|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,วิถีชีวิต,ระบบความเชื่อ,การเกี้ยวพาราสี,ระบบเศรษฐกิจ,ภาคเหนือ |
Author |
บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ |
Title |
อีก้อ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
60 |
Year |
2545 |
Source |
ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2506 โดย สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์) |
Abstract |
อาข่านิยมตั้งบ้านเรือนสูงกว่าพวกเย้า ลีซอและมูเซอ ก้อนับถือผีและวิญญาณบรรพบุรุษ มีพิธีธรรมเนียมและสิ่งปลูกสร้างเป็นเครื่องบ่งบอก ถือคติปล่อยให้หญิงสาวและชายหนุ่มได้แสวงหาความสุขทางเพศโดยอิสระก่อนแต่งงาน มีประเพณีคัดเลือกผู้ทำหน้าที่ให้ความรู้ด้วยการเบิกพรหมจารีให้ มีทั้งตัวแทนของทั้งฝ่ายหญิงเรียกว่า "มิดะ" ฝ่ายชายเรียกว่า "ปู่จี" มีการร้องเพลงเต้นรำ เรียกว่า "ละจิฉ้อ"
การเต้นรำของก้อมีจังหวะเร็ว ประกอบเสียงแคน การเต้นรำของชายคล้ายเผ่ามูเซอ เนื้อเพลงที่ร้องเกี้ยวสาวเป็นเพลงรัก บ้างก็บรรยายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ หรือรำพึงรำพันถึงความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว มีผูกโคลงกลอนสุภาษิตเป็นเนื้อเพลงด้วย การแต่งกายของก้อนิยมใช้สีดำล้วน ชายหนุ่มมีเครื่องประดับเป็นดอกจันโลหะเงิน นิยมโกนผมรอบศีรษะไว้ผมเป็นกระจุกตรงกลาง เรียกว่า "จอมบ่อ" แล้วปล่อยผมห้อยลงมาคล้ายหางเปีย เชื่อกันว่าหากไม่ไว้จุกนี้จะถูกผีทำให้เป็นบ้า
หญิงก้อนิยมแต่งกระโปรงจีบรอบเอวสั้นเหนือเข่า มีสนับแข้งสลับสี ก้อมีตำนานเรื่องเล่าพื้นบ้านถึงต้นกำเนิดของชนเผ่า อาข่าประกอบอาชีพเพาะปลูกข้าวไร่ พืชผักและปลูกฝิ่น อาข่าที่อยู่ใกล้พรมแดนพม่าปลูกฝิ่นเป็นอาชีพ และติดฝิ่นกันมาก เพราะถือเป็นพืชเงินสด อาข่านิยมหาของป่าไปแลกเนื้อสุนัข |
|
Focus |
เน้นศึกษาวิถีชีวิต วัฒนธรรมและความเชื่อของชนเผ่าอาข่าในประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
ในงานชิ้นนี้ ผู้วิจัยเรียกอาข่าว่า "อีก้อ" แบ่งเป็นหลายตระกูล คือ อามอ อาเข่อ ปุรี จีจอ มาเย้อ ซือมือ นารี อามี มาเว ก้อกลุ่มที่อยู่ในเขตไทยเป็นปุรีและมาเย้อ (หน้า 360)
อีก้อเรียกตนเองว่า "อะข่า" ไทยใหญ่เรียก "ก้อ" ไทยลื้อในเขตสิบสองปันนา ยูนนานตอนใต้เรียก "ก้อโหแหลม" หรือ "ก้อโหปุก" ชาวลาวเรียกว่า "ข่าก้อ" ชาวจีนเรียกพวกตอนเหนือว่า "เปอะเอ๋อจี" ส่วนพวกตอนใต้เรียก "โอนี" แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มคือ โอนีดำ (โอนีกอจ้อ) โอนีอะข่า โอนีสัง โอนีแต๋ โอนีขาว อีก้อเป็นสาขาหนึ่งของโล-โล มีรูปร่างลักษณะและภาษาใกล้เคียงกับพวกโล-โลดำมีอยู่หลายตระกูล เช่น มาเย้อ มาเว นารี อามี ปุรี พวกที่อยู่ในเขตไทยอยู่ในตระกูลปุรีและมาเย้อ ส่วนพวกอาเข่อไม่ยอมรับว่าตนเป็นอาข่าหรืออีก้อ แต่รับว่าตนมาจากจีน บางคนอ้างว่าตนสืบเชื้อสายมาจากจีน(หน้า 359-361)
ก้อมีรูปร่างล่ำสันแข็งแรง หญิงค่อนข้างเตี้ย ผิวเนื้อสีน้ำตาลอ่อน ศีรษะกลม หน้ากลมยาว ลำตัวยาว น่องสั้น แขนสั้น (หน้า 367-368) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
อีก้อหรืออาข่ามีภาษาของตนเอง แต่ไม่มีตัวอักษรใช้ ภาษาของอาข่าคล้ายพวกปุรีจัดอยู่ในตระกูลธิเบต -พม่า ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางภาษากับมูเซอและลีซอ มีคำยืมบางคำจากภาษาจีน ชายอาข่าในไทยรู้ภาษาเหนือ (ภาษาไทยยวน) มูเซอ
ส่วนใหญ่พูดภาษาชาวไทยใหญ่ได้ มักใช้คำนำหน้าขึ้นต้นด้วย "อา" เช่น อาคำ อาโยะ อาเชอ อาโล่ผา อาหมี่พา อามุซึมะ อาบูตา ตัวอย่างภาษาก้อ เช่น หู เรียกว่า "น่ำป้อ" จมูก เรียกว่า "นาแม้" หมู เรียกว่า "อะย้า" ไก่ เรียกว่า "ยากี้" บิดาเรียกว่า "อะดะ" มารดา เรียกว่า "อาม้า" (หน้า 359-361, 372-374) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เดิมอาข่าอาศัยอยู่ตามภูเขาในมณฑลยูนาน ระหว่างแผ่นดินฝั่งตะวันออกและตะวันตกของลำแม่น้ำโขงจนจรดกับลำแม่น้ำสาละวิน มีอาณาจักรเป็นของตัวเองอยู่บริเวณแม่น้ำไท้ฮั่วสุย ก่อนที่กุบไลข่านจะยกทัพเข้ารุกรานแผ่นดินใหญ่ของจีน ต่อมาอาข่าถูกชนชาติอื่นชิงอาณาจักรจึงต้องถอยร่นมาอยู่ในมณฑลไกวเจา และยูนนาน (หน้า 360)
ภายหลังเคลื่อนย้ายลงมาทางตอนใต้แล้วอพยพเข้าไปอยู่ในเขตรัฐว้า รัฐเชียงตุงของพม่า บริเวณเมืองไลหรือไลเจาของเวียดนามเหนือ ตอนเหนือสุดของไทย โดยเฉพาะในเขตเชียงตุงแห่งรัฐฉาน มี "เขินก้อ" มากเป็นอันดับสองของพลเมืองทั้งหมดของรัฐ (หน้า 360-362) |
|
Settlement Pattern |
อาข่ามักตั้งบ้านเรือนอยู่ตามที่ลาดไหล่เขา มีการวางแปลนบ้านเรือนไว้เป็นแบบเดียวกันหมด หมู่บ้านมีรั้วล้อมรอบ สร้างด้วยลำไม้ไผ่กั้นไม่ให้สัตว์ออกไปหากินนอกบริเวณ ติดกับรั้วเป็นป่าไม้ขนาดย่อม มีประตูทางเข้าหัวและท้ายหมู่บ้าน ที่ประตูมีท่อนไม้เป็นบันไดไต่ข้ามไปกับทางเดินสัตว์ มีไม้ค่าวปิดเปิดได้ ติดรั้วเป็นป่าไม้ขนาดย่อม หมู่บ้านตั้งอยู่บนที่ลาดเทจากเนินเขา หลังคาสูงๆ ต่ำๆ ไม่เสมอกัน มีทางเดินกว้างค่อนข้างเรียบอยู่ตรงกลาง มักมุงหลังคาโดยปล่อยให้ชายคาหุ้มลงมาเกือบมิด มีศาลเจ้าที่เรียกว่า "มิดสา" ตั้งใกล้กับหัวนอนเจ้าของบ้าน นอกจากนี้ยังมีบ้านหลังเล็กสำหรับบุตรชายและบุตรสะใภ้ไว้ใช้หลับนอนด้วยกันเรียกว่า "เฮินแส่" ก่อนทางเข้าหมู่บ้านมีประตูตั้งอยู่ริมทางเดิน หากไม่สังเกตจะมองไม่เห็น ประตูทำเป็นรูปดาบ รูปลูกศรเรียกว่า "มีแชตะม่อป่าเอ้อ"
บางหมู่บ้านทำเป็นดาบไม้ปักพื้นดินข้างทาง อีกประตูหนึ่งตั้งคร่อมทางเดินเท้า เรียกว่า "ต่อม่าลกค่อ" หรือ ประตูผีหมู่บ้าน ชาวเหนือเรียกว่า "ประตูผีเข้าผีออก" ตัวประตูผีหมู่บ้านสร้างด้วยไม้ท่อนใหญ่ ทำเป็นเสา 2 ข้างคล้ายประตูทางเข้าวัดของญี่ปุ่น บนคานมีตุ๊กตาไม้เป็นรูปนกซึ่งเป็นบริเวณของผีหมู่บ้านเทพารักษ์ ตามเสาและคานมี"เฉลว" หรือ "ตาแหลว" ทำจากไม้ไผ่สานเป็นตา ใช้เป็นเครื่องหมายป้องกันมิให้ปีศาจร้ายเข้าไปทำอันตรายผู้คนในหมู่บ้าน สองข้างของประตูผีมีไม้ท่อนแกะสลักเรียกว่า "ตาผ่ามะ" บางหมู่บ้านมีลานสวรรค์ที่เรียกว่า "กะลาล่าเซอ" มีท่อนไม้ใหญ่ "เต่ข้อ" วางเรียงกันไว้ให้หนุ่มสาวนั่งร้องเพลงเกี้ยวกัน ข้างลานมีเสา 2 เสา มีไม้พาดกลางทำเป็นเก้าอี้สวรรค์และชิงช้าไว้โล้เล่นในงานปีใหม่ (หน้า 363, 364, 365) |
|
Demography |
ประชากรอาข่าในไทยมีประมาณ 30,000 คน คิดเป็น 90 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งมี 30-80 หลังคาเรือน อาศัยอยู่ใน 3 อำเภอของจังหวัดเชียงรายคือ อำเภอแม่สาย อำเภอแม่จัน และอำเภอเชียงแสน ไม่พบว่า ก้ออพยพไปอยู่บนดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ หรือลงมาถึง จ .แพร่ เพราะพวกนี้ไม่อพยพไปไกลจากพรมแดนไทยลาวพม่า (หน้า 362) |
|
Economy |
อาข่าประกอบอาชีพเพาะปลูกข้าวไร่ พริก ฝ้าย กะหล่ำปลี ผัก ฟักแฟง ข้าวโพด ผักกาดถั่ว และปลูกฝิ่นตามพื้นที่สูงชัน โดยเฉพาะอาข่าที่อยู่ใกล้พรมแดนพม่าปลูกฝิ่นเป็นอาชีพ และติดฝิ่นกันมาก ถือเป็นพืชเงินสด (หน้า 375-376)
ผู้ชายอาข่านิยมยิงนก ล่าสัตว์ ผู้หญิงมักตื่นมาตำข้าวแต่เช้า และทำงานบ้านแทบทุกอย่าง เช่น หาฟืน ตักน้ำ ดูแลลูก ทำอาหาร เลี้ยงสัตว์ เก็บผักและปั่นด้ายทอผ้าเอง ทั้งชายและหญิงจะช่วยกันแผ้วถางป่าเพื่อเพาะปลูกพืชไร่ เวลาว่างชายมักออกหาของป่านำมาขายหรือแลกเปลี่ยน (หน้า 376-377)
อาข่ามีเล้าไก่และคอกหมูไว้ใต้ถุนบ้าน บ้านหลังหนึ่งมีไก่ถึง 15 ตัว และเลี้ยงหมูถึง 5 - 15 ตัว ให้เมล็ดข้าวโพด ผักและกล้วยป่าต้มให้หมูรับประทาน แต่ไม่มีการปลูกพืชผักสวนครัว (หน้า 366, 375) อาหารของอาข่ามีไม่มากชนิด เช่น ฟักทองใส่พริก แกงฟักเขียว แกงผักกาด ผักเขียว ฟักทอง ผักกูด บอนกับพริกตำละเอียด อาหารประจำวันไม่ค่อยมีเนื้อสัตว์ใส่ในแกง นอกจากมีการเซ่นผีจึงมีเนื้อไก่ วัว สุนัข หมู แพะ หรือนก มีผักดองเปรี้ยวเช่น ผักหนาม ผักกาด เป็นอาหารสำรอง เนื้อสัตว์ที่นิยมรับประทานมากคือ เนื้อสุนัข มักนำปอ ฝ้าย พริกแห้งและของป่าไปขอแลกสุนัขจากหมู่บ้านชาวเหนือ สุนัขดำถือเป็นอาหารโปรดแต่ค่อนข้างหายาก (หน้า 379-381) |
|
Social Organization |
อาข่าเปิดกว้างให้ลูกชายลูกสาวหาคู่ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องแต่งงานกัน แต่ห้ามเกี้ยวพาราสีหรือได้เสียกันบนบ้าน ถือเป็นการผิดผี มีเด็กสาวอาข่าหลายคนเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วหลายครั้ง มีการเที่ยวสาวและสถานที่อย่างลานสาวกอด "กะลาล่าเซอ" สำหรับให้คู่หนุ่มสาวไปพรอดรักกัน การได้เสียกันถือเป็นเรื่องธรรมดา ผีเรือนและผีหมู่บ้านและบิดามารดาของหญิงสาวไม่ถือสาหาความ เพราะถือคติปล่อยให้หญิงสาว
ได้แสวงหาความสุขกับชายหนุ่มที่ชอบเสียก่อนแต่งงานเป็นภรรยาของคนเพียงคนเดียว เพราะไม่อาจหวนกลับมาใช้ชีวิตกับชายอื่นได้อีก
อาข่าที่อยู่บนยอดเขาพรมแดนติดต่อรัฐเชียงตุงในพม่า มีประเพณีเลือกชายหนุ่มเพื่อทำหน้าที่สอนการแสวงหาความสุขทางเพศแก่หญิงพรหมจารี เรียกว่า "คะจีราดะ" ชาวไทยใหญ่มักเรียกว่า "ปู่จี" เป็นคนแรกที่ทำหน้าที่เบิกทางพรหมจารีให้หญิงสาว เป็นคนโสดวัยกลางคน จะคอยสอดส่องเด็กรุ่นสาวว่ามีใครที่เริ่มมีพฤติกรรมแบบเด็กสาว ชายหนุ่มคนอื่นจะล่วงเกินได้เสียก่อนคะจีราดะไม่ได้
นอกจากนี้อาข่ายังถือคติว่า ความรักคือความใคร่แยกจากกันไม่ออก ขายหนุ่มหรือเด็กหนุ่มที่เพิ่งเริ่มเป็นหนุ่มก็จะถูกฝึกสอนให้รู้จักแสวงหาความสุขจาก "คะจีมิดะ" หรือ "มิดะ" เป็นสาวโสดแต่ไม่สด จะแต่งงานมีครอบครัวไม่ได้ อาข่าไม่ถือหญิงที่เคยแต่งงานมีบุตรกับชายอื่นมาก่อน เพราะถือเป็นกำไร บุตรที่ไม่มีพ่อเรียกว่า "ลูกผีให้" เพราะอาข่านับถือผี
พิธีแต่งงานมักทำกันในครึ่งปีแรก บรรดาชายหนุ่มจะเสาะหาหญิงสาวผู้ที่จะมาเป็นภรรยาเตรียมไว้ ห้ามแต่งงานกันในช่วงปลูกข้าวไร่ ต้องพักไว้ก่อนจนถึงฤดูกรีดฝิ่น มีการเสียเงินค่าสินสอด และกินเลี้ยงในพิธีแต่งงาน หญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย รับใช้ช่วยงานทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระในบ้าน ธรรมเนียมอย่างหนึ่งคือ ชายหญิงจะไม่หลับนอนร่วมห้องกันในบ้าน เพราะยึดคติความเชื่อเดิม แต่อาข่าจะสร้างเรือนหลังเล็กไว้สำหรับบุตรชายและบุตรสะใภ้มาแสวงหาความสุขทางเพศ ตามประสาสามีภรรยากันเรียกว่าเรือนร่วมประเวณี หรือ "เฮินแส่" (หน้า 394-399) |
|
Belief System |
อาข่านับถือผี ผีดีได้แก่ ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่คอยคุ้มครองห่วงใยบุตรหลาน แต่อาจสั่งสอนด้วยการทำให้ป่วยได้ หากผีดีเผลอ ผีร้ายก็จะลอบเข้าไปสิงสู่หรือทำให้เจ็บป่วย ต้องให้หมอผีเซ่นผีร้ายด้วยสัตว์ มีความเชื่อว่าผีหิวโหยมักสิงสู่ตามต้นไม้ ลำห้วย แอ่งน้ำ สัตว์ป่า ผีเรือนเรียกว่า "มิดสา" ผีมิดสาหรือผีเรือนนี้ ไม่มีรูปร่าง เป็นเหมือนลมที่ว่างเปล่า แต่หากผู้ใดทำสิ่งใด ผีมิดสาจะรู้หมด
หากผีโกรธเคืองก็จะทำให้เจ็บป่วยไม่สบาย ต้องเซ่นไหว้ขอขมาจึงยกโทษให้ ไม่ได้ทำแท่นบูชาไว้ในบ้าน แต่มีศาลไว้นอกตัวบ้าน ภายในรั้วด้านติดกับทิศหัวนอน ศาลมิดสารูปร่างคล้ายศาลพระภูมิ ไม่มีลวดลาย มีเพียงเสาไม้ไผ่ปักและแท่นบูชา เป็นที่สถิตของผีเรือนหรือดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ผีอื่น ๆ เช่น ผีป่า "แนะแซ" ผีไร่ เรียก "แนะมื้อ" มีการเซ่นสังเวยปีละ 2 ครั้ง ก่อนแผ้วถางป่าทำไร่และเมื่อเก็บเกี่ยวได้ข้าวไร่มาก ๆ บางหมู่บ้านก็เซ่นเพียงปีละครั้ง ผีอื่น ๆ เช่น ผีน้ำ ผีดอยหลวง ผีหมู่บ้าน และมีพิธีธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น งานฉลองปีใหม่ มีการปิดหมู่บ้านโดยปัก "ต่าแลล้อ" ไม่ให้คนในหมู่บ้านออกและห้ามคนนอกเข้า ชาวเหนือเรียกว่า "ตาแหลว" หรือ "เฉลว" มีการร้องเพลงเต้นรำ เรียกว่า "ละจิฉ้อ" กลางลานดินในหมู่บ้าน มีการฝังเสาประตูผีเรียกว่า "ต่อม่าลกค่อ" หรือ "ประตูผีเข้าผีออก" สร้างเป็นรูปไม้แกะสลับชายหญิงเพื่อเป็นแบบอย่างทางเพศศึกษา (หน้า 383-388, 399) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
หากเจ็บป่วยอาการไม่หนัก เช่น ปวดหัวตัวร้อน ก็มักฆ่าไก่เซ่นผี หากป่วยหนักเป็นเวลานาน ก็มักเซ่นผีด้วยสุนัขหรือหมู ตามแต่ชนิดของผี หมอผีจะเสี่ยงทาย หากอาการหนักและมีทีท่าว่าจะไม่รอด มักฆ่าหมูตัวใหญ่หรือวัวสังเวยผี (หน้า 380-381) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การเต้นรำของอาข่ามีจังหวะเร็ว กระทืบเท้าให้เข้ากับเสียงเครื่องดนตรีแคน ฝ่ายหญิง
มักเต้นรำช้าๆ จับมือกันเดินเป็นวงกลมร้องเพลง บ้างก็กอดกันเรียงแถวหน้ากระดาน กระโดดพร้อมกัน มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนกับเผ่าอื่น ส่วนการเต้นรำของชาย
คล้ายเผ่ามูเซอ อีก้อมักเต้นรำฉลองปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน เนื้อเพลงที่ร้องเกี้ยวสาวเป็นเพลงรัก บ้างก็บรรยายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ หรือรำพึงรำพันถึงความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว นอกจากนี้ยังมีผูกโคลงกลอนสุภาษิตมาเป็นเนื้อเพลงอีกด้วย (หน้า 372-73, 378-379, 388-394)
การแต่งกายของหญิงอาข่า นิยมแต่งกระโปรงจีบรอบเอว กระโปรงฮาวายสั้นเหนือเข่า ไม่มีกางเกงในหรือกระโปรงซับใน กระโปรงหย่อนลงมาใต้ท้องเห็นสะดือ เสื้อชั้นในใช้ผ้ากว้าคืบหนึ่งพันรอบอก สวมเสื้อสีดำทับอีกชั้นหนึ่งด้านหน้าไม่กลัดกระดุมเสื้อ หญิงบางคนมีผ้าคาดเอวขนาดเท่าฝ่ามือ ทอลวดลายสวยงามห้อยปิดด้านหน้า ตอนปลายประดับเบี้ยและลูกปัด หญิงนิยมหวีผมแสกกลางไว้มวยหลัง สวมหมวกกลมประดับประดา บางคนสวมห่วงคอโลหะเงิน หญิงแม่เรือนประดับประดาน้อยกว่าหญิงสาว ไว้ผมยาวแสกกลาง ไว้มวยหลัง หญิงแม่เรือนสวมหมวกทรงสูงตอนล่างกว้างกลม สวมเครื่องประดับ มีสนับแข้งสลับสี
ชายนิยมโกนผมรอบศีรษะไว้ผมเป็นกระจุกตรงกลาง เรียกว่า "จอมบ่อ" ปล่อยผมห้อยลงมาคล้ายหางเปีย เชื่อกันว่าหากไม่ไว้จุกนี้จะถูกผีทำให้บ้า มีการใช้ผ้าโพกศีรษะเปิดตรงกลางให้เห็นจุกผมด้านบน สวมเสื้อสีดำทรงกระบอกแขนยาว ผ่าอกผูกเชือกที่คอและหน้าอก นุ่งกางเกงขายาวถึงข้อเท้า นิยมใช้สีดำล้วน ชายหนุ่มมีเครื่องประดับเป็นดอกจันโลหะเงิน สวมกำไลมือ ประดับเหรียญเงิน โพกศีรษะกลมแบน เด็กชายแต่งสีดำอย่างผู้ใหญ่ มีผ้าผืนเล็กโพกศีรษะ ไม่มีเครื่องประดับอื่น เด็กหญิงมีหมวกกลมหุ้มผ้าสลับสี ติดขนสัตว์สีขาวแดง นุ่งกระโปรงสั้นเสื้อสั้น ประดับดอกจันแผ่นกลมที่อก (หน้า 367-368,371-372) |
|
Folklore |
มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านชอบมีภรรยาสาว เมื่อภรรยาเก่าเสียชีวิตลง ก็ไปสู่ขอสาวสวยวัยรุ่นจากหมู่บ้านข้างเคียงมาเป็นภรรยา แต่ชายชราไม่อาจให้ความสุขกับหญิงสาวได้ เธอจึงมักลอบไปคบกับชายหนุ่มลูกบ้าน สามีรู้เข้าก็กักตัวเอาไว้ วันหนึ่งมีพ่อค้าหนุ่มรูปงามนำสิ่งของบรรทุกหลังม้ามาจากหัวเมืองไกล ได้มาขอแวะพักค้างคืนที่บ้านชายชรา แลกกับข้าวของและสุราข้าวโพดชั้นดี ชายชราจึงยอมอนุญาต พอหญิงสาวได้พบชายหนุ่มก็เกิดหลงรักกัน ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าเป็นลูกสาวเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มพ่อค้าได้นำสุรามามอมชายชราหลับไหลไม่ได้สติ แล้วเข้าหาหญิงผู้เป็นภรรยาเจ้าของบ้านซึ่งเข้าใจว่าเป็นลูกสาว ทั้งคู่ได้เสียกันแล้วก็ชวนกันหนีไปอาศัยอยู่บนภูเขาสูง ห่างจากหมู่บ้านเพื่อไม่ให้สามีนางตามไป ชายหนุ่มโกนผมแล้วไว้จุกอย่างหางม้า นำผ้าสีดำมาโพกศีรษะ แต่งกายสีดำ หญิงสาวก็นุ่งกระโปรงจีบสั้นเหนือเข่า แต่งกายแปลกและพูดภาษาแปลกจากเดิม เมื่อจะไปพบปะกับชาวหมู่บ้านอื่น ทั้งคู่อยู่ร่วมกันให้กำเนิดลูกหลานเป็นต้นตระกูลอาข่าสืบมาจนทุกวันนี้ (หน้า 369-371) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
อีก้อ (หน้า 358) สุนัขอาหารโปรดของชาวก้อ (หน้า 407)
หมู่บ้านแสนใจของชาวก้อ /ชาวก้อเต้นรำ (หน้า 408)
ชาวก้อ/ประตูผีหมู่บ้านชาวก้อ (หน้า 409)
หญิงชาวก้อ (หน้า 410) ชาวก้อจูงสุนัข (หน้า 411) ชาวก้อ (หน้า 412-413)
ลานสาวกอด (หน้า 414, 416)
เด็กสาวชาวก้อเต้นรำบนเขาแม่สะลอง (หน้า 415) สองหญิงชาวก้อ (หน้า 417) |
|
|