สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,การสื่อสาร,ความทันสมัย,ความเชื่อ,ปัตตานี
Author จินตวดี พุ่มศิริ
Title การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสาร ความเชื่อทางศาสนาและความทันสมัยของชาวไทยมุสลิมในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 165 Year 2529
Source หลักสูตรปริญญานิเทศศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประชาสัมพันธ์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

ผู้เขียนได้วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสาร ความเชื่อทางศาสนาและความทันสมัยของไทยมุสลิมใน อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี โดยใช้วัดกับตัวแปรทางประชากรโดย 1) กำหนดตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกกับความสัมพันธ์ในการเปิดรับสื่อมวลชน ผลปรากฏว่าตัวแปรส่วนใหญ่มีความสอดคล้องต่อการเปิดรับสื่อมวลชนแต่ตัวแปรรายได้ตำแหน่งในสังคมไม่มีผลต่อการเปิดรับสื่อมวลชน 2) ตัวแปรด้านอายุกับความสัมพันธ์ในการเปิดรับสื่อมวลชนและความทันสมัย กล่าวคือกลุ่มที่มีอายุน้อยจะมีการเปิดรับสื่อมวลชนมากและมีความทันสมัยสูงกว่ากลุ่มที่มีอายุมาก 3) ตัวแปรรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความสัมพันธ์เรื่องความทันสมัย ปรากฏว่าตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนมีผลต่อความทันสมัย ส่วนตำแหน่งในสังคมและการสื่อสารระหว่างบุคคลไม่ได้มีผลต่อความทันสม 4) ตัวแปรรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความสัมพันธ์ในความเชื่อทางศาสนา ปรากฏว่าตัวแปรส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา แต่การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา 5) ตัวแปรด้านอายุกับความเชื่อทางศาสนา บ่งบอกว่าไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานีที่มีอายุมากจะมีความเชื่อทางศาสนามากในทางตรงกันข้ามคนที่มีอายุน้อยจะมีความเชื่อทางศาสนาลดน้อยลง 6) ตัวแปรด้านความทันสมัยกับความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือความทันสมัยไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาของไทยมุสลิม (หน้า 102-107)

Focus

ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสาร ความเชื่อทางศาสนา และความทันสมัยของไทยมุสลิม ในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

Theoretical Issues

ไทยมุสลิมแม้จะเป็นประชากรเพียงกลุ่มน้อยในประเทศไทย แต่ถือเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่มีความสำคัญมากในจังหวัดชายแดนใต้ เพราะประชากรเหล่านี้มีความแตกต่างจากประชากรที่นับถือศาสนาพุทธโดยทั่วไป ทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม ประเพณีและความเป็นอยู่ (หน้า 2-3 ) ผู้เขียนได้ใช้หลักการ 1) ตัวแปรด้านประชากรได้แก่ เพศ อายุ รายได้ ตำแหน่งในสังคม ระดับการศึกษา การติดต่อกับสังคมภายนอกและการสื่อสารระหว่างบุคคลช่วยอธิบายความสัมพันธ์ที่มีต่อพฤติกรรมการเปิดรับสื่อมวลชนของไทยมุสลิม อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ผลปรากฏว่า ตัวแปรรายได้และตำแหน่งในสังคม ไม่มีผลต่อการเปิดรับสื่อมวลชนของประชากรกลุ่มดังกล่าว (หน้า 7,102-103 ) 2) ความสัมพันธ์ด้านอายุกับการเปิดรับสื่อมวลชนและความทันสมัย กล่าวคือกลุ่มที่มีอายุน้อยจะมีการเปิดรับสื่อมวลชนมากและมีความทันสมัยสูงกว่ากลุ่มที่มีอายุมาก (หน้า103) 3) ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความทันสมัย ปรากฏว่าตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนมีผลต่อความทันสมัย ส่วนตำแหน่งในสังคมและการสื่อสารระหว่างบุคคลไม่ได้มีผลต่อความทันสมัยของไทยมุสลิม อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี (หน้า104-105) 4) ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความเชื่อทางศาสนา ปรากฏว่าตัวแปรส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา แต่การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา (หน้า 105-106) 5) ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านอายุกับความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานีที่มีอายุมากจะมีความเชื่อทางศาสนามากในทางตรงกันข้ามคนที่มีอายุน้อยจะมีความเชื่อทางศาสนาลดน้อยลง (หน้า 106-107) 6) ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านความทันสมัยกับความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือความทันสมัยไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาของไทยมุสลิม อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี (หน้า 107)

Ethnic Group in the Focus

ไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ในพื้นที่เขตอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีประชากรนับถือศาสนาอิสลามถึงร้อยละ 80 (หน้า 6)

Language and Linguistic Affiliations

พูดภาษามลายูท้องถิ่นเป็นภาษาหลักและภาษาไทยกลางเป็นภาษาที่สอง (หน้า 3,162)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วง พ.ศ.2528

History of the Group and Community

ชุมชนไทยมุสลิมอำเภอหนองจิกเป็นชุมชนหนึ่งในจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นเมืองเก่ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เมืองหนองจิกเป็นหัวเมืองหนึ่งในเจ็ดหัวเมืองสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2499 ได้มีการรวมเมืองหนองจิก เมืองตานี เมืองสายบุรีและเมืองยะหริ่งเข้ารวมกันเป็นจังหวัดปัตตานี จนกลายเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดปัตตานีตราบจนปัจจุบัน (หน้า 156)

Settlement Pattern

ไม่ปรากฏ

Demography

มีจำนวนประชากรในสี่จังหวัดภาคใต้ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสตูล ทั้งสิ้น 1,238,016 คน เป็นไทยมุสลิมถึง 906,490 คน ประมาณร้อยละ 73.22 ในจังหวัดปัตตานีมีประชากรไทยมุสลิมถึงร้อยละ 77.53 (หน้า 1-2) ส่วนประชากรเฉพาะในเขตพื้นที่ศึกษาคืออำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี มีประชากรไทยมุสลิมถึงร้อยละ 80 (หน้า 6)

Economy

สภาพทางเศรษฐกิจของจังหวัดปัตตานี ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรร้อยละ 74.01 อาชีพทำนาทำสวนร้อยละ 9.05 ทำการประมง รับจ้าง ค้าขายและอื่นๆ เช่น ข้าราชการ พนักงาน จะเห็นได้ว่าอาชีพหลักของมุสลิม คือ การเกษตรกรรม แต่แหล่งน้ำและชลประทานการเกษตรมีปานกลางค่อนข้างน้อยและขาดแคลน การเกษตรจึงมักจะได้ผลน้อยประชาชนจึงค่อนข้างมีฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนขาดแคลน (หน้า 161)

Social Organization

โดยทั่วไปแล้วชุมชนไทยมุสลิม อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ตามความเชื่อทางศาสนาอิสลาม โดยถือว่าพระอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียว การปฏิบัติตนของไทยมุสลิมจึงอยู่บนพื้นฐานภายใต้เงื่อนไขเป็นไปตาม พระประสงค์ของพระองค์ (หน้า 28-29) ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ไทยมุสลิมจะมีการนมาสวันละ 5 ครั้ง มีการถือศีลอดในเดือนรอมาฎอน การประกอบพิธีฮัจย์ การแต่งกายที่ปกคลุมอย่างมิดชิด (หน้า 38-41)

Political Organization

ไม่ปรากฏ

Belief System

แม้ประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศไทยจะนับถือพุทธศาสนาแต่สำหรับสี่จังหวัดภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล มีผู้นับถือศาสนาอิสลามถึงร้อยละ 73.22 (หน้า 1) โดยเฉพาะในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี มีผู้นับถือศาสนาอิสลามถึงร้อยละ 80 (หน้า 6 ) ดังนั้นพิธีกรรมและความเชื่อต่างๆ ในชุมชนส่วนใหญ่จึงเป็นไปตามข้อปฏิบัติในศาสนาอิสลาม พิธีสำคัญๆ ที่เป็นที่รู้จักอาทิ การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน การที่ผู้ชายมุสลิมสามารถมีภรรยาได้ 4 คน การนมาส

Education and Socialization

สภาพการศึกษาจังหวัดปัตตานีมีการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา โดยศูนย์กลางการศึกษาจะอยู่ในอำเภอเมืองปัตตานี ประชากรที่อาศัยในตัวเมืองจึงมีโอกาสทางการศึกษาดีกว่าประชากรในอำเภออื่นๆ แต่เนื่องจากประชากรไทยมุสลิมร้อยละ 81.94 ใช้ภาษามลายูท้องถิ่นในชีวิตประจำวัน การเรียนการสอนภาษาไทยจึงต้องเร่งรัดกวดขันมากกว่าชาวไทยพุทธโดยทั่วไป และนอกจากนี้เด็กในวัยเรียนของโรงเรียนในจังหวัดนี้ยังต้องเรียนศาสนาอิสลามนอกเวลาเรียนเพิ่มขึ้นจากเวลาเรียนปกติทำให้เด็กต้องรับสภาพการเรียนที่ค่อนข้างหนัก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้างต่ำ (หน้า 159, 162-163)

Health and Medicine

ไทยมุสลิมจะเน้นหนักในเรื่องความสะอาดมากเพราะพวกเขาจะถือว่าความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา โดยจะหมายถึงความสะอาดทั้งกายและใจ ไทยมุสลิมจึงต้องทำความสะอาดร่างกายทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้ ที่พักอาศัย สิ่งแวดล้อมรอบบ้านและในชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ให้ปลอดภัยจากโรค รวมทั้งระวังรักษาตนไม่ให้เป็นต้นเหตุแพร่เชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นด้วย แม้ก่อนจะนมาสก็ต้องมีการชำระร่างกายให้สะอาดก่อน ความสะอาดจึงเป็นหลักการที่สำคัญของอิสลามและจะนำไปสู่ความมีสุขภาพดี ผ่องแผ้วทั้งกายและใจ (หน้า 49-50)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในด้านการแต่งกาย ชายมุสลิมต้องแต่งกายให้ปกปิดอวัยวะตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า หญิงต้องปกปิดทั้งหมดของร่างกาย ชายมุสลิมจึงไม่นุ่งกางเกงขาสั้น ส่วนสตรีมุสลิมนิยมนุ่งผ้าปาเต๊ะ ใส่เสื้อแขนยาว มีผ้าคลุมศีรษะ ไม่นิยมใส่เสื้อแขนสั้นหรือไม่มีแขน (หน้า 3-4)

Folklore

ผู้เขียนได้เล่าถึงสาเหตุการนับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ 3จังหวัดภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ว่าเดิมบริเวณแถบนี้เป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองที่เรียกว่า กายักซี ซาไก เซียมัง และโอรังโอต จนกระทั่งราว ค.ศ. 1200 อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองได้แผ่อำนาจครอบคลุมดินแดนมลายูและชวาได้ทั้งหมดประชาชนในบริเวณนี้จึงหันมานับถือพุทธศาสนาแทนการนับถือผีสางเทวดาต่างๆ ต่อมาราว พ.ศ. 1317 พ่อค้าชาวอาหรับเดินทางมาค้าขายแถบนี้ ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ เจ้าเมืองเลื่อมใสจึงเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามประชาชนจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามแทนศาสนาพุทธตั้งแต่นั้นมา (หน้า 156)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ปรากฏ

Social Cultural and Identity Change

สังคมวัฒนธรรมของไทยมุสลิมยังคงเป็นสังคมที่ปฏิบัติตามหลักของศาสนาอิสลามเพียงแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้น เทคโนโลยีความทันสมัยต่างๆ เข้ามาในสังคม ส่งผลให้กลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มคนที่มีอายุน้อยมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามลดน้อยลงกว่าเก่า (หน้า 10)

Other Issues

ไทยมุสลิมเป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อ วิถีชีวิต แนวปฏิบัติที่แตกต่างไปจากไทยพุทธส่วนใหญ่ของประเทศ เรื่องที่สำคัญคือ การอ่าน เขียนภาษาไทย หลายคนยังไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ด้านการสาธารณะสุขก็ยังมีไม่ทั่วถึง ทางรัฐบาลจึงควรตระหนักและหาแนวทางในการแก้ไขเรื่องเหล่านี้ (หน้า 112)

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้ตารางและแผนผังเพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นภาพที่ชัดเจนโดยเฉพาะข้อมูลจำนวนประชากร เช่น ประชากรอายุ 10 ปีขึ้นไปที่อ่านออกเขียนได้ จำนวนและร้อยละของไทยมุสลิมจำแนกตามเพศ แบบจำลองแนวความคิดในการวิจัย (หน้า 2-3, 6, 9-10, 20, 78-89, 92, 97, 100-101, 121-145)

Text Analyst กนิษฐา อลังการ Date of Report 07 พ.ค. 2556
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, ไทยมุสลิม, การสื่อสาร, ความทันสมัย, ความเชื่อ, ปัตตานี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง