|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,การสื่อสาร,ความทันสมัย,ความเชื่อ,ปัตตานี |
Author |
จินตวดี พุ่มศิริ |
Title |
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสาร ความเชื่อทางศาสนาและความทันสมัยของชาวไทยมุสลิมในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
165 |
Year |
2529 |
Source |
หลักสูตรปริญญานิเทศศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประชาสัมพันธ์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ผู้เขียนได้วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสาร ความเชื่อทางศาสนาและความทันสมัยของไทยมุสลิมใน อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี โดยใช้วัดกับตัวแปรทางประชากรโดย 1) กำหนดตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกกับความสัมพันธ์ในการเปิดรับสื่อมวลชน ผลปรากฏว่าตัวแปรส่วนใหญ่มีความสอดคล้องต่อการเปิดรับสื่อมวลชนแต่ตัวแปรรายได้ตำแหน่งในสังคมไม่มีผลต่อการเปิดรับสื่อมวลชน 2) ตัวแปรด้านอายุกับความสัมพันธ์ในการเปิดรับสื่อมวลชนและความทันสมัย กล่าวคือกลุ่มที่มีอายุน้อยจะมีการเปิดรับสื่อมวลชนมากและมีความทันสมัยสูงกว่ากลุ่มที่มีอายุมาก 3) ตัวแปรรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความสัมพันธ์เรื่องความทันสมัย ปรากฏว่าตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนมีผลต่อความทันสมัย ส่วนตำแหน่งในสังคมและการสื่อสารระหว่างบุคคลไม่ได้มีผลต่อความทันสม 4) ตัวแปรรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความสัมพันธ์ในความเชื่อทางศาสนา ปรากฏว่าตัวแปรส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา แต่การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา 5) ตัวแปรด้านอายุกับความเชื่อทางศาสนา บ่งบอกว่าไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานีที่มีอายุมากจะมีความเชื่อทางศาสนามากในทางตรงกันข้ามคนที่มีอายุน้อยจะมีความเชื่อทางศาสนาลดน้อยลง 6) ตัวแปรด้านความทันสมัยกับความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือความทันสมัยไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาของไทยมุสลิม (หน้า 102-107) |
|
Focus |
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสาร ความเชื่อทางศาสนา และความทันสมัยของไทยมุสลิม ในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี |
|
Theoretical Issues |
ไทยมุสลิมแม้จะเป็นประชากรเพียงกลุ่มน้อยในประเทศไทย แต่ถือเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่มีความสำคัญมากในจังหวัดชายแดนใต้ เพราะประชากรเหล่านี้มีความแตกต่างจากประชากรที่นับถือศาสนาพุทธโดยทั่วไป ทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม ประเพณีและความเป็นอยู่ (หน้า 2-3 ) ผู้เขียนได้ใช้หลักการ 1) ตัวแปรด้านประชากรได้แก่ เพศ อายุ รายได้ ตำแหน่งในสังคม ระดับการศึกษา การติดต่อกับสังคมภายนอกและการสื่อสารระหว่างบุคคลช่วยอธิบายความสัมพันธ์ที่มีต่อพฤติกรรมการเปิดรับสื่อมวลชนของไทยมุสลิม อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ผลปรากฏว่า ตัวแปรรายได้และตำแหน่งในสังคม ไม่มีผลต่อการเปิดรับสื่อมวลชนของประชากรกลุ่มดังกล่าว (หน้า 7,102-103 ) 2) ความสัมพันธ์ด้านอายุกับการเปิดรับสื่อมวลชนและความทันสมัย กล่าวคือกลุ่มที่มีอายุน้อยจะมีการเปิดรับสื่อมวลชนมากและมีความทันสมัยสูงกว่ากลุ่มที่มีอายุมาก (หน้า103) 3) ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความทันสมัย ปรากฏว่าตัวแปรด้านรายได้ ระดับการศึกษา การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนมีผลต่อความทันสมัย ส่วนตำแหน่งในสังคมและการสื่อสารระหว่างบุคคลไม่ได้มีผลต่อความทันสมัยของไทยมุสลิม อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี (หน้า104-105) 4) ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ ระดับการศึกษา ตำแหน่งในสังคม การสื่อสารระหว่างบุคคล การติดต่อกับสังคมภายนอกและการเปิดรับสื่อมวลชนกับความเชื่อทางศาสนา ปรากฏว่าตัวแปรส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา แต่การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนา (หน้า 105-106) 5) ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านอายุกับความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานีที่มีอายุมากจะมีความเชื่อทางศาสนามากในทางตรงกันข้ามคนที่มีอายุน้อยจะมีความเชื่อทางศาสนาลดน้อยลง (หน้า 106-107) 6) ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านความทันสมัยกับความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือความทันสมัยไม่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาของไทยมุสลิม อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี (หน้า 107) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ในพื้นที่เขตอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีประชากรนับถือศาสนาอิสลามถึงร้อยละ 80 (หน้า 6) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
พูดภาษามลายูท้องถิ่นเป็นภาษาหลักและภาษาไทยกลางเป็นภาษาที่สอง (หน้า 3,162) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วง พ.ศ.2528 |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนไทยมุสลิมอำเภอหนองจิกเป็นชุมชนหนึ่งในจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นเมืองเก่ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เมืองหนองจิกเป็นหัวเมืองหนึ่งในเจ็ดหัวเมืองสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2499 ได้มีการรวมเมืองหนองจิก เมืองตานี เมืองสายบุรีและเมืองยะหริ่งเข้ารวมกันเป็นจังหวัดปัตตานี จนกลายเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดปัตตานีตราบจนปัจจุบัน (หน้า 156) |
|
Demography |
มีจำนวนประชากรในสี่จังหวัดภาคใต้ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสตูล ทั้งสิ้น 1,238,016 คน เป็นไทยมุสลิมถึง 906,490 คน ประมาณร้อยละ 73.22 ในจังหวัดปัตตานีมีประชากรไทยมุสลิมถึงร้อยละ 77.53 (หน้า 1-2) ส่วนประชากรเฉพาะในเขตพื้นที่ศึกษาคืออำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี มีประชากรไทยมุสลิมถึงร้อยละ 80 (หน้า 6) |
|
Economy |
สภาพทางเศรษฐกิจของจังหวัดปัตตานี ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรร้อยละ 74.01 อาชีพทำนาทำสวนร้อยละ 9.05 ทำการประมง รับจ้าง ค้าขายและอื่นๆ เช่น ข้าราชการ พนักงาน จะเห็นได้ว่าอาชีพหลักของมุสลิม คือ การเกษตรกรรม แต่แหล่งน้ำและชลประทานการเกษตรมีปานกลางค่อนข้างน้อยและขาดแคลน การเกษตรจึงมักจะได้ผลน้อยประชาชนจึงค่อนข้างมีฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนขาดแคลน (หน้า 161) |
|
Social Organization |
โดยทั่วไปแล้วชุมชนไทยมุสลิม อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ตามความเชื่อทางศาสนาอิสลาม โดยถือว่าพระอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียว การปฏิบัติตนของไทยมุสลิมจึงอยู่บนพื้นฐานภายใต้เงื่อนไขเป็นไปตาม พระประสงค์ของพระองค์ (หน้า 28-29) ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ไทยมุสลิมจะมีการนมาสวันละ 5 ครั้ง มีการถือศีลอดในเดือนรอมาฎอน การประกอบพิธีฮัจย์ การแต่งกายที่ปกคลุมอย่างมิดชิด (หน้า 38-41) |
|
Belief System |
แม้ประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศไทยจะนับถือพุทธศาสนาแต่สำหรับสี่จังหวัดภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล มีผู้นับถือศาสนาอิสลามถึงร้อยละ 73.22 (หน้า 1) โดยเฉพาะในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี มีผู้นับถือศาสนาอิสลามถึงร้อยละ 80 (หน้า 6 ) ดังนั้นพิธีกรรมและความเชื่อต่างๆ ในชุมชนส่วนใหญ่จึงเป็นไปตามข้อปฏิบัติในศาสนาอิสลาม พิธีสำคัญๆ ที่เป็นที่รู้จักอาทิ การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน การที่ผู้ชายมุสลิมสามารถมีภรรยาได้ 4 คน การนมาส |
|
Education and Socialization |
สภาพการศึกษาจังหวัดปัตตานีมีการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา โดยศูนย์กลางการศึกษาจะอยู่ในอำเภอเมืองปัตตานี ประชากรที่อาศัยในตัวเมืองจึงมีโอกาสทางการศึกษาดีกว่าประชากรในอำเภออื่นๆ แต่เนื่องจากประชากรไทยมุสลิมร้อยละ 81.94 ใช้ภาษามลายูท้องถิ่นในชีวิตประจำวัน การเรียนการสอนภาษาไทยจึงต้องเร่งรัดกวดขันมากกว่าชาวไทยพุทธโดยทั่วไป และนอกจากนี้เด็กในวัยเรียนของโรงเรียนในจังหวัดนี้ยังต้องเรียนศาสนาอิสลามนอกเวลาเรียนเพิ่มขึ้นจากเวลาเรียนปกติทำให้เด็กต้องรับสภาพการเรียนที่ค่อนข้างหนัก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้างต่ำ (หน้า 159, 162-163) |
|
Health and Medicine |
ไทยมุสลิมจะเน้นหนักในเรื่องความสะอาดมากเพราะพวกเขาจะถือว่าความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา โดยจะหมายถึงความสะอาดทั้งกายและใจ ไทยมุสลิมจึงต้องทำความสะอาดร่างกายทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้ ที่พักอาศัย สิ่งแวดล้อมรอบบ้านและในชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ให้ปลอดภัยจากโรค รวมทั้งระวังรักษาตนไม่ให้เป็นต้นเหตุแพร่เชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นด้วย แม้ก่อนจะนมาสก็ต้องมีการชำระร่างกายให้สะอาดก่อน ความสะอาดจึงเป็นหลักการที่สำคัญของอิสลามและจะนำไปสู่ความมีสุขภาพดี ผ่องแผ้วทั้งกายและใจ (หน้า 49-50) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในด้านการแต่งกาย ชายมุสลิมต้องแต่งกายให้ปกปิดอวัยวะตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า หญิงต้องปกปิดทั้งหมดของร่างกาย ชายมุสลิมจึงไม่นุ่งกางเกงขาสั้น ส่วนสตรีมุสลิมนิยมนุ่งผ้าปาเต๊ะ ใส่เสื้อแขนยาว มีผ้าคลุมศีรษะ ไม่นิยมใส่เสื้อแขนสั้นหรือไม่มีแขน (หน้า 3-4) |
|
Folklore |
ผู้เขียนได้เล่าถึงสาเหตุการนับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ 3จังหวัดภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ว่าเดิมบริเวณแถบนี้เป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองที่เรียกว่า กายักซี ซาไก เซียมัง และโอรังโอต จนกระทั่งราว ค.ศ. 1200 อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองได้แผ่อำนาจครอบคลุมดินแดนมลายูและชวาได้ทั้งหมดประชาชนในบริเวณนี้จึงหันมานับถือพุทธศาสนาแทนการนับถือผีสางเทวดาต่างๆ ต่อมาราว พ.ศ. 1317 พ่อค้าชาวอาหรับเดินทางมาค้าขายแถบนี้ ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ เจ้าเมืองเลื่อมใสจึงเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามประชาชนจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามแทนศาสนาพุทธตั้งแต่นั้นมา (หน้า 156) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมวัฒนธรรมของไทยมุสลิมยังคงเป็นสังคมที่ปฏิบัติตามหลักของศาสนาอิสลามเพียงแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้น เทคโนโลยีความทันสมัยต่างๆ เข้ามาในสังคม ส่งผลให้กลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มคนที่มีอายุน้อยมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามลดน้อยลงกว่าเก่า (หน้า 10) |
|
Other Issues |
ไทยมุสลิมเป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อ วิถีชีวิต แนวปฏิบัติที่แตกต่างไปจากไทยพุทธส่วนใหญ่ของประเทศ เรื่องที่สำคัญคือ การอ่าน เขียนภาษาไทย หลายคนยังไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ด้านการสาธารณะสุขก็ยังมีไม่ทั่วถึง ทางรัฐบาลจึงควรตระหนักและหาแนวทางในการแก้ไขเรื่องเหล่านี้ (หน้า 112) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตารางและแผนผังเพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นภาพที่ชัดเจนโดยเฉพาะข้อมูลจำนวนประชากร เช่น ประชากรอายุ 10 ปีขึ้นไปที่อ่านออกเขียนได้ จำนวนและร้อยละของไทยมุสลิมจำแนกตามเพศ แบบจำลองแนวความคิดในการวิจัย (หน้า 2-3, 6, 9-10, 20, 78-89, 92, 97, 100-101, 121-145) |
|
|