สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลัวะ,สังคม,วัฒนธรรม,ดนตรี,อารมณ์ความรู้สึก,น่าน
Author ธรรมนูญ จิตตรีบุตร
Title "ปิ๊ห์" ดนตรีของชนเผ่าลัวะ บ้านเต๋ย จังหวัดน่าน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 124 Year 2543
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาดนตรี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

ผลจากการศึกษาพบว่าชนเผ่าลัวะเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บริเวณจังหวัดน่านของประเทศไทย มีประเพณีความเชื่อและพิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองคือ พิธี "สลด" โดย "ปิ๊ห์" เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงประกอบพิธีโสลดและมีความสำคัญมากต่อวิถีชีวิตของชนเผ่าลัวะ เครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงเป็นกลุ่มใหญ่ๆ จึงเสมือนว่าเป็นศูนย์รวมของชาวบ้านในการถ่ายทอดความรู้สึกทางวัฒนธรรม ลักษณะทางกายภาพของ "ปิ๊ห์" เป็นเครื่องดนตรีที่ผลิตจากไม้ไผ่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ไม้เฮียะ" มีทั้งหมด10 ชุด แต่ละชุดมีเสียงที่ตายตัวแตกต่างกัน ด้านลักษณะเฉพาะทางดนตรีของ "ปิ๊ห์" พบว่าเป็นเพลงที่มีรูปแบบเดียว มีลักษณะการบรรเลงที่ซ้ำไปซ้ำมา ส่วนใหญ่แล้วเพลงที่บรรเลงโดย "ปิ๊ห์" ใช้กระสวนจังหวะที่เหมือนกันและใกล้เคียงกัน ด้านการเคลื่อนที่ของทำนองมีอยู่6ลักษณะคือ ทำนองแบบซ้ำตัวโน้ต แบบสลับฟันปลา แบบขาลงและขาขึ้น แบบขาขึ้นและขาลง และแบบขาลง (หน้า ง)

Focus

ดนตรีและการสืบทอดวัฒนธรรมของชนเผ่าลัวะ บ้านเต๋ย จังหวัดน่าน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ (Lua) ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายถึงงานศึกษาเกี่ยวกับลัวะชิ้นก่อนๆ ว่า ชนเผ่าลัวะเรียกกลุ่มของตนเองว่า "พ่าย" "ปรัย" "ลัวะ" บางกลุ่มเรียกตนเองว่า "มัล" รวมทั้งชนกลุ่มนี้ยังมีชื่อที่ทางราชการไทยตั้งให้คือ "ถิ่น" โดยลัวะหรือถิ่นในจังหวัดน่านแบ่งตามความแตกต่างของภาษาได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ถิ่นปรัย ถิ่นมัล และถิ่นอะจูล (หน้า 23-25) ในวิทยานิพนธ์ของผู้เขียนมุ่งประเด็นศึกษาเฉพาะกลุ่มมัล (หน้า 124)

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในกรณีศึกษาพูดภาษาถิ่น(ลัวะ) เป็นภาษาย่อยของภาษามัล (ภาษาที่กลุ่มมัลใช้) อีกทีหนึ่ง และสามารถพูดภาษาคำเมืองได้ บางคนสามารถพูดภาษาภาคกลางได้ โดยทั่วไปชนเผ่าลัวะบ้านเต๋ยใช้ภาษาลัวะสื่อสารกันในกลุ่ม จะใช้คำเมืองเมื่อพูดคุยกับคนพื้นราบ (หน้า 40)

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลาการดำเนินการวิจัยอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน 2542-พฤษภาคม 2543 โดยเก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงมิถุนายน 2542- มกราคม 2543

History of the Group and Community

ผู้เขียนได้อ้างถึงงานศึกษาที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชนเผ่าลัวะว่า ชนเผ่าลัวะตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของไทยมาช้านาน โดยในส่วนของชุมชนบ้านเต๋ย อำเภอปัว จังหวัดน่าน จากการเก็บข้อมูลภาคสนามของผู้เขียนได้ระบุถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้เฒ่าอาวุโสในหมู่บ้านลัวะ แถบสบมาง เขตน่านใต้ ที่บอกเล่าว่าคนลัวะเดิมเป็นคนพื้นราบ บรรพบุรุษดังเดิมมาจากเมือง "ละโว้" (หน้า36) และกล่าวสรุปว่าชนเผ่าลัวะอาศัยอยู่บริเวณประเทศไทยตอนบน ตอนกลาง และประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาวมาช้านาน มีวัฒนธรรมประเพณีความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

Settlement Pattern

ลัวะมักตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณเทือกเขาโดยตั้งบ้านอยู่ใกล้กันลดหลั่นกันไปตามแนวสันเขาและหมู่บ้านจะไม่ไกลจากแหล่งน้ำ ในบ้านแต่ละหลังจะมีคนอาศัยโดยเฉลี่ยประมาณ 8-10 คน ลักษณะบ้านเรือนของชาวคล้ายกับบ้านของชาวชนบทในภาคเหนือคือ ตัวเรือนเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง เรือนที่อยู่บริเวณเดียวกันมักมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติและมีบริเวณชานบ้านเชื่อมต่อถึงกัน ปัจจุบันลักษณะบ้านของลัวะแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่า บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าผสมลักษณะคนพื้นราบและบ้านแบบคนพื้นราบ โดยบ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าเหลืออยู่ไม่กี่หลัง บ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านแบบคนพื้นราบเนื่องจากความเจริญและการศึกษาได้เข้าไปมีบทบาทมากในสังคมของชนเผ่าลัวะ (หน้า 37-39)

Demography

ในอำเภอปัว จังหวัดน่าน มีลัวะอยู่ 12 หมู่บ้านโดยในปี พ.ศ. 2510 ถิ่นหรือลัวะที่อยู่ตามดอยขุนเขาในเขตอำเภอปัวได้หนีภัยคอมมิวนิสต์ลงมาตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ป่ากลาง ตำบลศิลาแดง อำเภอปัว ซึ่งจากการสำรวจของกรมประชาสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดน่านในปี พ.ศ. 2527 พบว่า มีถิ่นรวม 7,071 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวบ้านป่ากลาง 2,368 คน แยกเป็นชาย 4,437 คน หญิง 428 คน เด็กชาย 211 คน เด็กหญิง 216 คน (หน้า 20)

Economy

อาชีพของลัวะโดยส่วนใหญ่เป็นอาชีพเกษตรกร เช่น ทำไร่ข้าว(เหนียว) ไร่ข้าวโพดและพืชผัก รวมทั้งปลูกเมี่ยง ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่ใช้บริโภคในครัวเรือนมากกว่าจะนำไปขายยกเว้นเมี่ยง โดยที่การเกษตรของลัวะแต่เดิมจะย้ายพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนในขอบเขตที่กำหนดไว้สำหรับทำไร่ทุกปี ปัจจุบันแต่ละครอบครัวมีที่ดินที่กำหนดเนื้อที่อย่างชัดเจนทำให้การใช้พื้นที่ทำไร่แบบหมุนเวียนหมดไป นอกจากอาชีพเกษตรกรแล้วบางบ้านหาของป่าเป็นอาชีพเสริม บางบ้านมีอาชีพขายแรงงานโดยหลังหน้าเก็บเกี่ยวผู้ชายจะเดินทางเข้าเมืองไปหางานทำ พอถึงหน้าเก็บเกี่ยวก็จะเดินทางกลับบ้าน ซึ่งในปัจจุบันลัวะรุ่นใหม่จะเดินทางเข้ามาหางานทำในเมืองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ (หน้า 42-44)

Social Organization

ผู้เขียนได้กล่าวถึงโครงสร้างทางสังคมของชนเผ่าลัวะว่ามีลักษณะของความสัมพันธ์ทางเครือญาติโดยกล่าวถึงลักษณะบ้านเรือนของลัวะที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันและชานบ้านเชื่อมต่อถึงกันว่าผู้อยู่อาศัยเป็นเครือญาติกัน ซึ่งโครงสร้างทางสังคมของลัวะที่ผู้เขียนเน้น คือ ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนที่เชื่อมโยงถึงกันด้วยพิธี "โสลด" พิธีกรรมสำคัญและใหญ่ที่สุดในรอบปีของชุมชน ซึ่งเป็นพิธีที่รวมทั้งสมาชิกในหมู่บ้านและสมาชิกที่ออกไปทำงานไกลๆซึ่งจะกลับมาบ้านเพื่อร่วมพิธี (หน้า 41) หรือการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในหมู่บ้านทั้งผู้อาวุโส ผู้ที่มีความสามารถและความสำคัญอย่าง "สล่า" หรือ "หมอจ้ำ" และคนอื่นๆในชุมชนผ่านกระบวนการสร้าง "ปิ๊ห์" และการบรรเลง "ปิ๊ห์" ในพิธี "โสลด" (หน้า 46-67)

Political Organization

งานศึกษาชิ้นนี้ไม่อธิบายประเด็นโครงสร้างการเมืองการปกครองในส่วนที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าลัวะกับรัฐ(บาล)ไทยอย่างชัดเจน มีร่องรอยที่ชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าลัวะกับรัฐ(บาล)ไทยว่ามีลักษณะที่ชนเผ่าลัวะอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของรัฐไทย เช่น กล่าวว่าในปี พ.ศ. 2419 ลัวะในประเทศลาวได้ก่อการกระด้างกระเดื่องจนทางการลาวทำการปราบปรามจึงอพยพเข้ามาในเขตแดนไทยในจังหวัดน่านและตั้งถิ่นฐานอยู่ในหมู่บ้านลัวะ ต่อมาราวปี พ.ศ. 2517-2518 ลัวะในประเทศลาวได้อพยพหนีภัยคอมมิวนิสต์เข้ามาในดินแดนประเทศไทยโดยได้มาอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพบ้านน้ำยาว อำเภอปัว และสบตอง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน (หน้า 23)

Belief System

สำหรับบ้านเต๋ยนั้นทุกคนในหมู่บ้านนับถือพุทธและผีไปพร้อมๆ กัน ตามความเชื่อของชนเผ่าลัวะบ้านเต๋ยนั้นเชื่อว่าบริเวณที่อยู่อาศัยคือบริเวณดอยภูคา เป็นที่ปกครองดูแลของ "ผีเจ้าหลวงปัว" ซึ่งเป็นพี่น้องกับ "ผีปูขาวย่าขาว" โดยมีการประกอบพิธี "โสลด" ซึ่งในอดีตเป็นพิธีไหว้ "ผีปูขาวย่าขาว" เพื่อติดต่อกับ "ผีเจ้าหลวงปัว" และผีอื่นๆ ที่ชาวบ้านนับถือ รวมทั้งเพื่อขอพรและพยากรณ์ถึงผลผลิตที่จะได้ในปีต่อไป โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทำพิธี "โสลด" คือ "หมอจ้ำ/หมอประจำ" ที่ถูกเลือกโดย "หมอจ้ำ" ที่ได้รับเลือกในปีที่ผ่านมาจะไปตามบ้านต่างๆ ในหมู่บ้านเพื่อทำการเสี่ยงทายหาผู้ที่จะได้เป็น "หมอจ้ำ" 2 คน (หน้า 40-42) นอกจากนี้ในปีหนึ่งๆ ลัวะบ้านเต๋ยยังมีการจัดพิธีเกี่ยวกับการเลี้ยงผีหลายครั้ง อย่างไรก็ตามในขณะที่ลัวะบ้านเต๋ยนับถือพุทธควบคู่กับผี ลัวะหมู่บ้านอื่นๆ ในบริเวณดอยคาหลายหมู่บ้านเริ่มเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 41)

Education and Socialization

ประเด็นการศึกษาของลัวะบ้านเต๋ยนั้นผู้เขียนได้ชี้ว่าปัจจุบันเนื่องจากถนนหนทางความเจริญที่เข้ามาทำให้ระบบการศึกษาของคนพื้นราบเข้าไปในชุมชน ทั้งยังได้รับการถ่ายทอดภาษาจากการฟังวิทยุและดูโทรทัศน์ (หน้า 40) ในส่วนของการกล่อมเกลาทางสังคมนั้นพบว่าวัฒนธรรมจะสืบทอดและปลูกฝังให้แก่สมาชิกในหมู่บ้านผ่านพิธี "โสลด" และการบรรเลง "ปิ๊ห์" ซึ่งมีรูปแบบ ทำนอง จังหวะ ของเพลงที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนในพิธีเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วม

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้เขียนได้กล่าวถึงสถาปัตยกรรมของลัวะบ้านเต๋ยโดยชี้ว่าบ้านเรือนของลัวะแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่า บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าผสมลักษณะคนพื้นราบและบ้านแบบคนพื้นราบ สำหรับบ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงมีบันไดขึ้นบ้าน ซึ่งขั้นบนสุดของบันไดจะเป็นประตูเข้าสู่ชานเรือนที่เหนือขอบบนของประตูจะมีตะแหลวติดอยู่เพื่อเป็นเครื่องรางช่วยคุ้มครองป้องกันให้สมาชิกในบ้านพ้นอันตรายต่างๆ ในส่วนของห้องครัวหรือห้องไฟที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องจะสร้างกระบะดินไว้และนำดินมาอัดลงให้แน่นเพื่อวางหิน3ก้อนที่เรียกว่า "งุย" สำหรับเป็นเตาหุงต้ม เหนือกระบะดินสร้างเป็นชั้นวางของลักษณะเหมือนหิ้งแขวนจากเพดานลงมาเรียกว่า "กา" เพื่อใช้วางของต่างๆ ที่ต้องการให้แห้ง เช่น ตอก กระบุง ตะกร้า เมล็ดพันธุ์พืชที่ต้องการไว้ปลูกต่อไป รวมทั้งเครื่องปรุงอาหารบางชนิด (หน้า 37-39) ศิลปะการแสดงของลัวะที่กล่าวในวิทยานิพนธ์ได้แก่ การบรรเลง "ปิ๊ห์" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ไผ่ใช้บรรเลงในพิธี "โสลด" และจะทำลายทิ้งหลังเสร็จพิธีโดยเหลือเพียงปิ๊ห์ที่เป็น "เชื้อ" หรือตัวอย่างเพื่อสร้างใหม่ในปีต่อไป (หน้า 46-66) ส่วนบทเพลงที่บรรเลงโดย "ปิ๊ห์" ที่รวบรวมได้มี 12 เพลง ได้แก่ 1. "จงเจอย" หรือ "แพะ" 2. "ทามเลาะห์" 3. "กูม" 4. "กุมบุงตุ๋น" 5. " จะมาล์" 6. "ต็อกหยา" 7. "จงฉลาปิร์" 8. "อันชอน" 9. "เขียวเรียงอองชอง" 10. "เยอยเชื่องจู๋เจี๋ย" 11. "คดหย่องซอหวายเพาะ (ปั่นฝ้าย)" 12. "อู๊ดประเทียมทามโค้ด" ซึ่งเพลงทั้งหมดมีรูปแบบเดียว บรรเลงซ้ำไปซ้ำมาแต่ต่างกันที่ความยาวในการบรรเลง กระสวนจังหวะเพลงส่วนใหญ่มีการใช้กระสวนจังหวะที่เหมือนกันและใกล้เคียงกัน ด้านทำนองของเพลงจะมีอยู่6ลักษณะได้แก่ ทำนองแบบซ้ำตัวโน้ต แบบสลับฟันปลา แบบขาลงและขาขึ้น แบบขาขึ้นและขาลง แบบขาลง และแบบซ้ำตัวโน้ตอยู่กับที่ โดยทำนองแบบซ้ำตัวโน้ตเป็นลักษณะที่เด่นที่สุด (หน้า 68-116, 119-120) สำหรับเครื่องนุ่งห่มนั้นปัจจุบันพบว่าชนเผ่าลัวะไม่มีการทอผ้าเอง เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ ได้มาจากการซื้อหาในตลาดหรือจากการรับบริจาคจากหน่วยงานต่างๆ โดยชายลัวะ สวมเสื้อผ้าเช่นเดียวกับคนพื้นราบแต่พกมีดและย่ามติดตัว รวมทั้งโพกผ้าขาวม้าที่ศีรษะ เวลาออกไปทำงานนอกบ้าน รองเท้าส่วนใหญ่ที่สวมเป็นรองเท้าแตะแต่ถ้าทำไร่ยามหน้าฝนจะใส่รองเท้ายาง หญิงลัวะวัยกลางคนถึงวัยชรานุ่งผ้าซิ่นแบบชาวเมืองน่าน เวลาทำงานหรือออกนอกบ้านจะสวมเสื้อ 2 ตัว มีผ้าโพกศีรษะ ส่วนเวลาอยู่ในบ้านสวมเสื้อคอกระเช้า ในงานพิธีประจำปีต่างๆ อาจพบหญิงลัวะแต่งการคล้ายไทลื้อ วัยรุ่นหญิงชายลัวะจะแต่งกายแบบสมัยนิยม เช่น เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ขณะที่เด็กๆ จะแต่งตัวเช่นเดียวกับคนพื้นราบ (หน้า 44-45)

Folklore

มีข้อมูลเกี่ยวกับอดีตความเป็นมาของลัวะตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าอาวุโสในหมู่บ้านลัวะที่ว่าบรรพบุรุษดั้งเดิมของลัวะอยู่ที่ราบจากเมือง "ละโว้" และเมื่อคนลัวะตายไปแล้วก็ต้องอยู่เมืองละโว้อันเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัวะแต่โบราณ (หน้า 36)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ระหว่างลัวะและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่กล่าวถึงในวิทยานิพนธ์นี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ลัวะบ้านเต๋ยมีการติดต่อกับคนพื้นราบ ดังเห็นได้จากบ้านเรือนในหมู่บ้านที่สร้างแบบลักษณะประจำเผ่าผสมลักษณะคนพื้นราบหรือบ้านแบบคนพื้นราบ หรือด้านภาษาที่คนในหมู่บ้านสามารถพูดภาษาคำเมืองได้ รวมทั้งการที่คนในหมู่บ้านจำนวนหนึ่งเดินทางไปหางานทำในเมืองและการที่ลัวะรุ่นใหม่แต่งตัวแบบสมัยนิยมของคนพื้นราบ อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างลัวะและคนพื้นราบโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางราชการไทยมีนัยยะของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน โดย "ถิ่น" ซึ่งเป็นคำที่ทางราชการใช้เรียกชนเผ่าลัวะนั้นเป็นชื่อที่ผู้ถูกเรียกไม่ชอบไม่ยอมรับเพราะคิดว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามพวกตน (หน้า 37) ในแง่ของการธำรงชาติพันธุ์นั้นพบว่าลัวะบ้านเต๋ยมีการสืบทอดและปลูกฝังวัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่าให้แก่สมาชิกของหมู่บ้านและคนที่ออกไปทำงานในเมืองผ่านพิธีประจำปีอย่างพิธี "โสลด"

Social Cultural and Identity Change

ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชนเผ่าลัวะบ้านเต๋ยในงานศึกษานี้ได้แสดงให้เห็นว่า สังคม-วัฒนธรรมได้เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่วัฒนธรรมของคนพื้นราบมีอิทธิพลต่อคนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของรูปแบบบ้าน การแต่งกาย รวมทั้งการที่ลัวะเข้าไปหางานทำในเมืองมากขึ้น หากความเจริญและวัฒนธรรมของคนพื้นราบยังไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อของลัวะบ้านเต๋ยเท่าไรนัก โดยผู้เขียนได้กล่าวสรุปในตอนท้ายว่าหมู่บ้านชนเผ่าลัวะที่อยู่นอกพื้นที่ศึกษาได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมมากกว่าบ้านเต๋ย เช่น หมู่บ้านสกาดซึ่งเป็นแหล่งชุมชนลัวะที่ใหญ่มากได้ยกเลิกการจัดพิธี "โสลด" ในทุกปีเปลี่ยนเป็นจัดทุก 3 ปี (หน้า 121)

Other Issues

ผู้เขียนเสนอประเด็นสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาดนตรีและการสืบทอดวัฒนธรรมของชนเผ่าลัวะได้ศึกษาต่อไปโดยศึกษาชนเผ่าลัวะกลุ่ม "ปรัย" ซึ่งมีดนตรีที่มีเอกลักษณ์ของตนเองคือ "เประห์" เช่นเดียวกันกับกลุ่ม "มัล" (หน้า124) หรือศึกษารวบรวมเพลงที่บรรเลงโดย "ปิ๊ห์" และความเป็นมาของพิธีกรรมของชนเผ่าลัวะ ตลอดจนศึกษาพิธีกรรม "โสลด" ของบ้านสกาด ซึ่งเป็นชุมชนใหญ่ของลัวะ (หน้า 123-124)

Map/Illustration

ผู้เขียนได้แสดงแผนที่แสดงที่ตั้งบ้านเต๋ย อำเภอปัว จังหวัดน่าน (หน้า 146) ตารางเปรียบเทียบภาษาของชนเผ่าลัวะกับภาษาโฟเนติกในแบบ International Phonetic Alphabet (หน้า 143-144) ตารางแสดงขั้นตอนพิธี "โสลด" ขั้นตอนการสร้าง "ปิ๊ห์" ขนาดของ "ปิ๊ห์" ปฏิทินกิจกรรมและวันเวลาของชนเผ่าลัวะ รวมทั้งลักษณะการบรรเลงของกระสวนจังหวะและการเคลื่อนที่ของทำนองในแต่ละเพลง (หน้า 28, 30-31, 42-43, 48-49, 50-51 ,54 ,69, 93,115) นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาพประกอบที่แสดงถึงวัฒนธรรมของชนเผ่าลัวะ เช่น บ้านของลัวะ (หน้า 38-39) "ปิ๊ห์" และการบรรเลง "ปิ๊ห์" ของคนในหมู่บ้าน (หน้า 47-48, 52-54, 56, 62-63, 65-66)

Text Analyst โดม ไกรปกรณ์ Date of Report 06 ม.ค. 2566
TAG ลัวะ, สังคม, วัฒนธรรม, ดนตรี, อารมณ์ความรู้สึก, น่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง