สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ผู้ไท,นิทาน,ภาพสะท้อนสังคม,ความเชื่อ,ค่านิยม,กาฬสินธุ์
Author อรทัย สุทธิ, ภาสพงษ์ ผิวพอใช้, สกุลพรรณ โพธิจักร
Title การวิเคราะห์นิทานพื้นบ้านผู้ไทยจากจังหวัดกาฬสินธุ์
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ผู้ไท ภูไท, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 424 Year 2546
Source คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
Abstract

การศึกษาครั้งนี้มุ่งเก็บรวบรวมนิทานพื้นบ้านของชาวผู้ไทย เพื่อจำแนกประเภทตามรูปแบบของนิทาน วิเคราะห์เนื้อหาของนิทานและความสัมพันธุ์ระหว่างนิทานกับสภาพสังคมและวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยในจังหวัดกาฬสินธุ์ ผลการศึกษาพบว่ามีนิทานพื้นบ้านของชาวผู้ไทยทั้งสิ้น 102 เรื่อง เป็นนิทานมุขตลก 37 เรื่อง นิทานชีวิต 24 เรื่อง นิทานคติ 20 เรื่อง นิทานผี 9 เรื่อง นิทานอธิบายเหตุ 7 เรื่อง นิทานสัตว์ 3 เรื่อง และนิทานประจำถิ่น 2 เรื่อง ด้านโครงสร้างมีกฎของวรรณกรรมพื้นบ้านที่สอดคล้องกับนิทานพื้นบ้านผู้ไทยได้แก่ กฎของการเริ่มเริ่งและจบเรื่อง กฎแห่งการซ้ำ กฎแห่งการแตกต่างแบบตรงกันข้าม กฎของการสร้างเรื่องเชิงเดี่ยว ฉากประทับใจ เรื่องความสมเหตุสมผล เรื่องของเอกภาพและการเพ่งจุดสนใจไปที่ตัวละครเอกเพียงตัวเดียว ส่วนด้านการสะท้อนวิถีชีวิตของชาวบ้านพบหลายด้านด้วยกันเช่น ด้านสภาพความเป็นอยู่ ด้านครอบครัว ด้านการประกอบอาชีพ ด้านประเพณี ด้านความเชื่อ ด้านค่านิยมและบทบาทของสมาชิกในสังคม

Focus

การจำแนกประเภทของนิทาน วิเคราะห์โครงสร้างของนิทาน ภาพสะท้อนสังคม ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิต ที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านชาวผู้ไทย

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้ไท ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาผู้ไทเป็นภาษาสังกัดตระกูลไท มีความคล้ายคลึงกับภาษาที่ใช้ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แต่มีลักษณะเฉพาะบางประการที่แตกต่างไปจากภาษาอีสานในด้านเสียง คำ ประโยค และการเรียงคำ ลักษณะเด่นของภาษาผู้ไทย คือ จะไม่มีเสียงสระประสม เอีย เอือ อัว โดยสระดังกล่าวจะออกเสียงเป็น เอ เออ โอ ตามลำดับ และคำที่ประสมด้วยสระ ใ- จะออกเสียงเป็นสระเออ นอกจากนั้นภาษาผู้ไทยังได้รับอิทธิพลจากภาษาไทยกลางและภาษาไทยท้องถิ่นส่งผลให้ภาษาผู้ไทยมีการเปลี่ยนแปลง ในด้านการใช้คำผู้ไทยแท้ปนกับคำยืมในภาษาถิ่นและถาษาไทยกลางส่งผลให้ภาษาผู้ไทยแท้ ๆ กลายเป็นคำเก่าแก่และหายไปจากภาษาในที่สุด (หน้า 37-39)

Study Period (Data Collection)

เดือนธันวาคม 2546 - เมษายน 2547

History of the Group and Community

ชาวผู้ไท ในอดีตจะเรียกตนเองว่าอ้ายลาว มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองลุง บริเวณต้นแม่น้ำฮวงโหด้านเหนือ ในประเทศจีน ต่อมาถูกชนชาติตาดรุกราน จึงอพยพลงมายังเมืองปา บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำฮวงโห ต่อมาจีนยกทัพมาตีเมืองปาและเมืองเงี้ยว ชนชาติอ้ายลาวจึงอพยพมาอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเสฉวน แต่ก็ยังรักษาเอกราชของเมืองปาและเมืองเงี้ยวไว้ได้ ในปี พ.ศ. 205 จิ๋นซีฮ่องเต้ได้ยกทัพมาตีนครเงี้ยวของอ้ายลาวและตีสำเร็จในปี พ.ศ. 328 พวกอ้ายลาวจึงต้องอพยพลงมาทางใต้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชื่อนครเพงาย ถูกจีนรุกรานอีกครั้งและได้เสียนครเพงายให้แก่จีนในปี พ.ศ. 456 ต่อมาขุนวังเจ้านครเพงายสามารถประกาศอิสรภาพแก่เมืองเพงายได้สำร็จไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของจีนอีก ระหว่างนั้นอ้ายลาวได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่อยู่นครเพงายเรียกว่าอ้ายลาว ส่วนกลุ่มที่อพยพลงมาทางใต้เรียก งายลาว กลุ่มอ้ายลาวก็ได้อพยพหลบหนีการรุกรานของจีนลงมาทางใต้และได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณรอบ ๆ หนองแสช่วงนั้นจีนได้แตกออกเป็นสามก๊ก กลุ่มอ้ายลาวจึงถือโอกาสที่จีนกำลังวุ่นวายสร้างเมืองใหญ่ขึ้นได้ 6 เมืองเรียกว่าอาณาจักรหนองแส โดยมีเมืองหนองแสเป็นเมืองหลวง ในปี พ.ศ. 768 พวกอ้ายลาวต้องตกเป็นเมืองขึ้นของจีนอีกครั้ง อ้ายลาวบางส่วนอพยพลงมาทางใต้อีก จนถึง พ.ศ. 938 อ้ายลาวทั้ง 6 เมืองเดิมได้ตั้งตนเป็นอิสระปกครองตนเองต่อมาจนถึงปี พ.ศ. 1192 พระเจ้าแผ่นดินนครหนองแสได้ส่งราชฑูตไปเมืองจีนก้ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีและสานต่อความสัมพันธ์เรื่อยมา ในปี พ.ศ. 1227 พระเจ้าแผ่นดินหนองแสไม่ไว้ใจประเทศจีนเนื่องจากมีกำลังเข้มแข็งและเคยรุกรานอ้ายลาวมาตลอด จึงได้ลงมาสร้างเมืองใหม่ที่ทุ่งนาน้อยอ้อยหนูชื่อเมืองแถน หรือเมืองกาหลง ทรงประทับที่เมืองกาหลงนี้เป็นเวลา 8 ปี ระหว่างนั้นได้ยกทัพไปตีหัวเมืองประเทศจีนได้หลายเมือง และได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นอีกชื่อเมือง ตาห้อ หรือ หอแต ซึ่งห่างจากเมืองหนองแสไปทางเหนือประมาณ 40 ลี้ อาณาจักรหนองแสเจริญรุ่งเรืองมาเป็นเวลา 225 ปี มีกษัตริย์ปกครองถึง 13 พระองค์ จนถึงปี พ.ศ. 1797 ราชวงศ์หวนตี้ได้ตีอาณาจักรหนองแสได้สำเร็จ อาณาจักรหนองแสจึงตกเป็นเมืองขึ้นของจีนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กลุ่มชนชาติที่รักสงบก็ได้อพยพลงมาทางตอนใต้เรื่อย ๆ ชาวผู้ไทก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อพยพลงมาตั้งบ้านเรือนกระจัดกระจายกันเป็นเมืองต่าง ๆ แต่ก็ยังคงรักษาและสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ในประเทศไทยนั้นจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่มีชาวผู้ไทยมาตั้งถิ่นฐานอยุ่มากที่สุด (หน้า 31-36)

Settlement Pattern

จากการวิเคราะห์นิทาน ผู้ไทนิยมตั้งถิ่นฐานในบริเวณ ที่มีความอุดมสมบูรณ์คือมักจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ใกล้ป่าเขา อันเป็นแหล่งอาหารหลักและอำนวยความสะดวกในการปลูกสร้างบ้านเรือน นอกจากนั้นยังอยู่ใกล้แหล่งทำกินอีกด้วย ลักษณะบ้านเรือนแบบถาวรและแบบชั่วคราว รวมกันอยู่เป็นหมู่บ้าน บ้านส่วนใหญ่มักมีใต้ถุนสูง พื้นที่บางส่วนกลางตัวเรือนเป็นนอกชานเปิดโล่ง ซึ่งช่วยระบายอากาศร้อนเวลากลางวันและใช้รับลมย็นในเวลากลางคืน พื้นที่ใต้ถุนสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างเช่น ทำคอกศัตว์ เก็บเครื่องมือประกอบอาชีพ ใช้เป็นที่ทำงานในตอนกลางวันเช่น ทอผ้า ปั่นฝ้าย สาวไหม ตัดเย็บเสื้อผ้า จักสานเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ส่วนบ้านเรือนแบบชั่วคราวนั้นเรียกว่าเถียงนา ใช้เป็นที่พักเวลาออกไปทำไร่ทำนา เพื่อคุ้มแดด คุ้มฝน ใช้เป็นที่พักเหนื่อย (หน้า 74-78)

Demography

ไม่ปรากฏ

Economy

จากการศึกษานิทานพื้นบ้านผู้ไทยแสดงให้เห็นว่าชาวผู้ไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม แบบพึ่งพาธรรมชาติ แม่ว่าการทำข้าวจะเป็นพืชเศรษฐกิจหลักแต่ก็จะมีการทำไร่ทำสวนคู่กันไป ไม่ยึดการเกษตรรูปแบบใดแบบหนึ่งเป็นหลัก โดยสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามฤดูกาล เช่นนอกเหนือจากฤดูทำนา ก็หาของป่า จับสัตว์น้ำเป็นต้น อาชีพค้าขาย มีทั้งค้าขายเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริม การค้าที่เป็นอาชีพหลักได้แก่ การค้าขายวัวควาย และการค้าขายทางเรือสำเถา ส่วนการค้าขายที่เป็นอาชีพเสริม ได้แก่ การทอผ้า และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน อาชีพรับจ้าง พบในนิทานเพียงเรื่องเดียวคือเรื่อง ลูกกตัญญู ที่ประกอบอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไป โดยถือว่าอาชีพรับจ้างนี้เป็นอาชีพเสริมเท่านั้น อาชีพหมอ อาชีพหมอพบในนิทานหลายเรื่อง ถือเป็นอาชีพที่สำคัญอาชีพหนึ่งของสังคมผู้ไท นอกจากจะมีหน้าที่รักษาโรคด้วยยาสมุนไพรพื้นบ้านแล้วหมอยังต้องดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านโดยการทำนายทายทักเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนแนะนำวิธีแก้ไขให้แก่ชาวบ้าน ดังนั้นอาชีพหมอจึงมีอิทธิพลในการควบคุมความประพฤติของคนในสังคมอีกด้วย (หน้า 83-87)

Social Organization

จากข้อมูลที่ปรากฎในนิทานพื้นบ้านผู้ไทพบว่า ผู้ไทมีการอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวขยาย และครอบครัวรวม แต่ครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยายจะพบมากที่สุด เพราะลักษณะของครอบครัวขยายมีความสอดคล้องกับการดำรงชีวิตในสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพิงกันด้านแรงงาน ที่เกิดจากวัฒนธรรมการแต่งเขยหรือสะใภ้เข้าบ้านนั่นเอง ในการเลือกคู่ครองนั้น ผู้ใหญ่จะเป็นคนหาคู่ครองที่มีลักษณะพึงประสงค์ให้แก่บุตรสาว หรืออาจเปิดโอกาศให้หนุ่มสาวพบปะเกี้ยวพาราสีกันตามเทศกาลที่เหมาะสม เมื่อหญิงชายตกลงปลงใจกันแล้วก็จะมีการสู่ขอแต่งงานกันตามความเห็นชอบผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย(หน้า 80-83)

Political Organization

จังหวัดกาฬสินธุ์จัดการปกครองและบริหารราชการออกเป็น 3 รูปแบบคือ 1. การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ระดับจังหวัดประกอบด้วย 33 หน่วยงาน มีสำนักงานจังหวัดเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ 2. การบริหารราชการส่วนกลาง ประกอบด้วยส่วนราชการจังหวัดส่วนกลาง 3. การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล136 แห่ง เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ 1 แห่ง และเทศบาลตำบล 23 แห่ง (หน้า 21)

Belief System

นิทานพื้นบ้านสะท้อนให้เห็นว่า ความเชื่อของชาวผู้ไทยแบ่งเป็น 4ด้าน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องผี จะมีทั้งผีให้คุณ ผีให้โทษ และผีไม่ให้คุณให้โทษ ผีให้คุณได้แก่ ผีตาแฮก ผีเรือน ผีย่าง่าม ส่วนผีให้โทษได้แก่ ผีลุ่มปุ๊กลุ่มปุ้ย ผีกองกอย ผีนมยาน ผีเปรต ผีไม่ให้คุณให้โทษ คือผีปู้แหลม ความเชื่อทางพุทธศาสนา ได้แก่ เรื่องบาปกรรมหรือกฏแห่งกรรม นรกสวรรค์ บุญกุศล ทาน บารมี ตัวอย่าง ความเชื่อเรื่องบาปกรรม เช่น นิทานเรื่อง "กรรมตามสนอง" ที่ลูกชายปลอมตัวมาปล้นทรัพย์และฆ่าแม่ของตนซึ่งตาบอด ต่อมาภายหลังเขาได้รับกรรมที่ก่อตนไว้โดยต้องกลายเป็นคนตาบอดเช่นเดียวกับแม่ของเขา และมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน ความเชื่อเกี่ยวกับพราหมณ์ ได้แก่ เรื่องโหราศาสตร์ ลางสังหรณ์ อมนุษย์ ตัวอย่างความเชื่อเรื่อง โหราศาสตร์ ในเรื่อง"พระยากินรำ" ที่มีการเสี่ยงทายโดยการเสี่ยงข้องเพื่อหาสาเหตุที่พระวัดเหนือกับพระวัดใต้ทะเลาะกัน ตัวอย่างความเชื่อเรื่องอมนุษย์ ในนิทานเรื่อง "พรสามข้อ" ที่เทวดามอบฆ้องวิเศษให้แก่สองผัวเมียยากจน เพื่อเอาไว้ขอพรตามที่ทั้งสองคนปราถนา ความเชื่ออื่นๆ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง ตัวอย่างในนิทานเรื่อง "แมลงสาบ" ที่มีการใช้ไม้เท้าวิเศษสาปสัตว์ตัวอื่นให้กลายเป็นหิน เป็นต้น ความเชื่อเรื่องวิชาอาคมและการสาปแช่งและการชุบชีวิต ตัวอย่างในนิทานเรื่อง "หัวล้านนอกครู" ที่มีการท่องมนต์คาถาต่อผมให้ยาวขึ้น (หน้า 101-116)

Education and Socialization

ไม่มี

Health and Medicine

จากการศึกษานิทานพื้นบ้านผู้ไทยแสดงให้เห็นแต่เพียงว่าการรักษาคนป่วยโดยหมอพื้นบ้านเป็นผู้ทำหน้าที่รักษาเท่านั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนและวิธีการรักษาที่ชัดเจนว่ารักษาแบบใด ใช้ยาสมุนไพรหรือมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการรักษาอย่างไร อาชีพหมอถือเป็นอาชีพที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนในสังคม (หน้า 86)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

จังหวัดกาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในด้านหัตถกรรมการทอผ้าไหมแพรวา จึงได้เกิดการรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มทอผ้าแพรวา บ้านโพน ผ้าแพรวาเป็นผ้าทอจากผ้าไหมด้วยลายมัดหมี่เฉพาะตัว เป็นงานฝีมือของชาวผู้ไทย ลักษณะลายผ้าที่เป็นเอกลักษณ์คือ ลายหลักและลายแถบ ส่วนสีของผ้าไม่ได้มีเพียงแต่สีแดงเท่านั้น ปัจจุบันมีการให้สีต่าง ๆ มากขึ้นตมความต้องการของตลาด เช่น สีครีม สีชมพู สีม่วง สีน้ำเงินและสีเขียว นับได้ว่าการทอผ้าแพรวาเป็นงานศิลปหัตกรรมประเภทสิ่งทอที่หาได้น้อยแห่งในประเทศไทย (หน้า 28)

Folklore

นิทานพื้นบ้านของชาวผู้ไทยจังหวัดกาฬสินธุ์มีทั้งสิ้น 102 เรื่อง ประกอบด้วยนิทานมุขตลก นิทานชีวิต นิทานคติ นิทานผี นิทานอธิบายเหตุ นิทานสัตว์ และนิทานประจำถิ่น ที่เกิดจากกฎของวรรณกรรมพื้นบ้าน ได้แก่ กฎของการเริ่มเริ่งและจบเรื่อง กฎแห่งการซ้ำ กฎแห่งการแตกต่างแบบตรงกันข้าม กฎของการสร้างเรื่องเชิงเดี่ยว ฉากประทับใจ เรื่องความสมเหตุสมผล เรื่องของเอกภาพและการเพ่งจุดสนใจไปที่ตัวละครเอกเพียงตัวเดียว นิทานพื้นบ้านเหล่านี้ได้สะท้อนวิถีชีวิตของชาวบ้านหลายด้านด้วยกัน เช่น ด้านสภาพความเป็นอยู่ ด้านครอบครัว ด้านการประกอบอาชีพ ด้านประเพณี ด้านความเชื่อ ด้านค่านิยมและบทบาทของสมาชิกในสังคม (หน้า 136-139)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Map/Illustration

มีการนำแผนที่ แผนภูมิและภาพถ่ายมาใช้ในการนำเสนอข้อมูลเพื่อความชัดเจน อันได้แก่ ภาพตราสัญลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ภาพถ่ายอนุสาวรีย์พระยาชัยสุนทร แผนที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แผนภูมิสภาพภูมิอากาศ ภาพถ่ายหญิงชาวผู้ไทยกับการทอผ้า และภาพถ่ายการแต่งการของหญิงชาวผู้ไทย

Text Analyst มุจลินทร์ ลักษณะวงษ์ Date of Report 27 ก.ย. 2567
TAG ผู้ไท, นิทาน, ภาพสะท้อนสังคม, ความเชื่อ, ค่านิยม, กาฬสินธุ์, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง