สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,เงื่อนไขทางสังคม,น่าน
Author ประสิทธิ์ ฤทธิ์เนติกุล
Title ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตรในอุดมคติของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง : ศึกษาเฉพาะกรณีจังหวัดน่าน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยมหิดล, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 85 Year 2531
Source หลักสูตรปริญญาสังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจัยประชากรและสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาจำนวนบุตรในอุดมคติของม้งและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ (อายุ เพศ สถานภาพสมรส จำนวนคนในครัวเรือน ฐานะของครัวเรือน ขนาดของที่ดินทำกิน ความสามารถในการใช้ภาษาไทย) ที่มีกับจำนวนบุตรในอุดมคติโดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างม้งที่มีสภาพเศรษฐกิจสมัยใหม่กับชุมชนที่เป็นแบบดั้งเดิม ผ่านชุมชนม้ง 2 แห่งใน จ.น่าน เป็นชุมชนแบบใหม่ 1 แห่งและแบบเก่า 1 แห่ง สัมภาษณ์ประชากรอายุระหว่าง 15-44 ปี ทั้งชายและหญิงที่สมรสและยังไม่ได้สมรส ใช้ตัวอย่างชุมชนละ 150 คน ผลการวิจัยพบว่าสตรีม้งที่สมรสและสิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์แล้วมีบุตรที่เกิดรอด 7 คน บุตรมีชีวิต 6 คน เสียชีวิต 1 คน มีบุตรในอุดมคติ 1 คน ส่วนบุตรในอุดมคติของม้งโดยเฉลี่ยทั้งหมดเท่ากับ 4.13 คน แยกเป็นชุมชนแบบใหม่มีจำนวนบุตรในอุดมคติคือ 3.97 คน ส่วนในชุมชนแบบเก่าคือ 4.65 คน ชุมชนม้งแบบดั้งเดิมมีจำนวนบุตรในอุดมคติมากกว่าชุมชนม้งแบบใหม่ เพราะชุมชนม้งแบบดั้งเดิมประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก ม้งยิ่งมีอายุมากขึ้นความต้องการมีบุตรในอุดมคติก็จะยิ่งมีมากขึ้นเพราะการไม่ได้รับการศึกษา ม้งที่ยังเป็นโสดมีบุตรในอุดมคติน้อยกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว เพราะกลุ่มที่ยังเป็นโสดได้รับการศึกษาและประสบปัญหาการประกอบอาชีพมากกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว ในชุมชนแบบใหม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชุมชนแบบเก่า ความต้องการมีบุตรในอุดมคติมีน้อยกว่าชุมชนแบบเก่าเพราะการศึกษาที่มีมากกว่าและสภาพสังคมที่บีบรัด ในชุมชนแบบใหม่ที่มีขนาดของที่ดินทำกินมาก ความต้องการมีบุตรก็จะมากขึ้นด้วย ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมยิ่งมีขนาดที่ดินมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะมีบุตรในอุดมคติน้อยลง ยิ่งม้งมีความสามารถใช้ภาษาไทยมากขึ้นเท่าไหร่ความต้องการบุตรในอุดมคติยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะมีโอกาสใกล้ชิดแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวผ่านทางสื่อมวลชน โดยสรุปตัวแปรที่มีอิทธิพลกำหนดจำนวนบุตรในอุดมคติมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ อายุ ความสามารถในการใช้ภาษาไทย ลักษณะของชุมชน ขนาดของที่ดินทำกิน ฐานะของครัวเรือน ส่วนเพศ สถานภาพสมรสและจำนวนคนในครัวเรือนมีอิทธิพลน้อยมาก

Focus

ศึกษาจำนวนบุตรในอุดมคติของม้งและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ (อายุ เพศ สถานภาพสมรส จำนวนคนในครัวเรือน ฐานะของครัวเรือน ขนาดของที่ดินทำกิน ความสามารถในการใช้ภาษาไทย) ที่มีกับจำนวนบุตรในอุดมคติโดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างม้งที่มีสภาพเศรษฐกิจสมัยใหม่กับชุมชนที่เป็นแบบดั้งเดิม (หน้า ก, 5, 16, 80-81)

Theoretical Issues

ไม่ปรากฏ

Ethnic Group in the Focus

ศึกษาชุมชนม้ง 2 แห่งใน จ.น่าน เป็นชุมชนแบบใหม่ 1 แห่งและแบบเก่า 1 แห่ง โดยมี บ้าน ก. ต.ศิลาแลง อ.ปัว จ.น่าน เป็นตัวแทนของชุมชนแบบใหม่ ส่วน บ้านข. ต.ศรีภูมิ อ.ท่าวังผา จ.น่าน เป็นตัวแทนของชุมชนแบบเก่า โดยสัมภาษณ์ประชากรที่มีอายุระหว่าง 15-44 ปี ทั้งชายและหญิงทั้งที่สมรสและยังไม่ได้สมรส ใช้ตัวอย่างชุมชนละ 150 คน (หน้า ก, 20, 22, 80-81)

Language and Linguistic Affiliations

ม้งไม่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเอง แต่ก็มีความพยายามคิดค้นตัวอักษรของม้งอยู่ตลอดเวลา ตัวอักษรที่เป็นที่นิยมและใช้อย่างแพร่หลายคือระบบที่ใช้ตัวอักษรโรมันที่คิดค้นขึ้นในปี พ.ศ.2495 อย่างไรก็ตามภาษาของม้งที่ใช้ในไทยแบ่งออกเป็น 2 ภาษาถิ่นคือภาษาที่ใช้โดยม้ง (น)จั๊ว และภาษาที่ใช้โดยม้งเด๊อและม้งกั่วบ๊า ภาษาม้งเป็นภาษาที่เป็นคำโดดมีพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ การเรียงคำคล้ายภาษาไทยคือประธาน กริยา กรรม (หน้า 31-32) ความสามารถใช้ภาษาไทยของกลุ่มตัวอย่าง ในชุมชนแบบใหม่มีความสามารถในการใช้ภาษาไทยมากกว่าม้งที่อาศัยในชุมชนแบบเก่า เพราะมีโอกาสติดต่อกับคนพื้นราบและได้โอกาสทางการศึกษามากกว่า (หน้า 50)

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยระบุว่าช่วงเวลาสัมภาษณ์และเก็บข้อมูล คือ เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน พ.ศ.2530 (หน้า 20)

History of the Group and Community

จากนิทานปรัมปรา ระบุว่าเดิมบรรพบุรุษของม้งอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า "ดินแดนอันเงียบสงบทางขั้วโลกเหนือ" มีรัฐบาลปกครองตนเอง ต่อมาเมื่อถูกรุกรานจึงอพยพลงมาทางใต้สู่ไซบีเรีย มองโกเลีย จีนแผ่นดินใหญ่ที่ฮูนาน (Hunan) แถบลุ่มน้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซี หลังจากนั้นก็ถูกพวกฮั่นรุกรานจนต้องอพยพลงมาทางใต้สู่ประเทศเวียดนาม (เมืองหนองเฮต - Nong Het) ลาว (เมืองซำเหนือ - Samneua และเมืองพงสาลี - Phongsaly) พม่าและไทยตามลำดับ สำหรับม้งในลาวนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นระบอบสังคมนิยมในปี พ.ศ.2518 ม้งก็ได้อพยพไปยังประเทศที่ 3 เช่น ไทย ออสเตรเลีย อาร์เจนติน่า กียาน่า ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศสและอิตาลี เป็นต้น ส่วนม้งในประเทศไทยเริ่มอพยพเข้ามาเมื่อปี พ.ศ. 2387-2417 โดยเข้ามาทาง จ.เชียงราย น่าน และเลย ก่อนจะกระจายไปสู่จังหวัดต่างๆ ในแถบภาคเหนือตอนล่าง ม้งในไทยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย 3 กลุ่ม คือ (1) ม้ง (น)จั๊ว (Moob ntsuab) ม้งน้ำเงินหรือม้งเขียว (2) ฮม้ง เด๊อ (Hmoob dawb) ม้งขาว (3) ฮม้ง กั่วบ๊า (Hmoob quas npab) ม้งแขนปล้องหรือม้งแขนลาย (หน้า 25-30) บ้าน ก. ก่อตั้งขึ้นประมาณปี พ.ศ.2511 เดิมเป็นศูนย์อพยพชาวไทยภูเขาที่หลบภัยจากสงครามคอมมิวนิสต์ หมู่บ้านนี้จึงมีชาวเขาเผ่าอื่นนอกจากม้งคือเย้าและถิ่น (หน้า 42) บ้าน ข. ก่อตั้งขึ้นประมาณปีพ.ศ.2505 (หน้า 44)

Settlement Pattern

ม้งมักตั้งถิ่นฐานอยู่บนเทือกเขาสูงตั้งแต่ 3,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเลที่อากาศหนาวเย็นในประเทศต่างๆ ทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย โดยจะตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านอย่างน้อย 10 หลังคาเรือนขึ้นไป ขนาดของหมู่บ้านขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินทำกิน ไร่ของม้งมักอยู่ไกลจากหมู่บ้านจึงต้องสร้างกระท่อมในไร่เป็นที่อยู่ชั่วคราว บ้านของม้งจะตั้งอยู่ใกล้กัน ลักษณะของบ้านจะคร่อมบนพื้นดินที่ทุบแน่นปลูกแบบง่ายๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยมชั้นเดียว ใช้วัสดุหาง่ายในท้องถิ่นก่อสร้าง ทุกบ้านไม่มีหน้าต่างเพราะปลูกอยู่บนเขาสูง ใกล้ตัวบ้านจะเป็นพื้นที่เอาไว้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น ม้า หมู ไก่ (หน้า 24, 32-34)

Demography

จากสถิติของสถาบันวิจัยชาวเขาในปีพ.ศ.2530 ประชากรม้งมีทั้งหมด 230 หมู่บ้าน 10,059 หลังคาเรือน จำนวนประชากรทั้งหมด 82,310 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 15.10 ของประชากรชาวไทยภูเขาทั้งหมด นอกจากนี้จำนวนประชากรม้งยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากอัตราการเกิดร้อยละ 4.9 ต่อปี ในขณะที่อัตราการตายมีเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปี ทำให้ม้งวัยทำงาน (อายุ 15-59 ปี) ทุก 100 คน ต้องรับภาระเลี้ยงดูเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปีถึง 111.8 คน ขนาดของครัวเรือนของม้งมีจำนวนเฉลี่ย 10.2 คน ส่วนจำนวนบุตรในแต่ละครอบครัวมีเฉลี่ย 5.2 คน (หน้า 2-3, 29-30) บ้าน ก. ชุมชนของม้งมีจำนวน 111 หลังคาเรือน 226 ครอบครัว จำนวนประชากรทั้งหมด 1,042 คน (หน้า 42-43) บ้าน ข. เป็นชุมชนม้งทั้งหมดมี 78 หลังคาเรือน 117 ครอบครัว ประชากรทั้งหมด 649 คน เป็นชาย 143 คน หญิง 135 คน เด็กชาย 180 คน เด็กหญิง 191 คน (หน้า 44) ลักษณะประชากรของกลุ่มตัวอย่าง (1) เพศ จากกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 หมู่บ้านจำนวน 300 ราย สัดส่วนเพศหญิงและชายใกล้เคียงกันคือ ชายร้อยละ 50 หญิงร้อยละ 50 (2) อายุ กลุ่มตัวอย่างที่เลือกมาคืออายุระหว่าง 15-44 ปี โดยกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปีมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาคือ 35-44 ปี (3) จำนวนคนในครัวเรือน ในชุมชนแบบใหม่มีจำนวนคนในครัวเรือนเฉลี่ย 11.13 คน ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมมีจำนวนคนเฉลี่ย 9.87 คน (หน้า 45-49)

Economy

ม้งเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ผลิตเพื่อยังชีพภายในครัวเรือน ไม่มีระบบตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า การมีปริมาณผลผลิตมากๆ จึงเป็นเครื่องชี้วัดฐานะทางสังคมได้รูปแบบหนึ่ง ดังนั้นแต่ละครัวเรือนจึงจำเป็นต้องมีแรงงานในครัวเรือนเป็นจำนวนมากในการผลิต การหาแรงงานนอกครัวเรือนแทบจะไม่มี จึงเป็นสาเหตุให้ม้งมีค่านิยมการมีบุตรมาก (หน้า 36-37) อาชีพหลักของม้งคือการเพาะปลูกและต้องมีไร่อย่างน้อย 2 แห่งเอาไว้ปลูกข้าวเพื่อบริโภคและปลูกข้าวโพดไว้เลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันรัฐบาลได้เข้าไปส่งเสริมให้ม้งปลูกพืชเศรษฐกิจเมืองหนาวมากขึ้น นอกจากนี้ม้งยังเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั้งเป็นอาหาร เครื่องเซ่นไหว้และนำไปขาย เช่น หมู ไก่ ควาย แพะ แกะ เป็นต้น (หน้า 39-41) บ้าน ก. ประชากรร้อยละ 74 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม (ทำไร่ สวนผลไม้ ทำนา เลี้ยงสัตว์) ร้อยละ 10 มีอุตสาหกรรมในครัวเรือน (ทำเครื่องประดับ กำไลข้อมือ แหวนและสร้อย) ร้อยละ 2.5 รับราชการ ร้อยละ 2 ค้าขาย ร้อยละ 1.5 รับจ้าง นอกจากนั้นไม่มีอาชีพ (หน้า 43) บ้าน ข. ทุกครัวเรือนประกอบอาชีพเกษตรกรรม (ข้าวโพด มันสำปะหลัง และขิง) และเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ชาวบ้านยังนิยมหาของป่า ล่าสัตว์ป่าและเย็บปักถักร้อย (หน้า 44-45) ขนาดที่ดินทำกินของกลุ่มตัวอย่าง ในชุมชนแบบใหม่มีขนาดของที่ดินทำกินเฉลี่ย 11.85 ไร่ ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมมีขนาดของที่ดินทำกินเฉลี่ย 31.19 ไร่ เพราะชุมชนดั้งเดิมเป็นสังคมที่ห่างไกลจากสังคมอื่นจึงสามารถจับจองที่ดินได้มากกว่า (หน้า 50)

Social Organization

ผู้ชายม้งสามารถมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ภรรยาทุกคนได้รับการยอมรับจากสามีและสังคมอย่างเสมอภาคกันและอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน ครอบครัวจึงเป็นแบบขยายแต่ภรรยาคนแรกมักแยกครัวเรือนออกไปอยู่ต่างหากหลังจากลูกโตแล้วเพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหมู่ภรรยาด้วยกัน บิดามีอำนาจสูงสุดในครอบครัว ถ้าหากบิดาเสียชีวิตอำนาจนั้นก็จะตกมาสู่บุตรชายคนโตต่อไป (หน้า 37-38, 62) สถานภาพสมรสของกลุ่มตัวอย่าง ทั้ง 2 ชุมชนส่วนใหญ่จะสมรสแล้ว แต่ชุมชนแบบดั้งเดิมมีกลุ่มตัวอย่างที่เป็นโสดน้อยเพราะแต่งงานเร็ว ส่วนในชุมชนแบบใหม่คนหนุ่มสาวต้องใช้เวลากับการศึกษาจึงสมรสช้า (หน้า 47)

Political Organization

ก่อนที่ราชการจะเข้ามาจัดรูปแบบการปกครอง ม้งจะปกครองโดยผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลในหมู่บ้าน แต่หลังจากที่ราชการเข้ามาจัดรูปแบบการปกครองใหม่ก็มีการตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธานที่ราชการแต่งตั้งให้ดูแลหมู่บ้าน เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะตัดสินกันเองโดยใช้กฎระเบียบของเผ่า จะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปดำเนินการ เว้นแต่ว่าตัดสินกันเองแล้วไม่เป็นที่พอใจของคู่กรณีก็จะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการ (หน้า 38-39)

Belief System

ม้งนับถือผี (Animism) และบรรพบุรุษ (Ancestor Worship) โดยผีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติและมนุษย์ให้ทั้งคุณและโทษ ผีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ (1) ผีบรรพบุรุษ คุ้มครองและติดตามบุคคลไปทุกแห่ง (2) ผีบ้าน เป็นผีที่คุ้มครองสมาชิกในครัวเรือนให้มีความสุข ต้องคอยบูชาอยู่เสมอ (3) ผีป่า เป็นผีร้ายที่ทักทำให้เกิดการเจ็บป่วย ภัยพิบัติต่างๆ นอกจากนี้ม้งยังมีความเชื่อเรื่องขวัญซึ่งเป็นวิญญาณที่อยู่ในมนุษย์ หากตกใจหรือกลัว ขวัญจะออกจากร่าง ต้องทำพิธีเรียกขวัญกลับคืนมา ประเพณีที่สำคัญของม้งคือประเพณีปีใหม่จะจัดขึ้นในวันขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 3 ค่ำ เดือน 1 หรือ 2 ทางจันทรคติ จะมีพิธีกรรมทางศาสนาเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีการฉลองกันของคนในหมู่บ้าน (หน้า 34 - 36)

Education and Socialization

บ้าน ก. มีโรงเรียนเปิดสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 นักเรียนส่วนใหญ่มาจากหมู่บ้านนี้และใกล้เคียง ประชากรอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไปของชุมชนนี้สามารถอ่าน-เขียนภาษาไทยได้ร้อยละ 54 ในจำนวนนี้จบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 21 มัธยมศึกษาร้อยละ 64 และอาชีวศึกษา วิทยาลัย มหาวิทยาลัยร้อยละ 15 (หน้า 43) บ้าน ข. โรงเรียนในชุมชนก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2522 แต่เป็นการศึกษาในระบบผู้ใหญ่ภาคค่ำ จนถึงปี พ.ศ. 2524 จึงจัดตั้งโรงเรียนที่เปิดสอนในภาคกลางวันจนถึงปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 มีนักเรียน 112 คน เป็นจำนวนร้อยละ 80 ของเด็กในชุมชนนี้ นอกจากนั้นต้องไปช่วยผู้ปกครองทำงานในไร่ (หน้า 44)

Health and Medicine

ไม่ปรากฏ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ปรากฏ

Folklore

ไม่ปรากฏ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งมักถูกคนชาติอื่นเรียกในชื่อต่างๆ กัน เช่น "เหมียว" "เมี้ยว" และ "แม้ว" แปลว่าคนป่าหรือคนเถื่อน แต่ม้งต้องการให้เรียกว่า "ม้ง" หรือ "ฮม้ง" ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่ม้งใช้เรียกตัวเอง (หน้า 24)

Social Cultural and Identity Change

ไม่ปรากฏ

Other Issues

จำนวนบุตรในอุดมคติ สตรีม้งที่สมรสและสิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์แล้วมีบุตรที่เกิดรอด 7 คน บุตรมีชีวิต 6 คน เสียชีวิต 1 คน มีบุตรในอุดมคติ 1 คน ส่วนบุตรในอุดมคติของม้งโดยเฉลี่ยทั้งหมดเท่ากับ 4.13 คน แยกเป็นชุมชนแบบใหม่มีจำนวนบุตรในอุดมคติคือ 3.97 คน ส่วนในชุมชนแบบเก่าคือ 4.65 คน (หน้า 51-53, 81) (1) ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของชุมชนกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ชุมชนม้งแบบดั้งเดิมมีจำนวนบุตรในอุดมคติมากกว่าชุมชนม้งแบบใหม่ เพราะชุมชนม้งแบบดั้งเดิมประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก และยังขาดการพัฒนาด้านการศึกษาและสุขอนามัย (หน้า 54-55 , 82) (2) ความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ม้งที่มีอายุระหว่าง 15-34 ปี มีบุตรในอุดมคติ 3-4 คน ส่วนกลุ่มที่มีอายุ 35-44 ปีมีบุตรในอุดมคติ 5-6 คน ทั้งนี้มาจากกลุ่มประชากรที่มีอายุมากไม่ได้รับการศึกษาจึงไม่มีความรู้ด้านเพศศึกษาและต้องการแรงงานเพื่อทำเกษตรกรรม (หน้า 55-57, 82) (3) ความสัมพันธ์ระหว่างเพศกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ทั้งเพศหญิงและชายต้องการบุตรในอุดมคติไม่ต่างกันคือ 3-4 คน แต่เพศหญิงมีแนวโน้มที่ต้องการมีบุตรมากกว่าเพศชาย เพราะการศึกษาในสังคมม้งของเพศหญิงที่น้อยกว่า ขณะเดียวกันเพศชายเป็นกำลังหลักในการทำงานจึงเห็นปัญหาของการมีบุตรมาก (หน้า 58 - 60 , 82) (4) ความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพสมรสกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ม้งที่ยังเป็นโสดมีบุตรในอุดมคติน้อยกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว เพราะกลุ่มที่ยังเป็นโสดได้รับการศึกษาและประสบปัญหาการประกอบอาชีพมากกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว และความต้องการมีบุตรในอุดมคติของม้งที่อยู่ในชุมชนแบบใหม่มีน้อยกว่าชุมชนที่มีลักษณะดั้งเดิม ทั้งนี้เพราะม้งที่อยู่ในชุมชนแบบใหม่ได้รับการศึกษาทำให้เรียนรู้จักวิธีการวางแผนครอบครัวมากกว่า (หน้า 60-62, 82) (5) ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนคนในครัวเรือนกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะมีสมาชิกในครัวเรือนมากหรือน้อยต่างก็ต้องการมีจำนวนบุตรในอุดมคติ 3-4 คน ดังนั้นจำนวนสมาชิกในครัวเรือนไม่ว่ามากหรือน้อยจึงไม่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตรในอุดมคติ (หน้า 62-64, 82-83) (6) ความสัมพันธ์ระหว่างฐานะของครัวเรือนกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ในชุมชนแบบใหม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชุมชนแบบเก่า ความต้องการมีบุตรในอุดมคติมีน้อยกว่าชุมชนแบบเก่าเพราะการศึกษาที่มีมากกว่าและสภาพสังคมที่บีบรัด ขณะที่ชุมชนแบบเก่ายังคงต้องการแรงงานเพื่อการเกษตรจึงต้องการมีบุตรมาก (หน้า 64-66, 83) (7) ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของที่ดินทำกินกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ในชุมชนแบบใหม่ที่มีขนาดของที่ดินทำกินมาก ความต้องการมีบุตรก็จะมากขึ้นด้วย ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมยิ่งมีขนาดที่ดินมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะมีบุตรในอุดมคติน้อยลง (หน้า 66-69, 83) (8) ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการใช้ภาษาไทยกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ยิ่งม้งมีความสามารถใช้ภาษาไทยมากขึ้นเท่าไหร่ความต้องการบุตรในอุดมคติยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะมีโอกาสใกล้ชิดแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวผ่านทางสื่อมวลชน (หน้า 69-72, 83) ตัวแปรที่มีอิทธิพลกำหนดจำนวนบุตรในอุดมคติมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ อายุ ความสามารถในการใช้ภาษาไทย ลักษณะของชุมชน ขนาดของที่ดินทำกิน ฐานะของครัวเรือน ส่วนเพศ สถานภาพสมรสและจำนวนคนในครัวเรือนมีอิทธิพลน้อยมาก (หน้า 72-79, 83-84)

Map/Illustration

งานวิจัยชิ้นนี้นำเสนอตารางและแผนภาพประกอบงานวิจัยที่ช่วยสร้างความเข้าใจในแง่มุมต่างๆ ของงานวิจัยให้มากยิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงจำนวนประชากรชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง (ตารางที่ 3.2 หน้า 29) ตารางแสดงร้อยละของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งจำแนกตามความสามารถในการใช้ภาษาไทยและจำนวนบุตรในอุดมคติ (ตารางที่ 5.14 หน้า 70) แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนบุตรในอุดมคติ บุตรเกิดรอดและบุตรมีชีวิต (แผนภาพที่ 1 หน้า 7) แผนภาพแสดงปฏิทินการเกษตรในรอบปีของคนม้ง (แผนภาพที่ 4 หน้า 40)

Text Analyst สิทธิพร จรดล Date of Report 13 มี.ค 2550
TAG ม้ง, เงื่อนไขทางสังคม, น่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง