|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,โส้,ประเพณี,วัฒนธรรม,สกลนคร |
Author |
สุรัตน์ วรางค์รัตน์ |
Title |
การศึกษาเปรียบเทียบประเพณีวัฒนธรรมของชาวผู้ไทย - ชาวโซ่ ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอพรรณานิคมและอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โส้ โทรฺ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
116 |
Year |
2541 |
Source |
สำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏสกลนคร |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบวัฒนธรรมของผู้ไทยในอ.พรรณานิคม และโซ่ใน อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร ในประเด็นประวัติความเป็นมา ระบบความเชื่อทางศาสนา ประเพณีการแต่งงานและระบบเครือญาติ ความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาลและประเพณีในการทำศพ ผลการวิจัยพบว่าผู้ไทยและโซ่อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเข้ามาอยู่ในดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยได้ก่อตั้งชุมชนกระจัดกระจายบริเวณพื้นที่ จ.นครพนมและ จ.สกลนคร ผู้ไทยและโซ่มีความเชื่อหลายอย่างคล้ายกันคือการนับถือผีที่เชื่อว่าสิ่งนอกเหนือธรรมชาติมีอำนาจให้คุณและโทษแก่มนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติเหล่านี้ได้จึงต้องเซ่นสรวงบูชาเพื่อให้ประโยชน์แก่ตน ความเชื่อตามหลักพุทธศาสนาที่เชื่อว่าเป็นเครื่องมือทำให้เกิดความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ความเชื่อตามแบบคติพราหมณ์เพื่อความเป็นศิริมงคลในโอกาสต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวช การสู่ขวัญผู้ที่จะจากบ้านหรือกลับบ้าน การรับขวัญผู้เจ็บป่วย ผู้ไทยและโซ่เชื่อว่าการผิดจารีตประเพณีเป็นการผิดผี ทำให้ผีโกรธและลงโทษครอบครัว แต่ถ้าบูชาอย่างถูกต้อง ผีนั้นก็จะให้ประโยชน์มากกว่าโทษ พิธีกรรมงานศพของผู้ไทยและโซ่ประกอบด้วยพิธีกรรมย่อย มีความหมายซ่อนอยู่ในตัวของมันเอง เช่น การอาบน้ำศพสะอาดถือเป็นการชำระมลทินให้ผู้ตาย การจัดพิธีสวดพระอภิธรรมหรือสวดยอดมุขของผู้ไทยมีความหมายคล้ายพิธีซางกมูทของโซ่ที่ต้องการให้วิญญาณอยู่ในอาการสงบ ส่วนความแตกต่างในพิธีกรรมสะท้อนให้เห็นความเชื่อเรื่องวิญญาณที่แตกต่างกัน การโปรยข้าวตอกตามเส้นทางไปสู่ป่าช้าของผู้ไทยหมายถึงการไม่กลับมาอีก แต่โซ่เชื่อว่าข้าวตอกจะช่วยบอกเส้นทางกลับบ้าน ผู้ไทยจะทำบุญให้ผู้ตายไปสู่สุคติ แต่โซ่จะเรียกวิญญาณผู้ตายให้กลับมาอยู่ในบ้านเพื่อเป็นผีบ้านผีเรือนคุ้มครองลูกหลาน พิธีกรรมการแต่งงานของผู้ไทยและโซ่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน เริ่มตั้งแต่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว การสู่ขอ การหมั้นและการแต่งงาน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องฤกษ์งามยามดี ความเชื่อเรื่องขวัญ ความถูกต้องในพิธีกรรมจะทำให้เกิดความรุ่งเรือง ในตัวพิธีกรรมจะมีคำสอนในตัวของมันเอง ระบบครอบครัวของผู้ไทยและโซ่เป็นวงจร 2 แบบ เริ่มจากการเป็นครอบครัวเดี่ยวเมื่อหนุ่มสาวแต่งงานกันและมีบุตร บุตรแต่งงานก็อาจนำเอาสามีภรรยามารวมอยู่ในบ้านทำให้เกิดครอบครัวขยายหลังจากนั้นคู่สมรสจึงออกไปปลูกบ้านตั้งครอบครัวของตนโดยอิสระ โดยปลูกบ้านบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของพ่อแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้เกิดบ้านเล็กในเขตบ้านใหญ่ (Multi - household Compound) เกิดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ แรงงาน ผู้ไทยและโซ่เลื่อมใสการรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านตามวิธีทางไสยศาสตร์ ด้วยความเชื่อที่ว่าความเจ็บป่วยเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ การแก้ไขก็ต้องใช้อำนาจเหนือธรรมชาติเช่นเดียวกัน และบุคคลที่จะรักษาได้ต้องเป็นผู้สามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากผีหรืออำนาจเหนือธรรมชาติได้ บุคคลผู้นั้นคือหมอไสยศาสตร์ซึ่งจะรักษาไปตามประสบการณ์ของแต่ละคน |
|
Focus |
ศึกษาเปรียบเทียบวัฒนธรรมของผู้ไทยใน อ.พรรณานิคม และโซ่ ใน อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร เน้นการศึกษาโครงสร้างของสังคมจากความเชื่อและพิธีกรรมของผู้ไทยและโซ่ทั้ง 2 กลุ่ม (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาผู้ไทยใน อ.พรรณานิคม และโซ่ ใน อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร (หน้า 4-5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้ไทยพูดภาษาตระกูล "ไทยกะได" (Tai-Kadai) (หน้า 6) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติความเป็นมาของผู้ไทย 1. มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่สิบสองจุไทย โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำดำ อาจแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มผู้ไทยบริเวณเมืองไล ดินแดนแถบนี้ได้รับอารยธรรมจากจีนเรียกผู้ไทยกลุ่มนี้ว่า "ผู้ไทยขาว" (2) กลุ่มผู้ไทยบริเวณเมืองแถงหรือเดียนเบียนฟูในปัจจุบัน ผู้ไทยกลุ่มนี้มีผิวคล้ำจึงเรียกว่า "ผู้ไทยดำ" 2. การอธิบายการอพยพของผู้ไทยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ (1) ผู้ไทยอพยพจากเมืองแถง (น้ำน้อยอ้อยหนู) สิบสองจุไทมายังเชียงขวาง เพราะความแห้งแล้งที่เกิดจากฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอดอยากขาดแคลนไปทั่ว นอกจากนี้ยังเกิดจากความขัดแย้งระหว่างเจ้าเมืองน้ำน้อยอ้อยหนูและผู้นำชาวผู้ไทย (2) การอพยพจากเมืองแถงไปเมืองวังคำของเมืองลาว จากที่ดินที่ไม่สามารถทำมาหากินได้ (3) การอพยพจากเมืองวังไปสู่บ้านพังพร้าว (อ.พรรณานิคม) เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2384 จากศึกสงครามระหว่างเวียงจันทร์กับกองทัพไทย ทำให้ผู้ไทยในเมืองวังรวมกำลังกันต่อสู้ก่อนจะอพยพเข้าไปในดินแดนญวณ ปล่อยให้กองทัพไทยบุกทำลายจนเสียหาย เมื่อกลับมาที่เมืองวังอีกครั้งจึงถูกเจ้าเมืองสกลนครเกลี้ยกล่อมให้อพยพข้ามโขงมาอยู่ที่สกลนคร ประวัติความเป็นมาของโซ่ ถิ่นฐานของโซ่ไม่ปรากฏแน่ชัดเพราะลักษณะของโซ่ที่มักไม่ค่อยออกมาเผชิญกับสังคมภายนอก อย่างไรก็ตามโซ่บางส่วนระบุว่าตนเองย้ายมาจากเมืองมหาชัยกองแก้ว บางส่วนก็ระบุว่ามาจากอู่เมืองวังหรือเมืองบ้ำ โดยการอพยพเข้าสู่เมืองสกลนครเป็นเพราะภัยของสงครามระหว่างกองทัพไทยและเวียงจันทร์โดยถูกกวาดต้อนเป็นเชลยศึก (หน้า 6-27) |
|
Social Organization |
พิธีกรรมการแต่งงาน ของผู้ไทยและโซ่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน เริ่มตั้งแต่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว การสู่ขอ การหมั้นและการแต่งงาน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องฤกษ์งามยามดี ความเชื่อเรื่องขวัญ ความถูกต้องในพิธีกรรมจะทำให้เกิดความรุ่งเรือง ในตัวพิธีกรรมจะมีคำสอนในตัวของมันเอง เช่น การให้เจ้าบ่าวเหยียบก้อนหินที่ปูใบตองเพื่อให้คู่สมรสมีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่น การป้อนไข่ ป้อนข้าว หมายถึง การรู้จักแบ่งปันแม้จะมีสิ่งของเพียงเล็กน้อยก็ตาม นอกจากนี้ยังมีคำสอนที่เป็นคำพูดทั้งคำผะหยาและคำกล่าวธรรมดาซึ่งเป็นคำสอนที่มีคุณค่าต่อชีวิตสมรสและเกิดความเป็นปึกแผ่นในครอบครัว "หมอล่าม" และ "หมอสื่อ" เป็นบุคลที่คู่สมรสเกรงใจและให้ความเคารพ เป็นผู้ไกล่เกลี่ยหาทางออกยามที่เกิดความขัดแย้งระหว่างคู่สมรส ประเพณีและพิธีกรรมการแต่งงานของผู้ไทยและโซ่มีทั้งส่วนที่คล้ายกันและแตกต่างกัน เช่น โซ่จะให้ความสำคัญกับฝ่ายแม่มากกว่าผู้ไทย และจะเห็นได้จากการไหว้บรรพบุรุษที่ฝ่ายชายจะนับถือผีฝ่ายภรรยา ระบบครอบครัว ของผู้ไทยและโซ่เป็นวงจร 2 แบบ เริ่มจากการเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuclear family) ที่เมื่อหนุ่มสาวแต่งงงานกันและมีบุตร เมื่อบุตรแต่งงานก็อาจนำเอาสามีภรรยามารวมอยู่ในบ้านทำให้เกิดครอบครัวขยาย (Extended family) หลังจากนั้นคู่สมรสจึงออกไปปลูกบ้านตั้งครอบครัวของตนโดยอิสระ โดยปลูกบ้านบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของพ่อแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้เกิดบ้านเล็กในเขตบ้านใหญ่ (Multi-household Compound) เกิดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ แรงงาน (หน้า 55-78) |
|
Belief System |
ผู้ไทยและโซ่มีความเชื่อหลายอย่างคละกันไป คือ (1) ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ คือการนับถือผี เชื่อว่าสิ่งนอกเหนือธรรมชาติมีอำนาจให้คุณและโทษแก่มนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติเหล่านี้ได้จึงต้องเซ่นสรวงบูชาเพื่อให้ประโยชน์แก่ตน (2) ความเชื่อตามหลักพุทธศาสนา เชื่อว่าพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือทำให้เกิดความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า (3) ความเชื่อตามแบบคติพราหมณ์ เพื่อความเป็นศิริมงคลในโอกาสต่างๆ เช่นงานแต่งงาน งานบวช การสู่ขวัญผู้ที่จะจากบ้านหรือกลับบ้าน การรับขวัญผู้เจ็บป่วย เป็นต้น ผู้ไทยและโซ่เชื่อว่าการผิดจารีตประเพณีเป็นการผิดผี ทำให้ผีโกรธและลงโทษครอบครัว แต่ถ้าบูชาอย่างถูกต้อง ผีนั้นก็จะให้ประโยชน์มากกว่าโทษ เช่น ผีมเหสักข์ที่คุ้มครองคนที่เชื่อให้ประสบแต่ความสุขปราศจากอันตราย จึงต้องเซ่นไหว้ผีมเหสักข์อยู่อย่างสม่ำเสมอ ความเชื่อเรื่องผีนาซึ่งเป็นผีที่อยู่ตามทุ่งนา หากทำพิธีถูกต้องก็จะช่วยคุ้มครองให้ต้นข้าวอุดมสมบูรณ์ เป็นต้น ในที่นี้จะสรุปรายละเอียดความเชื่อเรื่องผีของผู้ไทยและโซ่ดังนี้ 1.ผีมเหสักข์ โซ่เชื่อว่ามีวิญญาณอยู่ทุกแห่งในโลกนี้ทั้งตามก้อนหิน บ้านเรือน ต้นไม้ มีพิธีกรรมบูชาผีมเหสักข์ทุกปีในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เพื่อให้ผีบันดาลความสุขให้ ส่วนผู้ไทยก็เชื่อเช่นเดียวกับโซ่ว่าผีมเหสักข์จะบันดาลความสุขมาให้ 2.ผีนา โซ่และผู้ไทยจะจัดพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีนาในช่วงเริ่มฤดูฝน เรียกตรงกันว่า "ผีตาแฮก" คือเลี้ยงผีครั้งแรกก่อนทำนา 3.ผีเรือน เมื่อตั้งหมู่บ้านแล้วชาวบ้านจะตั้งศาลที่เรียกว่า "ศาลปู่ตา" หรือ "ปู่ตาบ้าน" แล้วจะเชิญบรรพบุรุษของผีทุกชนิดมา ศาลจะตั้งอยู่ทางเข้าหมู่บ้านและมีผู้ดูแลเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างผีปู่ตากับชาวบ้านเรียกว่า "เฒ่าจ้ำ" 4.ผีวงศ์ โซ่เชื่อเรื่องผีตระกูลหรือผีวงศ์มากกว่าผู้ไทย ผีวงศ์ของโซ่ถือฝ่ายแม่เป็นหลัก เป็นผีของวงศ์ตระกูลเป็นที่นับถือของครอบครัว (หน้า 31-51) ความเชื่อเรื่องวิญญาณของโซ่ วิญญาณของโซ่เรียกว่า "เยียง" เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติเช่น ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ และร่างกายของมนุษย์ก็มีวิญญาณเช่นกับที่มีอยู่ในธรรมชาติ โซ่เชื่อว่าเมื่อตายแล้วแม้วิญญาณจะสิ้นชีวิตไปด้วยแต่จะไม่แตกสลาย ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ศพ จนกว่าจะเผาหรือฝังแล้ว วิญญาณจึงจะล่องลอยเพื่อหาที่อยู่อาศัยใหม่ แม้จะเผาศพแล้วโซ่ยังต้องเรียกวิญญาณผู้ตายให้กลับมาที่บ้านด้วยการทำพิธีกรรมโดยผู้รู้ ที่อยู่ของวิญญาณจะอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของเรือน การดำเนินพิธีกรรมงานศพของโซ่จะมีพิธีที่เรียกว่า "ซางกมูท" หมายถึง การจัดพิธีเกี่ยวกับผู้ตายให้เรียบร้อยก่อนนำศพไปเผา โซ่เชื่อว่าการตายด้วยอาการธรรมชาติถือว่าเป็น "ผีดิบ" การทำพิธีซางกมูทก็เพื่อทำให้ "ผีดิบ" เป็น "ผีสุก" ไม่เช่นนั้นญาติพี่น้องก็จะได้รับอันตรายจากผีดิบ เช่น เกิดการเจ็บป่วย (หน้า 104-105, 107-110) ความเชื่อเรื่องวิญญาณของผู้ไทย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเชื่อว่าวิญญาณกับร่างกายแยกจากกัน เมื่อตายแล้ววิญญาณจะไปสู่สถานที่ที่แตกต่างกันตามการกระทำของแต่ละคน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มศิษย์ของ อ.มั่น ภูริทัตโต และ อ.ฝั้น อาจาโร ที่ไม่เชื่อในชีวิตหลังความตาย การหลุดพ้นกรรมที่ประเสริฐคือการไม่ต้องเกิดอีกต่อไป พิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพของผู้ไทยจะมีพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการแยกกันระหว่างผู้ที่ตายและผู้ที่อยู่ ช่วงที่นำศพไปยังป่าช้าจะโปรยข้าวตอกเพื่อให้ผู้ตายไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องวิญญาณของผู้ไทยที่ไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย (หน้า 105-106, 111-115) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
แม้ชุมชนผู้ไทยและชุมชนโซ่จะอยู่ใกล้โรงพยาบาลที่เป็นสัญลักษณ์ของการแพทย์แบบสมัยใหม่ แต่ชาวบ้านก็ยังคงเลื่อมใสการรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านตามวิธีทางไสยศาสตร์ ด้วยความเชื่อที่ว่าความเจ็บป่วยเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ เกิดจากผีซึ่งเป็นอำนาจลึกลับ การแก้ไขก็ต้องใช้อำนาจเหนือธรรมชาติเช่นเดียวกัน และบุคคลที่จะรักษาได้ต้องเป็นผู้สามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากผีหรืออำนาจเหนือธรรมชาติได้ บุคคลผู้นั้นคือหมอไสยศาสตร์ซึ่งใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมีทั้งโรคทางกาย (Somatic Diseases) และโรคทางจิต (Psychic Diseases) โรคทางกายที่นิยมรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์คือโรคที่เกี่ยวกับกระดูก รักษาโดย "หมอดูก" ใช้การนวด และสมุนไพรและคาถาอาคมประกอบการรักษา ส่วนโรคทางจิต (การเซื่องซึมผิดปกติ พูดจาเพ้อเจ้อไม่มีสาระ มีลักษณะที่เรียกว่า "ผีเข้า" อยู่เสมอ และอาการของโรคจิตทุกชนิด) ก็รักษาด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการขาดแคลนจิตแพทย์ในโรงพยาบาลด้วย (หน้า 79-102) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ผู้ไทยเชื่อว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกับข่าแจะ ลาวพุงขาว ฮ่อ แกวหรือญวน ที่อยู่ในผลน้ำเต้าเดียวกัน เมื่อแตกออกจากผลน้ำเต้าแล้วต่างเผ่าต่างออกไปตั้งบ้านเมืองของตัวเอง (หน้า 7-8) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ความเชื่อเรื่องผีของผู้ไทยและโซ่เริ่มลดน้อยลง เช่น ความเชื่อเรื่องผีมเหสักข์ที่จะพบได้ในกลุ่มคนวัยกลางคนขึ้นไปเท่านั้น หมู่บ้านบางแห่งก็ไม่มีพิธีเลี้ยงผีมเหสักข์อีกต่อไป (หน้า 42-43) เช่นเดียวกับพิธีกรรมการเลี้ยงผีนาก็เริ่มลดน้อยลงเช่นเดียวกัน (หน้า 45) |
|
Map/Illustration |
รายงานการวิจัยชิ้นนี้เน้นไปที่ภาพประกอบงานวิจัยที่ช่วยสร้างความเข้าใจในแง่มุมต่างๆ ของงานวิจัยให้มากยิ่งขึ้น เช่น ภาพการแต่งกายของสาวผู้ไทยและสาวไทโซ่ในภาคอีสานเมื่อครั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพตรวจราชการมณฑลอุดรและมณฑลอีสานปลาย พ.ศ.2449 - 2450 (หน้า 28) ภาพแสดงชาวไทยโซ่ที่กุสุมาลย์แสดงพิธีรักษาคนป่วยด้วยการเหยาและการแสดงโซ่ทั่งบั้ง (หน้า 54) |
|
|