|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุลสิม,ชาวพุทธ,บทบาทบิดามารดา,การอบรมเลี้ยงดูบุตร,หลักการศาสนา,นครศรีธรรมราช |
Author |
แขไข สว่างพื้น |
Title |
การเปรียบเทียบบทบาทของบิดามารดาชาวพุทธและชาวมุสลิมในการปลูกฝังคุณธรรมทางศาสนาในครอบครัว |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
123 |
Year |
2535 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
ผู้เขียนงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับหลักศาสนาพุทธและอิสลาม เพื่อช่วยในการทำความเข้าใจของวิธีสั่งสอนบุตรในครอบครัว โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การสั่งสอนบุตรของประชากรพุทธและการสั่งสอนบุตรของประชากรมุสลิม 1. การสั่งสอนบุตรของประชากรพุทธ เน้นหลักคำสอนตามพระไตรปิฎก ศีล5 คุณธรรมต่างๆที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ สอนให้ทำดีละเว้นความชั่ว ทำบุญไหว้พระตามเทศกาลทางพุทธศาสนา 2. การสั่งสอนบุตรของประชากรมุสลิม เน้นที่หลักคำสอนของพระคัมภีร์อัล-กุรอานและอัล-หะดีษ (หน้า 32) ซึ่งเป็นคำสอนของพระนบีมูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม เป็นหลักปฏิบัติตน มีคุณธรรมตามความเชื่อเพื่อให้ได้พบพระเจ้าเป็นความหวังอันสูงสุด (หน้า 30) โดยสรุปแล้วแม้ว่ามีความแตกต่างทางคำสอนแต่จุดมุ่งหมายของทั้งสองศาสนาเหมือนกันทำให้บุตรสามารถเติบโตเป็นคนดีมีคุณภาพต่อไป |
|
Focus |
บทบาทของบิดามารดาที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามในการอบรมเลี้ยงดูบุตร (หน้า 2) ตามหลักคำสอนของแต่ละศาสนา |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาวพุทธและมุสลิมในชุมชนบ้านใหม่ หมู่ 7 ตำบลนาเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช (หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้สูงอายุที่เป็นมุสลิมสามารถสื่อสารภาษามลายูอยู่บ้าง แต่ในวัยรุ่นจะใช้ภาษาไทยกลาง ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้กล่าวถึงการเข้ามาของประชากรมุสลิม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทำการรวมหัวเมืองทางใต้ จึงทำให้มีการกวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองใต้ สำหรับตำบลนาเคียน ได้มีการตั้งถิ่นฐานอยู่มา 5-6 ชั่วอายุคนแล้ว ทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามจะพูดภาษามลายูสำเนียงไทรบุรี ปะลิศ และสตูล หมู่ 7 ก็มีผู้ที่พอจะสื่อสารภาษามลายูได้บ้างส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ในขณะที่วัยรุ่นจะใช้ภาษาไทยกลาง (หน้า 62) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในอดีตนครศรีธรรมราชเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์สำคัญทั้งการค้า การเมืองและศาสนา เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้มีผู้นับถือศาสนาพุทธสืบทอดมาจนปัจจุบัน ส่วนการมีชุมชนมุสลิมนั้นมีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้อพยพผู้คนบางส่วนจากหัวเมืองมลายูมาไว้ที่นครศรีธรรมราช จึงทำให้ประชาชนนับถือศาสนาพุทธและอิสลามในจังหวัดนครศรีธรรมราชอยู่รวมกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า 62) ในพื้นที่กรณีศึกษานั้นเดิมมีผู้คนที่นับถือศาสนาพุทธซึ่งอยู่และมีมุสลิมที่ถูกอพยพมาจากไทรบุรี ปะลิศและสตูล ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ส่วนความเป็นมาของชุมชนบ้านใหม่(หมู่ 7) เป็นหมู่บ้านที่เกิดขึ้นใหม่จึงเรียกว่าบ้านใหม่ โดยเป็นพื้นที่แยกออกมาจากหมู่ 6 ตำบลนาเคียน (หน้า 62-63) |
|
Settlement Pattern |
ประชากรผู้อยู่อาศัยนับถือศาสนาพุทธและอิสลามมีรูปแบบการตั้งถิ่นฐานเรียงรายไปตามถนนภายในหมู่บ้านและสำหรับผู้ประกอบอาชีพทำนาทำสวนจะตั้งถิ่นฐานแบบกระจายตัวไปตามพื้นที่ทำกินของแต่ละครัวเรือน ซึ่งอยู่ห่างจากถนนภายในหมู่บ้านเข้าไป (หน้า 62-63,112) |
|
Demography |
จำนวนประชากรที่นับถือศาสนาพุทธในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นส่วนใหญ่มีจำนวน 51,865,788 คน หรือร้อยละ 94.39 และมีผู้นับถือศาสนาอิสลามประมาณ 2,173,019 คน หรือร้อยละ 3.95 ของประชากรทั้งประเทศ (หน้า 1) ในชุมชนบ้านใหม่ มีประชากรประมาณ 562 คน มีครอบครัวที่สามารถนำมาเป็นตัวอย่าง 87 ครอบครัว โดยเป็นชาวพุทธ 28 ครอบครัวและเป็นชาวมุสลิม 59 ครอบครัว (หน้า 2) หรือคิดเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 32.64 และนับถือศาสนาอิสลามคิดเป็นร้อยละ 67.36 (หน้า 63) |
|
Economy |
อาชีพส่วนใหญ่ของชาวพุทธและมุสลิมในชุมชนบ้านใหม่แห่งนี้คืออาชีพทำสวนเป็นหลักและมีอาชีพรองคือ ทำนา หัตถกรรม ค้าขาย และรับจ้างตามลำดับ หน้า 66,112) ส่วนในด้านการศาสนกิจ ชาวพุทธมีการบริจาคทรัพย์เพื่อทำบุญในวาระต่างๆ มีการสั่งสอนไม่ให้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย (หน้า 80-81, 88) ในชาวมุสลิมสอนเรื่องการใช้จ่าย การบริจาคซะกาดและบริจาคทานเศาะดะเกาะฮ์ ส่วนพิธีฮัจย์ก็เกี่ยวข้องเช่นกันเพราะว่าถ้าเศรฐกิจไม่ดี ก็ไม่สามารถประกอบพิธีได้ (หน้า 84,91,93,116) |
|
Social Organization |
การศึกษาสภาพสังคมในหมู่บ้านแห่งนี้พบว่ามีการนับถือศาสนาต่างกัน ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติของประชากรจึงมีความแตกต่างกันไปด้วย แม้ว่าการศึกษาโดยเฉลี่ยของกลุ่มเป้าหมายอยู่ในระดับประถมศึกษา(หน้า 71,113) การสั่งสอนบุตรของแต่ละครัวเรือนนั้นคล้ายกัน คือสอนให้กระทำความดี ละเว้นความชั่ว (หน้า 111) ชุมชนบ้านใหม่นี้เป็นการอาศัยอยู่ร่วมกันของประชากรที่นับถือศาสนาพุทธอิสลามมานาน จึงไม่มีการแบ่งแยกหรือทะเลาะกันในเรื่องความเชื่อเรื่องศาสนา สภาพสังคมในชุมชนบ้านใหม่ การอบรมสั่งสอนบุตรเป็นหน้าที่ของมารดามากกว่าบิดาและเมื่อบุตรไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนมีการตักเตือนจนถึงการลงโทษเมื่อกระทำความผิด (หน้า 96-103) |
|
Belief System |
ประชากรที่นับถือศาสนาพุทธจะมีการสั่งสอนบุตรให้ปฏิบัติตามหลักคำสอนในพระไตรปิฎก หลักการครองเรือน มีความเชื่อเรื่องกรรม บุญ บาปผลงานวิจัยพบว่าแม้มีการสั่งสอนบุตรให้ประพฤติเป็นแบบอย่างตามหลักพุทธศาสนา (หน้า 108-109) แต่การปฏิบัติศาสนกิจหรือการร่วมกิจกรรมทางศาสนาของชาวพุทธในสังคมนี้ยังมีน้อย (หน้า 84) ในศาสนาอิสลามการปฏิบัติภาระกิจทางศาสนามีมากกว่าชาวพุทธ ยึดหลักคำสอนของคัมภีร์อัล-กุรอานและอัล-หะดีษ (หน้า 32,108) ซึ่งครอบคลุมถึงการปฏิบัติตน มารยาท ความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ มีการปลูกฝังคุณธรรมให้กับบุตร เป็นเรื่องราวตามพระคัมภีร์ (หน้า 109-110) |
|
Education and Socialization |
เนื่องจากในพื้นที่วิจัยมีการนับถือศาสนาต่างกันทำให้ทัศนะของบิดามารดาผู้นับถือศาสนานั้นมีผลต่อการอบรมบุตรด้วย ในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธนั้นมีทัศนะต่อแนวการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับบุตรว่าขึ้นอยู่กับโอกาสซึ่งก็คือภาวะเศรษฐกิจนั่นเอง ส่วนเหตุผลตามความต้องการของบุตรอยู่ในประเด็นรอง ในขณะที่ครอบครัวมุสลิมนั้นให้ความสำคัญกับการเรียนสายสามัญและศาสนาควบคู่กัน (หน้า 73) ส่วนท่าทีและการปฏิบัติตนของบุตรในครอบครัวที่นับถือพุทธศาสนาเห็นว่าบุตรของตนมีท่าทีและการปฏิบัติตนอยู่ในระดับที่น่าพอใจในการเอาใจใส่ต่อการฟังและการอ่านคำสอนทางศาสนาถึงร้อยละ 64.3 ที่รองลงมาคือบุตรอายุน้อยเกินไปจึงไม่ตอบ (หน้า 74) ส่วนทัศนะของบิดามารดาครอบครัวมุสลิมนั้นให้ความเห็นเหมือนกับครอบครัวชาวพุทธคือระดับน่าพอใจในความเอาใจใส่ของบุตรที่มีต่อการฟังและอ่านคำสอนทางศาสนาสูงถึงร้อยละ 78.0 และเหตุผลรองก็เช่นเดียวกันกับครอบครัวชาวพุทธด้วย (หน้า 75) นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีผลต่อการยึดมั่นในศาสนาของบุตรในครอบครัวชาวพุทธและมุสลิมเห็นเหมือนกันว่าสภาพภายในครอบครัวจะเป็นปัญหาน้อยที่สุดส่วนประเด็นรองที่เห็นว่าไม่มีปัญหารองลงมาของครอบครัวชาวพุทธคือการชักจูงของเพื่อนแต่ในครอบครัวมุสลิมเห็นว่าสิ่งแวดล้อมรอบบ้านจะไม่มีปัญหารองลงมา (หน้า 76-79) ส่วนอุปสรรคต่อการปฏิบัติศาสนกิจของบิดามารดาชาวพุทธเห็นว่า การทำงานนอกบ้าน ความรู้ทางศาสนา การขาดตัวอย่างที่ดีจากเพื่อนบ้าน การตักเตือนหรือปัญหาเศรษฐกิจนั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติศาสนกิจแต่ทั้งนี้ผู้วิจัยเห็นว่าการฟังเทศน์ ฟังธรรมของชาวพุทธในพื้นที่วิจัยนั้นน้อยมาก (หน้า 80-81) ในขณะที่ครอบครัวมุสลิมเห็นว่าการขาดตัวอย่างที่ดีจากเพื่อนบ้านไม่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติกิจกรรมใดๆทางศาสนาแต่เห็นว่าฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอุปสรรคมากที่สุดโดยเฉพาะการบำเพ็ญพิธีฮัจย์และรองลงไปคือการบริจากซะกาด (หน้า 82-84) ในเรื่องคุณธรรมที่บิดามารดาชาวพุทธนำไปใช้ในการอบรมสั่งสอนบุตรนั้นเห็นว่าเป็นหลักศีล 5 นอกจากนั้นก็เป็นการสั่งสอนให้มีเมตตา ขยันหมั่นเพียร ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายและการเลือกคบเพื่อน การช่วยเหลือบิดามารดา การช่วยเหลือผู้อื่น การพิจารณาก่อนรับประทานอาหารและการสวดมนต์ก่อนนอน การแต่งกายให้ถูกกาละเทศะ (หน้า 85-89) ส่วนในครอบครัวมุสลิมก็เช่นกันจะมีการสอนเหมือนกับครอบครัวชาวพุทธแต่จะเพิ่มเติมในเรื่องการกล่าวบิสมิลลาฮ์ก่อนรับประทานอาหารและก่อนนอน การทักทายกันแบบอิสลาม การกล่าวดุอาเวลาจาม การใช้มือที่ถูกต้องในการรับประทานอาหาร การแต่งกายตามหลักอิสลาม การละหมาดและการถือศีล (หน้า 90-95) |
|
Health and Medicine |
การสั่งสอนบุตรตามหลักศาสนาให้รู้จักการรักษาสุขภาพอนามัยของชุมชนบ้านใหม่ ประชากรพุทธจะสั่งสอนบุตรตามศีล 5 คือการไม่ดื่มสุราและเรื่องยาเสพติด (หน้า 74-75, 85-89) ส่วนในประชากรมุสลิมจะสอนบุตรในหลักศาสนาเช่นกัน โดยเน้นเรื่องการไม่ดื่มสุรา ยาเสพติด การทำความสะอาดร่างกายก่อนทำละหมาด (หน้า 90, 92-95) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายประชากรศาสนาพุทธจะแต่งกายธรรมดาให้เหมาะสมกับกาละเทศะ ในประชากรอิสลามจะมีการแต่งกายที่แตกต่างกัน คือ ฮิญาบ (หน้า 122) แต่งกายเหมือนมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทย มีการนุ่งผ้าปาเต๊ะและสวมเสื้อแขนยาวคอปิด (หน้า 95) |
|
Folklore |
ในศาสนาพุทธยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎก ส่วนในศาสนาอิสลามยึดคำสอนตามพระคัมภีร์อัล-กุรอาน จะมีปรากฎเรื่องเล่าอยู่ตามโองการต่างๆ ที่บัญญัติไว้ ส่วนเรื่องชื่อชุมชนบ้านใหม่ ที่ปัจจุบันตั้งอยู่หมู่ 7 ตำบลนาเคียนนั้นมาจากการแยกตัวของหมู่บ้านออกมาใหม่จากหมู่ 6 เป็นหมู่ 7 จึงเป็นชื่อบ้านใหม่ (หน้า 63) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมชุมนบ้านใหม่เป็นสังคมชนบทมีการสั่งสอนให้บุตรประพฤติปฏิบัติตามหลักศาสนา นอกเหนือจากให้เชื่อฟังคำสอนของบิดามารดาแล้วนั้น ยังต้องคำนึงถึงอบายมุขทั้งหลาย ยาเสพติด การพนัน แต่จากการศึกษาในชุมชนแห่งนี้ ประชากรพุทธและมุสลิมพบว่าส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา (หน้า 74-79) การเปลี่ยนแปลงยังมีน้อย แม้จะมีการได้รับข่าวสารทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ หรือสิ่งแวดล้อม (หน้า 76-79) ทั้งนี้ในชุมชนบ้านใหม่ยังไม่มีสถานเริงรมย์ (หน้า 115) |
|
Other Issues |
การวิจัยชิ้นนี้เป็นงานศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ดังนั้นนอกเหนือจากจะเห็นความแตกต่างของศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามผ่านการสั่งสอนบุตรในครัวเรือนแล้ว ในงานชิ้นนี้ยังมีการถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับคำสอนของแต่ละศาสนา นอกจากนั้น ยังได้ทราบถึงวิธีการเลี้ยงดูบุตรในความเชื่อของแต่ละศาสนา วิธีการสั่งสอนของผู้ปกครอง งานวิจัยชิ้นนี้ได้สะท้อนถึงกลุ่มชุมชนซึ่งมีความแตกต่างในศาสนาและชาติพันธุ์ ตลอดจนปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในชุมชนนี้ คือเรื่องการศึกษา เนื่องจากได้รับการศึกษาในระดับที่ค่อนข้างต่ำ(ชั้นประถมศึกษา) ภาระการสั่งสอนจึงไปตกอยู่ที่ครูหรือผู้มีความรู้ทางศาสนา (หน้า 112) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช (หน้า 58-61) ตาราง ในการอธิบายให้เห็นภาพของการวิจัยภาคสนาม โดยเฉพาะข้อมูลด้านประชากร แบบสอบถามเกี่ยวกับการสั่งสอนบุตร (หน้า 63-107) |
|
|