สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ความกลมกลืนกับคนพื้นราบ,นโยบายทางการเมือง,ชนกลุ่มน้อย,รัฐไทย,มุมมองของม้ง
Author Gary Yia Lee
Title Minority Politics in Thailand: A Hmong Perspective
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
Total Pages 8 Year 2530
Source บทความนี้เสนอต่อ The International Conference on Thai Studies, Australian National University 3-6 July 1987
Abstract

ผู้เขียนอธิบายถึงความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างม้งและชาติพันธุ์บนเขากับรัฐบาลไทย สภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และสถานภาพทางการเมืองของม้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย การดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิพลเมืองและสิทธิการถือครองที่ดินทำกิน เนื่องจากทั้งสองสิ่งเป็นหลักประกันของสิทธิเสรีภาพและความมั่นคงในการดำเนินชีวิต ผู้เขียนบทความมีข้อสรุปว่า ตราบใดที่รัฐบาลไทยยังไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องสิทธิการเป็นพลเมือง (citizenship) และสิทธิการครอบครองที่ดิน (land tenure) ของม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขาแล้ว ก็จะยังคงมีความขาดแคลนและความไม่พอใจในกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ ทำให้ยากที่จะบูรณาการม้งให้ผนึกรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในฐานะพลเมืองไทย ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะม้งไม่ยินดีผนึกรวมกับชนชาติอื่น แต่เป็นเพราะเงื่อนไขทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เป็นอยู่ ไม่เอื้ออำนวยให้ม้งสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอิสระเสรีและมั่นคง รัฐบาลจำเป็นต้องให้ม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และเท่าเทียมในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จึงจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล (หน้า 7)

Focus

ความสัมพันธ์ระหว่างม้งและชาติพันธุ์บนภูเขา (Hill Tribes) กับรัฐไทย โดยพิจารณาการต่อสู้ของม้งเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระเสรีภาพในวิถีชีวิตของตน สิทธิการได้เป็นพลเมืองไทย และสิทธิการครอบครองที่ดินทำกิน และนโยบายทางการเมืองต่อชนกลุ่มน้อยของไทยโดยเฉพาะกรณีของม้ง

Theoretical Issues

ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าใช้กรอบทฤษฎีอะไรในการเขียนบทความและในงานวิจัยที่บทความนี้กล่าวถึง ตลอดจนไม่ได้อธิบายถึงระเบียบวิธีวิจัย บทความพรรณนาถึงข้อถกเถียง (Discussion) ของนักวิชาการจำนวนหนึ่ง เพื่อตรวจสอบและแยกแยะให้กระจ่างว่า เหตุใดจึงมีความเข้าใจว่า ม้งเป็นชาติพันธุ์ที่จะผนึกรวม (integrate) เข้ากับสังคมสมัยใหม่ได้ยากที่สุด โดยพรรณนาผ่านมุมมองของม้งเอง เพื่อให้เข้าใจบุคคลิกลักษณะ (manners) ที่ม้งให้ความหมายและมีปฏิกิริยาโต้ตอบ (reacted) ต่อสถานการณ์ของพวกเขาทั้งในอดีตและปัจจุบัน บทความมีข้อสรุปว่า ตราบใดที่รัฐบาลไทยยังไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องสิทธิการเป็นพลเมือง (citizenship) และสิทธิการครอบครองที่ดิน (land tenure) ของม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขาแล้ว กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ก็จะยังคงมีความขาดแคลนและความไม่พอใจ จึงจำเป็นต้องให้ม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และเท่าเทียมในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เพื่อจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล (หน้า 1, 7)

Ethnic Group in the Focus

ผู้เขียนเรียกว่า "ม้ง" (Hmong) บางครั้งใช้คำว่าคนบนภูเขา (highlanders) หรือ ชาติพันธุ์บนภูเขา (hill tribes) ส่วนคนไทยมักเรียกม้งว่า "แม้ว" (Meo) และยังคงเรียกว่าแม้วต่อไป แม้จะมีการเรียกร้อง (จากม้ง) ให้มีการเปลี่ยนคำเรียกนี้ก็ตาม (หน้า 7) สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์บนเขา คนไทยมักเรียกว่า "ชาวเขา" ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนเขา (หรือบนดอย) ไม่ได้มีความหมายในทางชนชาติหรือเผ่าพันธุ์ (หน้า 1)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูลชัดเจน

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่คงจะเป็นก่อนปี ค.ศ. 1987 เพราะบทความชิ้นนี้เสนอต่อ The International Conference on Thai Studies, Australian National University วันที่ 3 - 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1987

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูลชัดเจน ผู้เขียนกล่าวเพียงว่า ม้งอพยพสู่ประเทศไทยครั้งแรกจากประเทศจีนและลาว ตั้งถิ่นฐานอยู่บนยอดดอย ทำการเกษตรเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอยตามขนบ (Traditional Shifting Cultivation) (หน้า 2) และเมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมากโดยไม่มีการควบคุม และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 คอมมิวนิสต์ควบคุมประเทศลาวได้ ส่งผลให้ประชาชนชาติพันธุ์ (Tribe People) หลายหมื่นคนอพยพเข้าสู่ประเทศไทย กลายเป็นผู้อพยพทางการเมือง (หน้า 4)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูลชัดเจน

Demography

ในช่วงที่ทำการศึกษา มีม้งอยู่ประมาณ 58,000 คนในประเทศไทย แต่ไม่ชัดเจนว่าที่ได้สัญชาติจำนวนเท่าใด เพราะว่า ก่อน ค.ศ. 1972 ม้งในบางพื้นที่ได้สัญชาติและมีบัตรประชาชน แต่ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่ได้มีการสำรวจหรืออยู่ในพื้นที่ล่อแหลมทางการเมือง ม้งจะไม่ได้สัญชาติ และปี ค.ศ. 1977 (น่าจะมีความผิดพลาดในปี ค.ศ.ในงานเขียน - ผู้ตรวจ) ในสมัยที่จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกกฎหมายที่ 337 ซึ่งเอาสัญชาติคืนจากม้งที่ถูกมองว่าไม่จงรักภักดีต่อรัฐบาลไทย ต่อมา ค.ศ. 1974 รัฐบาลได้ประกาศว่า ถ้ามีหลักฐานก็จะให้สัญชาติคืน จึงทำให้ไม่มีตัวเลขชัดเจนว่า ม้งมีสัญชาติไทยจำนวนเท่าใด (หน้า 3)

Economy

เมื่ออพยพจากจีนและลาวเข้าสู่ประเทศไทย ม้งทำการเกษตรเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอยตามขนบ (หน้า 2) ไม่มีข้อมูลชัดเจนถึงอาชีพอื่น ๆ ของม้ง นอกจากการทำการเกษตร ผู้เขียนพรรณนาถึงความสำคัญของที่ดินทำกินที่มีต่อการดำเนินชีวิตของม้งในเชิงเศรษฐกิจว่า ผลจากการขาดแคลนที่ดินเพาะปลูกและใช้ที่ดินที่มีอยู่จนเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลผลิตลดลง ประกอบกับประชากรม้งที่เพิ่มขึ้น ม้งจำนวนมากจึงผลิตข้าวได้ไม่ค่อยพอบริโภค ข้าวเป็นธัญญาพืชที่มีความสำคัญไม่ใช่ในเชิงพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในครัวเรือน และทำให้ม้งเป็นอิสระจากการเป็นหนี้ ปัญหาการผลิตข้าวไม่เพียงพอสำหรับการบริโภค นำไปสู่การพึ่งพาผู้ออกดอกเบี้ยเงินกู้ (Loan Sharks) เนื่องจากธนาคารไม่ยอมให้กู้เงินโดยไม่มีหลักประกัน การกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ทำให้หนี้ยิ่งเพิ่มขึ้น หนี้สินเหล่านี้บั่นทอนกำลังทางเศรษฐกิจ และทำให้มาตรฐานความเป็นอยู่ต่ำลงในระดับอดอยาก ส่งผลให้ม้งจำนวนมากปลูกฝิ่นเพื่อแลกข้าวและสินค้าอื่น ๆ ตลอดจนนำไปจ่ายหนี้ และหนี้สินเหล่านี้ทำให้ยากต่อการเลิกปลูกฝิ่น (หน้า 4) แม้ฝิ่นจะเป็นแหล่งเงินสดที่สำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน การเสพติดฝิ่นก็ส่งผลต่อความสามารถทางกายภาพ ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตลดต่ำลง และฝิ่นจำนวนมากยังใช้บริโภคโดยสมาชิกในครอบครัว ทำให้จำนวนฝิ่นซึ่งสามารถขายเป็นเงินหรือสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ลดลงด้วย (หน้า 5) อีกประการคือ ยุทธศาสตร์การต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ของรัฐบาล ด้วยการผลักดันให้ม้งเกิดการอพยพ ก่อให้เกิดการเสื่อมทรุดหรือการทำลายทางเศรษฐกิจของม้งและชาวเขาจำนวนมากในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง (หน้า 6) และความหวาดระแวงของรัฐบาลที่มีต่อม้งในเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง ทำให้การให้สิทธิเป็นพลเมืองไทยแก่ม้งเป็นไปอย่างล่าช้า การขาดสิทธิความเป็นพลเมืองไทย ทำให้ม้งไม่สามารถถือครองที่ดินได้อย่างถูกกฎหมายเพื่อการตั้งบ้านเรือนและเพาะปลูกได้อย่างถาวร (หน้า 3)

Social Organization

ไม่มีข้อมูลชัดเจน

Political Organization

ความเป็นมาของความสัมพันธ์ด้านการเมือง : ก่อนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่พื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยจะอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงเทพ ชาวเขา (hill people) เป็นกันชน (buffers) ระหว่างเจ้านครรัฐ (principalities) ที่มีอำนาจปกครองตนเอง (autonomous princes) และต้องจ่ายบรรณาการให้เจ้านครรัฐเหล่านี้ในรูปของข้าวเปลือก จากมุงหลังคา (roofing straw) และของป่าต่าง ๆ (mountain products) เพื่อแลกกับสิทธิในการใช้ที่ดินรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อเพาะปลูก และภายใต้การจัดการของจ้าวศักดินา (princely arrangement) นี้ ชาติพันธุ์บนที่สูงจะถูกถือเป็นพลเมืองของนครรัฐเหล่านี้ โดยแต่งตั้งผู้นำชาติพันธุ์ให้ดูแลพื้นที่หลาย ๆ หมู่บ้าน และมีหน้าที่จัดการกับความขัดแย้งทะเลาะวิวาทในหมู่ชาติพันธุ์เอง ปี ค.ศ. 1874 กรุงเทพผนวกดินแดนทางเหนือรวมกับรัฐไทย อำนาจทางการเมืองของเจ้านครรัฐทางเหนือถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ รัฐบาลไทยใช้กฎหมายการถือครองที่ดินที่ใช้กับคนไทยพื้นราบประยุกต์ใช้กับทุกภูมิภาคของประเทศ แต่ในเบื้องต้นม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขาไม่ปรากฏว่าขาดแคลนที่ดินทำกิน เนื่องจากยังมีประชากรน้อยเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะให้ความสนใจ ก่อนปี ค.ศ. 1955 การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับชาติพันธุ์บนเขาเกิดขึ้นน้อยมาก มักจะอยู่ในลักษณะการสอบถามเป็นระยะ การลาดตระเวน หรือเพื่อคลี่คลายคดีอาชญากรรม หรือเรียกเก็บภาษีฝิ่นอย่างผิดกฎหมาย ประชากรชาติพันธุ์ไม่ได้รวมอยู่ในสำมะโนครัวประชากรของประเทศ และมีสถานภาพทางกฎหมายไม่ชัดเจน อยู่บนเขาโดดเดี่ยวห่างไกลไม่ได้รับบริการจากรัฐ และไม่ต้องจ่ายภาษีเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ บทบาทการปกครองของส่วนกลางมักหยุดอยู่ที่หมู่บ้านไทย ดังนั้นในทางปฏิบัติ ผู้ใหญ่บ้านจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนเพียงคนเดียวของรัฐบาลที่ชาวบ้านติดต่อสัมพันธ์ด้วย โครงสร้างการปกครองในระดับหมู่บ้านระบบนี้ประยุกต์ใช้กับชาวเขาด้วย โดยอำนาจหน้าที่ตามความเป็นจริงของผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน (ไทย) ใกล้เคียง แต่อยู่ในลักษณะเป็นบริวารหรือผู้ใต้บังคับบัญชา (subordinate) (หน้า 2) ทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 สิทธิพลเมืองของชาวเขามีลักษณะไม่ชัดเจน เช่น ละว้า (Lawa) ดูเหมือนว่าเป็นพลเมือง แต่ "กลุ่มแม้ว" (Meo) ไม่ได้เป็น ก่อนปี ค.ศ. 1972 ม้งอยู่ในพื้นที่ที่แน่นอน ได้รับสิทธิเป็นพลเมืองไทย และได้รับบัตรประจำตัว ยกเว้นผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับเหตุผลทางการเมือง และผู้ที่อยู่ห่างไกลเจ้าหน้าที่สำรวจไปไม่ถึง (หน้า 2) ปี ค.ศ. 1977 รัฐบาลชุดใหม่ประกาศใช้กฎหมายมาตรา 337 สามารถถอนสิทธิความเป็นพลเมืองของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าไม่จงรักภักดีต่อประเทศไทย ม้งจำนวนมากได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้ ขณะนั้น ม้งที่เรียกว่า "แม้วแดง" (Red Meo) เข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์และมีกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ส่วนม้งที่ไม่ใช่พวกต่อต้านก็ถูกหวาดระแวงและได้รับผลกระทบต่อการได้รับสิทธิพลเมืองไปด้วย และแม้ได้รับสิทธิพลเมืองแล้ว ก็อาจถูกเพิกถอนได้ทุกเมื่อหากรัฐบาลสงสัยว่าต่อต้านรัฐบาล ปี ค.ศ.1981 แม้มีกฎหมายนิรโทษกรรมม้งที่เป็นแม้วแดงกลับมาอยู่ฝ่ายรัฐบาลแล้ว แต่กฎเกณฑ์การถอนสิทธิพลเมืองก็ยังใช้อยู่ (หน้า 2-3) สิทธิพลเมือง : คุณสมบัติและกฎเกณฑ์ที่กลุ่มชาติพันธุ์จะได้รับสิทธิเป็นพลเมืองไทย เช่น เกิดในประเทศไทย อาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องและถาวรในพื้นที่อย่างน้อยที่ 5 ปี ปลอดจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและก่อการร้าย ครอบครองปัจจัยที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ซึ่งพิจารณาโดยหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น (หน้า 3) อุปสรรคในการได้รับสิทธิพลเมืองไทยของม้ง เช่น ม้งที่สูงอายุและยากจนไม่สามารถเดินทางไปดำเนินการทำบัตรประชาชนที่อำเภอ พ่อแม่ไม่สามารถลงทะเบียนให้ลูกได้ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องความสมบูรณ์ของทะเบียนการอยู่อาศัย (เช่น มีการเกิด แต่งงาน ตาย แล้วไม่ได้รายงานให้กำนันในท้องถิ่นทราบ เป็นต้น), ละเลยหลักฐานที่ราชการต้องการ, ความหวาดระแวงของเจ้าหน้าที่ไทยที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์บนเขา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคง, ม้งจำนวนมากบนเขายังไม่ได้รับการสำรวจจากเจ้าหน้าที่ เป็นต้น สิทธิสำหรับการเป็นพลเมืองไทย เช่น สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ สามารถเดินทางเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง (แต่ในความเป็นจริงม้งที่อาศัยอยู่ใกล้กล่องหย่อนบัตรเท่านั้นที่ได้ลงคะแนน) ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนของรัฐ และมีสิทธิเข้าทำงานในหน่วยงานบริการสาธารณะของรัฐ เป็นต้น (หน้า 3) ความคับแค้นและหวาดระแวง : ม้งไม่เข้าใจถึงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในชาติและระหว่างประเทศ สำหรับม้ง ความมั่นคงคือการปกป้องทรัพย์สินและต่อต้านโจรหรือฆาตกร ไม่ใช่การก่อการร้าย ความมั่นคงยังหมายถึงความเป็นอิสระจากการถูกเบียดเบียนข่มแหงรังแกจากตำรวจ ส่วนความมั่นคงสำหรับรัฐบาลคือการปราบคอมมิวนิสต์ แต่ละฝ่ายจึงมองเหตุการณ์แตกต่างกันไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแม้วแดง (ซึ่งปะทะกับทหารไทยเป็นครั้งแรกปี ค.ศ. 1967) ซึ่งรัฐบาลใช้วิธีปราบอย่างรุนแรงหลายรูปแบบ ... ด้วยความไม่พอใจทางเศรษฐกิจ และผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ให้สัญญาบนพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของม้ง เช่น เรื่องยารักษาโรค ปัจจัยทางการเกษตรและการศึกษาที่ดีกว่า ตลอดจนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเอง ซึ่งต่างจากรัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ใช้ประโยชน์จากความคับแค้นของม้งและปลุกระดมให้ต่อต้านรัฐบาล ติดอาวุธ ฝึก และใช้ม้งเพื่อจุดหมายปลายทางของคอมมิวนิสต์เอง (หน้า 6)

Belief System

ไม่มีข้อมูลชัดเจน

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูลชัดเจน ผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องการศึกษาของม้งไว้ในเรื่องของการไม่ได้สิทธิเป็นพลเมืองไทยว่า ม้งที่ไม่ได้เป็นพลเมืองไทยไม่สามารถส่งลูก ๆ เข้าโรงเรียนของรัฐได้ มีม้งจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 2 -3 รุ่น (generations) แล้ว แต่ยังคงไม่ได้รับการศึกษา (หน้า 3-4) ม้งจำนวนหนึ่งสร้างโรงเรียนเองและจ่ายค่าจ้างครูเอง เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาเป็นภาษาไทย (หน้า 7)

Health and Medicine

ยาไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ตลอดเวลา แม้สำหรับรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยก็ตาม ชาวเขาไม่มีเงินที่จะเข้าโรงพยาบาลในเมือง และไม่มีเวลาว่างจากงานในไร่ที่จะพาญาติพี่น้องไปโรงพยาบาล ครัวเรือนจำนวนมากตกอยู่ในวงจรของความยากจนและความเจ็บป่วย ฉะนั้น ในกรณีของอาการป่วยเรื้อรังหรือป่วยหนัก ม้งอาจใช้ฝิ่นเป็นเครื่องระงับความเจ็บปวด สุดท้ายการใช้ฝิ่นเป็นยาเพื่อระงับปวด ทำให้ติดฝิ่น (หน้า 5)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูลชัดเจน

Folklore

ไม่มีข้อมูลชัดเจน

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ผู้เขียนได้อ้างอิงถึงรายงานที่มีผู้ศึกษาไว้ว่า ม้งเป็นชาติพันธุ์ที่กล้าหาญ ไม่ยี่หระต่อความตาย รักอิสระอย่างแรงกล้า เป็นนักรบที่เข้มแข็งน่าหวาดกลัว และไม่ถูกกลืนโดยชาติพันธุ์อื่นได้ง่าย ๆ ในภาพรวม ม้งมีความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างหมู่บ้านอย่างเป็นมิตรและสามารถอยู่ร่วมกับชาติพันธุ์อื่นได้อย่างประสานสอดคล้อง แม้จะมีความตึงเครียดในการแย่งกันแสวงหาที่ดินทำกินก็ตาม ม้งก็สามารถอยู่ด้วยกันได้โดยปราศจากความรุนแรง ม้งจะมีความก้าวร้าวเฉพาะเวลาที่ป้องกันต่อต้านผู้คุกคามในทรัพย์สินหรือเสรีภาพของพวกเขาจากภายนอก

Social Cultural and Identity Change

ม้งส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่มีแนวโน้มที่จะย้ายลงพื้นราบ เปลี่ยนอัตตลักษณ์ (Identity) ทางชาติพันธุ์และรูปแบบความเป็นอยู่ของตน แต่รูปแบบชีวิตกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ แปรตามจำนวนถนนที่ถูกสร้างขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ เข้าไปในหมู่บ้าน ม้งที่มั่งคั่งจำนวนหนึ่งซื้อยานยนต์ใช้เป็นเหมือนรถรับจ้าง หรือเปิดร้านเล็ก ๆ ขายของและของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวและชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่น ๆ มีบ้างที่ซื้อบ้านและที่ดินบนพื้นราบ เพื่อใช้เป็นที่อยู่ของลูก ๆ ไปโรงเรียนที่พื้นราบ หรือเพื่อให้เช่า ทั้งนี้ การที่ม้งไม่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบ ไม่ใช่ไม่สมัครใจที่จะอยู่บนพื้นราบ แต่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทำให้ไม่สามารถอยู่ได้ มีม้งจำนวนมากที่อพยพไปพื้นราบ แต่ต้องกลับไปอยู่บนเขาตามเดิม (หน้า 7)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, ความกลมกลืนกับคนพื้นราบ, นโยบายทางการเมือง, ชนกลุ่มน้อย, รัฐไทย, มุมมองของม้ง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง