สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุลสิม,ชาวพุทธ,บทบาทบิดามารดา,การอบรมเลี้ยงดูบุตร,หลักการศาสนา,นครศรีธรรมราช
Author แขไข สว่างพื้น
Title การเปรียบเทียบบทบาทของบิดามารดาชาวพุทธและชาวมุสลิมในการปลูกฝังคุณธรรมทางศาสนาในครอบครัว
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 123 Year 2535
Source หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

ผู้เขียนงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับหลักศาสนาพุทธและอิสลาม เพื่อช่วยในการทำความเข้าใจของวิธีสั่งสอนบุตรในครอบครัว โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การสั่งสอนบุตรของประชากรพุทธและการสั่งสอนบุตรของประชากรมุสลิม 1. การสั่งสอนบุตรของประชากรพุทธ เน้นหลักคำสอนตามพระไตรปิฎก ศีล5 คุณธรรมต่างๆที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ สอนให้ทำดีละเว้นความชั่ว ทำบุญไหว้พระตามเทศกาลทางพุทธศาสนา 2. การสั่งสอนบุตรของประชากรมุสลิม เน้นที่หลักคำสอนของพระคัมภีร์อัล-กุรอานและอัล-หะดีษ (หน้า 32) ซึ่งเป็นคำสอนของพระนบีมูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม เป็นหลักปฏิบัติตน มีคุณธรรมตามความเชื่อเพื่อให้ได้พบพระเจ้าเป็นความหวังอันสูงสุด (หน้า 30) โดยสรุปแล้วแม้ว่ามีความแตกต่างทางคำสอนแต่จุดมุ่งหมายของทั้งสองศาสนาเหมือนกันทำให้บุตรสามารถเติบโตเป็นคนดีมีคุณภาพต่อไป

Focus

บทบาทของบิดามารดาที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามในการอบรมเลี้ยงดูบุตร (หน้า 2) ตามหลักคำสอนของแต่ละศาสนา

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาวพุทธและมุสลิมในชุมชนบ้านใหม่ หมู่ 7 ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช (หน้า 2)

Language and Linguistic Affiliations

ผู้สูงอายุที่เป็นมุสลิมสามารถสื่อสารภาษามลายูอยู่บ้าง แต่ในวัยรุ่นจะใช้ภาษาไทยกลาง ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้กล่าวถึงการเข้ามาของประชากรมุสลิม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทำการรวมหัวเมืองทางใต้ จึงทำให้มีการกวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองใต้ สำหรับตำบลนาเคียน ได้มีการตั้งถิ่นฐานอยู่มา 5-6 ชั่วอายุคนแล้ว ทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามจะพูดภาษามลายูสำเนียงไทรบุรี ปะลิศ และสตูล หมู่ 7 ก็มีผู้ที่พอจะสื่อสารภาษามลายูได้บ้างส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ในขณะที่วัยรุ่นจะใช้ภาษาไทยกลาง (หน้า 62)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูลชัดเจน

History of the Group and Community

ในอดีตนครศรีธรรมราชเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์สำคัญทั้งการค้า การเมืองและศาสนา เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้มีผู้นับถือศาสนาพุทธสืบทอดมาจนปัจจุบัน ส่วนการมีชุมชนมุสลิมนั้นมีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้อพยพผู้คนบางส่วนจากหัวเมืองมลายูมาไว้ที่นครศรีธรรมราช จึงทำให้ประชาชนนับถือศาสนาพุทธและอิสลามในจังหวัดนครศรีธรรมราชอยู่รวมกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า 62) ในพื้นที่กรณีศึกษานั้นเดิมมีผู้คนที่นับถือศาสนาพุทธซึ่งอยู่และมีมุสลิมที่ถูกอพยพมาจากไทรบุรี ปะลิศและสตูล ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ส่วนความเป็นมาของชุมชนบ้านใหม่(หมู่ 7) เป็นหมู่บ้านที่เกิดขึ้นใหม่จึงเรียกว่าบ้านใหม่ โดยเป็นพื้นที่แยกออกมาจากหมู่ 6 ตำบลนาเคียน (หน้า 62-63)

Settlement Pattern

ประชากรผู้อยู่อาศัยนับถือศาสนาพุทธและอิสลามมีรูปแบบการตั้งถิ่นฐานเรียงรายไปตามถนนภายในหมู่บ้านและสำหรับผู้ประกอบอาชีพทำนาทำสวนจะตั้งถิ่นฐานแบบกระจายตัวไปตามพื้นที่ทำกินของแต่ละครัวเรือน ซึ่งอยู่ห่างจากถนนภายในหมู่บ้านเข้าไป (หน้า 62-63,112)

Demography

จำนวนประชากรที่นับถือศาสนาพุทธในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นส่วนใหญ่มีจำนวน 51,865,788 คน หรือร้อยละ 94.39 และมีผู้นับถือศาสนาอิสลามประมาณ 2,173,019 คน หรือร้อยละ 3.95 ของประชากรทั้งประเทศ (หน้า 1) ในชุมชนบ้านใหม่ มีประชากรประมาณ 562 คน มีครอบครัวที่สามารถนำมาเป็นตัวอย่าง 87 ครอบครัว โดยเป็นชาวพุทธ 28 ครอบครัวและเป็นชาวมุสลิม 59 ครอบครัว (หน้า 2) หรือคิดเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 32.64 และนับถือศาสนาอิสลามคิดเป็นร้อยละ 67.36 (หน้า 63)

Economy

อาชีพส่วนใหญ่ของชาวพุทธและมุสลิมในชุมชนบ้านใหม่แห่งนี้คืออาชีพทำสวนเป็นหลักและมีอาชีพรองคือ ทำนา หัตถกรรม ค้าขาย และรับจ้างตามลำดับ หน้า 66,112) ส่วนในด้านการศาสนกิจ ชาวพุทธมีการบริจาคทรัพย์เพื่อทำบุญในวาระต่างๆ มีการสั่งสอนไม่ให้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย (หน้า 80-81, 88) ในชาวมุสลิมสอนเรื่องการใช้จ่าย การบริจาคซะกาดและบริจาคทานเศาะดะเกาะฮ์ ส่วนพิธีฮัจย์ก็เกี่ยวข้องเช่นกันเพราะว่าถ้าเศรฐกิจไม่ดี ก็ไม่สามารถประกอบพิธีได้ (หน้า 84,91,93,116)

Social Organization

การศึกษาสภาพสังคมในหมู่บ้านแห่งนี้พบว่ามีการนับถือศาสนาต่างกัน ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติของประชากรจึงมีความแตกต่างกันไปด้วย แม้ว่าการศึกษาโดยเฉลี่ยของกลุ่มเป้าหมายอยู่ในระดับประถมศึกษา(หน้า 71,113) การสั่งสอนบุตรของแต่ละครัวเรือนนั้นคล้ายกัน คือสอนให้กระทำความดี ละเว้นความชั่ว (หน้า 111) ชุมชนบ้านใหม่นี้เป็นการอาศัยอยู่ร่วมกันของประชากรที่นับถือศาสนาพุทธอิสลามมานาน จึงไม่มีการแบ่งแยกหรือทะเลาะกันในเรื่องความเชื่อเรื่องศาสนา สภาพสังคมในชุมชนบ้านใหม่ การอบรมสั่งสอนบุตรเป็นหน้าที่ของมารดามากกว่าบิดาและเมื่อบุตรไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนมีการตักเตือนจนถึงการลงโทษเมื่อกระทำความผิด (หน้า 96-103)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ประชากรที่นับถือศาสนาพุทธจะมีการสั่งสอนบุตรให้ปฏิบัติตามหลักคำสอนในพระไตรปิฎก หลักการครองเรือน มีความเชื่อเรื่องกรรม บุญ บาปผลงานวิจัยพบว่าแม้มีการสั่งสอนบุตรให้ประพฤติเป็นแบบอย่างตามหลักพุทธศาสนา (หน้า 108-109) แต่การปฏิบัติศาสนกิจหรือการร่วมกิจกรรมทางศาสนาของชาวพุทธในสังคมนี้ยังมีน้อย (หน้า 84) ในศาสนาอิสลามการปฏิบัติภาระกิจทางศาสนามีมากกว่าชาวพุทธ ยึดหลักคำสอนของคัมภีร์อัล-กุรอานและอัล-หะดีษ (หน้า 32,108) ซึ่งครอบคลุมถึงการปฏิบัติตน มารยาท ความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ มีการปลูกฝังคุณธรรมให้กับบุตร เป็นเรื่องราวตามพระคัมภีร์ (หน้า 109-110)

Education and Socialization

เนื่องจากในพื้นที่วิจัยมีการนับถือศาสนาต่างกันทำให้ทัศนะของบิดามารดาผู้นับถือศาสนานั้นมีผลต่อการอบรมบุตรด้วย ในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธนั้นมีทัศนะต่อแนวการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับบุตรว่าขึ้นอยู่กับโอกาสซึ่งก็คือภาวะเศรษฐกิจนั่นเอง ส่วนเหตุผลตามความต้องการของบุตรอยู่ในประเด็นรอง ในขณะที่ครอบครัวมุสลิมนั้นให้ความสำคัญกับการเรียนสายสามัญและศาสนาควบคู่กัน (หน้า 73) ส่วนท่าทีและการปฏิบัติตนของบุตรในครอบครัวที่นับถือพุทธศาสนาเห็นว่าบุตรของตนมีท่าทีและการปฏิบัติตนอยู่ในระดับที่น่าพอใจในการเอาใจใส่ต่อการฟังและการอ่านคำสอนทางศาสนาถึงร้อยละ 64.3 ที่รองลงมาคือบุตรอายุน้อยเกินไปจึงไม่ตอบ (หน้า 74) ส่วนทัศนะของบิดามารดาครอบครัวมุสลิมนั้นให้ความเห็นเหมือนกับครอบครัวชาวพุทธคือระดับน่าพอใจในความเอาใจใส่ของบุตรที่มีต่อการฟังและอ่านคำสอนทางศาสนาสูงถึงร้อยละ 78.0 และเหตุผลรองก็เช่นเดียวกันกับครอบครัวชาวพุทธด้วย (หน้า 75) นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีผลต่อการยึดมั่นในศาสนาของบุตรในครอบครัวชาวพุทธและมุสลิมเห็นเหมือนกันว่าสภาพภายในครอบครัวจะเป็นปัญหาน้อยที่สุดส่วนประเด็นรองที่เห็นว่าไม่มีปัญหารองลงมาของครอบครัวชาวพุทธคือการชักจูงของเพื่อนแต่ในครอบครัวมุสลิมเห็นว่าสิ่งแวดล้อมรอบบ้านจะไม่มีปัญหารองลงมา (หน้า 76-79) ส่วนอุปสรรคต่อการปฏิบัติศาสนกิจของบิดามารดาชาวพุทธเห็นว่า การทำงานนอกบ้าน ความรู้ทางศาสนา การขาดตัวอย่างที่ดีจากเพื่อนบ้าน การตักเตือนหรือปัญหาเศรษฐกิจนั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติศาสนกิจแต่ทั้งนี้ผู้วิจัยเห็นว่าการฟังเทศน์ ฟังธรรมของชาวพุทธในพื้นที่วิจัยนั้นน้อยมาก (หน้า 80-81) ในขณะที่ครอบครัวมุสลิมเห็นว่าการขาดตัวอย่างที่ดีจากเพื่อนบ้านไม่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติกิจกรรมใดๆทางศาสนาแต่เห็นว่าฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอุปสรรคมากที่สุดโดยเฉพาะการบำเพ็ญพิธีฮัจย์และรองลงไปคือการบริจากซะกาด (หน้า 82-84) ในเรื่องคุณธรรมที่บิดามารดาชาวพุทธนำไปใช้ในการอบรมสั่งสอนบุตรนั้นเห็นว่าเป็นหลักศีล 5 นอกจากนั้นก็เป็นการสั่งสอนให้มีเมตตา ขยันหมั่นเพียร ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายและการเลือกคบเพื่อน การช่วยเหลือบิดามารดา การช่วยเหลือผู้อื่น การพิจารณาก่อนรับประทานอาหารและการสวดมนต์ก่อนนอน การแต่งกายให้ถูกกาละเทศะ (หน้า 85-89) ส่วนในครอบครัวมุสลิมก็เช่นกันจะมีการสอนเหมือนกับครอบครัวชาวพุทธแต่จะเพิ่มเติมในเรื่องการกล่าวบิสมิลลาฮ์ก่อนรับประทานอาหารและก่อนนอน การทักทายกันแบบอิสลาม การกล่าวดุอาเวลาจาม การใช้มือที่ถูกต้องในการรับประทานอาหาร การแต่งกายตามหลักอิสลาม การละหมาดและการถือศีล (หน้า 90-95)

Health and Medicine

การสั่งสอนบุตรตามหลักศาสนาให้รู้จักการรักษาสุขภาพอนามัยของชุมชนบ้านใหม่ ประชากรพุทธจะสั่งสอนบุตรตามศีล 5 คือการไม่ดื่มสุราและเรื่องยาเสพติด (หน้า 74-75, 85-89) ส่วนในประชากรมุสลิมจะสอนบุตรในหลักศาสนาเช่นกัน โดยเน้นเรื่องการไม่ดื่มสุรา ยาเสพติด การทำความสะอาดร่างกายก่อนทำละหมาด (หน้า 90, 92-95)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายประชากรศาสนาพุทธจะแต่งกายธรรมดาให้เหมาะสมกับกาละเทศะ ในประชากรอิสลามจะมีการแต่งกายที่แตกต่างกัน คือ ฮิญาบ (หน้า 122) แต่งกายเหมือนมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทย มีการนุ่งผ้าปาเต๊ะและสวมเสื้อแขนยาวคอปิด (หน้า 95)

Folklore

ในศาสนาพุทธยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎก ส่วนในศาสนาอิสลามยึดคำสอนตามพระคัมภีร์อัล-กุรอาน จะมีปรากฎเรื่องเล่าอยู่ตามโองการต่างๆ ที่บัญญัติไว้ ส่วนเรื่องชื่อชุมชนบ้านใหม่ ที่ปัจจุบันตั้งอยู่หมู่ 7 ตำบลนาเคียนนั้นมาจากการแยกตัวของหมู่บ้านออกมาใหม่จากหมู่ 6 เป็นหมู่ 7 จึงเป็นชื่อบ้านใหม่ (หน้า 63)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

สังคมชุมนบ้านใหม่เป็นสังคมชนบทมีการสั่งสอนให้บุตรประพฤติปฏิบัติตามหลักศาสนา นอกเหนือจากให้เชื่อฟังคำสอนของบิดามารดาแล้วนั้น ยังต้องคำนึงถึงอบายมุขทั้งหลาย ยาเสพติด การพนัน แต่จากการศึกษาในชุมชนแห่งนี้ ประชากรพุทธและมุสลิมพบว่าส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา (หน้า 74-79) การเปลี่ยนแปลงยังมีน้อย แม้จะมีการได้รับข่าวสารทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ หรือสิ่งแวดล้อม (หน้า 76-79) ทั้งนี้ในชุมชนบ้านใหม่ยังไม่มีสถานเริงรมย์ (หน้า 115)

Other Issues

การวิจัยชิ้นนี้เป็นงานศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ดังนั้นนอกเหนือจากจะเห็นความแตกต่างของศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามผ่านการสั่งสอนบุตรในครัวเรือนแล้ว ในงานชิ้นนี้ยังมีการถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับคำสอนของแต่ละศาสนา นอกจากนั้น ยังได้ทราบถึงวิธีการเลี้ยงดูบุตรในความเชื่อของแต่ละศาสนา วิธีการสั่งสอนของผู้ปกครอง งานวิจัยชิ้นนี้ได้สะท้อนถึงกลุ่มชุมชนซึ่งมีความแตกต่างในศาสนาและชาติพันธุ์ ตลอดจนปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในชุมชนนี้ คือเรื่องการศึกษา เนื่องจากได้รับการศึกษาในระดับที่ค่อนข้างต่ำ(ชั้นประถมศึกษา) ภาระการสั่งสอนจึงไปตกอยู่ที่ครูหรือผู้มีความรู้ทางศาสนา (หน้า 112)

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้แผนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช (หน้า 58-61) ตาราง ในการอธิบายให้เห็นภาพของการวิจัยภาคสนาม โดยเฉพาะข้อมูลด้านประชากร แบบสอบถามเกี่ยวกับการสั่งสอนบุตร (หน้า 63-107)

Text Analyst นวชนก วิเทศวิทยานุศาสตร์ Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG มุลสิม, ชาวพุทธ, บทบาทบิดามารดา, การอบรมเลี้ยงดูบุตร, หลักการศาสนา, นครศรีธรรมราช, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง