สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง) โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง,โครงสร้างประชากร,เศรษฐกิจ,สังคม,การปกครอง,การศึกษา,ศาสนา,เชียงใหม่,ภาคเหนือ
Author ประวิตร โพธิอาสน์
Title ข้อมูลและข้อสนเทศเบื้องต้นเกี่ยวกับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (โป) บ้านดงดำ ตำบลฮอด อำเภอฮอด จ.เชียงใหม่
Document Type - Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 16 Year 2520
Source รายงานการสำรวจ ศูนย์วิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย
Abstract

บ้านดงดำตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง แต่เดิมเป็นหมู่บ้านใต้เขื่อนภูมิพล สำหรับชุมชนกะเหรี่ยงโปแยกตัวออกมาจากกะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่ง ซึ่งตั้งรกรากมานานถึง 35 ปีแล้ว ถิ่นที่อยู่ของกะเหรี่ยงในอำเภอฮอดนี้มีอายุเก่าแก่ถึง 200 ปี หลังจากชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในเขตน้ำท่วมก็อพยพมาอยู่ที่นิคมเขื่อนภูมิพล มาตั้งเป็นหมู่บ้านดงดำใหม่ประกอบด้วย บ้านดงดำเหนือ บ้านดงดำใต้ บ้านสารภีเหนือและบ้านสารภีใต้ ชาวบ้านได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินครอบครัวละ 5 ไร่ จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2519 หมู่บ้านดงดำมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 458 คน เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงโป 433 คน ชาวบ้านดงดำนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังคงเคร่งครัดต่อความเชื่อในการนับถือผีและประเพณีดั้งเดิม ภายในหมู่บ้านมีวัดและโรงเรียน ได้รับบริการสาธารณสุขจากหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ รวมถึงบริการวางแผนครอบครัวจาก ม. เชียงใหม่ ชาวบ้านดงดำแต่เดิมมีเศรษฐกิจแบบยังชีพ กล่าวคือ ประกอบอาชีพทำไร่เลื่อนลอยและหาของป่า ต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนมาประกอบอาชีพรับจ้าง ทำเกษตร ทำประมงเพื่อสร้างรายได้ที่เป็นตัวเงิน กะเหรี่ยงบ้านดงดำนิยมปลูกพืชล้มลุกระยะสั้น เช่น ถั่วลิสง พริก ละหุ่ง ยาสูบ ถั่วเหลือง ข้าวโพด และเลี้ยงสัตว์ งานฝีมือที่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนได้รับการส่งเสริมจากศูนย์วิจัยชาวเขาและได้เงินทุนหมุนเวียนและช่องทางการจัดจำหน่ายจากสถานเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์

Focus

เน้นศึกษาสภาพเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพและรายได้ รวมถึงโครงสร้างทางสังคมชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงโป บ้านดงดำ ตำบลฮอด อำเภอฮอด จ.เชียงใหม่

Theoretical Issues

ไม่ได้ระบุ

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง (โป)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

กุมภาพันธ์ 2521

History of the Group and Community

หมู่บ้านดงดำเก่าอยู่ใต้เขื่อนภูมิพล นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันพบว่า หมู่บ้านนี้เป็นชุมชนที่แยกตัวออกมาจากกะเหรี่ยงที่บ้านโฮ่ง ตั้งรกรากมานานถึง 35 ปีแล้ว สำหรับถิ่นที่อยู่ของกะเหรี่ยงในอำเภอฮอด อาจเก่าแก่ถึง 200 ปี เมื่อรัฐบาลติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังน้ำ ได้ให้ชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในเขตน้ำท่วมอพยพมาอยู่ที่นิคมเขื่อนภูมิพล ซึ่งจัดที่ดินทำกินให้ครอบครัวละ 5 ไร่ หมู่บ้านดงดำใหม่อยู่ห่างจากหมู่บ้านเก่า 500-600 เมตร (หน้า 2)

Settlement Pattern

ลักษณะการตั้งหมู่บ้านและการสร้างบ้านแตกต่างกับกะเหรี่ยงที่อยู่ตามภูเขา กล่าวคือ มีการล้อมรั้วบ้านอย่างเป็นสัดเป็นส่วน นิยมปลูกเรือนไม้หลังคามุงสังกะสีหรือกระเบื้อง ภายในหมู่บ้านแบ่งเป็นถนน เป็นซอย (หน้า 1)

Demography

บ้านดงดำเก่า เดิมมีอยู่ประมาณ 40 หลังคาเรือน ต่อมาเมื่อมีการอพยพโยกย้ายจึงเหลืออยู่เพียง 28 หลังคาเรือน ในปี พ.ศ.2520 ที่สำรวจพบครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 96 หลังคาเรือน คิดเป็น 105 ครอบครัว จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2519 พบว่า กะเหรี่ยงบ้านดงดำ หมู่ที่ 5 ต.ดงดำ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ มีประชากรรวมทั้งสิ้นจำนวน 458 คน แบ่งเป็นประชากรชาย 211 คน หญิง 247 คน เป็นกะเหรี่ยงโป 433 คน คนเมือง 25 คน คิดเป็น 7 ครอบครัว มีพระภิกษุ 1 รูป สามเณร 2 รูป โรงเรียนบ้านดงดำมีครู 3 คน (ชาย 2 คนหญิง 1 คน) นักเรียน 63 คน เป็นชาย 35 คน หญิง 28 คน มีนักเรียนที่เรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 จำนวน 5 คน (หน้า 2-3)

Economy

ก่อนอพยพมาอยู่ในพื้นที่ กะเหรี่ยงบ้านดงดำดำเนินเศรษฐกิจแบบยังชีพ กล่าว คือ มีการทำไร่ทำนา หาของป่า มีเพียงบางส่วนที่เป็นแรงงานรับจ้างและเลี้ยงสัตว์ เมื่อย้ายมาอยู่ในที่ใหม่ อาชีพก็ปรับเปลี่ยนไปเป็นอาชีพรับจ้าง ทำเกษตร ทำประมง กะเหรี่ยงบ้านดงดำนิยมทำไร่ถั่วลิสง พริก ละหุ่ง ยาสูบ ถั่วเหลือง และข้าวโพด นอกจากนี้ยังนิยมปลูกมะขาม กล้วย มะม่วง มะพร้าว ขนุน ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำรายได้รองจากอาชีพรับจ้าง ส่วนการทำประมงเป็นอาชีพที่ลงทุนค่อนข้างสูงและพบปัญหามากมาย เช่น การลักขโมย เรียกค่าไถ่อุปกรณ์ในการจับปลา ปัญหาการขูดรีดและเอาเปรียบด้วยการกดราคาหรือผูกขาด การใช้เครื่องมือผิดกฎหมายเช่น อุปกรณ์ช็อตไฟฟ้า ระเบิดมือ นอกจากนี้ยังมีอาชีพเสริมที่สร้างรายได้เป็นตัวเงิน เช่น การเลี้ยงสัตว์ซึ่งนิยมใช้วิธีแบบดั้งเดิม สัตว์ที่เลี้ยงมีจำนวนน้อยเช่น หมูและไก่ ส่วนใหญ่เลี้ยงไว้เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนา แต่มักประสบปัญหาโรคระบาดและการลักขโมย สำหรับอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่สร้างรายได้เสริม เช่น ผ้าห่ม ผ้าถุง ถุงย่ามและเสื้อชาวเขา ปัญหาที่พบคือวัสดุสิ่งทอไม่ได้ผลิตขึ้นเองในท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ทางศูนย์วิจัยชาวเขาได้จัดหาตลาด จัดทำผลิตผลสิ่งทอ แล้วช่วยในเรื่องช่องทางจัดจำหน่าย การหาของป่ามาขายสร้างรายได้ที่ไม่แน่นอน เช่น เปลือกไม้ก่อ (ใช้เคี้ยวกินกับหมาก) เสาไม้ปลูกบ้าน ไม้ไผ่และตองตึงมุงหลังคา ส่วนการล่าสัตว์ป่าเริ่มเสื่อมความนิยมลงไป กะเหรี่ยงบ้านดงดำจำนวนมากที่ออกไปรับจ้างทำงานทั้งภายนอกและภายในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นชายมากกว่าหญิง รายได้จากการทำงานจึงเป็นรายได้หลัก สาเหตุที่ทำให้ประชากรต้องออกไปหางานทำทั้งในและนอกหมู่บ้าน เนื่องจากไม่มีที่นาเป็นของตนเอง มีแต่ผลผลิตซึ่งไม่เพียงพอต่อการบริโภค หรือเกิดจากการสร้างเขื่อนภูมิพล ทำให้สูญเสียที่ดินทำกินที่มีมาแต่เดิม ขาดแคลนน้ำ ที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ ฤดูน้ำหลากจะท่วมขังในที่นา กะเหรี่ยงที่บ้านดงดำได้ค่าจ้างเป็นเงินสดหรืออาจได้ค่าตอบแทนในรูปข้าวสาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ต่าง ๆ อัตราค่าจ้างแรงงานภายในหมู่บ้านเฉลี่ยวันละ 10-15 บาท งานภายนอกหมู่บ้านได้ค่าแรงวันละ 15-20 บาทต่อคน (หน้า 4-7) รายได้เงินสดส่วนใหญ่ร้อยละ 37.80 มาจากการรับจ้าง (รวมถึงรับราชการ) ร้อยละ 31.66 มีรายได้จากการกสิกรรม (ปลูกพืช-เลี้ยงสัตว์) ร้อยละ 24.56 มาจากการทำประมง ที่เหลือร้อยละ 5.02 และร้อยละ 0.96 มาจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนและการขายของป่า ตามลำดับ สำหรับรายได้จากการกสิกรรมส่วนใหญ่มาจากการปลูกถั่วลิสง มูลค่าโดยรวม 37,720 บาท คิดเป็นร้อยละ 41.61 รายได้ร้อยละ 36.66 มาจากการขายสัตว์ คิดเป็นมูลค่า 33,240 บาท ร้อยละ 11.70 มาจากพริก คิดเป็นมูลค่า 10,610 บาท ร้อยละ 3.42 มาจากละหุ่งคิดเป็น 3,100 บาท (หน้า 7-8) ข้อมูลจากการสุ่มตัวอย่าง 75 ครัวเรือนจากทั้งหมด 105 ครัวเรือนของหมู่บ้านดงดำ มีรายได้เฉลี่ย 3000 -10,000 บาทต่อปี 35 ครัวเรือนมีรายได้ไม่เกิน 3,000 บาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 46.67 จำนวน 17 ครัวเรือน มีรายได้ประมาณ 3,000 - 5,000 บาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 24.67 มีเพียง 2 ครัวเรือนที่มีรายได้ 9,000 บาทขึ้นไป ข้อมูลจากการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนกะเหรี่ยงบ้านดงดำ สุ่มตัวอย่างร้อยละ 10 จากจำนวนทั้งหมด 75 ครัวเรือน ครอบครัวส่วนใหญ่มีจำนวนสมาชิก 1- 5 คน รายจ่ายโดยเฉลี่ยต่อปี คิดเป็น 7,408.97 บาทต่อครัวเรือน จากการสุ่มตัวอย่างร้อยละ 10 ของครัวเรือน ประเภทของค่าใช้จ่ายแบ่งเป็น ค่าอาหารเฉลี่ยครัวเรือนละ 4,680 บาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 63.17 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ค่าใช้จ่าย ร้อยละ 6.75 เป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนเฉลี่ยครัวเรือนละ 500 บาทต่อปี ร้อยละ 6.75 เป็นค่าซ่อมแซมบ้านและอุปกรณ์ ภายในบ้าน ร้อยละ 6.78 เป็นค่าเครื่องนุ่งห่ม ร้อยละ 6.38 เป็นเครื่องมือการเกษตรร้อยละ 2.70 เป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีกรรม ร้อยละ 1.87 เป็นค่าพันธุ์พืช ที่เหลือเป็นค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าอุปกรณ์การศึกษา ของฟุ่มเฟือยและยารักษาโรค ตามลำดับ ส่วนหนี้สินเกิดจากการที่ชาวบ้านดงดำต้องไปกู้ยืมเงินจากพ่อค้าคน-กลางซึ่งมักคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 - 5 บาทต่อเดือน ระยะเวลาการจ่ายคืนมีตั้งแต่รายเดือนถึง 1 ปี ส่วนมากพบว่าในหน้าแล้งมีการกู้ยืมมากที่สุด ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายน เป็นระยะที่ชาวบ้านขาดแคลนข้าวเพื่อการบริโภค จากการสำรวจสภาวะหนี้สินในหมู่บ้านดงดำพบว่า ร้อยละ 60 มีหนี้สินทั้งสิ้น เป็นเงิน 26,543 บาท โดยเฉลี่ยแต่ละครัวเรือนจะมีหนี้สินครัวเรือนละ 589.8 บาท สองครัวเรือนกู้เงินมาเพื่อสร้างบ้าน สาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านดงดำมีหนี้สินเนื่องจากผลิตข้าวได้ไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในครัวเรือน การลักขโมยจากคนภายนอกหมู่บ้านหรือคนเมือง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมแบบคนเมือง เครื่องอำนวยความสะดวก รวมถึงการพนันเสี่ยงโชค (หน้า 7-10) การถือครองที่ดิน หมู่บ้านดงดำมีเนื้อที่ทั้งหมด 10 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 6,250 ไร่แต่เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่เป็นดินลูกรังปนทราย อีกทั้งยังเป็นเนินเขา ทำให้ประสบปัญหาชาวบ้านไม่มีที่ทำกิน แม้นิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลจะเข้ามาดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยจัดสรรให้ชาวเขาทุกครอบครัว ๆ ละ 5 ไร่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังขาดกรรมสิทธิ์ในการถือครอง การใช้ประโยชน์ที่ดิน ชาวบ้านดงดำใช้พื้นที่ทำนาและเพาะปลูกประมาณ 219 ไร่ (ปี 2518) แบ่งเป็นพื้นที่นาดี 60 ไร่ ถั่วลิสง 105 ไร่ ที่เหลือเป็นพื้นที่เพราะปลูกละหุ่ง พริก งา ข้าวโพด ถั่วเหลืองและยาสูบ ตามลำดับ (หน้า 10-11)

Social Organization

สังคมกะเหรี่ยงโปบ้านดงดำเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว สมาชิกครอบครัวประกอบด้วยพ่อ-แม่-ลูก ลูกสะใภ้จะไม่เข้ามาอยู่ร่วมครัวเรือนเดียวกับพ่อแม่สามี เนื่องจากถือจารีตว่า แต่ละบ้านเป็นอาณาจักรทางวิญญาณของผีฝ่ายมารดา จากการสำรวจพบว่า กะเหรี่ยงบ้านดงดำมีสมาชิกประมาณ 1-5 คน (หน้า 8)

Political Organization

หมู่บ้านดงดำอยู่ในเขตปกครองของกิ่งอำเภอดอยเต่า จ.เชียงใหม่ และอยู่ในเขตรับผิดชอบของนิคม อ.ฮอด มีผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับนโยบายจากฝ่ายปกครองท้องที่อำเภอและฝ่ายนิคม การปกครองภายในหมู่บ้านประกอบด้วย คณะกรรมการหมู่บ้านมีหน้าที่รับผิดชอบ และดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ภายในหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านแวดล้อมอีก 3 หมู่บ้านเป็นกรรมการร่วมพัฒนา (หน้า 4)

Belief System

ชาวบ้านดงดำนับถือศาสนาพุทธ มีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง มีพระภิกษุและสามเณรจากวัดศรีโสดาจำนวน 3 รูป อยู่ประจำวัด (หน้า 2) แม้ชาวบ้านดงดำจะมีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษและยึดถือประเพณีพิธีกรรมดั้งเดิม เช่น การเซ่นสรวงผี แต่ก็ยินดียอมรับพุทธศาสนา ด้วยการส่งบุตรหลานเข้าบวช ทั้งยังสร้างวัดขึ้นในหมู่บ้านและยังยอมรับพระธรรมจาริก (หน้า 14-15)

Education and Socialization

โรงเรียนบ้านดงดำจัดสร้างขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากสโมสรโรตารี จ.เชียงใหม่ ดำเนินการโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด เปิดดำเนินการต้นปี พ.ศ. 2520 เป็นอาคารถาวรชั้นเดียว 4 ห้องเรียน มีบ้านพักครู 1 หลัง นักเรียนที่จบหลักสูตรชั้นประถมปีที่ 4 มีจำนวน 5 คน ครู 3 คน นักเรียน 63 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีจำนวนมากที่สุด 32 คน นอกจากนี้ศาลาพักร้อนในหมู่บ้านยังให้บริการจัดหาข่าวสารประเภทหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ทั่วไปให้แก่ประชาชนในหมู่บ้าน (หน้า 3, หน้าผนวก 4)

Health and Medicine

หมู่บ้านดงดำได้รับบริการวางแผนครอบครัวจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีการให้บริการรักษาพยาบาลร่วมกันระหว่าโรงพยาบาลนครเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยเซ็นหลุยส์ บริการแจกยาเมื่อมีการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ จากกรมประชาสงเคราะห์จัดหายาให้ทางวัดศรีโสดาเพื่อแจกให้คณะพระธรรมจาริกอีกต่อหนึ่ง หน่วยงานของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จ.เชียงใหม่ คอยให้ความช่วยเหลือนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล หน่วยงานการพ่นยา ดี.ดี.ที ได้เข้าไปพ่นยาเป็นประจำในแต่ละปี (หน้า 3)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

รูปแบบการสร้างบ้านของชาวบ้านดงดำ นิยมสร้างบ้านถาวร แบบบ้านไทยภาคเหนือ (หน้า 14) อุตสาหกรรมในครัวเรือนเป็นประเภทสิ่งทอ เช่น ถุงย่าม เสื้อชาวเขา ผ้าห่ม ผ้าถุงแต่วัสดุไม่ได้ผลิตขึ้นเอง ต้องหาซื้อฝ้ายจากตลาดจึงทำให้ผลิตภัณฑ์สิ่งทอไม่งามเหมือนฝ้ายของชาวเขาที่ผลิตขึ้นเองในหมู่บ้าน (หน้า 6)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของหมู่บ้านกะเหรี่ยงดงดำ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างคนไทยพื้นราบกับชาวบ้านดงดำ ผ่านการแต่งงานระหว่างกะเหรี่ยงกับคนไทยมากขึ้น แม้ชาวบ้านจะยึดถือความเชื่อดั้งเดิม และการรักษาโรคตามแบบประเพณีแต่ก็เปลี่ยนมารับการบำบัดรักษาด้วยแพทย์สมัยใหม่ ชาวบ้านกะเหรี่ยงนิยมส่งเสริมให้บุตรหลานได้รับการศึกษาที่โรงเรียนในหมู่บ้าน การประกอบอาชีพแบบดั้งเดิมด้วยการทำไร่เลื่อนลอยก็เปลี่ยนแปลงมาเป็นการปลูกพืชล้มลุกระยะสั้น เช่น ถั่วลิสง ยาสูบพันธุ์พื้นเมือง มีการออกไปทำงานรับจ้างนอกบ้านเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มพูนรายได้ งานฝีมือแต่เดิมที่เคยทำขึ้นใช้เองก็เปลี่ยนเป็นการผลิตเพื่อขายเป็นสินค้า คนในหมู่บ้านรู้เรื่องการตลาดเพิ่มขึ้น รู้จักระบบเงินผ่อน เงินกู้เพื่อนำมาลงทุน ชาวกะเหรี่ยงบ้านดงดำพยายามช่วยเหลือตนเองและรวมกลุ่มพัฒนาชุมชนภายในหมู่บ้าน เช่น มีการร่วมหุ้นกันซื้อเครื่องสูบน้ำ (หน้า 14-15)

Other Issues

การพัฒนาจากภายนอก หมู่บ้านดงดำได้รับความช่วยเหลือในการพัฒนาหมู่บ้านจากหน่วยราชการและองค์การต่าง ๆ อาทิ นิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลช่วยเหลือในการจัดสรรที่ดินทำกิน สร้างถนน ฝั่งท่อระบายน้ำ ขุดบ่อบาดาล สร้างทำนบกั้นน้ำที่ลำห้วย ช่วยน้ำมันเชื้อเพลิงร่วมกับศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จ.เชียงใหม่ ซึ่งช่วยให้คำแนะนำในการจัดตั้งธนาคารข้าวประจำหมู่บ้าน และแจกพันธุ์ไม้ ศูนย์วิจัยชาวเขาเข้ามาทำการสำรวจสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของหมู่บ้าน เป็นศูนย์กลางติดต่อประสานงานระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานอื่น ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอุตสาหกรรมในครัวเรือนโดยเฉพาะสิ่งทอ ซึ่งได้เงินทุนหมุนเวียนจากสถานเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ เช่น ที่ทำการประชาสงเคราะห์จังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดาร (วัดศรีโสดา จ.เชียงใหม่) สโมสรโรตารี่ จ. เชียงใหม่ (หน้า 12-14)

Map/Illustration

ตารางที่ 1 ข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์และประชากรศาสตร์ของพื้นที่สำรวจบ้านดงดำ ต.ฮอด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ (ผนวก 1) ตารางที่ 2 แสดงข้อมูลด้านสาธารณูปโภค การสื่อสารคมนาคม (ผนวก 2) ตารางที่ 3 แสดงโครงสร้างประชากรกะเหรี่ยงบ้านดงดำ (ผนวก 3) ตารางที่ 4 แสดงระดับการศึกษาและศาสนาบ้านดงดำ (ผนวก 4) ตารางที่ 5 แสดงจำนวนผู้มีอาชีพต่าง ๆ (ผนวก 5) ตารางที่ 6 แสดงพื้นที่การเกษตรและการถือครองที่ดิน (ผนวก 6) ตารางที่ 7 แสดงจำนวนสัตว์เลี้ยงจำแนกเป็นหมู่บ้าน (ผนวก 7) ตารางที่ 8 แสดงค่าใช้จ่ายต่อปีของครัวเรือนจากการสุ่มตัวอย่าง (ผนวก 8) ตารางที่ 9 แสดงทรัพย์สินของหมู่บ้านดงดำ (ผนวก 9) แผนที่แสดงบริเวณหมู่บ้านดงดำ บ้านสารภี อำเภอฮอด จ.เชียงใหม่ และแผนที่แสดงเส้นทางไปยังหมู่บ้านดงดำ (เมษายน พ.ศ.2519)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 03 ก.ย. 2555
TAG โพล่ง(Phlong) โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง, โครงสร้างประชากร, เศรษฐกิจ, สังคม, การปกครอง, การศึกษา, ศาสนา, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง