|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มลาบรี มราบรี,คนป่า,ประวัติความเป็นมา,วิถีชีวิต,การแต่งกาย |
Author |
บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ |
Title |
ผีตองเหลือง |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มละบริ ยุมบรี มลาบรี มละบริ มลา มละ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
23 |
Year |
2545 |
Source |
ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2506 โดยสำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์) |
Abstract |
ยุมบรีเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในป่าลึก และมักโยกย้ายถิ่นอยู่เสมอ การนำใบตองมาใช้มุงเพิงพักเมื่อเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็ย้ายที่ตั้งใหม่ทำให้ถูกเรียกว่า "ผีตองเหลือง" ยุมบรีมีภาษาเป็นของตนเอง เป็นภาษาจำกัดถ้อยคำ ฟังคล้ายภาษาข่ามุและละว้า มักใช้ชีวิตอยู่กินอย่างเรียบง่ายด้วยการหาของป่า เก็บพืชผักผลไม้และล่าสัตว์ป่า ไม่นิยมสะสมอาหาร นุ่งห่มเปลือกไม้ปกปิดเฉพาะที่ลับ บ้างก็นุ่งห่มผ้าเก่า ๆ ระบบครอบครัวของยุมบรียึดระบบผัวเดียวเมียเดียว ยุมบรีนับถือผีป่าซึ่งสิงสถิตตามต้นไม้ใหญ่ มีการเซ่นผีในแต่ละปี มีการผูกข้อมือเรียกขวัญเมื่อเจ็บป่วย ยุมบรีมีสุขอนามัยไม่ดีนัก เนื่องจากไม่ค่อยรักษาความสะอาดของเสื้อผ้าและร่างกาย ผู้ชายสักหมึกตามร่างกายเป็นอักขระพื้นเมืองเหนือ เชื่อว่าช่วยป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายหรือสัตว์มีพิษ และช่วยให้คงกระพัน อาวุธที่ถนัดในการล่าสัตว์คือ กล้องไม้ซางเป่าลูกดอกคล้ายพวกเซียมังและซาไก |
|
Focus |
เน้นศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมแบบหาของป่า ล่าสัตว์ของพวกยุมบรี |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ยุมบรี (ผีตองเหลือง) มีภาษาเป็นของตนเอง เป็นภาษาจำกัดถ้อยคำ ฟังคล้ายภาษาข่ามุและละว้า มีคำว่า โต๊ก" นำหน้านาม พูดจาด้วยประโยคสั้น ๆ น้ำเสียงไม่อ่อนหวานและไม่ค่อยมีเสียงวรรณยุกต์ เป็นตอนและขาดห้วง ไม่มีตัวหนังสือใช้ ยุมบรีมักหลงลืมภาษาดั้งเดิมของตน ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาข่ามุเป็นภาษากลาง รองลงมาคือภาษาชาวเหนือแบบโบราณ (ภาษาไทยยวน) ผสมกับภาษาลาวในประเทศลาว ยุมบรีแถบจังหวัดน่าน สามารถพูดภาษาพื้นเมืองโบราณของชาวน่านและภาษาข่ามุได้ มักเรียกผู้ชายว่า "พ่อ" และเรียกผู้หญิงว่า "แม่" โดยไม่ใส่ใจเรื่องอายุ ชื่อของแต่ละคนมักใช้ชื่อตามภาษาเหนือสั้น ๆ พยางค์เดียว ไม่มีนามสกุลใช้ (หน้า 180,184-185, 191,193) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ยุมบรีมีประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด บ้างเชื่อว่าแต่เดิมยุมบรีเป็นชาวบ้านที่กระทำผิดทางอาญา เมื่อกลัวโทษประหารก็หนีไปหลบซ่อนตัวตามป่า สร้างเพิงพักชั่วคราวด้วยใบตองพอใบตองเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ยุมบรีกลัวคนสังเกตเห็นก็อพยพโยกย้าย ที่อยู่ใหม่ไปเรื่อย ๆ ภายหลังมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ก็แบ่งออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจัดกระจายไปในแถบภาคเหนือของลาวและไทย (หน้า 181) |
|
Settlement Pattern |
ยุมบรีนิยมใช้ใบตองมุงหลังคาเพิงที่พัก พอใบตองเริ่มแห้งเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองก็ย้ายที่อยู่ใหม่ (หน้า 173) ไม่นิยมปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ถาวร เพียงใช้ไม้พาดกับกอไผ่หรือต้นไม้ แล้วตัดใบลาน ใบก้อแกง หรือใบต๋าวมุงหลังคา ที่นอนใช้ใบไม้ปูกับพื้นดิน บางกลุ่มอาศัยนอนข้างกองไฟ ไม่สร้างเพิง ในฤดูฝนมักหาเพิงผาหรือชะง่อนหินเป็นที่อยู่จนหมดฤดูฝนจึงอพยพเร่ร่อนไปยังถิ่นอื่น (หน้า 185 ) |
|
Demography |
ยุมบรีแต่ละกลุ่มมีจำนวนสมาชิกในกลุ่ม 15-25 คน (หน้า 179) จำนวนประชากรยุมบรีค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ ผู้สูงอายุมีอายุไม่เกิน 60 ปี มีเด็กรอดชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียง 20% เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ ภัยอันตรายจากชาวเขาเผ่าอื่น รวมถึงภัยจากสภาพแวดล้อม (หน้า 192) |
|
Economy |
ยุมบรีแต่ละกลุ่มมีจำนวนสมาชิกในกลุ่ม 15-25 คน (หน้า 179) จำนวนประชากรยุมบรีค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ ผู้สูงอายุมีอายุไม่เกิน 60 ปี มีเด็กรอดชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียง 20% เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ ภัยอันตรายจากชาวเขาเผ่าอื่น รวมถึงภัยจากสภาพแวดล้อม (หน้า 192) |
|
Social Organization |
ระบบครอบครัวของยุมบรียึดระบบผัวเดียวเมียเดียว ชายเผ่าตองเหลืองเป็นคนซื่อสัตย์ ผู้ชายมักหึงหวงผู้หญิงของตนและซ่อนผู้หญิงและเด็กไว้ไม่ให้พบปะคนภายนอก ผู้ชายยุมบรีรักบุตรและเทิดทูนภรรยาเยี่ยงนาย ไม่ยอมให้ภรรยาทำงานการอะไร เพียงแต่มีหน้าที่ดูแลบุตรและคอยต้อนรับสามีเมื่อกลับจากป่า ไม่ต้องทำอาหาร ซักเสื้อผ้า ปัดกวาดเรือนหรือเลี้ยงอาหารสัตว์ หญิงตองเหลืองจึงมีชีวิตที่ค่อนข้างสุขสบายและ เป็นใหญ่ภายในบ้าน ไม่ต้องวิตกกังวลว่าสามีจะไปยุ่งกับหญิงอื่น หนุ่มสาวยุมบรีมีอิสระในการเลือกคู่ครอง หากเกี้ยวพาราสีกันแล้วถูกใจก็มักจูงกันไปหาความสุข การแต่งงานเป็นเรื่องง่าย เพียงนำอาหารมาเลี้ยงกันระหว่างสองครอบครัว และมีเพื่อนฝูงมิตรสหายมาร่วมยินดี ด้วยการเลี้ยงฉลองรอบกองไฟ ผู้เฒ่าของเผ่าจะประกาศความเป็นสามีภรรยาในที่ชุมนุม หลังจากเป็นสามีภรรยากันแล้ว ภรรยาต้องอพยพติดตามกลุ่มของสามีไปทุกหนแห่ง ไม่ปรากฏว่ามีการหย่าร้างหรือผิดคู่ ชีวิตคู่สิ้นสุดลงต่อเมื่อตายจากกัน (หน้า 184, 191-192) |
|
Belief System |
ยุมบรีนับถือผีป่าซึ่งสิงสถิตตามต้นไม้ใหญ่ ในปีหนึ่ง ๆ มีการเซ่นผีภูเขาหลวงด้วย หมูป่า เป็ด หรือสัตว์ที่ล่ามาได้ หรืออาจใช้เผือกมันผลไม้เป็นเครื่องเซ่น ไม่มีผีเรือนเนื่องจากมักโยกย้ายถิ่นอยู่เสมอ (หน้า 191,192) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ยุมบรีมีการผูกข้อมือเรียกขวัญเมื่อเจ็บป่วย โรคที่พบบ่อยในหมู่ผีตองเหลืองเช่น โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน คุดทะราด ได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าทำร้าย เช่น หมีข่วน เสือคาบไปกิน งูพิษกัด บ้างก็ถูกชาวเขาเอายาพิษโรยตามแหล่งน้ำ ถูกยิงด้วยปืนผาหน้าไม้ (หน้า 192) ยุมบรีมีสุขอนามัยไม่ดีนัก เนื่องจากไม่ชอบอาบน้ำ ไม่นิยมซักเสื้อผ้า มีเหาและขี้รังแค นิยมก่อไฟผิงเสื้อผ้าให้แห้งเมื่อเปียกชื้น (หน้า 190) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ยุมบรีไม่ได้ปลูกฝ้ายหรือปั่นทอผ้าขึ้นใช้เอง ใช้เปลือกไม้ก้องปกปิดที่ลับ แล้วใช้เชือก หรือเถาวัลย์คาดเอวยึดเปลือกไม้ขนาดกว้างประมาณคืบเศษไว้ เปลือยร่างกายท่อนบน ไม่นิยมนุ่งห่มประดับร่างกายมากนัก ไม่ชอบคนโพกผ้า สวมเสื้อผ้าหลายชิ้นสวมหมวก แต่งหน้าทาปาก บ้างก็นุ่งห่มผ้าเก่าโดยใช้ผ้าพันโอบบริเวณของลับแต่เห็นสะโพกกับต้นขา ผู้หญิงสวมผ้าซิ่นเก่าสั้นแค่เข่า มักเปลือยอกไม่นิยมสวมเสื้อ นอกจากเมื่ออากาศหนาว ชายมักสวมกางเกงทับผ้าเตี่ยวผืนเล็กอีกชั้นหนึ่ง เมื่อออกมาแลกเปลี่ยนสิ่งของ (หน้า 183-184) ผู้ชายยุมบรีบ้างก็สักหมึกที่หน้าอก ไหล่ เอวหรือข้างหลังเป็นอักขระพื้นเมืองเหนือ ซึ่งชาวบ้านเป็นผู้สักให้เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายหรือสัตว์มีพิษ และเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องความคงกระพัน (หน้า 182 -183) ดนตรีของยุมบรี เป็นการร้องเพลงตามทำนองและการเป่าใบไม้เลียนเสียงสัตว์ป่า มีการเคาะไม้ ปรบมือให้จังหวะและเต้นรำตามจังหวะเพลง ซึ่งมีทำนองคล้ายของชาวเมืองน่านโบราณ (หน้า 185) |
|
Folklore |
ยุมบรีมีเรื่องเล่าจากชาวลาวว่า แต่เดิมยุมบรีหรือผีตองเหลืองเป็นข่าพวกหนึ่ง ซึ่งไม่มีความรู้ในการเพาะปลูกอยู่ในถิ่นเดียวกับข่ามุและข่าเม่ด วันหนึ่งข่าตองเหลืองเข้าไปในหมู่บ้านข่ามุ เห็นข่ามุนำข้าวเปลือกมาตำเป็นข้าวสาร หลามใส่กระบอกรับประทาน ข่ามุยื่นให้ตองเหลืองชิมดูจนติดใจ ตองเหลืองก็ขอพันธุ์ข้าวมาปลูก แต่เนื่องจากตน ขาดความรู้จึงเพาะปลูกไม่ขึ้น ก็พาลโกรธข่ามุจึงคอยลักเอาข้าวในไร่ข่ามุข่าเม่ดแทน ข่ามุโกรธที่พวกตองเหลืองมาลักขโมยข้าวไร่จึงยกพวกไปฆ่าฟันพวกตองเหลือง บางส่วนต้องอพยพหลบหนีไปอยู่ที่อื่น ข่าเม่ดได้ทราบข่าวว่าตองเหลืองมีนิสัยขี้ขโมย ก็ขับไล่ไม่ให้อยู่ ข่าตองเหลืองกลัวตายก็กลายเป็นพวกไม่เข้าหน้ามนุษย์ อาศัยเพิงพักชั่วคราวมานับแต่นั้น และสั่งห้ามมิให้บุตรภรรยารับประทานข้าวเด็ดขาด เพราะถือว่าข้าวเป็นต้นเหตุทำให้พวกตนถูกฆ่าตาย ต้องออกเร่ร่อนไปเรื่อย (หน้า 181-182) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ยุมบรีมีรูปร่างลักษณะเช่นเดียวกับชาวเอเชียปกติ กล่าวคือ มีผิวสีน้ำตาลอ่อนแต่ค่อนไปทางเหลือง ผิวสีไม่คล้ำอย่างพวกข่ามุและละว้า ค่อนข้างเตี้ย บ้างผิวขาวเหลืองแบบชาวเหนือ หญิงหน้าตาสะสวย ชายรูปร่างล่ำสันแข็งแรง มีกล้ามเนื้อ อกนูน ไม่อ้วนพลุ้ยหรือผอมบาง มีใบหน้ารูปไข่ คิ้วหนา นัยน์ตาสองชั้นไม่มีแววดุร้าย จมูกโด่งนูน ริมฝีปากไม่หนา คางแหลมเล็ก ฟันสีมอ ผมดำเส้นหนาไม่หยิกงอ ผู้ชายนิยมเจาะหู (หน้า 182) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ผีตองเหลืองที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าไม้ จ.น่าน (หน้า 176) กล้องยาสูบ มีดพร้าและมะขมของผีตองเหลือง (หน้า 193) ผีตองเหลือง (หน้า 194,195,196,197) |
|
|