|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ความกลมกลืนกับคนพื้นราบ,นโยบายทางการเมือง,ชนกลุ่มน้อย,รัฐไทย,มุมมองของม้ง |
Author |
Gary Yia Lee |
Title |
Minority Politics in Thailand: A Hmong Perspective |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
|
Total Pages |
8 |
Year |
2530 |
Source |
บทความนี้เสนอต่อ The International Conference on Thai Studies, Australian National University 3-6 July 1987 |
Abstract |
ผู้เขียนอธิบายถึงความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างม้งและชาติพันธุ์บนเขากับรัฐบาลไทย สภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และสถานภาพทางการเมืองของม้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย การดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิพลเมืองและสิทธิการถือครองที่ดินทำกิน เนื่องจากทั้งสองสิ่งเป็นหลักประกันของสิทธิเสรีภาพและความมั่นคงในการดำเนินชีวิต ผู้เขียนบทความมีข้อสรุปว่า ตราบใดที่รัฐบาลไทยยังไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องสิทธิการเป็นพลเมือง (citizenship) และสิทธิการครอบครองที่ดิน (land tenure) ของม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขาแล้ว ก็จะยังคงมีความขาดแคลนและความไม่พอใจในกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ ทำให้ยากที่จะบูรณาการม้งให้ผนึกรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในฐานะพลเมืองไทย ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะม้งไม่ยินดีผนึกรวมกับชนชาติอื่น แต่เป็นเพราะเงื่อนไขทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เป็นอยู่ ไม่เอื้ออำนวยให้ม้งสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอิสระเสรีและมั่นคง รัฐบาลจำเป็นต้องให้ม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และเท่าเทียมในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จึงจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล (หน้า 7) |
|
Focus |
ความสัมพันธ์ระหว่างม้งและชาติพันธุ์บนภูเขา (Hill Tribes) กับรัฐไทย โดยพิจารณาการต่อสู้ของม้งเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระเสรีภาพในวิถีชีวิตของตน สิทธิการได้เป็นพลเมืองไทย และสิทธิการครอบครองที่ดินทำกิน และนโยบายทางการเมืองต่อชนกลุ่มน้อยของไทยโดยเฉพาะกรณีของม้ง |
|
Theoretical Issues |
ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าใช้กรอบทฤษฎีอะไรในการเขียนบทความและในงานวิจัยที่บทความนี้กล่าวถึง ตลอดจนไม่ได้อธิบายถึงระเบียบวิธีวิจัย บทความพรรณนาถึงข้อถกเถียง (Discussion) ของนักวิชาการจำนวนหนึ่ง เพื่อตรวจสอบและแยกแยะให้กระจ่างว่า เหตุใดจึงมีความเข้าใจว่า ม้งเป็นชาติพันธุ์ที่จะผนึกรวม (integrate) เข้ากับสังคมสมัยใหม่ได้ยากที่สุด โดยพรรณนาผ่านมุมมองของม้งเอง เพื่อให้เข้าใจบุคคลิกลักษณะ (manners) ที่ม้งให้ความหมายและมีปฏิกิริยาโต้ตอบ (reacted) ต่อสถานการณ์ของพวกเขาทั้งในอดีตและปัจจุบัน บทความมีข้อสรุปว่า ตราบใดที่รัฐบาลไทยยังไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องสิทธิการเป็นพลเมือง (citizenship) และสิทธิการครอบครองที่ดิน (land tenure) ของม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขาแล้ว กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ก็จะยังคงมีความขาดแคลนและความไม่พอใจ จึงจำเป็นต้องให้ม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และเท่าเทียมในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เพื่อจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล (หน้า 1, 7) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกว่า "ม้ง" (Hmong) บางครั้งใช้คำว่าคนบนภูเขา (highlanders) หรือ ชาติพันธุ์บนภูเขา (hill tribes) ส่วนคนไทยมักเรียกม้งว่า "แม้ว" (Meo) และยังคงเรียกว่าแม้วต่อไป แม้จะมีการเรียกร้อง (จากม้ง) ให้มีการเปลี่ยนคำเรียกนี้ก็ตาม (หน้า 7) สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์บนเขา คนไทยมักเรียกว่า "ชาวเขา" ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนเขา (หรือบนดอย) ไม่ได้มีความหมายในทางชนชาติหรือเผ่าพันธุ์ (หน้า 1) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่คงจะเป็นก่อนปี ค.ศ. 1987 เพราะบทความชิ้นนี้เสนอต่อ The International Conference on Thai Studies, Australian National University วันที่ 3 - 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1987 |
|
History of the Group and Community |
ไม่มีข้อมูลชัดเจน ผู้เขียนกล่าวเพียงว่า ม้งอพยพสู่ประเทศไทยครั้งแรกจากประเทศจีนและลาว ตั้งถิ่นฐานอยู่บนยอดดอย ทำการเกษตรเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอยตามขนบ (Traditional Shifting Cultivation) (หน้า 2) และเมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมากโดยไม่มีการควบคุม และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 คอมมิวนิสต์ควบคุมประเทศลาวได้ ส่งผลให้ประชาชนชาติพันธุ์ (Tribe People) หลายหมื่นคนอพยพเข้าสู่ประเทศไทย กลายเป็นผู้อพยพทางการเมือง (หน้า 4) |
|
Demography |
ในช่วงที่ทำการศึกษา มีม้งอยู่ประมาณ 58,000 คนในประเทศไทย แต่ไม่ชัดเจนว่าที่ได้สัญชาติจำนวนเท่าใด เพราะว่า ก่อน ค.ศ. 1972 ม้งในบางพื้นที่ได้สัญชาติและมีบัตรประชาชน แต่ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่ได้มีการสำรวจหรืออยู่ในพื้นที่ล่อแหลมทางการเมือง ม้งจะไม่ได้สัญชาติ และปี ค.ศ. 1977 (น่าจะมีความผิดพลาดในปี ค.ศ.ในงานเขียน - ผู้ตรวจ) ในสมัยที่จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกกฎหมายที่ 337 ซึ่งเอาสัญชาติคืนจากม้งที่ถูกมองว่าไม่จงรักภักดีต่อรัฐบาลไทย ต่อมา ค.ศ. 1974 รัฐบาลได้ประกาศว่า ถ้ามีหลักฐานก็จะให้สัญชาติคืน จึงทำให้ไม่มีตัวเลขชัดเจนว่า ม้งมีสัญชาติไทยจำนวนเท่าใด (หน้า 3) |
|
Economy |
เมื่ออพยพจากจีนและลาวเข้าสู่ประเทศไทย ม้งทำการเกษตรเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอยตามขนบ (หน้า 2) ไม่มีข้อมูลชัดเจนถึงอาชีพอื่น ๆ ของม้ง นอกจากการทำการเกษตร ผู้เขียนพรรณนาถึงความสำคัญของที่ดินทำกินที่มีต่อการดำเนินชีวิตของม้งในเชิงเศรษฐกิจว่า ผลจากการขาดแคลนที่ดินเพาะปลูกและใช้ที่ดินที่มีอยู่จนเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลผลิตลดลง ประกอบกับประชากรม้งที่เพิ่มขึ้น ม้งจำนวนมากจึงผลิตข้าวได้ไม่ค่อยพอบริโภค ข้าวเป็นธัญญาพืชที่มีความสำคัญไม่ใช่ในเชิงพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในครัวเรือน และทำให้ม้งเป็นอิสระจากการเป็นหนี้ ปัญหาการผลิตข้าวไม่เพียงพอสำหรับการบริโภค นำไปสู่การพึ่งพาผู้ออกดอกเบี้ยเงินกู้ (Loan Sharks) เนื่องจากธนาคารไม่ยอมให้กู้เงินโดยไม่มีหลักประกัน การกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ทำให้หนี้ยิ่งเพิ่มขึ้น หนี้สินเหล่านี้บั่นทอนกำลังทางเศรษฐกิจ และทำให้มาตรฐานความเป็นอยู่ต่ำลงในระดับอดอยาก ส่งผลให้ม้งจำนวนมากปลูกฝิ่นเพื่อแลกข้าวและสินค้าอื่น ๆ ตลอดจนนำไปจ่ายหนี้ และหนี้สินเหล่านี้ทำให้ยากต่อการเลิกปลูกฝิ่น (หน้า 4) แม้ฝิ่นจะเป็นแหล่งเงินสดที่สำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน การเสพติดฝิ่นก็ส่งผลต่อความสามารถทางกายภาพ ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตลดต่ำลง และฝิ่นจำนวนมากยังใช้บริโภคโดยสมาชิกในครอบครัว ทำให้จำนวนฝิ่นซึ่งสามารถขายเป็นเงินหรือสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ลดลงด้วย (หน้า 5) อีกประการคือ ยุทธศาสตร์การต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ของรัฐบาล ด้วยการผลักดันให้ม้งเกิดการอพยพ ก่อให้เกิดการเสื่อมทรุดหรือการทำลายทางเศรษฐกิจของม้งและชาวเขาจำนวนมากในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง (หน้า 6) และความหวาดระแวงของรัฐบาลที่มีต่อม้งในเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง ทำให้การให้สิทธิเป็นพลเมืองไทยแก่ม้งเป็นไปอย่างล่าช้า การขาดสิทธิความเป็นพลเมืองไทย ทำให้ม้งไม่สามารถถือครองที่ดินได้อย่างถูกกฎหมายเพื่อการตั้งบ้านเรือนและเพาะปลูกได้อย่างถาวร (หน้า 3) |
|
Political Organization |
ความเป็นมาของความสัมพันธ์ด้านการเมือง : ก่อนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่พื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยจะอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงเทพ ชาวเขา (hill people) เป็นกันชน (buffers) ระหว่างเจ้านครรัฐ (principalities) ที่มีอำนาจปกครองตนเอง (autonomous princes) และต้องจ่ายบรรณาการให้เจ้านครรัฐเหล่านี้ในรูปของข้าวเปลือก จากมุงหลังคา (roofing straw) และของป่าต่าง ๆ (mountain products) เพื่อแลกกับสิทธิในการใช้ที่ดินรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อเพาะปลูก และภายใต้การจัดการของจ้าวศักดินา (princely arrangement) นี้ ชาติพันธุ์บนที่สูงจะถูกถือเป็นพลเมืองของนครรัฐเหล่านี้ โดยแต่งตั้งผู้นำชาติพันธุ์ให้ดูแลพื้นที่หลาย ๆ หมู่บ้าน และมีหน้าที่จัดการกับความขัดแย้งทะเลาะวิวาทในหมู่ชาติพันธุ์เอง ปี ค.ศ. 1874 กรุงเทพผนวกดินแดนทางเหนือรวมกับรัฐไทย อำนาจทางการเมืองของเจ้านครรัฐทางเหนือถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ รัฐบาลไทยใช้กฎหมายการถือครองที่ดินที่ใช้กับคนไทยพื้นราบประยุกต์ใช้กับทุกภูมิภาคของประเทศ แต่ในเบื้องต้นม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนเขาไม่ปรากฏว่าขาดแคลนที่ดินทำกิน เนื่องจากยังมีประชากรน้อยเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะให้ความสนใจ ก่อนปี ค.ศ. 1955 การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับชาติพันธุ์บนเขาเกิดขึ้นน้อยมาก มักจะอยู่ในลักษณะการสอบถามเป็นระยะ การลาดตระเวน หรือเพื่อคลี่คลายคดีอาชญากรรม หรือเรียกเก็บภาษีฝิ่นอย่างผิดกฎหมาย ประชากรชาติพันธุ์ไม่ได้รวมอยู่ในสำมะโนครัวประชากรของประเทศ และมีสถานภาพทางกฎหมายไม่ชัดเจน อยู่บนเขาโดดเดี่ยวห่างไกลไม่ได้รับบริการจากรัฐ และไม่ต้องจ่ายภาษีเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ บทบาทการปกครองของส่วนกลางมักหยุดอยู่ที่หมู่บ้านไทย ดังนั้นในทางปฏิบัติ ผู้ใหญ่บ้านจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนเพียงคนเดียวของรัฐบาลที่ชาวบ้านติดต่อสัมพันธ์ด้วย โครงสร้างการปกครองในระดับหมู่บ้านระบบนี้ประยุกต์ใช้กับชาวเขาด้วย โดยอำนาจหน้าที่ตามความเป็นจริงของผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน (ไทย) ใกล้เคียง แต่อยู่ในลักษณะเป็นบริวารหรือผู้ใต้บังคับบัญชา (subordinate) (หน้า 2) ทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 สิทธิพลเมืองของชาวเขามีลักษณะไม่ชัดเจน เช่น ละว้า (Lawa) ดูเหมือนว่าเป็นพลเมือง แต่ "กลุ่มแม้ว" (Meo) ไม่ได้เป็น ก่อนปี ค.ศ. 1972 ม้งอยู่ในพื้นที่ที่แน่นอน ได้รับสิทธิเป็นพลเมืองไทย และได้รับบัตรประจำตัว ยกเว้นผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับเหตุผลทางการเมือง และผู้ที่อยู่ห่างไกลเจ้าหน้าที่สำรวจไปไม่ถึง (หน้า 2) ปี ค.ศ. 1977 รัฐบาลชุดใหม่ประกาศใช้กฎหมายมาตรา 337 สามารถถอนสิทธิความเป็นพลเมืองของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าไม่จงรักภักดีต่อประเทศไทย ม้งจำนวนมากได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้ ขณะนั้น ม้งที่เรียกว่า "แม้วแดง" (Red Meo) เข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์และมีกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ส่วนม้งที่ไม่ใช่พวกต่อต้านก็ถูกหวาดระแวงและได้รับผลกระทบต่อการได้รับสิทธิพลเมืองไปด้วย และแม้ได้รับสิทธิพลเมืองแล้ว ก็อาจถูกเพิกถอนได้ทุกเมื่อหากรัฐบาลสงสัยว่าต่อต้านรัฐบาล ปี ค.ศ.1981 แม้มีกฎหมายนิรโทษกรรมม้งที่เป็นแม้วแดงกลับมาอยู่ฝ่ายรัฐบาลแล้ว แต่กฎเกณฑ์การถอนสิทธิพลเมืองก็ยังใช้อยู่ (หน้า 2-3) สิทธิพลเมือง : คุณสมบัติและกฎเกณฑ์ที่กลุ่มชาติพันธุ์จะได้รับสิทธิเป็นพลเมืองไทย เช่น เกิดในประเทศไทย อาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องและถาวรในพื้นที่อย่างน้อยที่ 5 ปี ปลอดจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและก่อการร้าย ครอบครองปัจจัยที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ซึ่งพิจารณาโดยหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น (หน้า 3) อุปสรรคในการได้รับสิทธิพลเมืองไทยของม้ง เช่น ม้งที่สูงอายุและยากจนไม่สามารถเดินทางไปดำเนินการทำบัตรประชาชนที่อำเภอ พ่อแม่ไม่สามารถลงทะเบียนให้ลูกได้ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องความสมบูรณ์ของทะเบียนการอยู่อาศัย (เช่น มีการเกิด แต่งงาน ตาย แล้วไม่ได้รายงานให้กำนันในท้องถิ่นทราบ เป็นต้น), ละเลยหลักฐานที่ราชการต้องการ, ความหวาดระแวงของเจ้าหน้าที่ไทยที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์บนเขา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคง, ม้งจำนวนมากบนเขายังไม่ได้รับการสำรวจจากเจ้าหน้าที่ เป็นต้น สิทธิสำหรับการเป็นพลเมืองไทย เช่น สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ สามารถเดินทางเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง (แต่ในความเป็นจริงม้งที่อาศัยอยู่ใกล้กล่องหย่อนบัตรเท่านั้นที่ได้ลงคะแนน) ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนของรัฐ และมีสิทธิเข้าทำงานในหน่วยงานบริการสาธารณะของรัฐ เป็นต้น (หน้า 3) ความคับแค้นและหวาดระแวง : ม้งไม่เข้าใจถึงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในชาติและระหว่างประเทศ สำหรับม้ง ความมั่นคงคือการปกป้องทรัพย์สินและต่อต้านโจรหรือฆาตกร ไม่ใช่การก่อการร้าย ความมั่นคงยังหมายถึงความเป็นอิสระจากการถูกเบียดเบียนข่มแหงรังแกจากตำรวจ ส่วนความมั่นคงสำหรับรัฐบาลคือการปราบคอมมิวนิสต์ แต่ละฝ่ายจึงมองเหตุการณ์แตกต่างกันไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแม้วแดง (ซึ่งปะทะกับทหารไทยเป็นครั้งแรกปี ค.ศ. 1967) ซึ่งรัฐบาลใช้วิธีปราบอย่างรุนแรงหลายรูปแบบ ... ด้วยความไม่พอใจทางเศรษฐกิจ และผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ให้สัญญาบนพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของม้ง เช่น เรื่องยารักษาโรค ปัจจัยทางการเกษตรและการศึกษาที่ดีกว่า ตลอดจนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเอง ซึ่งต่างจากรัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ใช้ประโยชน์จากความคับแค้นของม้งและปลุกระดมให้ต่อต้านรัฐบาล ติดอาวุธ ฝึก และใช้ม้งเพื่อจุดหมายปลายทางของคอมมิวนิสต์เอง (หน้า 6) |
|
Education and Socialization |
ไม่มีข้อมูลชัดเจน ผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องการศึกษาของม้งไว้ในเรื่องของการไม่ได้สิทธิเป็นพลเมืองไทยว่า ม้งที่ไม่ได้เป็นพลเมืองไทยไม่สามารถส่งลูก ๆ เข้าโรงเรียนของรัฐได้ มีม้งจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 2 -3 รุ่น (generations) แล้ว แต่ยังคงไม่ได้รับการศึกษา (หน้า 3-4) ม้งจำนวนหนึ่งสร้างโรงเรียนเองและจ่ายค่าจ้างครูเอง เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาเป็นภาษาไทย (หน้า 7) |
|
Health and Medicine |
ยาไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ตลอดเวลา แม้สำหรับรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยก็ตาม ชาวเขาไม่มีเงินที่จะเข้าโรงพยาบาลในเมือง และไม่มีเวลาว่างจากงานในไร่ที่จะพาญาติพี่น้องไปโรงพยาบาล ครัวเรือนจำนวนมากตกอยู่ในวงจรของความยากจนและความเจ็บป่วย ฉะนั้น ในกรณีของอาการป่วยเรื้อรังหรือป่วยหนัก ม้งอาจใช้ฝิ่นเป็นเครื่องระงับความเจ็บปวด สุดท้ายการใช้ฝิ่นเป็นยาเพื่อระงับปวด ทำให้ติดฝิ่น (หน้า 5) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนได้อ้างอิงถึงรายงานที่มีผู้ศึกษาไว้ว่า ม้งเป็นชาติพันธุ์ที่กล้าหาญ ไม่ยี่หระต่อความตาย รักอิสระอย่างแรงกล้า เป็นนักรบที่เข้มแข็งน่าหวาดกลัว และไม่ถูกกลืนโดยชาติพันธุ์อื่นได้ง่าย ๆ ในภาพรวม ม้งมีความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างหมู่บ้านอย่างเป็นมิตรและสามารถอยู่ร่วมกับชาติพันธุ์อื่นได้อย่างประสานสอดคล้อง แม้จะมีความตึงเครียดในการแย่งกันแสวงหาที่ดินทำกินก็ตาม ม้งก็สามารถอยู่ด้วยกันได้โดยปราศจากความรุนแรง ม้งจะมีความก้าวร้าวเฉพาะเวลาที่ป้องกันต่อต้านผู้คุกคามในทรัพย์สินหรือเสรีภาพของพวกเขาจากภายนอก |
|
Social Cultural and Identity Change |
ม้งส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่มีแนวโน้มที่จะย้ายลงพื้นราบ เปลี่ยนอัตตลักษณ์ (Identity) ทางชาติพันธุ์และรูปแบบความเป็นอยู่ของตน แต่รูปแบบชีวิตกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ แปรตามจำนวนถนนที่ถูกสร้างขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ เข้าไปในหมู่บ้าน ม้งที่มั่งคั่งจำนวนหนึ่งซื้อยานยนต์ใช้เป็นเหมือนรถรับจ้าง หรือเปิดร้านเล็ก ๆ ขายของและของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวและชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่น ๆ มีบ้างที่ซื้อบ้านและที่ดินบนพื้นราบ เพื่อใช้เป็นที่อยู่ของลูก ๆ ไปโรงเรียนที่พื้นราบ หรือเพื่อให้เช่า ทั้งนี้ การที่ม้งไม่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบ ไม่ใช่ไม่สมัครใจที่จะอยู่บนพื้นราบ แต่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทำให้ไม่สามารถอยู่ได้ มีม้งจำนวนมากที่อพยพไปพื้นราบ แต่ต้องกลับไปอยู่บนเขาตามเดิม (หน้า 7) |
|
|