สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การแต่งกาย,อาชีพ,ประเพณี,การเลี้ยงผี,การเกี้ยวพาราสี,ภาคเหนือ,ภาคกลางตะวันตก
Author บุญช่วย ศรีสวัสดิ์
Title กะเหรี่ยง
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 45 Year 2545
Source ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2506 โดย สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์)
Abstract

กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาเผ่าที่มีจำนวนประชากรสูงสุดในประเทศไทย แบ่งเป็นกะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโปว์ (กะเหรี่ยงยางขาว) และกะเหรี่ยงบวอย (กะเหรี่ยงยางแดง) มีสำเนียงพูด ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตต่างกันบ้างตามสภาพแวดล้อมของ แต่ละท้องถิ่น กะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่เกี่ยวโยงกับระบบความเชื่อเรื่องผีและโชคลางแบบไสยศาสตร์ ซึ่งสะท้อนผ่านสิ่งปลูกสร้าง ประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การเลี้ยงผีในโอกาสต่าง ๆ หรือการที่กะเหรี่ยงเผ่าโปว์มีตำแหน่งสำหรับหญิงอาวุโสให้เป็นตัวแทนของผีหรือหมอผีสืบเชื้อสายตระกูลกันมา หรืองานปลูกเสาผีที่จัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปีเรียกว่า "กะลู่มั่งกะล่า" แม้จะมีบางส่วนหันมานับถือพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์ กะเหรี่ยงมีภาษาเป็นของตนเองตัวอักษรคล้ายภาษามอญและพม่า กะเหรี่ยงแดงถือว่าตนเป็นชาติใหญ่และไม่ยอมรับพวกกะเหรี่ยงขาวเผ่าสะกอและเผ่าโปว์ว่ามีเลือดกะเหรี่ยงแท้ กะเหรี่ยงในไทยส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศไทยเท่านั้น

Focus

เน้นศึกษารูปแบบวิถีชีวิต วัฒนธรรมและความเชื่อของกะเหรี่ยงเผ่าต่าง ๆ

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงเผ่าต่าง ๆ ในประเทศไทย เช่น กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงบวอย และกะเหรี่ยงกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงมีการเรียงถ้อยคำแบบพม่า ตัวอักษรคล้ายภาษามอญและพม่า คนกะเหรี่ยงรู้ภาษามอญ พม่า ไทยใหญ่และไทย ขึ้นอยู่กับว่ามีที่อยู่ใกล้ชนชาติใด คำว่า "กะเหรี่ยง" เป็นชื่อเรียกกันในภาคกลางของไทย ชาวยุโรปและอเมริกันเรียกว่า "Karen" คนไทยในรัฐฉานและจังหวัดทางภาคเหนือเรียก "ยาง" ชาวเหนือเรียกกะเหรี่ยงสะกอว่า "ยางเปียง" หรือ กะเหรี่ยงที่ราบ บ้างก็เรียกว่า "ยางกะเลอ" พวกที่อยู่บนเขาห่างไกลจากชุมชนเรียก "ยางแป๋" หรือ "ยางดอย" แปลว่ากะเหรี่ยงภูเขา ใน จ.เพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า "กะหร่าง" ส่วนกะเหรี่ยงโปว์ ใน จ. แม่ฮ่องสอนเรียกว่า "ยางเหยียน" บ้างก็เรียก "โพ่ว" กะเหรี่ยงสะกอกับกะเหรี่ยงโปว์มักเรียกว่า "ยางขาว" หรือ "กะเหรี่ยงขาว" กะเหรี่ยงบวอยหรือกะเหรี่ยงแดง มีชื่อเรียกว่า "บเว่" "แบระ" หรือ "ปะแยะ" ชาวเหนือและชาวไทยใหญ่เรียกว่า "ยางแดง" พม่าเรียก"กะยิ่นนี" พวกนี้มักเรียกตนเองว่า "กะยา" ไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกตนว่า "กะยิ่น" หรือ "กะเหรี่ยง" (หน้า 49-50, 52-53, 86)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

กะเหรี่ยง เดิมอยู่ในดินแดนด้านตะวันออกของทิเบต อพยพเข้ามาตั้งอาณาจักรในประเทศจีน โดยชาวจีนเรียกว่าชนชาติโจว ภายหลังถูกราชวงศ์จิ๋นรุกรานแตกพ่ายมาอยู่ตามลำน้ำยางซี ปะทะกับชนชาติไทยแล้วถอยร่นมาอยู่ตามลำน้ำโขงและแม่น้ำ สาละวินในเขตประเทศพม่า ต่อมาเกิดศึกสงครามจึงอพยพเข้าไปอยู่ตามป่าลึกบนเขา บางกลุ่มย้ายลงมาอยู่ตอนใต้ ทางทิศตะวันออกในเขตประเทศพม่า มีรัฐของตนเอง คือ รัฐกะยาเป็นของกะเหรี่ยงแดง และรัฐตูเลเป็นของกะเหรี่ยงขาว นอกจากนี้ ยังอยู่กันอย่างกระจัดกระจายตามป่าเขาในรัฐฉาน (ไทยใหญ่) ตอนกลางและตอนใต้ในพม่า ตามตำนานกะเหรี่ยงเชื่อกันว่า พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตไทยก่อนที่ชาวไทยจะอพยพมาสู่แหลมสุวรรณภูมิ และได้อพยพเข้ามาอยู่ในไทยจำนวนมาก ในสมัยพระเจ้าอลองพญาทำสงครามปราบชนชาติมอญ กะเหรี่ยงในเวลานั้นได้ให้ที่หลบภัยแก่มอญ แล้วได้อพยพเข้ามาในไทยอีกครั้งเมื่ออังกฤษยึดพม่าเหนือไว้ได้ใน พ.ศ.2428 หัวหน้าชาวกะเหรี่ยงไม่ยอมอ่อนน้อมต่ออังกฤษ เมื่อถูกปราบปรามก็พากันหนีเข้ามาอยู่ในเขตไทย (หน้า 50-51) สำหรับกะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี เดิมอยู่ในเขตเมืองม่อละแม่งของพม่า ได้อพยพเข้ามาอยู่ที่ห้วยช่องกะเลีย อ.สังขละบุรีเมื่อ 187 ปีมาแล้ว เจ้าเมืองกาญจนบุรีแต่งตั้งหัวหน้ากะเหรี่ยงเป็นเจ้าเมืองสังขละบุรี และพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศรีสุวรรณคีรี (ภวะโพ่) มีการสืบต่อตำแหน่งเจ้าเมืองต่อกันมาอีก 3 คนจนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผู้สืบตระกูลคนที่ 4 คือ พระยาศรีสุวรรณคีรี (ทะเจียง โปรย) ได้รับแต่งตั้งเป็นนายอำเภอ (หน้า 76-77)

Settlement Pattern

กะเหรี่ยง นิยมสร้างบ้านเรือนด้วยไม้จริงอยู่ตามป่าลึก ตามเนินเขาห่างไกลจากเมือง การปลูกสร้างบ้านเรือนขึ้นอยู่กับวัสดุตามธรรมชาติที่มีในสิ่งแวดล้อม หากอยู่ในป่าไม้ไผ่ก็ปลูกเรือนไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วย "โขน" บางหลังก็มุงด้วยใบคา ใบพลวง ใบหวายแล้วแต่สะดวก แบบบ้านกะเหรี่ยงมีชายคาคลุม มีฝาต่ำหลังคาสูง มีเตาไฟตรงกลาง (หน้า 53, 55) การตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงในประเทศไทยปัจจุบันจำแนกตามกลุ่มย่อย ๆ ได้ดังนี้คือ (1) กะเหรี่ยงเผ่าสะกอ (Skaw, Sgaw) ตั้งถิ่นฐานในไทยจากเหนือลงมาจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบมากที่สุดใน อ. แม่สะเรียง อ. ขุนยวม จ. แม่ฮ่องสอน อ. ท่าสองยาง อ. แม่ระมาศ จ. ตาก อ. สังขละบุรี อ.ทองผาภูมิ อ.ศรีสวัสดิ์ อ.บ่อพลอย อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี กะเหรี่ยงกลุ่มนี้มักตั้งบ้านเรือนอยู่ตามป่า บนเนินเขา ชายเขา หรือพื้นที่ราบไม่ห่างจากหมู่บ้านชาวไทยหรือชาวไทยใหญ่ กะเหรี่ยงสะกอมีรัฐของตนเองในพม่าเรียกว่ารัฐก่อตูเล (รัฐกะเหรี่ยง) (หน้า 51-52) (2) กะเหรี่ยงโปว์ หรือ ปุโหว่ (Pwo) นิยมตั้งบ้านเรือนตามพื้นที่ราบ ไม่อยู่บนเขา อาศัยอยู่ในเขต อ.ฮอด อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ทิศตะวันออกและทิศใต้ของ อ. แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน อ.อมก๋อย อ.แม่แจ่ม และทางทิศตะวันตกของ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ อ. บ้านโฮ่ง อ.ลี้ จ.ลำพูนนอกจากนี้ ยังมีอยู่ประปรายในเขตจังหวัดเชียงราย ลำปาง ลำพูน ตาก (หน้า 52, 80) (3) กะเหรี่ยงบวอย หรือกะเหรี่ยงแดง (Byhwe, Bwe, Bghai) เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตรัฐกะยา (อยู่เหนือรัฐกะเหรี่ยง ใต้รัฐฉานของพม่า) อาศัยอยู่ตามพรมแดน จ.แม่ฮ่องสอน ทิศตะวันออกของ อ.เมืองและ อ.ขุนยวม นิยมปลูกเสาสูงไว้เพื่อให้ผีหมู่บ้านอาศัยอยู่ (หน้า 52, 87) สำหรับกะเหรี่ยงในภาคกลาง อยู่ในพื้นที่ติดพรมแดนพม่าพบมากใน จ.กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี กิ่ง อ .กุยบุรี อำเภอเมือง อำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรีมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามป่าและเนินเขาแถบพรมแดนไทย -พม่า นิยมสร้างบ้านเรือนบริเวณที่เป็นป่าหรือเนินเขาติดลำธาร หรือบริเวณที่เป็นต้นน้ำลำธารลำห้วย ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำแควน้อย แควใหญ่ นิยมปลูกสร้างบ้านเรือนด้วยไม่ไผ่ แบบแปลนบ้านเรือนคล้ายคลึงกับกะเหรี่ยงแถบ อ. แม่สะเรียง แต่กะเหรี่ยง จ.กาญจนบุรีอยู่กันอย่างไม่หนาแน่นเช่นที่ อ. แม่สะเรียง (หน้า 76-77)

Demography

กะเหรี่ยง ปัจจุบันมีกะเหรี่ยงในเขตสหภาพพม่า 2,800,000 คน ผลการสำรวจสำมะโนครัวเมื่อปี พ.ศ.2474 พบว่ามีกะเหรี่ยง 1,367,673 คน นับถือศาสนาพุทธ 1,049,613 คน นับถือศาสนาคริสต์ 218,700 คน นับถือผี 99,270 คน (หน้า 51) ในประเทศไทย กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาเผ่าที่มีประชากรสูงสุด 110,000 คน ภาคเหนือมีจำนวนประชากรกะเหรี่ยงมากที่สุด 100,000 คน ภาคกลางมี 10,000 คน อยู่ตามจังหวัดติดพรมแดนตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี เพชรบุรี ในจังหวัดแพร่ ลำปาง ลำพูนมีอยู่ประปราย ตอนใต้ลงไปมีกะเหรี่ยงในเขต อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ (หน้า 49)

Economy

กะเหรี่ยงเผ่าสะกอมีไร่นา สัตว์เลี้ยงจำพวกโค กระบือ หมู เป็ด ไก่และช้างไว้ลากไม้รับจ้างบรรทุกของ (หน้า 53) กะเหรี่ยงอีกกลุ่มหนึ่งประกอบอาชีพทำไร่ข้าว เลี้ยงสัตว์พวกหมู ไก่ ปลูกพืชล้มลุก นาน ๆ จึงจะแลกเปลี่ยนของป่า เครื่องจักสานกับอุปกรณ์ที่ใช้ทำมาหากินและข้าวของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็น เช่น มีดพร้า เกลือ กล่าวโดยสรุปคือ กะเหรี่ยงที่อยู่ตามป่าเขามักประกอบอาชีพทำไร่ทำสวน หาของป่าและเลี้ยงสัตว์ ส่วนพวกที่อยู่พื้นราบใกล้เมือง ทำนาทำสวนทำไร่และเลี้ยงสัตว์ ผู้หญิงชำนาญในการปั่นฝ้าย ทอผ้า-ย้อมผ้า ร้อยลูกปัด ติดต่อค้าขายกับชาวไทยและไทยใหญ่บ้านใกล้เรือนเคียง (หน้า 54 - 56)

Social Organization

กะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีอิสระในการเลือกคู่ครอง ทั้งยังมีประเพณีการเที่ยวสาวโดยชายหนุ่มจะดีดซึงหรือซออู้แล้วร้องเพลงระหว่างเดินทางไปยังบ้านหญิงสาว บิดามารดาของหญิงสาวจะสนทนากับชายหนุ่มแล้วเข้านอน เปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้เกี้ยวพาราสีกันเอง ถ้อยคำเกี้ยวพาราสีมักเป็นคำกลอนและกล่าวคำปริศนาโต้ตอบกัน คู่หนุ่มสาวหากได้เสียกันแล้วจะต้องแต่งงานกัน และมีการปรับไหมตามธรรมเนียมเพราะถือเป็นการผิดผี หากทั้งคู่เกิดความรักและตกลงปลงใจจะเป็นสามีภรรยากัน โดยมิได้ล่วงเกินก่อนแต่งงาน ชายหนุ่มจะให้คนเฒ่าคนแก่ไปสู่ขอหญิงสาวตามแบบแผนขั้นตอน การสู่ขอมักทำในเวลากลางคืน มีการเลี้ยงสุราอาหารแล้วกำหนดวันแต่งงาน วันยกขบวนแห่จะมีผู้รู้เวทมนตร์คาถาเป็นหัวหน้านำขบวนเจ้าบ่าว เชื่อกันว่าเป็นการป้องกันการหยอกล้อด้วยเวทมนตร์คาถา การแต่งงานมีพิธีปลีกย่อย เช่น พิธีรินสุรา พิธีป้อนข้าว พิธีผูกข้อมือ (ขวัญคู่บ่าวสาว) แจกกะเนอ (ของกำนัล) เป็นเครื่องอวยพร และมอบเงินหล่อหรือเงินต้นตระกูลให้เก็บรักษาไว้ เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องมาอยู่รับใช้บิดามารดาฝ่ายหญิงเป็นเวลา 1 ปี ช่วยกิจการงานทุกอย่างภายในครอบครัวพ่อตาแม่ยาย เช่น ทำสวน ทำไร่ ปลูกข้าว ล่าสัตว์ จับปลา เป็นต้น กะเหรี่ยงภาคกลางนิยมใช้นามสกุลของภรรยา และยกให้ภรรยาเป็นใหญ่ กะเหรี่ยงที่เป็นหม้ายมักหาคู่ครองใหม่ยาก จึงพบการหย่าร้างค่อนข้างน้อย (หน้า 65-74, 79) กะเหรี่ยงแดง (บวอย) มีธรรมเนียมการเที่ยวสาวและการแต่งงานคล้ายคลึงกันกับกะเหรี่ยงเผาสะกอและเผ่าโปว์ (หน้า 88) หญิงกะเหรี่ยงมีหน้าที่เป็นภรรยาของชาย เป็นมารดาของบุตรและเป็นตัวแทนของผี (หน้า 83) ส่วนหมอผีหรือผู้คอยปรนนิบัติผีในสังคมกะเหรี่ยงเผ่าโปว์ มักเป็นหญิงอาวุโสสืบตระกูลหมอผีในเชื้อสายตระกูลเดียวกัน (หน้า 82)

Political Organization

สมัยอังกฤษปกครอง พม่าชอบใช้กะเหรี่ยงเป็นทหารเพราะทหารกะเหรี่ยงซื่อสัตย์ กล้าหาญและอดทน (หน้า 53) กะเหรี่ยงมีหัวหน้าปกครองหมู่บ้านเรียกว่า "ซะปร่า เปอฮี่" ทำหน้าที่คล้ายกำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้ประกอบพิธีเลี้ยงผีของกะเหรี่ยงเผ่าสะกอ เรียกว่า "ซะปื่อ กว่าตะมือข่า" ทำหน้าที่เป็นตัวแทนติดต่อระหว่างผีกับมนุษย์ (หน้า 60) กะเหรี่ยงจะคัดเลือกหมอผีโดยพิจารณาจากความรู้ทางไสยศาสตร์ กล่าวคือนอกจากจะเป็นตัวแทนของมนุษย์แล้ว ยังต้องเป็นตัวแทนของผีอีกด้วย หมอผีในหมู่บ้านจึงมีตัวจริงกับตัวสำรอง (ผู้ช่วย) ทั้งสองคนต้องเป็นญาติกัน ผู้ประกอบพิธีเลี้ยงผีจะต้อง เลือกผู้สืบสายสกุลเดียวกัน โดยที่ตัวจริงมักมีอาวุโสกว่า เช่น เป็นบิดากับบุตรชายคนโตเป็นพี่ชายกับน้องชาย หมอผีจึงถือเป็นผู้ที่มีอิทธิพลยิ่งกว่าหัวหน้า อย่างไรก็ดี กะเหรี่ยงจะนับถือผู้ที่มีใจคอโอบอ้อมอารีและมีความเสียสละ ไม่นิยมผู้มีอิทธิพลที่ใช้อิทธิพลไปไม่ถูกทาง เช่น ใช้ไปในทางอบายมุข (หน้า 60-61)

Belief System

กะเหรี่ยงส่วนใหญ่นับถือผี มีอยู่บ้างที่หันมานับถือพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์ เมื่อมีพระภิกษุสงฆ์และหมอสอนศาสนาเข้ามาเผยแผ่ กะเหรี่ยงแดงจึงหันไปนับถือศาสนามากขึ้น แต่กลุ่มที่อยู่ตามป่าห่างไกลก็ยังไม่ละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมของตน (หน้า 78, 88) กะเหรี่ยงนับถือผีบ้าน "ตะมือข่าเปื่อหล่ากล๊ะ" เป็นผีเทพารักษ์หรือผีเจ้าเมืองรักษาหมู่บ้าน และผีเรือน "ตะมือข่าเลอเดอะ" มีหน้าที่คุ้มครองรักษาผู้คนภายในบ้านเรือน เป็นดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ห่วงใยลูกหลาน จะมีการทำพิธีเลี้ยงผีเรือนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง โดยการปักกระดูกไก่ จับข้าวสารเสี่ยงทายและตั้งเครื่องเซ่น นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงผีไร่ผีนา ก่อนทำเพาะปลูกและหลังการเก็บเกี่ยวจะฆ่าไก่เป็นเครื่องเซ่นบูชา นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับผีป่าบก "ตะมือข่า เลอโคซูโข่" และผีป่าน้ำ "ตะมือข่า เลอทีกลา" มีหมอผีประจำหมู่บ้านทั้งตัวจริงและตัวสำรอง (ผู้ช่วย) เป็นผู้ประกอบพิธีเลี้ยงผี โดยทำหน้าที่เป็นทั้งตัวแทนของผีและตัวแทนมนุษย์ หมอผีจึงนับเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูงแต่ต้องใช้ให้ถูกทาง การเลี้ยงผีมีทั้ง การเลี้ยงผีเพื่อฉลองชัย เช่นเมื่อจะย้ายหมู่บ้าน การเลี้ยงผีเพื่อเป็นการขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น ผีฟ้า ผีป่า ผีหลวง และการเลี้ยงผีเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยังมีประเพณีต่าง ๆ อาทิ พิธีการขึ้นบ้านใหม่ งานกินข้าวใหม่ ประเพณีขึ้นปีใหม่ ประเพณีการเที่ยวสาว เป็นต้น (หน้า 56-65) กะเหรี่ยงแดงปลูกเสาสูงปีละต้นในเดือนเมษายนไว้ให้ผีในหมู่บ้านอาศัยอยู่ บนยอดแกะสลักเป็นรูปศีรษะมนุษย์ เรียกพิธีดังกล่าวว่า "กู่โตโป" มีการฆ่ากระบือหรือหมูเป็นเครื่องเซ่น "หลักเสาผี" ถือกันว่าเป็นเสามงคล (หน้า 87) กะเหรี่ยงถือกันว่าการตายสำคัญกว่าการเกิด งานศพของกะเหรี่ยงจึงมักเก็บศพไว้ในบ้านนาน ๆ โดยเฉพาผู้ที่มีฐานะดี มีการร้องเพลงอวยพรให้ผู้ตายไปสู่ที่ชอบในเวลากลางคืน ทั้งยังมีการฝังเงินไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ตายนำไปใช้ในเมืองผี บางรายนำเงินไปเทตามช่องเหว หรือซ่อนไว้ตามโพรงไม้เพื่อทำบุญให้ผู้ตาย หากผู้ตายเป็นภรรยาหัวหน้าครอบครัว จะฆ่าสัตว์เลี้ยงและรื้อถอนบ้านทั้งหลัง เพราะประเพณีของกะเหรี่ยงถือว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติของแม่บ้าน (หน้า 66, 74-75)

Education and Socialization

กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา ยกเว้นกะเหรี่ยงที่อาศัยในตัวเมืองหรือในหมู่บ้านที่ความเจริญเข้าถึง (หน้า 53)

Health and Medicine

กะเหรี่ยงมีพิธีเลี้ยงผีเพื่อการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งยังมีความเชื่อว่าสาเหตุการเจ็บป่วยเกิดจากผีทำร้าย หมอผีจะทำการรักษาด้วยการปักกระดูกไก่ หากกระดูกไก่สองอันมีรูตรงกันและไม้ที่ปักตั้งตรง 90 องศาถือว่าไม่ดี หากไม้เฉียงถือว่าพอจะรักษาให้หายได้ ต้องเลี้ยงผีด้วยการใช้สัตว์เช่น หมู โค กระบือ หรือไก่มาเซ่นสังเวยขึ้นอยู่กับจำนวนและฐานะของผู้ป่วย หากมีผู้คนเจ็บป่วยเป็นโรคระบาด ผู้ประกอบพิธีเลี้ยงผีหรือหมอผีจะบนบานศาลกล่าวขอให้ผีช่วยคุ้มครองป้องกันภัย (หน้า 62-63)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของกะเหรี่ยงเผ่าสะกอที่อำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ผู้ชายสวมกางเกงขายาวสีดำหรือสีขาว เสื้อสีแดงแขนสั้น เสื้อยาวครึ่งขา บ้างก็สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยเสื้อชุดสีแดง นิยมโพกศีรษะด้วยผ้าแพรสี หญิงสวมกระโปรงยาวถึงข้อเท้าเสื้อทรงกระบอกแขนสั้น คอสามเหลี่ยม ไว้มวยผมพันหลายรอบ โพกด้วยผ้าขาว เจาะหูใช้ต่างหูรูปกลมมีพู่ฝ้ายสีต่าง ๆ ห้อยลงมา นิยมสวมเส้นด้าย-ลูกปัดรอบคอ หญิงพรหมจารีจะสวมชุดสีขาวทรงกระสอบ หญิงที่แต่งงานแล้วนิยมสวมเสื้อสั้นแค่เอว ครึ่งอกล่างเย็บด้วยเส้นด้ายกับลูกเดือยหินสีขาวเป็นรูปตาหมากรุก ใช้สีดำหรือสีแดงเป็นพื้น ผ้านุ่งใช้ผ้าลายขวางสีแดงสลับสีอื่น แสดงว่าเป็นหญิงแต่งงานแล้ว (หน้า 54-55) เครื่องดนตรีของกะเหรี่ยง พวกที่อยู่ติดชายแดนพม่ามีการร่ายรำร้องเพลงในงานพิธีต่าง ๆ โดยใช้ฆ้องและกลองตีประโคม (หน้า 77-78) กะเหรี่ยงแดงมีการตีฆ้องกลองประโคมและมีการร่ายรำในงานพิธี เช่นเดียวกับกะเหรี่ยงโปว์ซึ่งได้เปลี่ยนงานปลูกเสาผีเป็นงานกลองมโหระทึกหรือ "กะลู่มั่งกะล่า" (หน้า 87-88) กะเหรี่ยงเผ่าโปว์ มีการร้องเพลงในการประกอบพิธีกรรม เช่น ในพิธีศพมีการร้องรำพันถึงผู้ตาย เรียกว่า "ม่าทา" ในเวลากลางคืน หนุ่มสาวจะจับมือกันร้องเพลงและรำไปรอบๆ มีการโปรยเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ลงไปให้ผู้ตายนำไปปลูกที่ในปรโลก (หน้า 84-85)

Folklore

กะเหรี่ยงมีตำนานเล่าสืบกันมาแต่โบราณว่า นานมาแล้ว มีสองพี่น้องอาศัยอยู่ในเขตเมืองปินมะนา ตอนใต้ของมัณฑะเล สหภาพพม่าปัจจุบัน คนพี่ชื่อลาเนียน คนน้องชื่ออาม่อง ทั้งสองมักนำอาหารมาเซ่นไหว้ผีภูเขาหลวงเสมอ ผีเขาหลวงชอบใจจึงให้กลองยาววิเศษตอบแทน หากต้องการสิ่งใดตีกลองก็จะสมปรารถนา วันหนึ่งลาเนียนผู้พี่ตีกลองเนรมิตเม่นขึ้นมาตัวหนึ่ง ก็นำมามอบให้น้องสาว อาม่องน้องสาวไม่ระวังถูกขนเม่นแทงมือเข้าก็โกรธพี่ชาย จึงแอบมาเปลี่ยนหนังหุ้มกลองใหม่อันเก่านำไปโยนทิ้งแม่น้ำ กลองจึงหมดความศักดิ์สิทธิ์ลง ลาเนียนพอมาตีกลองไม่ได้ผล ทราบว่าหนังกลองถูกเปลี่ยนก็โกรธน้องสาวจึงทำอุบายหนีไปอยู่ทางเหนือตามลำพัง อาม่องเมื่อถูกพี่ชายทอดทิ้งก็ออกติดตามจนหลงทางไปอยู่เมืองลา ได้แต่งงานกับชายต่างเผ่ามีบุตรสืบมา เป็นต้นตระกูลกะเหรี่ยงเผ่าสะกอและเผ่าโปว์สืบมาตราบจนทุกวันนี้ (หน้า 85-86) ส่วนต้นตระกูลกะเหรี่ยงแดงแห่งรัฐกะยา ถือว่าตนเป็นลูกหลานของกินรีเมืองง่วนต่องปี มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า เดิมเมืองง่วนต่องปีซึ่งอยู่ใต้เมืองหลอยก่อ รัฐกะยา เป็นถิ่นที่อยู่ของนางนกกินรี "ดวยแม่น่อ" ซึ่งมีร่างตอนบนเป็นหญิงสาวรูปงาม ลำตัวมีปีก มีหาง เท้าเป็นเท้านก ชายหนุ่มต้นตระกูลกะยะหรือกะเหรี่ยงแดงไปพบเข้าเกิดรักใคร่ชอบพอได้เป็นสามีภรรยากัน เป็นต้นตระกูลกะเหรี่ยงแดงสืบมา (หน้า 86)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

"กะเหรี่ยง" เป็นชื่อที่ไทยภาคกลางเรียกกัน ในพม่าจะเรียก "กะยิ่น" ส่วนคนไทยในรัฐฉานของพม่าและภาคเหนือของไทยเรียกว่า "ยาง" แถบยุโรปอเมริกันเรียกว่า Karen แถบ จ. เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า "กะหร่าง" ชาวเหนือมักเรียกว่า กะเหรี่ยงเผ่าสะกอว่า "ยางกะเลอ" หรือ "ยางเปียง" พวกที่อยู่บนเขาห่างจากชุมชนเรียก "ยางแป๋" แปลว่า กะเหรี่ยงภูเขา ส่วนกะเหรี่ยงโปว์ หรือ ปุโหว่ (Pwo) บ้างเรียกว่า "โพ่ว" ทางแม่ฮ่องสอนเรียกว่า "ยางเหยียน" ชาวเหนือจะเรียกกะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์ว่า "ยางขาว" หรือ "กะเหรี่ยงขาว" ส่วนกะเหรี่ยงบวอยเรียกว่า "ยางแดง" กะเหรี่ยงบวอย เรียกว่า "บเว่" หรือ "แบระ" หรือ "ปะแยะ" (หน้า 49-53) ส่วนกะเหรี่ยงกาญจนบุรีบางกลุ่มถูกเรียกว่า "กะหร่าง" (หน้า 76) รูปร่างลักษณะของกะเหรี่ยงไม่ต่างจากชาวเอเชีย มีหน้ากลมค่อนข้างรี ใบหน้าค่อนข้างกว้าง หูกาง จมูกโด่งเล็กน้อย รูปร่างล่ำสัน หญิงกะเหรี่ยงน้อยคนจะมีรูปร่างบอบบาง (หน้า 53) ลักษณะเด่นของกะเหรี่ยง เด็กหญิงหรือหญิงสาวจะสวมชุดขาวทรงกระสอบยาวลากพื้น บ่งชี้ว่าเป็นสาวพรหมจารี (หน้า 54) กะเหรี่ยงกาญจนบุรีและราชบุรี แต่เดิมชายจะไว้ผมยาว แต่ปัจจุบันตัดผมสั้นโพกผ้าเป็นยอดแหลมค่อนมาด้านหน้า ชายโสดโพกผ้าสีชมพูหรือสีแดงอ่อน ชายที่แต่งงานแล้วโพกผ้าสีดำหรือสีขาว (หน้า 77) ส่วนกะเหรี่ยงในภาคกลางส่วนใหญ่นิยมใช้นามสกุลของภรรยา และยกให้ภรรยาเป็นใหญ่ (หน้า 79) กะเหรี่ยงเผ่าโปว์ผู้หญิงนิยมสักหมึกหรือเครื่องหมายสวัสดิกะที่ข้อมือ น่องสักเป็นรูปกระดูกงู ป้องกันภูตผีปีศาจ นิยมสูบกล้องยาเส้นเป็นประจำ (หน้า 82) ต่องสู้ เป็นกะเหรี่ยงดำ มักเรียกตนเองว่า "โปว์" หรือ "พะโอ" แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นกะเหรี่ยง ชาวพม่าเรียก "ต่องตู่" หมายถึง คนดอยหรือชาวเขา ต่องสู้ในประเทศไทยมีขนบธรรมเนียมต่างจากต่องสู้ในพม่า แต่จะคล้ายคลึงกับกะเหรี่ยงเผ่าบวอย ไม่มีข้อมูลบ่งบอกถึงรูปร่างลักษณะด้านชาติพันธุ์ (หน้า 95,99)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ภาพหญิงสาวชาวกะเหรี่ยง (89) กะเหรี่ยงเผ่าสะกอ ,กะเหรี่ยงบ้านห้วย (90) กะเหรี่ยงเผ่าสะกอ, กะเหรี่ยงแดง (91) ครอบครัวชาวกะเหรี่ยง/ หญิงสาวพรหมจรรย์ /หญิงแม่เรือนชาวกะเหรี่ยง (92-93)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 05 ก.ย. 2555
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), การแต่งกาย, อาชีพ, ประเพณี, การเลี้ยงผี, การเกี้ยวพาราสี, ภาคเหนือ, ภาคกลางตะวันตก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง