|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลัวะ,สังคม,วัฒนธรรม,ดนตรี,อารมณ์ความรู้สึก,น่าน |
Author |
ธรรมนูญ จิตตรีบุตร |
Title |
"ปิ๊ห์" ดนตรีของชนเผ่าลัวะ บ้านเต๋ย จังหวัดน่าน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
124 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาดนตรี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
ผลจากการศึกษาพบว่าชนเผ่าลัวะเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บริเวณจังหวัดน่านของประเทศไทย มีประเพณีความเชื่อและพิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองคือ พิธี "สลด" โดย "ปิ๊ห์" เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงประกอบพิธีโสลดและมีความสำคัญมากต่อวิถีชีวิตของชนเผ่าลัวะ เครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงเป็นกลุ่มใหญ่ๆ จึงเสมือนว่าเป็นศูนย์รวมของชาวบ้านในการถ่ายทอดความรู้สึกทางวัฒนธรรม ลักษณะทางกายภาพของ "ปิ๊ห์" เป็นเครื่องดนตรีที่ผลิตจากไม้ไผ่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ไม้เฮียะ" มีทั้งหมด10 ชุด แต่ละชุดมีเสียงที่ตายตัวแตกต่างกัน ด้านลักษณะเฉพาะทางดนตรีของ "ปิ๊ห์" พบว่าเป็นเพลงที่มีรูปแบบเดียว มีลักษณะการบรรเลงที่ซ้ำไปซ้ำมา ส่วนใหญ่แล้วเพลงที่บรรเลงโดย "ปิ๊ห์" ใช้กระสวนจังหวะที่เหมือนกันและใกล้เคียงกัน ด้านการเคลื่อนที่ของทำนองมีอยู่6ลักษณะคือ ทำนองแบบซ้ำตัวโน้ต แบบสลับฟันปลา แบบขาลงและขาขึ้น แบบขาขึ้นและขาลง และแบบขาลง (หน้า ง) |
|
Focus |
ดนตรีและการสืบทอดวัฒนธรรมของชนเผ่าลัวะ บ้านเต๋ย จังหวัดน่าน |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ (Lua) ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายถึงงานศึกษาเกี่ยวกับลัวะชิ้นก่อนๆ ว่า ชนเผ่าลัวะเรียกกลุ่มของตนเองว่า "พ่าย" "ปรัย" "ลัวะ" บางกลุ่มเรียกตนเองว่า "มัล" รวมทั้งชนกลุ่มนี้ยังมีชื่อที่ทางราชการไทยตั้งให้คือ "ถิ่น" โดยลัวะหรือถิ่นในจังหวัดน่านแบ่งตามความแตกต่างของภาษาได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ถิ่นปรัย ถิ่นมัล และถิ่นอะจูล (หน้า 23-25) ในวิทยานิพนธ์ของผู้เขียนมุ่งประเด็นศึกษาเฉพาะกลุ่มมัล (หน้า 124) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะในกรณีศึกษาพูดภาษาถิ่น(ลัวะ) เป็นภาษาย่อยของภาษามัล (ภาษาที่กลุ่มมัลใช้) อีกทีหนึ่ง และสามารถพูดภาษาคำเมืองได้ บางคนสามารถพูดภาษาภาคกลางได้ โดยทั่วไปชนเผ่าลัวะบ้านเต๋ยใช้ภาษาลัวะสื่อสารกันในกลุ่ม จะใช้คำเมืองเมื่อพูดคุยกับคนพื้นราบ (หน้า 40) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาการดำเนินการวิจัยอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน 2542-พฤษภาคม 2543 โดยเก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงมิถุนายน 2542- มกราคม 2543 |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนได้อ้างถึงงานศึกษาที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชนเผ่าลัวะว่า ชนเผ่าลัวะตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของไทยมาช้านาน โดยในส่วนของชุมชนบ้านเต๋ย อำเภอปัว จังหวัดน่าน จากการเก็บข้อมูลภาคสนามของผู้เขียนได้ระบุถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้เฒ่าอาวุโสในหมู่บ้านลัวะ แถบสบมาง เขตน่านใต้ ที่บอกเล่าว่าคนลัวะเดิมเป็นคนพื้นราบ บรรพบุรุษดังเดิมมาจากเมือง "ละโว้" (หน้า36) และกล่าวสรุปว่าชนเผ่าลัวะอาศัยอยู่บริเวณประเทศไทยตอนบน ตอนกลาง และประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาวมาช้านาน มีวัฒนธรรมประเพณีความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน |
|
Settlement Pattern |
ลัวะมักตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณเทือกเขาโดยตั้งบ้านอยู่ใกล้กันลดหลั่นกันไปตามแนวสันเขาและหมู่บ้านจะไม่ไกลจากแหล่งน้ำ ในบ้านแต่ละหลังจะมีคนอาศัยโดยเฉลี่ยประมาณ 8-10 คน ลักษณะบ้านเรือนของชาวคล้ายกับบ้านของชาวชนบทในภาคเหนือคือ ตัวเรือนเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง เรือนที่อยู่บริเวณเดียวกันมักมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติและมีบริเวณชานบ้านเชื่อมต่อถึงกัน ปัจจุบันลักษณะบ้านของลัวะแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่า บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าผสมลักษณะคนพื้นราบและบ้านแบบคนพื้นราบ โดยบ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าเหลืออยู่ไม่กี่หลัง บ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านแบบคนพื้นราบเนื่องจากความเจริญและการศึกษาได้เข้าไปมีบทบาทมากในสังคมของชนเผ่าลัวะ (หน้า 37-39) |
|
Demography |
ในอำเภอปัว จังหวัดน่าน มีลัวะอยู่ 12 หมู่บ้านโดยในปี พ.ศ. 2510 ถิ่นหรือลัวะที่อยู่ตามดอยขุนเขาในเขตอำเภอปัวได้หนีภัยคอมมิวนิสต์ลงมาตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ป่ากลาง ตำบลศิลาแดง อำเภอปัว ซึ่งจากการสำรวจของกรมประชาสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดน่านในปี พ.ศ. 2527 พบว่า มีถิ่นรวม 7,071 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวบ้านป่ากลาง 2,368 คน แยกเป็นชาย 4,437 คน หญิง 428 คน เด็กชาย 211 คน เด็กหญิง 216 คน (หน้า 20) |
|
Economy |
อาชีพของลัวะโดยส่วนใหญ่เป็นอาชีพเกษตรกร เช่น ทำไร่ข้าว(เหนียว) ไร่ข้าวโพดและพืชผัก รวมทั้งปลูกเมี่ยง ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่ใช้บริโภคในครัวเรือนมากกว่าจะนำไปขายยกเว้นเมี่ยง โดยที่การเกษตรของลัวะแต่เดิมจะย้ายพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนในขอบเขตที่กำหนดไว้สำหรับทำไร่ทุกปี ปัจจุบันแต่ละครอบครัวมีที่ดินที่กำหนดเนื้อที่อย่างชัดเจนทำให้การใช้พื้นที่ทำไร่แบบหมุนเวียนหมดไป นอกจากอาชีพเกษตรกรแล้วบางบ้านหาของป่าเป็นอาชีพเสริม บางบ้านมีอาชีพขายแรงงานโดยหลังหน้าเก็บเกี่ยวผู้ชายจะเดินทางเข้าเมืองไปหางานทำ พอถึงหน้าเก็บเกี่ยวก็จะเดินทางกลับบ้าน ซึ่งในปัจจุบันลัวะรุ่นใหม่จะเดินทางเข้ามาหางานทำในเมืองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ (หน้า 42-44) |
|
Social Organization |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงโครงสร้างทางสังคมของชนเผ่าลัวะว่ามีลักษณะของความสัมพันธ์ทางเครือญาติโดยกล่าวถึงลักษณะบ้านเรือนของลัวะที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันและชานบ้านเชื่อมต่อถึงกันว่าผู้อยู่อาศัยเป็นเครือญาติกัน ซึ่งโครงสร้างทางสังคมของลัวะที่ผู้เขียนเน้น คือ ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนที่เชื่อมโยงถึงกันด้วยพิธี "โสลด" พิธีกรรมสำคัญและใหญ่ที่สุดในรอบปีของชุมชน ซึ่งเป็นพิธีที่รวมทั้งสมาชิกในหมู่บ้านและสมาชิกที่ออกไปทำงานไกลๆซึ่งจะกลับมาบ้านเพื่อร่วมพิธี (หน้า 41) หรือการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในหมู่บ้านทั้งผู้อาวุโส ผู้ที่มีความสามารถและความสำคัญอย่าง "สล่า" หรือ "หมอจ้ำ" และคนอื่นๆในชุมชนผ่านกระบวนการสร้าง "ปิ๊ห์" และการบรรเลง "ปิ๊ห์" ในพิธี "โสลด" (หน้า 46-67) |
|
Political Organization |
งานศึกษาชิ้นนี้ไม่อธิบายประเด็นโครงสร้างการเมืองการปกครองในส่วนที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าลัวะกับรัฐ(บาล)ไทยอย่างชัดเจน มีร่องรอยที่ชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าลัวะกับรัฐ(บาล)ไทยว่ามีลักษณะที่ชนเผ่าลัวะอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของรัฐไทย เช่น กล่าวว่าในปี พ.ศ. 2419 ลัวะในประเทศลาวได้ก่อการกระด้างกระเดื่องจนทางการลาวทำการปราบปรามจึงอพยพเข้ามาในเขตแดนไทยในจังหวัดน่านและตั้งถิ่นฐานอยู่ในหมู่บ้านลัวะ ต่อมาราวปี พ.ศ. 2517-2518 ลัวะในประเทศลาวได้อพยพหนีภัยคอมมิวนิสต์เข้ามาในดินแดนประเทศไทยโดยได้มาอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพบ้านน้ำยาว อำเภอปัว และสบตอง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน (หน้า 23) |
|
Belief System |
สำหรับบ้านเต๋ยนั้นทุกคนในหมู่บ้านนับถือพุทธและผีไปพร้อมๆ กัน ตามความเชื่อของชนเผ่าลัวะบ้านเต๋ยนั้นเชื่อว่าบริเวณที่อยู่อาศัยคือบริเวณดอยภูคา เป็นที่ปกครองดูแลของ "ผีเจ้าหลวงปัว" ซึ่งเป็นพี่น้องกับ "ผีปูขาวย่าขาว" โดยมีการประกอบพิธี "โสลด" ซึ่งในอดีตเป็นพิธีไหว้ "ผีปูขาวย่าขาว" เพื่อติดต่อกับ "ผีเจ้าหลวงปัว" และผีอื่นๆ ที่ชาวบ้านนับถือ รวมทั้งเพื่อขอพรและพยากรณ์ถึงผลผลิตที่จะได้ในปีต่อไป โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทำพิธี "โสลด" คือ "หมอจ้ำ/หมอประจำ" ที่ถูกเลือกโดย "หมอจ้ำ" ที่ได้รับเลือกในปีที่ผ่านมาจะไปตามบ้านต่างๆ ในหมู่บ้านเพื่อทำการเสี่ยงทายหาผู้ที่จะได้เป็น "หมอจ้ำ" 2 คน (หน้า 40-42) นอกจากนี้ในปีหนึ่งๆ ลัวะบ้านเต๋ยยังมีการจัดพิธีเกี่ยวกับการเลี้ยงผีหลายครั้ง อย่างไรก็ตามในขณะที่ลัวะบ้านเต๋ยนับถือพุทธควบคู่กับผี ลัวะหมู่บ้านอื่นๆ ในบริเวณดอยคาหลายหมู่บ้านเริ่มเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 41) |
|
Education and Socialization |
ประเด็นการศึกษาของลัวะบ้านเต๋ยนั้นผู้เขียนได้ชี้ว่าปัจจุบันเนื่องจากถนนหนทางความเจริญที่เข้ามาทำให้ระบบการศึกษาของคนพื้นราบเข้าไปในชุมชน ทั้งยังได้รับการถ่ายทอดภาษาจากการฟังวิทยุและดูโทรทัศน์ (หน้า 40) ในส่วนของการกล่อมเกลาทางสังคมนั้นพบว่าวัฒนธรรมจะสืบทอดและปลูกฝังให้แก่สมาชิกในหมู่บ้านผ่านพิธี "โสลด" และการบรรเลง "ปิ๊ห์" ซึ่งมีรูปแบบ ทำนอง จังหวะ ของเพลงที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนในพิธีเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วม |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงสถาปัตยกรรมของลัวะบ้านเต๋ยโดยชี้ว่าบ้านเรือนของลัวะแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่า บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าผสมลักษณะคนพื้นราบและบ้านแบบคนพื้นราบ สำหรับบ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงมีบันไดขึ้นบ้าน ซึ่งขั้นบนสุดของบันไดจะเป็นประตูเข้าสู่ชานเรือนที่เหนือขอบบนของประตูจะมีตะแหลวติดอยู่เพื่อเป็นเครื่องรางช่วยคุ้มครองป้องกันให้สมาชิกในบ้านพ้นอันตรายต่างๆ ในส่วนของห้องครัวหรือห้องไฟที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องจะสร้างกระบะดินไว้และนำดินมาอัดลงให้แน่นเพื่อวางหิน3ก้อนที่เรียกว่า "งุย" สำหรับเป็นเตาหุงต้ม เหนือกระบะดินสร้างเป็นชั้นวางของลักษณะเหมือนหิ้งแขวนจากเพดานลงมาเรียกว่า "กา" เพื่อใช้วางของต่างๆ ที่ต้องการให้แห้ง เช่น ตอก กระบุง ตะกร้า เมล็ดพันธุ์พืชที่ต้องการไว้ปลูกต่อไป รวมทั้งเครื่องปรุงอาหารบางชนิด (หน้า 37-39) ศิลปะการแสดงของลัวะที่กล่าวในวิทยานิพนธ์ได้แก่ การบรรเลง "ปิ๊ห์" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ไผ่ใช้บรรเลงในพิธี "โสลด" และจะทำลายทิ้งหลังเสร็จพิธีโดยเหลือเพียงปิ๊ห์ที่เป็น "เชื้อ" หรือตัวอย่างเพื่อสร้างใหม่ในปีต่อไป (หน้า 46-66) ส่วนบทเพลงที่บรรเลงโดย "ปิ๊ห์" ที่รวบรวมได้มี 12 เพลง ได้แก่ 1. "จงเจอย" หรือ "แพะ" 2. "ทามเลาะห์" 3. "กูม" 4. "กุมบุงตุ๋น" 5. " จะมาล์" 6. "ต็อกหยา" 7. "จงฉลาปิร์" 8. "อันชอน" 9. "เขียวเรียงอองชอง" 10. "เยอยเชื่องจู๋เจี๋ย" 11. "คดหย่องซอหวายเพาะ (ปั่นฝ้าย)" 12. "อู๊ดประเทียมทามโค้ด" ซึ่งเพลงทั้งหมดมีรูปแบบเดียว บรรเลงซ้ำไปซ้ำมาแต่ต่างกันที่ความยาวในการบรรเลง กระสวนจังหวะเพลงส่วนใหญ่มีการใช้กระสวนจังหวะที่เหมือนกันและใกล้เคียงกัน ด้านทำนองของเพลงจะมีอยู่6ลักษณะได้แก่ ทำนองแบบซ้ำตัวโน้ต แบบสลับฟันปลา แบบขาลงและขาขึ้น แบบขาขึ้นและขาลง แบบขาลง และแบบซ้ำตัวโน้ตอยู่กับที่ โดยทำนองแบบซ้ำตัวโน้ตเป็นลักษณะที่เด่นที่สุด (หน้า 68-116, 119-120) สำหรับเครื่องนุ่งห่มนั้นปัจจุบันพบว่าชนเผ่าลัวะไม่มีการทอผ้าเอง เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ ได้มาจากการซื้อหาในตลาดหรือจากการรับบริจาคจากหน่วยงานต่างๆ โดยชายลัวะ สวมเสื้อผ้าเช่นเดียวกับคนพื้นราบแต่พกมีดและย่ามติดตัว รวมทั้งโพกผ้าขาวม้าที่ศีรษะ เวลาออกไปทำงานนอกบ้าน รองเท้าส่วนใหญ่ที่สวมเป็นรองเท้าแตะแต่ถ้าทำไร่ยามหน้าฝนจะใส่รองเท้ายาง หญิงลัวะวัยกลางคนถึงวัยชรานุ่งผ้าซิ่นแบบชาวเมืองน่าน เวลาทำงานหรือออกนอกบ้านจะสวมเสื้อ 2 ตัว มีผ้าโพกศีรษะ ส่วนเวลาอยู่ในบ้านสวมเสื้อคอกระเช้า ในงานพิธีประจำปีต่างๆ อาจพบหญิงลัวะแต่งการคล้ายไทลื้อ วัยรุ่นหญิงชายลัวะจะแต่งกายแบบสมัยนิยม เช่น เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ขณะที่เด็กๆ จะแต่งตัวเช่นเดียวกับคนพื้นราบ (หน้า 44-45) |
|
Folklore |
มีข้อมูลเกี่ยวกับอดีตความเป็นมาของลัวะตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าอาวุโสในหมู่บ้านลัวะที่ว่าบรรพบุรุษดั้งเดิมของลัวะอยู่ที่ราบจากเมือง "ละโว้" และเมื่อคนลัวะตายไปแล้วก็ต้องอยู่เมืองละโว้อันเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัวะแต่โบราณ (หน้า 36) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ระหว่างลัวะและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่กล่าวถึงในวิทยานิพนธ์นี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ลัวะบ้านเต๋ยมีการติดต่อกับคนพื้นราบ ดังเห็นได้จากบ้านเรือนในหมู่บ้านที่สร้างแบบลักษณะประจำเผ่าผสมลักษณะคนพื้นราบหรือบ้านแบบคนพื้นราบ หรือด้านภาษาที่คนในหมู่บ้านสามารถพูดภาษาคำเมืองได้ รวมทั้งการที่คนในหมู่บ้านจำนวนหนึ่งเดินทางไปหางานทำในเมืองและการที่ลัวะรุ่นใหม่แต่งตัวแบบสมัยนิยมของคนพื้นราบ อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างลัวะและคนพื้นราบโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางราชการไทยมีนัยยะของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน โดย "ถิ่น" ซึ่งเป็นคำที่ทางราชการใช้เรียกชนเผ่าลัวะนั้นเป็นชื่อที่ผู้ถูกเรียกไม่ชอบไม่ยอมรับเพราะคิดว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามพวกตน (หน้า 37) ในแง่ของการธำรงชาติพันธุ์นั้นพบว่าลัวะบ้านเต๋ยมีการสืบทอดและปลูกฝังวัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่าให้แก่สมาชิกของหมู่บ้านและคนที่ออกไปทำงานในเมืองผ่านพิธีประจำปีอย่างพิธี "โสลด" |
|
Social Cultural and Identity Change |
ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชนเผ่าลัวะบ้านเต๋ยในงานศึกษานี้ได้แสดงให้เห็นว่า สังคม-วัฒนธรรมได้เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่วัฒนธรรมของคนพื้นราบมีอิทธิพลต่อคนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของรูปแบบบ้าน การแต่งกาย รวมทั้งการที่ลัวะเข้าไปหางานทำในเมืองมากขึ้น หากความเจริญและวัฒนธรรมของคนพื้นราบยังไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อของลัวะบ้านเต๋ยเท่าไรนัก โดยผู้เขียนได้กล่าวสรุปในตอนท้ายว่าหมู่บ้านชนเผ่าลัวะที่อยู่นอกพื้นที่ศึกษาได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมมากกว่าบ้านเต๋ย เช่น หมู่บ้านสกาดซึ่งเป็นแหล่งชุมชนลัวะที่ใหญ่มากได้ยกเลิกการจัดพิธี "โสลด" ในทุกปีเปลี่ยนเป็นจัดทุก 3 ปี (หน้า 121) |
|
Other Issues |
ผู้เขียนเสนอประเด็นสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาดนตรีและการสืบทอดวัฒนธรรมของชนเผ่าลัวะได้ศึกษาต่อไปโดยศึกษาชนเผ่าลัวะกลุ่ม "ปรัย" ซึ่งมีดนตรีที่มีเอกลักษณ์ของตนเองคือ "เประห์" เช่นเดียวกันกับกลุ่ม "มัล" (หน้า124) หรือศึกษารวบรวมเพลงที่บรรเลงโดย "ปิ๊ห์" และความเป็นมาของพิธีกรรมของชนเผ่าลัวะ ตลอดจนศึกษาพิธีกรรม "โสลด" ของบ้านสกาด ซึ่งเป็นชุมชนใหญ่ของลัวะ (หน้า 123-124) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้แสดงแผนที่แสดงที่ตั้งบ้านเต๋ย อำเภอปัว จังหวัดน่าน (หน้า 146) ตารางเปรียบเทียบภาษาของชนเผ่าลัวะกับภาษาโฟเนติกในแบบ International Phonetic Alphabet (หน้า 143-144) ตารางแสดงขั้นตอนพิธี "โสลด" ขั้นตอนการสร้าง "ปิ๊ห์" ขนาดของ "ปิ๊ห์" ปฏิทินกิจกรรมและวันเวลาของชนเผ่าลัวะ รวมทั้งลักษณะการบรรเลงของกระสวนจังหวะและการเคลื่อนที่ของทำนองในแต่ละเพลง (หน้า 28, 30-31, 42-43, 48-49, 50-51 ,54 ,69, 93,115) นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาพประกอบที่แสดงถึงวัฒนธรรมของชนเผ่าลัวะ เช่น บ้านของลัวะ (หน้า 38-39) "ปิ๊ห์" และการบรรเลง "ปิ๊ห์" ของคนในหมู่บ้าน (หน้า 47-48, 52-54, 56, 62-63, 65-66) |
|
|