|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,เงื่อนไขทางสังคม,น่าน |
Author |
ประสิทธิ์ ฤทธิ์เนติกุล |
Title |
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตรในอุดมคติของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง : ศึกษาเฉพาะกรณีจังหวัดน่าน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยมหิดล, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
85 |
Year |
2531 |
Source |
หลักสูตรปริญญาสังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจัยประชากรและสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาจำนวนบุตรในอุดมคติของม้งและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ (อายุ เพศ สถานภาพสมรส จำนวนคนในครัวเรือน ฐานะของครัวเรือน ขนาดของที่ดินทำกิน ความสามารถในการใช้ภาษาไทย) ที่มีกับจำนวนบุตรในอุดมคติโดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างม้งที่มีสภาพเศรษฐกิจสมัยใหม่กับชุมชนที่เป็นแบบดั้งเดิม ผ่านชุมชนม้ง 2 แห่งใน จ.น่าน เป็นชุมชนแบบใหม่ 1 แห่งและแบบเก่า 1 แห่ง
สัมภาษณ์ประชากรอายุระหว่าง 15-44 ปี ทั้งชายและหญิงที่สมรสและยังไม่ได้สมรส ใช้ตัวอย่างชุมชนละ 150 คน ผลการวิจัยพบว่าสตรีม้งที่สมรสและสิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์แล้วมีบุตรที่เกิดรอด 7 คน บุตรมีชีวิต 6 คน เสียชีวิต 1 คน มีบุตรในอุดมคติ 1 คน ส่วนบุตรในอุดมคติของม้งโดยเฉลี่ยทั้งหมดเท่ากับ 4.13 คน แยกเป็นชุมชนแบบใหม่มีจำนวนบุตรในอุดมคติคือ 3.97 คน ส่วนในชุมชนแบบเก่าคือ 4.65 คน ชุมชนม้งแบบดั้งเดิมมีจำนวนบุตรในอุดมคติมากกว่าชุมชนม้งแบบใหม่ เพราะชุมชนม้งแบบดั้งเดิมประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก ม้งยิ่งมีอายุมากขึ้นความต้องการมีบุตรในอุดมคติก็จะยิ่งมีมากขึ้นเพราะการไม่ได้รับการศึกษา ม้งที่ยังเป็นโสดมีบุตรในอุดมคติน้อยกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว เพราะกลุ่มที่ยังเป็นโสดได้รับการศึกษาและประสบปัญหาการประกอบอาชีพมากกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว ในชุมชนแบบใหม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชุมชนแบบเก่า ความต้องการมีบุตรในอุดมคติมีน้อยกว่าชุมชนแบบเก่าเพราะการศึกษาที่มีมากกว่าและสภาพสังคมที่บีบรัด
ในชุมชนแบบใหม่ที่มีขนาดของที่ดินทำกินมาก ความต้องการมีบุตรก็จะมากขึ้นด้วย ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมยิ่งมีขนาดที่ดินมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะมีบุตรในอุดมคติน้อยลง ยิ่งม้งมีความสามารถใช้ภาษาไทยมากขึ้นเท่าไหร่ความต้องการบุตรในอุดมคติยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะมีโอกาสใกล้ชิดแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวผ่านทางสื่อมวลชน โดยสรุปตัวแปรที่มีอิทธิพลกำหนดจำนวนบุตรในอุดมคติมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ อายุ ความสามารถในการใช้ภาษาไทย ลักษณะของชุมชน ขนาดของที่ดินทำกิน ฐานะของครัวเรือน ส่วนเพศ สถานภาพสมรสและจำนวนคนในครัวเรือนมีอิทธิพลน้อยมาก |
|
Focus |
ศึกษาจำนวนบุตรในอุดมคติของม้งและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ (อายุ เพศ สถานภาพสมรส จำนวนคนในครัวเรือน ฐานะของครัวเรือน ขนาดของที่ดินทำกิน ความสามารถในการใช้ภาษาไทย) ที่มีกับจำนวนบุตรในอุดมคติโดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างม้งที่มีสภาพเศรษฐกิจสมัยใหม่กับชุมชนที่เป็นแบบดั้งเดิม (หน้า ก, 5, 16, 80-81) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาชุมชนม้ง 2 แห่งใน จ.น่าน เป็นชุมชนแบบใหม่ 1 แห่งและแบบเก่า 1 แห่ง โดยมี
บ้าน ก. ต.ศิลาแลง อ.ปัว จ.น่าน เป็นตัวแทนของชุมชนแบบใหม่
ส่วน บ้านข. ต.ศรีภูมิ อ.ท่าวังผา จ.น่าน เป็นตัวแทนของชุมชนแบบเก่า โดยสัมภาษณ์ประชากรที่มีอายุระหว่าง 15-44 ปี ทั้งชายและหญิงทั้งที่สมรสและยังไม่ได้สมรส ใช้ตัวอย่างชุมชนละ 150 คน (หน้า ก, 20, 22, 80-81) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งไม่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเอง แต่ก็มีความพยายามคิดค้นตัวอักษรของม้งอยู่ตลอดเวลา ตัวอักษรที่เป็นที่นิยมและใช้อย่างแพร่หลายคือระบบที่ใช้ตัวอักษรโรมันที่คิดค้นขึ้นในปี พ.ศ.2495 อย่างไรก็ตามภาษาของม้งที่ใช้ในไทยแบ่งออกเป็น 2 ภาษาถิ่นคือภาษาที่ใช้โดยม้ง (น)จั๊ว และภาษาที่ใช้โดยม้งเด๊อและม้งกั่วบ๊า ภาษาม้งเป็นภาษาที่เป็นคำโดดมีพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ การเรียงคำคล้ายภาษาไทยคือประธาน กริยา กรรม (หน้า 31-32)
ความสามารถใช้ภาษาไทยของกลุ่มตัวอย่าง ในชุมชนแบบใหม่มีความสามารถในการใช้ภาษาไทยมากกว่าม้งที่อาศัยในชุมชนแบบเก่า เพราะมีโอกาสติดต่อกับคนพื้นราบและได้โอกาสทางการศึกษามากกว่า (หน้า 50) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยระบุว่าช่วงเวลาสัมภาษณ์และเก็บข้อมูล คือ เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน พ.ศ.2530 (หน้า 20) |
|
History of the Group and Community |
จากนิทานปรัมปรา ระบุว่าเดิมบรรพบุรุษของม้งอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า "ดินแดนอันเงียบสงบทางขั้วโลกเหนือ" มีรัฐบาลปกครองตนเอง ต่อมาเมื่อถูกรุกรานจึงอพยพลงมาทางใต้สู่ไซบีเรีย มองโกเลีย จีนแผ่นดินใหญ่ที่ฮูนาน (Hunan) แถบลุ่มน้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซี หลังจากนั้นก็ถูกพวกฮั่นรุกรานจนต้องอพยพลงมาทางใต้สู่ประเทศเวียดนาม (เมืองหนองเฮต - Nong Het) ลาว (เมืองซำเหนือ - Samneua และเมืองพงสาลี - Phongsaly) พม่าและไทยตามลำดับ
สำหรับม้งในลาวนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นระบอบสังคมนิยมในปี พ.ศ.2518 ม้งก็ได้อพยพไปยังประเทศที่ 3 เช่น ไทย ออสเตรเลีย อาร์เจนติน่า กียาน่า ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศสและอิตาลี เป็นต้น ส่วนม้งในประเทศไทยเริ่มอพยพเข้ามาเมื่อปี พ.ศ. 2387-2417 โดยเข้ามาทาง จ.เชียงราย น่าน และเลย ก่อนจะกระจายไปสู่จังหวัดต่างๆ ในแถบภาคเหนือตอนล่าง
ม้งในไทยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย 3 กลุ่ม คือ
(1) ม้ง (น)จั๊ว (Moob ntsuab) ม้งน้ำเงินหรือม้งเขียว
(2) ฮม้ง เด๊อ (Hmoob dawb) ม้งขาว
(3) ฮม้ง กั่วบ๊า (Hmoob quas npab) ม้งแขนปล้องหรือม้งแขนลาย (หน้า 25-30)
บ้าน ก. ก่อตั้งขึ้นประมาณปี พ.ศ.2511 เดิมเป็นศูนย์อพยพชาวไทยภูเขาที่หลบภัยจากสงครามคอมมิวนิสต์ หมู่บ้านนี้จึงมีชาวเขาเผ่าอื่นนอกจากม้งคือเย้าและถิ่น (หน้า 42)
บ้าน ข. ก่อตั้งขึ้นประมาณปีพ.ศ.2505 (หน้า 44) |
|
Settlement Pattern |
ม้งมักตั้งถิ่นฐานอยู่บนเทือกเขาสูงตั้งแต่ 3,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเลที่อากาศหนาวเย็นในประเทศต่างๆ ทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย โดยจะตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านอย่างน้อย 10 หลังคาเรือนขึ้นไป ขนาดของหมู่บ้านขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินทำกิน ไร่ของม้งมักอยู่ไกลจากหมู่บ้านจึงต้องสร้างกระท่อมในไร่เป็นที่อยู่ชั่วคราว
บ้านของม้งจะตั้งอยู่ใกล้กัน ลักษณะของบ้านจะคร่อมบนพื้นดินที่ทุบแน่นปลูกแบบง่ายๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยมชั้นเดียว ใช้วัสดุหาง่ายในท้องถิ่นก่อสร้าง ทุกบ้านไม่มีหน้าต่างเพราะปลูกอยู่บนเขาสูง ใกล้ตัวบ้านจะเป็นพื้นที่เอาไว้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น ม้า หมู ไก่ (หน้า 24, 32-34) |
|
Demography |
จากสถิติของสถาบันวิจัยชาวเขาในปีพ.ศ.2530 ประชากรม้งมีทั้งหมด 230 หมู่บ้าน 10,059 หลังคาเรือน จำนวนประชากรทั้งหมด 82,310 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 15.10 ของประชากรชาวไทยภูเขาทั้งหมด นอกจากนี้จำนวนประชากรม้งยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากอัตราการเกิดร้อยละ 4.9 ต่อปี ในขณะที่อัตราการตายมีเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปี ทำให้ม้งวัยทำงาน (อายุ 15-59 ปี) ทุก 100 คน ต้องรับภาระเลี้ยงดูเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปีถึง 111.8 คน ขนาดของครัวเรือนของม้งมีจำนวนเฉลี่ย 10.2 คน ส่วนจำนวนบุตรในแต่ละครอบครัวมีเฉลี่ย 5.2 คน (หน้า 2-3, 29-30)
บ้าน ก. ชุมชนของม้งมีจำนวน 111 หลังคาเรือน 226 ครอบครัว จำนวนประชากรทั้งหมด 1,042 คน (หน้า 42-43)
บ้าน ข. เป็นชุมชนม้งทั้งหมดมี 78 หลังคาเรือน 117 ครอบครัว ประชากรทั้งหมด 649 คน เป็นชาย 143 คน หญิง 135 คน เด็กชาย 180 คน เด็กหญิง 191 คน (หน้า 44)
ลักษณะประชากรของกลุ่มตัวอย่าง
(1) เพศ จากกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 หมู่บ้านจำนวน 300 ราย สัดส่วนเพศหญิงและชายใกล้เคียงกันคือ ชายร้อยละ 50 หญิงร้อยละ 50
(2) อายุ กลุ่มตัวอย่างที่เลือกมาคืออายุระหว่าง 15-44 ปี โดยกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปีมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาคือ 35-44 ปี
(3) จำนวนคนในครัวเรือน ในชุมชนแบบใหม่มีจำนวนคนในครัวเรือนเฉลี่ย 11.13 คน ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมมีจำนวนคนเฉลี่ย 9.87 คน (หน้า 45-49) |
|
Economy |
ม้งเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ผลิตเพื่อยังชีพภายในครัวเรือน ไม่มีระบบตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า การมีปริมาณผลผลิตมากๆ จึงเป็นเครื่องชี้วัดฐานะทางสังคมได้รูปแบบหนึ่ง ดังนั้นแต่ละครัวเรือนจึงจำเป็นต้องมีแรงงานในครัวเรือนเป็นจำนวนมากในการผลิต การหาแรงงานนอกครัวเรือนแทบจะไม่มี จึงเป็นสาเหตุให้ม้งมีค่านิยมการมีบุตรมาก (หน้า 36-37)
อาชีพหลักของม้งคือการเพาะปลูกและต้องมีไร่อย่างน้อย 2 แห่งเอาไว้ปลูกข้าวเพื่อบริโภคและปลูกข้าวโพดไว้เลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันรัฐบาลได้เข้าไปส่งเสริมให้ม้งปลูกพืชเศรษฐกิจเมืองหนาวมากขึ้น นอกจากนี้ม้งยังเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั้งเป็นอาหาร เครื่องเซ่นไหว้และนำไปขาย เช่น หมู ไก่ ควาย แพะ แกะ เป็นต้น (หน้า 39-41)
บ้าน ก. ประชากรร้อยละ 74 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม (ทำไร่ สวนผลไม้ ทำนา เลี้ยงสัตว์) ร้อยละ 10 มีอุตสาหกรรมในครัวเรือน (ทำเครื่องประดับ กำไลข้อมือ แหวนและสร้อย) ร้อยละ 2.5 รับราชการ ร้อยละ 2 ค้าขาย ร้อยละ 1.5 รับจ้าง นอกจากนั้นไม่มีอาชีพ (หน้า 43)
บ้าน ข. ทุกครัวเรือนประกอบอาชีพเกษตรกรรม (ข้าวโพด มันสำปะหลัง และขิง) และเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ชาวบ้านยังนิยมหาของป่า ล่าสัตว์ป่าและเย็บปักถักร้อย (หน้า 44-45)
ขนาดที่ดินทำกินของกลุ่มตัวอย่าง ในชุมชนแบบใหม่มีขนาดของที่ดินทำกินเฉลี่ย 11.85 ไร่ ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมมีขนาดของที่ดินทำกินเฉลี่ย 31.19 ไร่ เพราะชุมชนดั้งเดิมเป็นสังคมที่ห่างไกลจากสังคมอื่นจึงสามารถจับจองที่ดินได้มากกว่า (หน้า 50) |
|
Social Organization |
ผู้ชายม้งสามารถมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ภรรยาทุกคนได้รับการยอมรับจากสามีและสังคมอย่างเสมอภาคกันและอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน ครอบครัวจึงเป็นแบบขยายแต่ภรรยาคนแรกมักแยกครัวเรือนออกไปอยู่ต่างหากหลังจากลูกโตแล้วเพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหมู่ภรรยาด้วยกัน บิดามีอำนาจสูงสุดในครอบครัว ถ้าหากบิดาเสียชีวิตอำนาจนั้นก็จะตกมาสู่บุตรชายคนโตต่อไป (หน้า 37-38, 62)
สถานภาพสมรสของกลุ่มตัวอย่าง ทั้ง 2 ชุมชนส่วนใหญ่จะสมรสแล้ว แต่ชุมชนแบบดั้งเดิมมีกลุ่มตัวอย่างที่เป็นโสดน้อยเพราะแต่งงานเร็ว ส่วนในชุมชนแบบใหม่คนหนุ่มสาวต้องใช้เวลากับการศึกษาจึงสมรสช้า (หน้า 47) |
|
Political Organization |
ก่อนที่ราชการจะเข้ามาจัดรูปแบบการปกครอง ม้งจะปกครองโดยผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลในหมู่บ้าน แต่หลังจากที่ราชการเข้ามาจัดรูปแบบการปกครองใหม่ก็มีการตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธานที่ราชการแต่งตั้งให้ดูแลหมู่บ้าน เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะตัดสินกันเองโดยใช้กฎระเบียบของเผ่า จะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปดำเนินการ เว้นแต่ว่าตัดสินกันเองแล้วไม่เป็นที่พอใจของคู่กรณีก็จะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการ (หน้า 38-39) |
|
Belief System |
ม้งนับถือผี (Animism) และบรรพบุรุษ (Ancestor Worship) โดยผีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติและมนุษย์ให้ทั้งคุณและโทษ ผีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
(1) ผีบรรพบุรุษ คุ้มครองและติดตามบุคคลไปทุกแห่ง
(2) ผีบ้าน เป็นผีที่คุ้มครองสมาชิกในครัวเรือนให้มีความสุข ต้องคอยบูชาอยู่เสมอ
(3) ผีป่า เป็นผีร้ายที่ทักทำให้เกิดการเจ็บป่วย ภัยพิบัติต่างๆ
นอกจากนี้ม้งยังมีความเชื่อเรื่องขวัญซึ่งเป็นวิญญาณที่อยู่ในมนุษย์ หากตกใจหรือกลัว ขวัญจะออกจากร่าง ต้องทำพิธีเรียกขวัญกลับคืนมา ประเพณีที่สำคัญของม้งคือประเพณีปีใหม่จะจัดขึ้นในวันขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 3 ค่ำ เดือน 1 หรือ 2 ทางจันทรคติ จะมีพิธีกรรมทางศาสนาเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีการฉลองกันของคนในหมู่บ้าน (หน้า 34 - 36) |
|
Education and Socialization |
บ้าน ก. มีโรงเรียนเปิดสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 นักเรียนส่วนใหญ่มาจากหมู่บ้านนี้และใกล้เคียง ประชากรอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไปของชุมชนนี้สามารถอ่าน-เขียนภาษาไทยได้ร้อยละ 54 ในจำนวนนี้จบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 21 มัธยมศึกษาร้อยละ 64 และอาชีวศึกษา วิทยาลัย มหาวิทยาลัยร้อยละ 15 (หน้า 43)
บ้าน ข. โรงเรียนในชุมชนก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2522 แต่เป็นการศึกษาในระบบผู้ใหญ่ภาคค่ำ จนถึงปี พ.ศ. 2524 จึงจัดตั้งโรงเรียนที่เปิดสอนในภาคกลางวันจนถึงปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 มีนักเรียน 112 คน เป็นจำนวนร้อยละ 80 ของเด็กในชุมชนนี้ นอกจากนั้นต้องไปช่วยผู้ปกครองทำงานในไร่ (หน้า 44) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งมักถูกคนชาติอื่นเรียกในชื่อต่างๆ กัน เช่น "เหมียว" "เมี้ยว" และ "แม้ว" แปลว่าคนป่าหรือคนเถื่อน แต่ม้งต้องการให้เรียกว่า "ม้ง" หรือ "ฮม้ง" ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่ม้งใช้เรียกตัวเอง (หน้า 24) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
จำนวนบุตรในอุดมคติ สตรีม้งที่สมรสและสิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์แล้วมีบุตรที่เกิดรอด 7 คน บุตรมีชีวิต 6 คน เสียชีวิต 1 คน มีบุตรในอุดมคติ 1 คน ส่วนบุตรในอุดมคติของม้งโดยเฉลี่ยทั้งหมดเท่ากับ 4.13 คน แยกเป็นชุมชนแบบใหม่มีจำนวนบุตรในอุดมคติคือ 3.97 คน ส่วนในชุมชนแบบเก่าคือ 4.65 คน (หน้า 51-53, 81)
(1) ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของชุมชนกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ชุมชนม้งแบบดั้งเดิมมีจำนวนบุตรในอุดมคติมากกว่าชุมชนม้งแบบใหม่ เพราะชุมชนม้งแบบดั้งเดิมประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก และยังขาดการพัฒนาด้านการศึกษาและสุขอนามัย (หน้า 54-55 , 82)
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ม้งที่มีอายุระหว่าง 15-34 ปี มีบุตรในอุดมคติ 3-4 คน ส่วนกลุ่มที่มีอายุ 35-44 ปีมีบุตรในอุดมคติ 5-6 คน ทั้งนี้มาจากกลุ่มประชากรที่มีอายุมากไม่ได้รับการศึกษาจึงไม่มีความรู้ด้านเพศศึกษาและต้องการแรงงานเพื่อทำเกษตรกรรม (หน้า 55-57, 82)
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างเพศกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ทั้งเพศหญิงและชายต้องการบุตรในอุดมคติไม่ต่างกันคือ 3-4 คน แต่เพศหญิงมีแนวโน้มที่ต้องการมีบุตรมากกว่าเพศชาย เพราะการศึกษาในสังคมม้งของเพศหญิงที่น้อยกว่า ขณะเดียวกันเพศชายเป็นกำลังหลักในการทำงานจึงเห็นปัญหาของการมีบุตรมาก (หน้า 58 - 60 , 82)
(4) ความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพสมรสกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ม้งที่ยังเป็นโสดมีบุตรในอุดมคติน้อยกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว เพราะกลุ่มที่ยังเป็นโสดได้รับการศึกษาและประสบปัญหาการประกอบอาชีพมากกว่ากลุ่มที่สมรสแล้ว และความต้องการมีบุตรในอุดมคติของม้งที่อยู่ในชุมชนแบบใหม่มีน้อยกว่าชุมชนที่มีลักษณะดั้งเดิม ทั้งนี้เพราะม้งที่อยู่ในชุมชนแบบใหม่ได้รับการศึกษาทำให้เรียนรู้จักวิธีการวางแผนครอบครัวมากกว่า (หน้า 60-62, 82)
(5) ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนคนในครัวเรือนกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะมีสมาชิกในครัวเรือนมากหรือน้อยต่างก็ต้องการมีจำนวนบุตรในอุดมคติ 3-4 คน ดังนั้นจำนวนสมาชิกในครัวเรือนไม่ว่ามากหรือน้อยจึงไม่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตรในอุดมคติ (หน้า 62-64, 82-83)
(6) ความสัมพันธ์ระหว่างฐานะของครัวเรือนกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ในชุมชนแบบใหม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชุมชนแบบเก่า ความต้องการมีบุตรในอุดมคติมีน้อยกว่าชุมชนแบบเก่าเพราะการศึกษาที่มีมากกว่าและสภาพสังคมที่บีบรัด ขณะที่ชุมชนแบบเก่ายังคงต้องการแรงงานเพื่อการเกษตรจึงต้องการมีบุตรมาก (หน้า 64-66, 83)
(7) ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของที่ดินทำกินกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ในชุมชนแบบใหม่ที่มีขนาดของที่ดินทำกินมาก ความต้องการมีบุตรก็จะมากขึ้นด้วย ส่วนชุมชนแบบดั้งเดิมยิ่งมีขนาดที่ดินมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะมีบุตรในอุดมคติน้อยลง (หน้า 66-69, 83)
(8) ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการใช้ภาษาไทยกับจำนวนบุตรในอุดมคติ ยิ่งม้งมีความสามารถใช้ภาษาไทยมากขึ้นเท่าไหร่ความต้องการบุตรในอุดมคติยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะมีโอกาสใกล้ชิดแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวผ่านทางสื่อมวลชน (หน้า 69-72, 83)
ตัวแปรที่มีอิทธิพลกำหนดจำนวนบุตรในอุดมคติมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ อายุ ความสามารถในการใช้ภาษาไทย ลักษณะของชุมชน ขนาดของที่ดินทำกิน ฐานะของครัวเรือน ส่วนเพศ สถานภาพสมรสและจำนวนคนในครัวเรือนมีอิทธิพลน้อยมาก (หน้า 72-79, 83-84) |
|
Map/Illustration |
งานวิจัยชิ้นนี้นำเสนอตารางและแผนภาพประกอบงานวิจัยที่ช่วยสร้างความเข้าใจในแง่มุมต่างๆ ของงานวิจัยให้มากยิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงจำนวนประชากรชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง (ตารางที่ 3.2 หน้า 29)
ตารางแสดงร้อยละของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งจำแนกตามความสามารถในการใช้ภาษาไทยและจำนวนบุตรในอุดมคติ (ตารางที่ 5.14 หน้า 70)
แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนบุตรในอุดมคติ บุตรเกิดรอดและบุตรมีชีวิต (แผนภาพที่ 1 หน้า 7)
แผนภาพแสดงปฏิทินการเกษตรในรอบปีของคนม้ง (แผนภาพที่ 4 หน้า 40) |
|
|