวด้านหน้าคล้ายผ้ากันเปื้อน ใช้ผ้าพันแข้งสีขาวดำ ไม่สวมรองเท้า ไม่มีหมอแผนปัจจุบันรักษายามเจ็บป่วย มักใช้วิธีเซ่นไหว้ผี มีการร้องเพลงและบรรเลงดนตรีในโอกาสต่าง ๆ มีการทำบุญทานไม้กระดาน "สะพานต่ออายุ" แล้วทำพิธีขับไล่ผีป่าจากร่างกายผู้ป่วย เรียกว่า "ฉะด้า" มีการกรีดสัญลักษณ์ลงบนท่อนไม้เล็ก ๆ เพื่อใช้แทนการส่งหนังสือ เช่น หากกรีดไม้เป็นรอยตรง ๆ สองรอยตรงหัวท้าย แล้วมัดขนไก่กับพริกขี้หนูติดไปด้วย แสดงว่ามีธุระด่วนที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ต้องการให้ไปหาโดยด่วน อาชีพหลักของม้ง คือการทำไร่ซึ่งมีทั้งไร่ข้าว ข้าวโพดและฝิ่น

Focus

เน้นศึกษาสภาพสังคม วิถีชีวิต ระบบครอบครัว ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อของชาวเขาเผ่าแม้ว

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ม้ง

Language and Linguistic Affiliations

ผู้วิจัยเรียกม้งว่า "แม้ว" จำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้คือ แม้วขาว แม้วดำ และแม้วลาย ซึ่งพูดภาษาเดียวกัน คำบางคำคล้ายภาษาจีน บ้างว่าจัดอยู่ในตระกูลธิเบต - พม่า บ้างเข้าใจว่าอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร แม้วรู้ภาษาจีนมากกว่าภาษาอื่น ถัดมา คือ ภาษาลาว - ไทย แม้วบางคนพูดภาษาจีนฮ่อได้แต่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาจีนน้อยกว่าเย้า เพราะไม่นิยมเรียนภาษาจีนจนอ่านออกเขียนได้อย่างเย้า ชายแม้วมีคำนำหน้าว่า "เลา" เช่นเดียวกับเย้าและจีนฮ่อแห่งมณฑลยูนนาน คำนำหน้านามฝ่ายหญิงใช้ว่า "อี" คำอื่น ๆ เช่น ม้า เรียกว่า "เหน่ง" วัว เรียกว่า "จียู้" กวาง เรียกว่า "หม่อลื่อ" ผักกาด เรียกว่า "เยาจั๊ว" ฟักเขียว เรียกว่า "โต๊กตือ" ฟักทอง เรียกว่า "โต๊กดา" กินข้าว พูดว่า "น่ำเมา" "สบายดีหรือ" พูดว่า "หย่งโละ" แม้วมีการกรีดสัญลักษณ์ลงบนท่อนไม้เล็ก ๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ใช้แทนการส่งหนังสือ เช่น หากแกะไม้ท่อนเป็น 4 รอยตรง ๆ ส่งไปให้ ถือเป็นการแสดงถึงความรักที่ชายฝากส่งไปให้หญิงสาว หากกรีดเป็นรอยเฉียงเข้าหากันแสดงว่า มิตรภาพของคนทั้งสองได้ขาดลงแล้วนับตั้งแต่รับท่อนไม้ หากชายหนุ่มกรีดรอยตรง ๆ เพียงรอยเดียวใกล้กับหัวไม้ แล้วส่งให้หญิงสาวเป็นการบอกว่า "ฉันรักเธอเพียงคนเดียว" หากกรีดไม้เป็นรอยตรง ๆ สองรอยตรงหัวท้าย แล้วมัดขนไก่กับพริกขี้หนูติดไปด้วย แสดงว่ามีธุระด่วนที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ต้องการให้ไปหาโดยด่วน (หน้า 430-433)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

แต่เดิมม้งอาศัยอยู่ในมณฑลไกวเจา ฮูนาน อพยพมาอยู่ในมณฑลกวางสีและยูนนานกว่า 500 ปีมาแล้ว ก่อนหน้านั้นเคยอยู่ทางทิศใต้ของมองโกเลีย แล้วอพยพมาอยู่ตอนกลางของจีน มีอาณาจักรและกษัตริย์ปกครอง ชาวจีนเคยเรียกพวกม้งว่าชนชาติฮั่น ต่อมาทำสงครามกับจีน ม้งสู้ไม่ได้ก็พ่ายถอยจากมณฑลไกวเจา ฮูนานลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศใต้ คือยูนนานและกวางสี ต่อมาเมื่อพื้นที่เพาะปลูกน้อยลง ถูกฝ่ายปกครองเบียดเบียนรุกรานหรือเกณฑ์ไปช่วยรบ ประกอบกับในจีนมีการรบรา ฆ่าฟัน ปล้นสะดมอยู่เนือง ๆ จึงอพยพเคลื่อนย้ายลงมาทางใต้ มาอยู่ในเวียดนามเหนือ ลาวตอนกลางและตอนเหนือรัฐฉานของพม่ากับเขตไทย ม้งในเวียดนามเหนือเป็นเผ่านักรบ ได้เคยร่วมกับกบฏจีนฮ่อเรียกว่า "ฮ่อธงดำฮ่อธงเหลือง" ก่อเหตุวุ่นวายในเมืองไลเจา และเมืองลาวกาย เป็นเหตุให้ฝรั่งเศสหาเรื่องยึดแผ่นดินตอนกลาง คือ แคว้นอันนัมกับแผ่นดินตอนเหนือมาเป็นของฝรั่งเศส เมื่อพ.ศ.2426 จนไทยต้องเสียดินแดนสิบสองจุไทยไป กบฏไต้เผงจำนวนหนึ่งได้ย้ายมาอยู่ในฮานอย เวียดนามเหนือ เวียดนามขอให้กองทัพจีนยกทัพไปสมทบจนง่ออาจจงตายในที่รบ พวกฮ่อแตกพ่ายไปรวมกับพวกม้งที่เมืองซันเทียน อยู่ติดพรมแดนเวียดนามด้านสิบสองจุไทยที่เป็นเมืองของม้งปัจจุบันมีม้งอาศัยอยู่ในไกวเจา ยูนนาน และกวางสี ส่วนม้งในไทยใหญ่ (รัฐฉาน) อยู่ในรัฐแสนหวีเหนือ แถบเมืองโกกั้ง กุ่นโหลง และตามภูเขาด้านตะวนออกของเมืองยอง รัฐเชียงตุง (หน้า 420-422)

Settlement Pattern

ม้งตั้งบ้านเรือนอยู่บนภูเขาสูง อากาศเย็น ปลูกสร้างบนพื้นที่ลาดจากยอดเขาที่ไม่ชันนัก อยู่ใกล้กับต้นธารสามารถต่อน้ำมาใช้ได้สะดวก อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านชาวเขาเผ่าอื่น ปลูกบ้านติดพื้นดิน ยกพื้นสูงเฉพาะบริเวณที่นอน หลังคาใช้ไม้ไผ่ บางแห่งใช้ใบคาหรือใบก้อ ในบ้านมีเตาไฟตรงกลางสำหรับผิงไฟ และมีเตาไฟก่อจากดินใช้ทำอาหาร ภายในบ้านมีแท่นบูชาผีเรือนอยู่ที่ข้างฝา ที่นอนเจ้าของบ้านยกพื้นสูงจากดิน แบ่งเป็น 3-4 ห้อง แบบแปลนบ้านเรือนคล้ายคลึงกัน มักปลูกเป็นโรงสี่เหลี่ยม มีเตาไฟติดประตู ประตูเดียว ที่นอนยกพื้นสูงจากดิน ข้างตัวบ้านเป็นโรงม้า เล้าไก่ และคอกหมู สร้างด้วยไม้ไผ่ ไม่มีรั้วบ้าน ไม่นิยมต่อท่อหรือรางไม้ไผ่ลำเลียงน้ำ (หน้า 428-429)

Demography

จากการสำรวจม้งในเวียดนามเหนือเมื่อราว 20 ปีก่อน มีประชากรม้ง 70,677 คน ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 150,000 คน อาศัยอยู่บนเขาตามพรมแดนเวียดนามเหนือต่อกับมณฑลยูนนานและกวางสี ม้งในเขตรัฐฉาน มีจำนวน 3,000 คน อยู่ตามภูเขา ด้านตะวันออกของเมืองยองเขตรัฐเชียงตุง (หน้า 421) ม้งในประเทศลาว มีจำนวน 250,000 คน ส่วนใหญ่อยู่บนเขาในเขตแขวงเชียงขวางและแขวงซำเหนือ ในแขวงเชียงขวางมีจำนวนประชากรแม้วมากกว่าชาวลาว 50,000 คน ซึ่งมีจำนวนเท่ากับแม้วในประเทศไทยที่อพยพเข้ามาทางเขตประเทศลาว (หน้า 423-424) ม้งในไทยอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศราว 60 ปีมาแล้ว มีหมู่บ้าน 180 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งมี 10-40 หลังคาเรือน จังหวัดน่านมีม้งมากกว่าทุกจังหวัด เนื่องจากพื้นที่เป็นเขาสูง อยู่ติดกับแขวงไชยะบุรี ประเทศลาว (หน้า 425) ม้งในอำเภอเทิง จ.เชียงราย จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ.2500 มีประมาณ 1,198 คน เป็นชาย 597 คน หญิง 601 คน ส่วนม้งที่ดอยผาปู่จองมี 18 หลังคาเรือน อำเภอหางดงบนดอยปุย มีหมู่บ้านหนึ่ง 40 หลังคาเรือน มีจำนวนชายหญิงรวมทั้งสิ้น 300 คน จังหวัดเลยมีม้ง 5-6 หมู่บ้าน คิดเป็น 1,739 คน จังหวัดลำปางมีม้งตั้งบ้านเรือนรวม 29 หลังคาเรือน จำนวน 192 คน เป็นชาย 100 คน หญิง 92 คน (หน้า 426-427)

Economy

ม้งปลูกข้าวไร่ มันฝรั่ง ข้าวโพด ยาสูบ พืชผัก และทำไร่ฝิ่น ด้วยการทำไร่ตามต้นน้ำลำธาร ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการทำลายป่า ข้าวโพดเป็นพืชที่มีความสำคัญ ใช้เลี้ยงหมูและม้า และไว้ทำสุราข้าวโพด เมื่อขาดแคลนข้าวก็มักใช้ข้าวโพดรับประทานแทน หน้าที่ปลูกฝิ่นและกรีดฝิ่นเป็นของผู้หญิงและเด็ก รายได้ตกปีละ 3,000-3,500 บาท นอกจากนี้ม้งยังเลี้ยงสัตว์จำพวกหมู ไก่ สุนัขขนปุกปุย ที่เรียกว่า "หมายุย" หรือ "หมาแม้ว" และม้าซึ่งเลี้ยงไว้เป็นพาหนะ ใช้บรรทุกข้าวเปลือกจากไร่ ใช้ขี่และบรรทุกสิ่งของ บางหมู่บ้านก็เลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ ล่าสัตว์ ทำหัตถกรรมกระดาษจากเยื่อหน่อไม้ไผ่ ทำเครื่องประดับด้วยโลหะเงิน ทำมีดพร้า จอบเสียมไว้ใช้เอง ผู้หญิงนิยมนำต้นป่านป่าหรือ "ปาง" มาทอผ้า หญิงม้งมีฝีมือในการปักลวดลาย เขียนย้อมพิมพ์ผ้าด้วยขี้ผึ้ง เย็บเสื้อกระโปรงสำหรับนุ่งห่ม อาหารอาจมีรสเค็มหรือจืด ไม่นิยมอาหารเผ็ดร้อน รับประทานข้าวเจ้านึ่งด้วยตะเกียบอย่างชาวจีน นิยมสูบบุหรี่มวนด้วยกระดาษหรือมวนด้วยใบตอง ไม่นิยมใช้กล้องไม้คันยาว ๆ อย่างมูเซอ ทำสุราจากข้าวโพด ไม่นิยมเคี้ยวหมากแต่สูบฝิ่นเป็นประจำ โดยเฉพาะชายวัยชราหรือวัยกลางคน จึงมักตั้งหมู่บ้านบนเขาสูงกว่าทุกเผ่า (หน้า 438-440)

Social Organization

ม้งมีการเที่ยวสาวเรียกว่า "มะแดงล่องโก้ว" เมื่อถูกใจก็มักชวนกันไปแสวงหาความสุขในป่าหรือนอกหมู่บ้าน ไม่ว่าหนุ่มโสดหรือมีภรรยาแล้วต้องการแสวงหาความสุขก็มักชักชวนกันไปตามแต่สมัครใจ เมื่อตั้งครรภ์ก็แจ้งนามหนุ่มที่ถูกอัธยาศัยให้จัดการสู่ขอตามประเพณี ฝ่ายชายหากพบปะหญิงสาวแล้วเกิดชอบใจอยากได้เป็นภรรยา ก็มักส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอโดยไม่ต้องเกี้ยวพาราสี มีการให้ค่าสินสอดทองหมั้น โดยที่ฝ่ายชายเรียกว่า "เงินซื้อเมีย" เพราะหญิงสาวจะตกเป็นทาสหรือสมบัติของชายตลอดชีวิต การแต่งงาน "เค่าเจ้อ" ทำกันที่บ้านเจ้าสาว ตามธรรมเนียมม้ง เมื่อหญิงสาวมีสามีออกจากบ้านไปแล้ว จะถือเป็นบุตรผู้อื่นตัดขาดจากบิดามารดาไปนับถือบิดามารดาและเชื้อสายของฝ่ายชายแทน ผู้ชายม้งนิยมมีภรรยาหลายคนไว้ช่วยงานในไร่ ภรรยาน้อยและภรรยาหลวงมักอยู่กันอย่างญาติพี่น้อง ไม่ทะเลาะวิวาทกัน หญิงม้งไม่นิยมแต่งงานกับคนชนชาติอื่นหรือคนต่างเกลุ่ม เช่น ม้งขาวไม่ยอมแต่งกับม้งลายหรือม้งดำ (หน้า 433, 444-447)

Political Organization

การปกครองภายในครอบครัวของม้ง ถือระบบอาวุโสเป็นหลักและนับถือชายมากกว่าหญิง กล่าวคือ บิดามารดามีอำนาจเหนือบุตร สามีเหนือภรรยา น้องต้องเคารพพี่ การสืบแซ่ตระกูลตกอยู่กับฝ่ายชาย บุตรหญิงไม่ได้รับอะไรเลย นอกจากหญิงที่ยังไม่มีสามี หากมีสามีมรดกที่ได้รับจะเป็นของญาติสนิท นำไปรวมกับสามีไม่ได้ (หน้า 447)

Belief System

ม้งนับถือผีฟ้า และผีเรือน เชื่อว่าผีฟ้ามีอำนาจเหนือมนุษย์และสัตว์ ส่วนผีเรือนเป็นวิญญาณบรรพบุรุษ "แนจือ" ที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ผีอื่น ๆ ถือเป็นผีร้าย ทั้งยังเชื่อว่าเมื่อมนุษย์เสียชีวิตลง ดวงวิญญาณจะเวียนว่ายอยู่ระหว่างบ้านเรือนตนกับหลุมฝังศพ จึงมักทำแท่นบูชาผีเรือน หรือดวงวิญญาณเรียกว่า "สูกว่า" ไว้ทุกบ้าน มีการตั้งเครื่องเซ่นไหว้เป็นปกติ ม้งเชื่อว่าผีสะดุ้ง "แมยั่วเจ้ง" ชอบทำร้ายเด็ก ผีกระสือ "ดั้งจ่อ" ชอบออกหากินเวลากลางคืนตามป่า ผีดอยหลวงเป็นผีร้าย หากทำร้ายใครแล้วรอดยาก นอกจากนี้ยังมีการทำบุญทานไม้กระดาน "สะพานต่ออายุ" แล้วทำพิธีขับไล่ผีป่าจากร่างกายผู้ป่วย เรียกว่า "ฉะด้า" นำดินเหนียวมาปั้นเป็นมนุษย์และสัตว์ วางบนแผ่นไม้สาน เมื่อเสร็จพิธีจะยกไปทิ้งข้างทาง มีการฆ่าสุนัขเซ่นผีป่า นำโลหิตมาทดมีดไม้ เอาศีรษะไก่ เท้าและศีรษะสุนัขแขวนห้อยที่ประตูห่างจากหมู่บ้าน 1 กิโลเมตร เพราะเชื่อว่าผีป่าชอบสุนัข เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อมีงานพิธีกรรมใด ๆ ม้งมักจะฆ่าสัตว์เป็นเครื่องเซ่นสังเวยผีเสมอ (หน้า 441-443)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ม้งไม่มีหมอแผนปัจจุบันรักษายามเจ็บป่วย มักใช้วิธีเซ่นไหว้ผี หากบ้านใดมีคนเจ็บก็มักฆ่าสุนัข ไก่ หมู เพราะความเชื่อในเรื่องอำนาจดลบันดาลของภูติผีปีศาจ (หน้า 448)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ม้งมีการร้องเพลงรักเกี้ยวพาราสีกัน โดยฝ่ายชายเป็นฝ่ายเริ่มชวนหญิงสาวร้องเพลงรักโต้ตอบเรียกว่า "ฮ่ายกึ้ดเชื้อ" เพลงร้องในงานศพเรียก "ฮัดจีซาย" เพลงทำบุญให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วเรียก "ฮุงเก๊า" ส่วนเพลงชี้ทางสวรรค์แก่ผู้เสียชีวิตไปแล้วเรียกว่า "โคว้เก" (หน้า 444-445) ม้งมีการเล่นดนตรีและร้องเพลง นิยมใช้เครื่องดนตรีทำด้วยไม้ไผ่เรียกว่า "แคน"หรือ "แกง" "เกง" เป่าให้จังหวะในการเต้นรำ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีแบบจีนเช่น ฉิ่ง ผ่าง ปี่ ม้าฬอ ใช้ในพิธีศพ ปี่มีลักษณะคล้ายปี่ชวาเรียกว่า "ต่ำป่าย" ขลุ่ยเรียกว่า "ต้ำเยีย" เสียงไม่เหมือนขลุ่ย เครื่องดีดทองเหลืองหรือจ๊องหน่องเรียกว่า "ฉั่นจ่า" (หน้า 437-438) สีเครื่องแต่งกายที่ใช้มักเป็นสีดำ เสื้อผ้าผ่าอกด้านข้างจากต้นคอมาทางเอวซ้าย นิยมนุ่งกางเกงจีนยาวถึงข้อเท้า เป้ายานลงมา ชายหนุ่มนิยมคาดเอวด้วยผ้าสีแดงผืนใหญ่ บ้างก็ใช้ผ้าดอกปล่อยชายสองข้าง ม้งลายนิยมใช้เข็มขัดเงินคาดทับ นิยมสวมหมวกทรงกะลามะพร้าวทำด้วยผ้าสีดำ มีพู่สีแดงบนยอดหมวก ชายมักสวมหมวกกลม สวมกำไลคอ หรือห่วงโลหะเงิน เสื้อรัดตัวผ่าอกมาทางเอวซ้าย เปิดให้เห็นท้องเพื่อแสดงให้เห็นความสมบูรณ์ของร่างกาย หญิงม้งมักสวมผ้าถุงทรงกระสอบ หรือถุงผ้าลายเป็นรูปปลายแหลมข้างบน เสื้อสีดำด้านหลังมีปกผ้าลายสี่เหลี่ยมปิด ปกเสื้อทหารเรือด้านหลัง แขนยาวถึงข้อมือ ใส่กำไลซ้อนกัน เสื้อยาวปิดเอวไม่เปิดท้อง ผ่าอกกลางติดแถบผ้าสีขาว นุ่งกางเกงสีดำขายาว หรือกระโปรงสีขาวจีบรอบเอวสั้นแค่เข่า หญิงแม้วมักนุ่งกระโปรงมีดอกลวดลายมีแผ่นผ้าสี่เหลี่ยมปิดจากเอวด้านหน้าคล้ายผ้ากันเปื้อน ปล่อยยาวถึงหน้าแข้ง หญิงใช้ผ้าพันแข้งสีขาวดำ ไม่สวมรองเท้า ตุ้มหูเป็นวงกลมเล็ก ๆ มีลูกศรตรงกลางทำจากโลหะเงิน กระโปรงทอด้วยป่านเรียกว่า "ปาง" มีจีบรูด (หน้า 433-437)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งในสิบสองจุไทยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ ม้งหัวแดง ม้งลาย ม้งดำ และม้งขาว มีความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม รูปร่างและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน ต่างเพียงเครื่องแต่งกาย ม้งแดงโพกผ้าแดงมีขนไก่หรือปุยไหม ประดับศีรษะ ม้งลายมีเครื่องแต่งกายเป็นผ้าลาย ม้งดำใช้ผ้าสีดำ ม้งขาวใช้ผ้าขาวหรือผ้าดำ มีขอบขาวที่ปลายแขนเสื้อ (หน้า 422-423) ม้งมีรูปร่างคล้ายชาวจีน นัยน์ตาดำ ผิวขาวเหลือง หน้าแบน ริมฝีปากหนา ฟันขาว ไม่เคี้ยวหมาก ผมหนา ชายมักไว้ผมเป็นกระจุกกลางศีรษะยาวหนึ่งคืบ หญิงมักปล่อยให้ยาวศอกเศษ ขมวดผมเป็นจอมศีรษะ หรือเอาผมอื่นแซมเกล้าเป็นมวย (หน้า 430) ม้งในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ม้งขาว ม้งดำและม้งลาย มีภาษา ธรรมเนียมและวัฒนธรรมความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน ต่างกันเพียงเครื่องแต่งกาย ม้งขาวทั้งชายหญิง มีแถบผ้าขาวติดทาบอยู่ปลายแขนเสื้อ สวมกระโปรงขาวไม่มีลวดลาย ม้งดำแต่งชุดดำ ชายสวมเสื้อเปิดท้อง ม้งลายสวมเสื้อยาวถึงเอวไม่เปิดพุง สวมกางเกงสีดำถึงตาตุ่ม หญิงสวมกระโปรงตีบเป็นดอกสีเหลืองขาวเล็ก ๆ โพกศีรษะด้วยผ้าลาย หญิงบางคนแขนเสื้อพาดแถบลายเป็นบั้ง ๆ บ้างสวมเสื้อลายดอก (หน้า 427-428)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีรายละเอียด

Map/Illustration

แม้ว (หน้า 418) หญิงสาวชาวแม้ว (หน้า 451) แม้วเซ่นผีป่าด้วยศีรษะสุนัข/แม้วกับม้าและบ้านชาวบ้าน (หน้า 452) การแขวนเท้าสุนัขมีดไม้ขับไล่ปีศาจร้ายของชาวแม้ว/การแต่งกายในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของชาวแม้ว (หน้า 453) แท่นบูชาดวงวิญญาณบรรพบุรุษชาวแม้ว (454) ชาวแม้วถือเครื่องมือล่าสัตว์ (หน้า 455) ชาวแม้วกรีดยางฝิ่นในไร่ (456) ชาวแม้วเป่า "แกง" เต้นรำ (หน้า 457) ชาวแม้ว/หมู่บ้านชาวแม้ว (หน้า 458-459)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 31 ต.ค. 2555
TAG ม้ง, วิถีชีวิต, ความเชื่อ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง