|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอแกน,ชาวเล,พื้นที่อนุรักษ์,โครงการนำร่องอันดามัน,หมู่เกาะสุรินทร์,พังงา |
Author |
โครงการนำร่องอันดามัน หมู่เกาะสุรินทร์ |
Title |
คนพื้นเมืองกับพื้นที่อนุรักษ์ |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอแกน บะซิง มาซิง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
82 |
Year |
2546 |
Source |
โครงการนำร่องอันดามัน หมู่เกาะสุรินทร์ โดยความร่วมมือระหว่าง สำนักงานที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก ยูเนสโก, โครงการสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งและเกาะขนาดเล็ก ยูเนสโก, สำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการสมุทรศาสตร์ระหว่างรัฐบาลยูเนสโก, สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
หนังสือ "คนเมืองกับพื้นที่อนุรักษ์" เป็นการสรุปย่อโครงการนำร่องอันดามัน หมู่เกาะสุรินทร์ ที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาทางเลือกการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้การดำรงอยู่ของชุมชนและวัฒนธรรมมอแกนที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเลที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและบ้านของมอแกน โดยเนื้อหาในหนังสือเป็นการสรุปกิจกรรมที่ทางโครงการฯได้ดำเนินการไปหลายโครงการ และมีเนื้อหาในแง่มุมต่างๆ ของมอแกนสอดแทรกอยู่ในหนังสือด้วย ทั้งประวัติความเป็นมา สภาพเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต สุขภาพ ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อ และสภาพสังคมของมอแกนที่เปลี่ยนแปลงไป |
|
Focus |
สรุปย่อโครงการนำร่องอันดามัน หมู่เกาะสุรินทร์ โดยศึกษาผ่านชุมชนมอแกน |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวเล (มอแกน มอแกลน อูรักลาโว้ย) ทั้ง 3 กลุ่มพูดภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน แต่ละกลุ่มจะมีภาษาย่อยของตนเองที่เป็นภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียนหรือการบันทึกที่เป็นตัวอักษร เมื่อชาวเลตั้งถิ่นฐานถาวรจึงหันมาซึมซับวัฒนธรรมและภาษาไทยมากขึ้น เด็กชาวเลอูรักลาโว้ยรุ่นใหม่ในชุมชนราไวย์ จ.ภูเก็ต เปลี่ยนมาใช้ภาษาไทยปักษ์ใต้ในการติดต่อสื่อสาร ส่วนเด็กมอแกนเองเมื่อเข้ามาสู่การเรียนการสอนในระบบโรงเรียนก็หันมาใช้ภาษาไทย และเปลี่ยนจากที่เคยร้องเพลงมอแกนมาร้องเพลงยอดนิยมภาษาไทยแทน (หน้า 15, 42) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในประเทศไทยมีชาวเล 3 กลุ่มคือ มอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ย (หน้า 7, 15) โดยมอแกนหรือที่รู้จักกันในนามของชาวเลกลุ่มหนึ่งหรือ "ยิปซีทะเล" เป็นเผ่าเร่ร่อนทางทะเลที่อาศัยอยู่ตามเกาะและชายฝั่งของอันดามันมาเป็นเวลาร้อยๆ ปีมาแล้ว มีวิถีชีวิต ภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย (หน้า 3, 15) |
|
Settlement Pattern |
ปัจจุบันชาวเลส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร ไม่อพยพบ่อยครั้งเหมือนในอดีต โดยมอแกลนกระจายตัวตามหมู่บ้านใน จ.พังงา และภูเก็ต อูรักลาโว้ย ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ บริเวณชายฝั่งหรือเกาะในจ.ภูเก็ต กระบี่และสตูล (หน้า 15-16) ส่วนวิถีชีวิตของมอแกนเป็นแบบกึ่งเร่ร่อน เดินทางทางทะเลบ่อยครั้ง มอแกนส่วนหนึ่งเริ่มตั้งหลักแหล่งอย่างถาวร โดยเฉพาะที่หมู่เกาะสุรินทร์ซึ่งห่างจากชายฝั่ง อ.คุระบุรี จ.พังงา ไปประมาณ 60 กม. มอแกนตั้งถิ่นฐานบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ก่อนที่จะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติด้วยซ้ำ การตั้งถิ่นฐานบนเกาะสุรินทร์มีไม่น้อยกว่า 4 ชั่วอายุคน มอแกนที่หมู่เกาะสุรินทร์ประมาณ 150 คน จะสร้างบ้านไม้ใต้ถุนสูงบนชายหาด โยกย้ายหมู่บ้านเป็นครั้งคราวเมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น (หน้า 7, 16-17, 40, 45) ไม้ที่มอแกนตัดมาเพื่อทำเสาบ้านมีลำต้นตรงเส้นรอบวงขนาด 16-35 เซนติเมตร ความยาวของเสาบ้านอยู่ระหว่าง 3.5-6.5 ฟุต เป็นไม้ขนาดไม่ใหญ่เพื่อสะดวกต่อการตัดและการขนย้าย บ้านของมอแกนสร้างจากวัสดุที่หาได้ในธรรมชาติ มอแกนจะซ่อมแซมบ้านประมาณ 6 เดือนต่อครั้ง (หน้า 35) |
|
Demography |
มอแกลน มีประชากรประมาณ 2,500 คน กระจายตัวตามหมู่บ้านในจ.พังงาและภูเก็ต อูรักลาโว้ย มีประชากรประมาณ 4,000 คน ถือว่าเป็นชาวเลกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มอแกน มีประชากรในเขตประเทศไทยประมาณ 400 คน และในเขตประเทศเมียนมาร์อีกประมาณ 2,000 - 3,000 คน (หน้า 16) สำหรับประชากรมอแกนในหมู่เกาะสุรินทร์มีจำนวนขึ้นลงระหว่าง 130-200 คน เพราะบางครอบครัวยังอพยพโยกย้ายไปมา อัตราการเกิดสูง แต่อัตราการตายของเด็กทารกก็สูงเช่นเดียวกัน ผู้ชายมอแกนมีอายุไม่ยืนเพราะการติดสารเสพติด (ยาเส้น เหล้าขาว สารกระตุ้น) ซึ่งต้องเพิ่มปริมาณการใช้เพื่อให้ทำงานได้มากขึ้น ประชากรหญิงมอแกนจึงมีมากกว่า และทำให้เป็นแม่หม้ายที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูสมาชิกครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น (หน้า 20-21, 40) |
|
Economy |
มอแกนเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ทำมาหากินและพึ่งพิงเกาะสุรินทร์ก่อนที่จะถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ดำรงชีพด้วยทรัพยากรทั้งบนบกและในทะเล เน้นการยังชีพโดยหาอาหารจากธรรมชาติ เช่น แทงปลา งมหอยทะเล ต่อมาเมื่อมอแกนถูกดึงเข้ามาในระบบค้าขายแลกเปลี่ยน ข้าวจึงกลายเป็นอาหารหลัก เมื่อหมู่เกาะสุรินทร์กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว มอแกนได้รับอนุญาตให้ขายสินค้าที่หาได้จากทะเลแก่นักท่องเที่ยว เช่น เปลือกหอยและสัตว์ทะเล โดยเงินที่ได้จะนำไปซื้อสิ่งของที่จำเป็นจำพวกข้าวสาร แต่เริ่มต้นปี พ.ศ.2539 อุทยานฯไม่อนุญาตให้ค้าขายเปลือกหอยอีกต่อไปเพราะเกรงผลกระทบที่มีต่อระบบนิเวศ โดยอุทยานจัดตั้งกองทุนมอแกนเพื่อรับบริจาคเงินจากนักท่องเที่ยวเพื่อเป็นทุนซื้อข้าวสารและสิ่งของจำเป็นให้แก่มอแกน มีการจ้างมอแกนทำงานในอุทยานฯ เช่น ขับเรือ เก็บขยะ ล้างจาน เป็นต้น (หน้า 7, 16-18, 45, 64) ป่าเป็นแหล่งอาหาร แหล่งวัตถุดิบทำเรือและเครื่องมือเครื่องใช้รวมไปถึงเป็นแหล่งสมุนไพร มอแกน ณ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ใช้ประโยชน์จากพืชจำนวน 159 ชนิด 54 วงศ์ ไม่สามารถจำแนกชนิดได้ 24 ชนิด แยกประเภทการใช้ประโยชน์ได้ 4 ประเภทคือ พืชอาหาร พืชสมุนไพร ไม้สร้างที่อยู่อาศัย และการใช้ประโยชน์อื่นๆ จำนวน 83, 33, 57 และ 54 ชนิด ตามลำดับ (หน้า 35-37, 45-46) |
|
Political Organization |
หมู่เกาะสุรินทร์อยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดยสำนักงานอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีหัวหน้าอุทยานฯ ผู้ช่วยฯ เจ้าหน้าที่ที่เป็นข้าราชการ ลูกจ้างชั่วคราว ประมาณ 30-40 คน (หน้า 17) หมู่เกาะสุรินทร์อยู่ในการปกครองของ ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี บางครั้งจะมีหน่วยงานราชการมาเยี่ยมบ้าง มอแกนยังถือว่าเป็นคนไร้สัญชาติและหน่วยงานราชการเองก็ยังไม่มีการวางแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องนี้ (หน้า 19-20) |
|
Belief System |
ชาวเลทั้ง 3 กลุ่ม (มอแกน มอแกลน อูรักลาโว้ย) ต่างมีวัฒนธรรมประเพณีเป็นของตนเอง มีประเพณีบางอย่างคล้ายคลึงกัน เช่น พิธีฉลองวิญญาณบรรพบุรุษและพิธีลอยเรือ (หน้า 15) มอแกลน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แต่ยังมีบางส่วนที่ยังเชื่อในวิญญาณบรรพบุรุษ โดยจะมีงานฉลองใหญ่ใน อ.บางสัก จ.พังงา ทุกปี อูรักลาโว้ย ในหลายหมู่บ้านยังคงมีพิธีลอยเรือปีละ 2 ครั้ง มอแกน มีพิธีประจำปีคืองานฉลองเสาวิญญาณบรรพบุรุษจัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง โดยมอแกนจากเกาะต่างๆ จะชุมนุมกันเพื่อร่วมงานฉลองโดยงดออกทะเล 3 วัน 3 คืน (หน้า 16) |
|
Education and Socialization |
ปี พ.ศ.2537 มีการจัดตั้งโรงเรียนขนาดเล็กชื่อว่า "โรงเรียนสุรัสวดี" เพื่อสอนวิชาพื้นฐาน (ภาษาไทย คณิตศาสตร์ พลศึกษา ฯลฯ) ให้กับเด็กมอแกนเพื่อให้มีความรู้เบื้องต้นที่สามารถติดต่อสื่อสารกับสังคมภายนอกได้ ต่อมาโรงเรียนนี้จึงเป็นโรงเรียนสาขาของโรงเรียนบ้านปากจก ต.เกาะพระทอง มีครูสอนนักเรียนอย่างเป็นทางการ ส่วนเครื่องแบบและอุปกรณ์การเรียนได้รับการบริจาคจากนักท่องเที่ยวและไต้ก๋งเรือประมงที่เดินทางไปมาบริเวณเกาะสุรินทร์ (หน้า 19) |
|
Health and Medicine |
มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยควบคุมโรคติดต่อ อ.คุระบุรีเดินทางมาที่หมู่เกาะสุรินทร์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อฉีดยากำจัดยุงและตรวจสุขภาพเจ้าหน้าที่อุทยานฯและมอแกน หากพบว่าป่วยไข้ไม่สบาย อาจจะนำขึ้นฝั่งเพื่อไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่บ้านปากจก หรือพบแพทย์ที่โรงพยาบาลคุระบุรีหรือโรงพยาบาลระนอง แต่มอแกนก็ไม่อยากเดินทางเข้ามาในเมืองเนื่องจากไม่มีบัตรประชาชน และความยากลำบากในการติดต่อสื่อสารในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เหตุนี้มอแกนจึงไม่ค่อยได้เข้ามาตรวจรักษาในโรงพยาบาลเท่าไหร่นัก (หน้า 20) ทำให้มอแกนมีปัญหาสุขภาพค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโรคท้องร่วง ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเรื้อรัง หอบหืด โรคผิวหนัง แผลติดเชื้อ ส่วนเด็กมีปัญหาเรื่องฟันผุ พยาธิ แผลและฝี อัตราการตายของเด็กทารกอยู่ในเกณฑ์สูงเนื่องจากขาดสารอาหารที่จำเป็นและท้องเสีย เนื่องจากแม่มักนำนมข้นหวานละลายน้ำเลี้ยงทารก (หน้า 66-68) อย่างไรก็ตาม ในอดีตมอแกนใช้พืชสมุนไพรมาบำบัดอาการเจ็บป่วย เช่น อาการบวม ไข้ ส่วนของพืชที่นำมาใช้มากที่สุดคือใบ รองลงมาคือผล เปลือกลำต้น ลำต้น เหง้า และเมล็ด เช่น เปลือกของต้นหยีทะเล (บะอ้าย) มาฝนกับน้ำชโลมที่ศีรษะและตัวของเด็กอ่อนเพื่อบรรเทาอาการไข้ ใช้ใบของต้นรักทะเล (บู่บอง) มานวดเพื่อแก้เคล็ดขัดยอก เป็นต้น (หน้า 35, 45-46) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
งานหัตถกรรมของมอแกนเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมายาวนาน ผู้หญิงมอแกนมีความสามารถสานเสื่อเพื่อรองนั่งและนอน สานกระปุกเพื่อเก็บเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ นิยมใช้สีเคมีมาย้อมมากกว่าสีธรรมชาติที่ได้มาจากส่วนต่างๆ ของพืช เพราะสีธรรมชาติทำให้งานที่ออกมาไม่สวย สีซีดดูเหมือนของเก่าส่วนผู้ชายมอแกนมีงานฝีมือทำเรือก่าบางจำลองขนาดเล็กประมาณ 2-4 ฟุต เพื่อจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมากนักเพราะขนาดใหญ่และราคาแพง มอแกนบางคนสนใจงานแกะสลัก ทำเสาวิญญาณบรรพบุรุษเป็นงานฝีมือจำหน่ายในรูปของแท่นวางปากกา แท่นกั้นหนังสือ เป็นต้น (หน้า 54- 56) เรือก่าบาง เป็นทั้งพาหนะสำหรับใช้เดินทางไปตามเกาะต่างๆ และเป็นบ้านของมอแกนมาตั้งแต่อดีต ความเชื่อเรื่องการสร้างเรือก่าบางนอกจากอาศัยความสามารถด้านการช่างแล้ว ยังสามารถเชื่อมโยงกับความเชื่อหลายอย่างที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ในอดีต เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับการเลือกรูปทรงและขนาดของไม้ การขอไม้จากเจ้าที่ในป่า การจัดวางและใช้เครื่องมือสร้างเรือ (หน้า 57-59) "เหยียะเน่ มอแกน" หรือเพลงของมอแกน ส่วนใหญ่เป็นเพลงร้องคู่สลับกันระหว่างชายหญิง และสลับระหว่างเสียงร้องและเสียงบรรเลงของก่าติ๊ง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีเครื่องสายของมอแกน ใช้คันสีคล้ายซอ ประกอบจังหวะด้วยรำมะนาหรือที่มอแกนเรียกว่า "บ่านา" โดยนักร้องจะคิดเนื้อเพลงขึ้นมาเดี๋ยวนั้นโดยใช้ปฏิภาณไหวพริบ โดยอาศัยโครงเรื่องของเพลงดั้งเดิมที่เป็นที่นิยมกัน (หน้า 75-76) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชื่อภาษาอังกฤษของชาวเลคือ "Sea gypsies หรือ "Sea nomads" หรือ "ยิปซีทะเล" นั่นเอง (หน้า 3, 15) เนื่องจากมอแกลนตั้งถิ่นฐานถาวรมานานกว่า 100 ปีแล้ว ทำให้ภาษาและวัฒนธรรมผสมผสานกับความเป็นไทยค่อนข้างมากและมีสถานะเป็นพลเมืองไทย บางครั้งจึงเรียกว่า "ไทยใหม่" เช่นเดียวกับ อูรักลาโว้ย ก็ถูกเรียกว่า "ไทยใหม่" เช่นกัน (หน้า 16) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การพัฒนาพื้นที่ที่เป็นถิ่นฐานของชาวเลให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวรวมไปถึงการบังคับใช้กฎระเบียบในการอนุรักษ์ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวเลกลุ่มต่างๆ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่เคยดำรงชีวิตเร่ร่อนมาเป็นการปักหลักอาศัยอยู่บนเกาะและชายฝั่งทะเลอันดามัน เช่น หมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา หาดราไวย์และเกาะสิเหร่ จ.ภูเก็ต เกาะลันตา จ.กระบี่ และเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล โดยชาวเลกลุ่มต่างๆ ถูกระบบตลาดครอบงำให้เก็บทรัพยากรเพื่อการค้าเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณีของชาวเลกลุ่มต่างๆ ได้รับผลกระทบด้วยเช่นเดียวกัน เช่น มอแกนหันมาบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักแทนที่อาหารที่หาได้จากธรรมชาติ นอกจากนี้อาหารจำพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมถุง น้ำอัดลม ก็เป็นที่นิยมของมอแกนเช่นกัน (โดยเฉพาะเด็กๆ) (หน้า 10-11, 64) นอกจากนี้การที่เด็กชาวเลได้เข้ารับการศึกษาในระบบ จึงถูกกระบวนการกลายเป็น "ไทยใหม่" ทำให้ภาษาและวัฒนธรรมของชาวเลเริ่มเจือจางลงทุกที เด็กชาวเลหันมาใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น รวมไปถึงการร้องเพลงที่นิยมร้องเพลงยอดนิยมของไทยมากกว่าเพลงของกลุ่มตัวเอง (หน้า 42) เมื่อมอแกนตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านถาวร ทำให้การเดินทางด้วยเรือก่าบางลดลงและอุทยานแห่งชาติมีข้อจำกัดเรื่องการตัดต้นไม้ใหญ่ มอแกนจึงหันมาใช้ "เรือหัวโทง" ที่ซื้อมาหรือให้ยืมโดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ทำให้ความรู้เกี่ยวกับการสร้างเรือก่าบางมีแนวโน้มจะสูญหายไป (หน้า 57) |
|
Other Issues |
"โครงการนำร่องอันดามัน" เริ่มขึ้นด้วยการสำรวจภาคสนามเมื่อปี พ.ศ.2540 เพื่อค้นหาทางเลือกในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้การดำรงอยู่ของชุมชนและวัฒนธรรมมอแกนที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเลที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและบ้านของมอแกน โดยแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้แต่ละฝ่ายมีส่วนร่วมในการจัดการพื้นที่และมรดกอันทรงคุณค่าร่วมกัน มีการประชุมเชิงปฏิบัติการของผู้เกี่ยวข้องเพื่อร่างกิจกรรมต่างๆ ของโครงการขึ้น เช่น การประชุมครั้งแรกที่จัดขึ้นในเดือน พ.ย.2541 เป็นการระดมความคิดเห็นในประเด็นเรื่องทางเลือกในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นไปที่การทำมาหากินของมอแกนและการพึ่งพาทรัพยากรทั้งบนบกและในทะเล การกำหนดเขตอนุรักษ์ (Zoning) สุขภาพอนามัย การศึกษาของมอแกน การประชุมครั้งต่อมาเป็นการนำเสนอพันธกิจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ละฝ่ายหลังจากการประชุมครั้งแรก โดยการประชุมแต่ละครั้งก็จะมีกิจกรรมของโครงการที่ถูกนำเสนอ เช่น การประเมินสภาพทรัพยากรธรรมชาติและความรู้พื้นบ้านของมอแกน การจัดพิมพ์หนังสืออ่านเพิ่มเติมเรื่อง "ชีวิตพวกเรา ชาวทะเล" (หน้า 7-13) โดยทางโครงการฯมีกิจกรรมที่วางแผนจะจัดในอนาคต เช่น การจัดทำเว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนำร่องอันดามัน การจัดกิจกรรมอนุรักษ์เต่าทะเล การร่างและจัดพิมพ์หนังสืออ่านเพิ่มเติมระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และการจัดทำพจนานุกรมประกอบภาพ การสำรวจเพื่อผลักดันเรื่องสัญชาติและบัตรประชาชนของมอแกน และการวางแผนจัดตั้งมูลนิธิเพื่อสานต่อโครงการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง (หน้า 77-80) |
|
Map/Illustration |
หนังสือเล่มนี้มีภาพและตารางแสดงข้อมูลประกอบเล่มเพื่อเพิ่มความน่าสนใจของเนื้อหาให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เช่น ภาพการหาอาหารตามแหล่งธรรมชาติในทะเลของมอแกน (หน้า 24) ภาพแสดงเด็กมอแกนในโรงเรียน (หน้า 43) ภาพการสร้างเรือก่าบาง (หน้า 57-59) |
|
|