|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,วิถีชีวิต,โครงสร้างทางสังคม,มุกดาหาร |
Author |
รัตนาภรณ์ พัสดุ |
Title |
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวผู้ไทย ศึกษาเฉพาะกรณีกิ่งอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
173 |
Year |
2535 |
Source |
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
เศรษฐกิจดั้งเดิมของผู้ไทมีรากฐานจากการทำไร่ทำนาเป็นหลัก บริโภคอาหารที่เก็บหาจากธรรมชาติผสมผสานกับผลผลิตที่ได้จากการทำไร่นา ส่วนเสื้อผ้าก็นิยมทอใช้เอง หน่วยสังคมที่สำคัญของผู้ไท คือ ครอบครัวขยาย ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก และคู่สมรสของลูกๆ ซึ่งอาจมีทั้งสะใภ้และลูกเขย โดยที่ผู้อาวุโสฝ่ายชายจะเป็นผู้นำสำคัญของครอบครัว ครอบครัวหรือครัวเรือนหลายครัวเรือนตั้งถิ่นฐานรวมกันเป็นชุมชนหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำในการปกครองดูแล และมีสถาบันอื่น เช่น พระสงฆ์ และกรรมการหมู่บ้านร่วมดูแลชุมชนให้สงบสุข ในเรื่องความเชื่อ ผู้ไทนับถือพุทธศาสนาเหมือนคนไทยทั่วๆ ไป แต่ในขณะเดียวกันก็มีการนับถือผีตามความเชื่อดั้งเดิมด้วย ทำให้วิถีชีวิต ความเชื่อ และพิธีกรรมของผู้ไทมีเอกลักษณ์บางอย่าง เช่น พิธีเหยา อย่างไรก็ตาม ในชุมชนผู้ไทเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และความเชื่อ ทำให้ประเพณี พิธีกรรม และลักษณะความสัมพันธ์บางประการเริ่มเปลี่ยนแปลงไป |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตของชาวผู้ไทย กิ่งอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร อันได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค รวมถึงศึกษาโครงสร้างทางสังคมของชาวผู้ไทย ในด้านบรรทัดฐานทางสังคม ค่านิยม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ศาสนา ประเพณี ตลอดจนความเชื่อต่างๆ (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนสนใจศึกษาวิถีชีวิตของผู้ไทเฉพาะกิ่งอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร เนื่องจากบริเวณนี้มีผู้ไทอาศัยอยู่ถึงร้อยละ 98 และเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีขนาดใหญ่กว่าชุมชนอื่นทั้งหมด คือ มีผู้ไทถึง 84 หมู่บ้าน มีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเอง |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้ไทมีสำเนียงพูดและศัพท์เฉพาะของตนเอง แต่ไม่มีตัวหนังสือใช้ เนื่องจากในสมัยก่อนมีการจารึกตัวหนังสือลงบนหนังวัวตากแห้ง เมื่อฝนตกหนังวัวก็เปียก เมื่อนำไปผึ่งแดดให้แห้ง สุนัขก็คาบไป ทำให้ผู้ไทไม่มีตัวหนังสือใช้ (หน้า 18) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2534 เป็นต้นไป (หน้า 5) |
|
History of the Group and Community |
ผู้ไทมีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ที่แคว้นมณฑลเสฉวน-ฮุนหนำ ทางตอนใต้ของจีน แต่เมื่อบ้านเมืองเกิดความไม่สงบขึ้น ผู้ไทก็ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศลาว และข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) จากนั้นก็ได้แยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานในหลายพื้นที่ เช่น เรณูนคร กาฬสินธุ์ นครพนม สกลนคร รวมถึงบริเวณเมืองหนองสูงหรือกิ่งอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหารในปัจจุบัน (หน้า 2,56) |
|
Settlement Pattern |
เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศบริเวณกิ่งอำเภอหนองสูง มีภูเขาล้อมรอบ และแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ พืชพรรณต่างๆ ทำให้ผู้ไทที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างกระจัดกระจาย แต่เมื่อครอบครัวผู้ไทขยายเพิ่มขึ้นประกอบกับการคมนาคมสะดวกขึ้น ทำให้การติดต่อไปมาระหว่างกันง่ายขึ้นกว่าเดิม และมีคุ้มต่างๆ เกิดขึ้นมากมายและเรียกชื่อที่แตกต่างกัน เช่น คุ้มตีนหนอง คุ้มเหนือ คุ้มใต้ (หน้า 2,52) |
|
Demography |
ผู้ไทที่อาศัยอยู่ในกิ่งอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ทั้ง 5 ตำบล 40 หมู่บ้าน มีจำนวนทั้งสิ้น 17,362 คน เป็นผู้ชาย 8,746 คน เป็นผู้หญิง 8,616 คน (หน้า 182) |
|
Economy |
อาชีพหลักของผู้ไท คือ การทำนา ส่วนอาชีพรอง คือ การทอผ้า และการเลี้ยงสัตว์ ในการทำนานั้นนอกจากสมาชิกในครอบครัวจะต้องช่วยกันทำแล้ว ก็ยังมีการขอแรงจากเพื่อนบ้านเรียกว่า "การลงแขก" เช่น การหว่านข้าว การปักดำ การเก็บเกี่ยว ต่อมาผู้ไทก็มีการเปลี่ยนแปลงอาชีพไปทำไร่ รับจ้าง เพราะการทำนาไม่สามารถทำได้ตลอดทั้งปี สำหรับผู้ที่มีการศึกษาสูงขึ้น ก็หันไปรับราชการ ทำการค้า หรือทำงานบริษัท นอกจากนี้การค้าในหมู่บ้านของผู้ไทก็เปลี่ยนไปด้วย เดิมในหมู่บ้านจะมีเฉพาะการค้าขายข้าว แต่ปัจจุบันมีการค้าเกิดขึ้นหลายรูปแบบ เช่น การค้าดอกเบี้ยโดยการกู้ยืมเงินจากกลุ่มออมทรัพย์ต่างๆ เพราะถือว่าสะดวกและรวดเร็ว ส่วนการแลกเปลี่ยนงานหรือการลงแขก เริ่มลดน้อยลง ผู้ไทเริ่มหันมาจ้างแรงงานมากกว่า เพราะผู้ไทต้องทำงานอื่นที่ไม่ใช่ทำนาอย่างเดียวจึงไม่มีเวลามาช่วยลงแขกได้ อีกทั้งถ้าแขกทำงานช้า เจ้าของงานก็ไม่กล้าเร่ง นอกจากนี้การลงแขกยังเป็นภาระที่เจ้าของงานต้องเลี้ยงดู เช่น ต้องเลี้ยงเป็ด ไก่ เหล้า และขนมต่างๆ (หน้า 132-139) |
|
Social Organization |
ผู้เขียนกล่าวว่า ลักษณะครอบครัวผู้ไทเป็นครอบครัวขยาย ประกอบ ด้วย พ่อ แม่ ลูก ลูกเขย ลูกสะใภ้ ผู้นำของครอบครัวคือ พ่อตาหรือพ่อปู่ เมื่อท่านถึงแก่กรรมก็ต้องเป็นแม่ยายหรือแม่ย่า และตกทอดให้ลูกเขยตามลำดับ ผู้นำนี้จะเป็นที่เคารพแก่สมาชิกในครอบครัว และบุคคลที่ได้รับความเคารพมากในครอบครัวคือ พ่อหรือญาติฝ่ายพ่อมากกว่าแม่หรือญาติฝ่ายแม่ เพราะพ่อเป็นหลักในการทำมาหากินของครอบครัว เมื่อสมาชิกเกิดความเข้าใจหรือทะเลาะกัน ปัญหาก็สามารถคลี่คลายลงได้ เพราะนิสัยพื้นฐานของผู้ไทรักความสงบอยู่แล้ว เมื่อหนุ่มสาวคู่ใดแต่งงานกัน ฝ่ายชายจะเคารพนับถือญาติฝ่ายหญิง และฝ่ายหญิงก็จะเคารพนับถือญาติฝ่ายชายเสมือนว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน นอกจากผู้ไทจะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติแล้ว ยังมีความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐกิจโดยการพึ่งพาอาศัยของคนในหมู่บ้าน เช่น การช่วยกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การใช้แรงงาน การช่วยเหลือในยามเจ็บป่วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวผู้ไทยเกิดความสามัคคี ปรองดองกันมากขึ้น องค์กรทางสังคมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การจัดตั้งกองทุนกลุ่มต่างๆ ขึ้นในหมู่บ้าน เช่น กลุ่มออมทรัพย์ เพื่อเพิ่มการผลิต กลุ่มสหกรณ์ร้านค้า กลุ่มทอผ้าไหม กลุ่มสตรี ซึ่งองค์กรเหล่านี้ช่วยทำให้เศรษฐกิจของชาวผู้ไทยดีขึ้นกว่าเดิม (หน้า 124-125, 135, 155) |
|
Political Organization |
จากการศึกษาพบว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 เมื่อตำบลหนองสูงได้ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอหนองสูง มีปลัดเป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ปกครอง 5 ตำบล 40 หมู่บ้าน และมีกำนันปกครองตำบลและผู้ใหญ่บ้านปกครองหมู่บ้าน ต่อมาได้เปลี่ยนให้มีหัวหน้ากิ่งปกครองประจำกิ่งอำเภอหนองสูง มีกำนันและผู้ใหญ่บ้านปกครองลูกบ้าน ทำให้ชาวบ้านมีบทบาทในการปกครองมากขึ้น สามารถแสดงความคิดเห็นหรือเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างเสรี นอกจากจะมีกำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำในสังคมของผู้ไทแล้ว ยังมีคณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้อาวุโส พระสงฆ์ ผู้นำทางเศรษฐกิจ ข้าราชการ ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีหน้าที่ในทางสังคมที่แตกต่างกันกันไป เช่น คณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่จัดทำแผนพัฒนาหมู่บ้าน ผู้อาวุโสทำหน้าที่ด้านประเพณีที่สำคัญหรือช่วยไกล่เกลี่ยเมื่อชาวบ้านหรือญาติพี่น้องทะเลาะกัน สำหรับพระสงฆ์มีหน้าที่ดำรงศาสนา อบรมสั่งสอนให้ผู้ไททำความดี ประพฤติตนตามคำสอนทางพระพุทธศาสนา ส่วนผู้นำทางเศรษฐกิจก็มีส่วนในการพัฒนาหมู่บ้าน เนื่องจากนำเอาความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการประกอบอาชีพของผู้ไท ส่วนข้าราชการมีหน้าที่ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความสามารถ ผู้ไทจะเคารพนับถือผู้นำเหล่านี้มาก เพราะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ชุมชนของผู้ไทเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น (หน้า 139-145) |
|
Belief System |
ความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมของผู้ไทมานานช้าแล้ว เช่น การนับถือผี เพราะเชื่อว่าจะคอยช่วยปกป้องชีวิตและช่วยขจัดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในหมู่บ้านได้ นอกจากนี้ผู้ไทยังมีความเชื่อในเรื่องอื่นๆ อีกมาก เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ว่าอาหารชนิดใดควรรับประทานหรือไม่ ความเชื่อเกี่ยวกับยารักษาโรค เมื่อคนในหมู่บ้านเจ็บป่วย ผู้ไทถือว่าการสวดอ้อนวอนและเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะสาเหตุของความเจ็บป่วยเกิดจากฝีมือของภูตผีปิศาจหรือวิญญาณ หรือให้หมอปล่องหรือหมอเหยาทำการรักษา นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้ ความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเชื่อว่าหากทำลายธรรมชาติจะทำให้วิญญาณที่อยู่ตามป่าเขาโกรธ ความเชื่อประการสุดท้ายที่ฝังแน่นมาตั้งแต่สมัยอดีตของผู้ไทคือ ความเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เช่น ผี วิญญาณ ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาวะของผู้ไท และทำให้มีพิธีกรรมต่างๆ เพื่อติดต่อสื่อสารกับผีต่างๆ อย่างเช่น หมอเหยา ที่ทำหน้าที่เรียกผีออกจากร่างกายผู้ป่วย เมื่ออพยพมาอยู่ทางภาคอีสานของประเทศไทย ผู้ไทก็รับเอาพุทธศาสนาเข้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมคือการนับถือผี การทำกิจกรรมต่างๆ มักมีเรื่องของศาสนาพุทธเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การทำบุญแจกข้าว การทำบุญตักบาตร (หน้า 146-459,164) |
|
Education and Socialization |
เดิมผู้ไทไม่สนับสนุนเรื่องการศึกษา เพราะสมาชิกในครอบครัวต้องช่วยกันประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ ถ้าจะศึกษาเล่าเรียนในระบบโรงเรียนกันจริงๆ ผู้ไทก็จะส่งบุตรหลานโดยเฉพาะผู้ชายไปเรียนที่วัด วิชาที่เรียนคือ เวทมนต์ คาถาต่างๆ ส่วนผู้หญิงก็จะเรียนวิธีเหยากับบรรพบุรุษ ต่อมาเมื่ออำเภอมุกดาหารได้ยกฐานะเป็นจังหวัดมุกดาหารประกอบกับความเจริญทางด้านเทคโนโลยีทำให้ผู้ไทสนับสนุนเรื่องการศึกษาแก่บุตรหลานมากยิ่งขึ้น ระบบการศึกษาของผู้ไทนั้นทางโรงเรียนจะเน้นให้นักเรียนมีความรู้ครบองค์สี่ คือ ด้านพุทธิศึกษา ด้านจริยศึกษา ด้านพลศึกษา และด้านหัตถศึกษา เพื่อให้นักเรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ และนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากสถาบันการศึกษาจะทำหน้าที่ในการขัดเกลาทางสังคมให้ผู้ไทแล้ว สถาบันครอบครัวก็ยังช่วยหล่อหลอม อบรมสิ่งต่างๆ ให้แก่สมาชิก ส่วนสถาบันพุทธศาสนาก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ช่วยให้ผู้ไททำความดี ละเว้นความชั่ว และอิทธิพลจากความเชื่อดั้งเดิมคือการนับถือผีก็มีส่วนในการขัดเกลาสังคมของผู้ไทมาก เพราะเชื่อว่าถ้าประพฤติตนผิดทำนองคลองธรรมแล้ว ผีหรือวิญญาณต่างๆ ก็จะลงโทษ (หน้า 126-127,157,172) |
|
Health and Medicine |
ผู้ไทในปัจจุบันยังคงรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรที่ได้จากพืช สัตว์ ซึ่งสามารถหาได้จากป่าเขาและแร่ธาตุต่างๆ ควบคู่กับการรักษากับหมอในท้องถิ่น คือ หมอปล่อง(หมอเป่า) จะเสกคาถาอาคมรักษาโรคเล็กๆ น้อยๆ และโรคทางจิต และหมอเหยาจะเรียกผีหรือวิญญาณที่สิงอยู่ออกจากผู้ป่วย ถ้าไม่สามารถรักษาโรคให้หายได้ก็จะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล แต่เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วก็จะนำมารักษากับหมอปล่องและหมอเหยาเหมือนเดิม (หน้า 114-123) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงลักษณะบ้านเรือนของผู้ไทในเชิงที่แสดงถึงอารยธรรมของชุมชนแห่งนี้ว่า เดิมที่อยู่อาศัยสร้างขึ้นเพื่อความมั่นคงและประโยชน์ใช้สอย แต่ต่อมาได้นำเอาศิลปะด้านสถาปัตยกรรมเข้ามาประสมประสาน จนกลายเป็นศิลปะที่ทำให้ทราบถึงสาระทางสังคมที่แฝงอยู่ โดยลักษณะบ้านเรือนทั้ง 5 ลักษณะ จะบอกถึงฐานะความมั่นคงของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ส่วนรายละเอียดของบ้านก็แบ่งไว้เป็นสัดส่วน และผู้ไทก็ยังประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ภายในครัวเรือน เครื่องจับสัตว์ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ซึ่งเครื่องมือแต่ละชนิดที่ทำขึ้นก็จะนำไปใช้งานที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ผู้ไทยังมีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของตน คือ จะผลิตเสื้อผ้าขึ้นเองทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหม และจะสวมเสื้อผ้าทั้งสองชนิดต่างกัน ถ้าเป็นเวลาปกติจะใส่ผ้าฝ้าย ผ้าไหมจะใช้ในโอกาสพิเศษ เพราะผู้ไทถือว่าเป็นผ้าที่มีคุณค่าสูง ส่วนการแต่งกายในชีวิตประจำวันและในโอกาสพิเศษ ผู้ไทที่เป็นผู้ชายจะแต่งกายเหมือนชาวอีสาน ผู้หญิงจะนิยมสวมผ้าซิ่นไหม มีสไบสีแดงพาดบ่า ใส่เครื่องประดับอย่างสวยงาม การแสดงที่ผู้เขียนกล่าวถึงคือ การฟ้อนผู้ไทย และการเกี้ยวสาวของชายผู้ไทยที่จะมีคำกลอนเรียกว่า "พญาย่อย" หรือ "อ้อยต่อยผญา" สำหรับเกี้ยวสาว (หน้า 76-107,109-114,129,160) |
|
Folklore |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเชื่อเกี่ยวกับตำนานความเป็นมาของผู้ไทว่า มีกำเนิดมาจากเทวดา 5 องค์ มาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อเป็นต้นสกุลของมนุษย์และช่วยกันสร้างบ้านเมือง และชวนเทพธิดาอีก 5 นาง ซึ่งอยู่ในผลน้ำเต้ามาจุติข้างทุ่งนาใกล้เมืองแถง เมื่อผลน้ำเต้าแตกก็มีมนุษย์ออกมา ชาวข่าเป็นพวกแรกที่ออกมา ตามมาด้วยไทดำ ลาวพุงขาว ฮ่อ และแถง ต่อมามนุษย์ทั้ง 5 พวก ก็แยกย้ายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ยกเว้นผู้ไทตั้งตัวอยู่ที่เมืองแถง (หน้า 46) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนกล่าวว่าเดิมผู้ไทไม่ค่อยเดินทางไปไหนไกลๆ เพราะการคมนาคมไม่สะดวก แต่เมื่อมีถนนตัดผ่าน ผู้ไทก็มีโอกาสไปเยือนต่างถิ่น เช่น ไปเที่ยวงานชุมนุมไทยมุกดาหาร ซึ่งผู้ไทจัดแสดงวิถีชีวิตของผู้ไทร่วมกับกลุ่มอื่นๆ ประมาณ 10 กลุ่ม ทำให้ผู้ไทได้พบปะผู้คนมากขึ้น (หน้า 126) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนกล่าวว่า เมื่อความเจริญทางด้านเทคโนโลยีและการคมนาคมเข้ามาสู่ชุมชนผู้ไท ทำให้สังคมและวัฒนธรรมผู้ไทเปลี่ยนไป เช่น ด้านอาชีพก็ไม่ได้ทำนาเพียงอย่างเดียวเหมือนแต่ก่อน แต่หันไปประกอบอาชีพอย่างอื่น เช่น รับราชการ ทำธุรกิจหรือการค้า การช่วยเหลือกันที่เรียกว่า "การลงแขก" เริ่มหมดไป ผู้คนหันมาจ้างงานกันมากขึ้น วัสดุที่ใช้ทำบ้านเรือนของผู้ไทเปลี่ยนไป โดยหันมาใช้วัสดุสมัยใหม่มากขึ้น ความเชื่อที่เป็นข้อห้ามต่างๆ ก็เหลือน้อยลง เพราะคนได้รับการศึกษาที่มากขึ้นนั่นเอง ส่วนการทำบุญและประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่วัดเริ่มลดน้อยลง คนที่ไปวัดก็มักเป็นผู้สูงอายุ เด็กหรือคนหนุ่มสาวหันมาดูทีวีอยู่ที่บ้าน ส่วนผู้ชายก็ไม่ค่อยไปวัดเหมือนในอดีต นอกจากนี้การแต่งกายแบบดั้งเดิมของผู้ไทก็เปลี่ยนไป ผู้ชายหันมาสวมเสื้อผ้าแบบชาวอีสานมากขึ้น สำหรับการแต่งงาน คู่บ่าวสาวก็หันมาแต่งงานแบบสากลมากขึ้นเช่นกัน (หน้า 79,129,133,136-137,148,158,164) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ภาพประกอบ แผนที่ แผนผัง เพื่ออธิบายวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ไทในด้านต่างๆ เช่น แผนที่จังหวัด กิ่งอำเภอ แผนผังแสดงส่วนประกอบของเรือนผู้ไท อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เครื่องแต่งกาย ประเพณีต่างๆ ซึ่งทำให้เข้าใจวิถีชีวิตของผู้ไทมากยิ่งขึ้น (หน้า 57-58,89,91) |
|
|