|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ขมุ,,การเลือกใช้ภาษา,การสื่อสาร,ทัศนคติต่อภาษา,บ้านน้ำสอด,ทุ่งช้าง,น่าน |
Author |
สถาพร บุญประเสริฐ |
Title |
A Study of Language Choice for Social Communication among Hmong, Khmu, and Prai at Ban Nansord, Thung Chang District, Nan Province |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, ม้ง, กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
121 |
Year |
2532 |
Source |
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for The Degree of Master of Arts (Linguistic) in Faculty of Graduate Studies, Mahidol University |
Abstract |
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา การใช้ภาษาของชุมชนม้ง ขมุ และปรัย ที่บ้านน้ำสอด อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน โดยจะศึกษาภาษาที่ใช้ภายในกลุ่มของตนเองและติดต่อกันระหว่างกลุ่ม รวมทั้งการติดต่อกับคนไทย โดยดูว่าแต่ละกลุ่มจะมีการเลือกใช้ภาษาใด ในสถานการณ์ใด และกับใคร เพื่อใช้เป็นแนวทางอธิบายสภาพชุมชน ว่ามีสภาพการใช้ภาษาเป็นอย่างไร ต้องการที่จะเรียนภาษาใดมากน้อยเพียงใด
นอกจากศึกษาการใช้ภาษาแล้ว ยังศึกษาทัศนคติที่กลุ่มคนเหล่านั้นต่อภาษา วัฒนธรรม และบุคคลต่างๆ ด้วย ผลจากการวิจัยพบว่า กลุ่มม้งยังมีการเลือกใช้ภาษาของตนเองมากที่สุด ในการติดต่อภายในกลุ่มตนเอง รองลงมาคือกลุ่มขมุ และกลุ่มปรัย ส่วนในการติดต่อระหว่างกลุ่มแต่ละกลุ่มก็จะมีการเลือกใช้ภาษาคำเมืองและไทยกลางไปตามแต่ละสถานการณ์ สำหรับทัศนคติต่อภาษา กลุ่มขมุเป็นกลุ่มที่จะมีความรู้สึกอาย ที่จะพูดภาษาตนเองในที่ชุมชนมากกว่ากลุ่มอื่น และยังเป็นกลุ่มที่อยากอยู่ร่วมกับคนไทยและให้บุตรหลานเรียนภาษาไทยมากกว่ากลุ่มอื่น ในขณะที่กลุ่มม้งเป็นกลุ่มที่ต้องการให้คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของตนน้อยกว่ากลุ่มปรัย และพวกเขายังเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งกับเพื่อนต่างกลุ่มมากกว่ากลุ่มอื่นๆ (หน้า I ) |
|
Focus |
ศึกษาการใช้ภาษาของชุมชนม้ง ขมุ และปรัย (หรือที่บางคนเรียกว่าไปร หรือไพร) ที่บ้านน้ำสอด อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน โดยจะศึกษาภาษาที่ใช้ภายในกลุ่มของตนเองและติดต่อกันระหว่างกลุ่ม รวมทั้งการติดต่อกับคนไทย โดยดูว่าแต่ละกลุ่มจะมีการเลือกใช้ภาษาใด ในสถานการณ์ใด และกับใคร เพื่อใช้เป็นแนวทางอธิบายสภาพชุมชน ว่ามีสภาพการใช้ภาษาเป็นอย่างไร ทัศนคติที่กลุ่มคนเหล่านั้นต่อภาษาเป็นอย่างไร (หน้า 3-4) |
|
Theoretical Issues |
1. กลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มจะยังคงเลือกใช้ภาษาของตนเองในการติดต่อสื่อสารกันภายในกลุ่มของตน
2. กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสามกลุ่มเลือกที่จะใช้ภาษาคำเมืองในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างกลุ่ม
3. ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความหลากหลายของการเลือกใช้ภาษาขึ้นอยู่กับการติดต่อสื่อสารระหว่างกลุ่ม ไม่ใช่การติดต่อสื่อสารภายในกลุ่ม (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ขมุ และปรัย ในบ้านน้ำสอด อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
โดยทั่วไปแล้วแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงใช้ภาษาของตน ไม่ว่าจะอพยพโยกย้ายถิ่นฐานใหม่ อยู่แยกออกจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นหรือกลืนกลายเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น จึงเกิดสถานการณ์การติดต่อกันของภาษาและวัฒนธรรมขึ้น
1. กลุ่ม, ตระกูลภาษาภาษาม้งจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษา Miao-Yao ซึ่งอยู่ในสาขา Sino-Tibetan ซึ่งภาษา Miao เป็นภาษาแบบพยางค์เดี่ยว และยืมคำบางคำมาจากภาษาจีน (หน้า18) ภาษาขมุจัดอยู่ในกลุ่มภาษา Palaung Wa ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของภาษา Mon-Khmer ในตระกูลภาษา Austroasiatic (หน้า19) ภาษาปรัยเป็นกลุ่มย่อยของภาษา Khmuic ในกลุ่มภาษา Mon-Khmer ของตระกูลภาษา Austroasiatic ซึ่งใกล้ชิดกับภาษาขมุ (หน้า19)
2. การเลือกใช้ภาษา 2.1 การเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารภายในกลุ่มชาติพันธุ์ 2.1.1 ม้ง จากการศึกษาม้ง 350 คน พบว่าเลือกใช้ภาษาม้งเป็นอันดับแรก การเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารภายในกลุ่มสามารถจัดกลุ่มได้ดังนี้ 1. ภาษาม้งเท่านั้น 2. ภาษาม้งและภาษาคำเมือง 3. ภาษาม้งและภาษาไทยกลาง 2.1.1.1 การสื่อสารภายในครอบครัว การสื่อสารภายในครอบครัวพบว่าเลือกใช้ภาษาม้ง 95.71% เลือกใช้ภาษาม้งและภาษาคำเมือง 4% และเลือกใช้ภาษาม้งและภาษาไทยกลาง 0.28%ไม่พบความแตกต่างในกรณีที่มีความแตกต่างทางลำดับญาติระหว่างผู้พูดหรือหัวข้อที่คุยกัน 2.1.1.2 การสื่อสารกับเพื่อนบ้าน การศึกษาจำแนกสถานการณ์การสื่อสารออกเป็นสองกรณี คือ สถานที่ (ในและนอกหมู่บ้าน) และหัวข้อ (ในเชิงสังคมและอย่างเป็นทางการ) การเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารกับเพื่อนบ้านที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน พบว่าไม่มีความแตกต่างในการเลือกใช้ภาษาในแง่ของหัวข้อ คือเลือกใช้แต่ภาษาม้ง ส่วนในกรณีการเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารกับเพื่อนบ้านที่เกิดขึ้นภายนอกหมู่บ้าน พบว่า 89.71%ใช้ภาษาม้ง 10.29% ใช้ภาษาไทยกลางหรือภาษาคำเมืองควบคู่ไปกับภาษาม้ง 2.1.2 ขมุ จากการศึกษาขมุ156คน พบว่าใช้ภาษาในการสื่อสารภายในกลุ่มสามารถจัดกลุ่มได้ดังนี้ 1. ภาษาขมุเท่านั้น 2. ภาษาขมุและภาษาคำเมือง
3. ภาษาคำเมืองเท่านั้น
4. ภาษาขมุ ภาษาปรัย และภาษาคำเมือง
5. ภาษาขมุและภาษาไทยกลาง 2.1.2.1 การสื่อสารภายในครอบครัว เนื่องจากขมุเป็นชาติพันธุ์แรกที่ตั้งถิ่นฐานในบ้านน้ำสอด ระดับการกลืนกลายกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นจึงมีมากกว่าม้งและปรัยที่อพยพมาทีหลังการสื่อสารภายในครอบครัวพบว่าเลือกใช้ภาษาขมุ 50.64% ภาษาขมุและภาษาคำเมือง 35.26% ภาษาคำเมืองเท่านั้น 12.82% ภาษาขมุ ภาษาปรัย และภาษาคำเมือง 1.28% 2.1.2.2 การสื่อสารกับเพื่อนบ้าน การศึกษาจำแนกสถานการณ์การสื่อสารออกเป็นสองกรณี คือ สถานที่ (ในและนอกหมู่บ้าน) และหัวข้อ (ในเชิงสังคมและอย่างเป็นทางการ) การเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารกับเพื่อนบ้านที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน พบว่าใช้ภาษาขมุ 73.08% ภาษาขมุและภาษาคำเมือง 15.38% และใช้ภาษาขมุและภาษาไทยกลาง 11.54% ส่วนในกรณีการเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารกับเพื่อนบ้านที่เกิดขึ้นภายนอกหมู่บ้าน พบว่าใช้ภาษาคำเมือง 62.80% ใช้ภาษาขมุ 29.50% ใช้ภาษาขมุและภาษาคำเมือง 5.1% และใช้ภาษาขมุและภาษาไทยกลาง 2.6% นั่นหมายความว่าขมุนิยมใช้ภาษาคำเมืองในการสื่อสารกับเพื่อนบ้านที่เกิดขึ้นภายนอกหมู่บ้านมากที่สุด 2.1.3 ปรัย
จากการศึกษาปรัย80คน พบว่า การเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารภายในกลุ่มสามารถจัดกลุ่มได้ดังนี้ 1. ภาษาปรัยเท่านั้น 2. ภาษาปรัยและภาษาคำเมือง 3. ภาษาคำเมืองเท่านั้น 4. ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง 2.1.3.1 การสื่อสารภายในครอบครัว การสื่อสารภายในครอบครัวพบว่าเลือกใช้ภาษาปรัย 68.75% และใช้ภาษาปรัยและภาษาคำเมือง 31.25% 2.1.3.2 การสื่อสารกับเพื่อนบ้าน การศึกษาจำแนกสถานการณ์การสื่อสารออกเป็นสองกรณี คือ สถานที่(ในและนอกหมู่บ้าน) และหัวข้อ (ในเชิงสังคมและอย่างเป็นทางการ) การเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารกับเพื่อนบ้านที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน พบว่าไม่มีความแตกต่างในการเลือกใช้ภาษาในแง่ของหัวข้อ คือใช้ภาษาปรัย 91.25% ใช้ภาษาคำเมือง 16.25% ใช้ภาษาปรัยและภาษาคำเมือง 2.5% ส่วนในกรณีการเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารกับเพื่อนบ้านที่เกิดขึ้นภายนอกหมู่บ้าน พบว่าไม่มีความแตกต่างในการเลือกใช้ภาษาในแง่ของหัวข้อเช่นกัน คือใช้ภาษาคำเมือง 47.50% ใช้ภาษาปรับและภาษาคำเมือง 50% ใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง 2.5% 2.2 การเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ การศึกษาการเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์จะศึกษาผ่านประเด็น 7 ประเด็น ได้แก่ การศึกษา สุขภาพ ความเป็นอยู่ ความปลอดภัย การนินทา การทักทาย และการค้าขาย ซึ่งแต่ละประเด็นจะแสดงถึงคู่สนทนา สถานที่ที่เกิดการสนทนา และหัวข้อที่สนทนา 2.2.1ม้ง 2.2.1.1 ในประเด็นการศึกษาซึ่งเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับบทเรียนหรือการบ้านกับครู ในม้ง73คนพบว่า ใช้ภาษาไทยกลาง 69.86% ใช้ภาษาคำเมือง 30.14% ม้งเป็นกลุ่มเดียวที่มีการใช้ภาษาคำเมืองในการศึกษาเพราะยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการศึกษาภาษาไทยกลาง 2.2.1.2 ในประเด็นสุขภาพ พบว่าปัจจัยด้านอายุและการศึกษามีความสำคัญต่อการเลือกใช้ภาษาในประเด็นนี้มาก กล่าวคือ ในปัจจัยด้านอายุพบว่าม้งที่มีอายุน้อยเลือกใช้ภาษาคำเมืองมากกว่าภาษาม้ง ในขณะที่ม้งที่มีอายุมากเลือกใช้ภาษาม้งมากกว่าภาษาคำเมือง ส่วนในปัจจัยด้านการศึกษาพบว่า ม้งที่ได้รับการศึกษาจะเลือกใช้ภาษาคำเมืองมากกว่าภาษาม้ง ในขณะที่ม้งที่ไม่ได้รับการศึกษาจะเลือกใช้ภาษาม้งมากกว่าภาษาคำเมือง 2.2.1.3 ในประเด็นความเป็นอยู่ พบว่าเป็นการสื่อสารระหว่างม้งกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับการยกระดับความเป็นอยู่หรือการปลูกพืชผักต่างๆ เลือกใช้ภาษาคำเมือง 48.65% ใช้ภาษาไทยกลาง 29.73% และใช้ภาษาม้ง 21.62% 2.2.1.4 ในประเด็นความปลอดภัย มีม้งเพียง 9 คนที่พูดคุยกับตำรวจชายแดนเกี่ยวกับความปลอดภัย เพราะม้งคนอื่นๆ รู้สึกว่าหมู่บ้านของตนปลอดภัยดีอยู่แล้ว 2.2.1.5 ในประเด็นการนินทา เป็นการพูดคุยกับขมุและปรัยถึงเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในม้ง 350 คนนั้น มี 312 คนที่ไม่พูดคุยเรื่องนี้กับชาติพันธุ์อื่น ในจำนวนคนที่คุยนั้นพบว่าปัจจัยด้านอาชีพและการศึกษาเกี่ยวข้องมาก กล่าวคือ ม้งที่ได้รับการศึกษาเลือกใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง ในขณะที่ม้งที่ไม่ได้รับการศึกษาเลือกใช้ภาษาคำเมือง ในด้านปัจจัยด้านอาชีพนั้น พบว่าม้งที่เป็นเกษตรกรนั้นเลือกใช้ภาษาคำเมืองมากกว่าภาษาภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง ในขณะที่ม้งที่เป็นนักเรียนนั้นเลือกใช้ภาษาภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง 2.2.1.6 ในประเด็นการทักทายนั้น แบ่งคู่สนทนาออกเป็นการสนทนากับขมุ ปรัย ครู เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ ตำรวจชายแดน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มีม้งเพียง 38 คนจาก 350 คนที่สื่อสารกับขมุและปรัย ในประเด็นนี้ม้งเลือกใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง 55.26% ใช้ภาษาคำเมือง 44.74% ในการสื่อสารกับครู พบว่ามีปัจจัยด้านอายุ การศึกษา และอาชีพเกี่ยวข้องมาก ม้งที่มีอายุน้อยจะใช้ภาษาไทยกลางมาก ในขณะที่ม้งที่มีอายุมากจะใช้ภาษาคำเมืองมาก ในด้านการศึกษา ม้งที่ไม่ได้รับการศึกษาจะใช้ภาษาคำเมือง ส่วนม้งที่ได้รับการศึกษาจะใช้ภาษาไทยกลาง ในด้านอาชีพ เกษตรกรจะใช้ภาษาคำเมือง ในขณะที่นักเรียนจะใช้ภาษาไทยกลาง ในการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ พบว่าจากปัจจัยด้านเพศนั้น ชายม้งเลือกใช้ภาษาไทยกลาง ในขณะที่หญิงม้งเลือกใช้ภาษาม้ง ส่วนปัจจัยด้านอายุพบว่าม้งอายุน้อยจะใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด ม้งอายุมากจะใช้ภาษาม้งมากที่สุด ด้านปัจจัยด้านการศึกษา พบว่าม้งที่ได้รับการศึกษาจะใช้ภาษาไทยกลาง ในขณะที่ม้งที่ไม่ได้รับการศึกษาจะใช้ภาษาม้งมากที่สุด ปัจจัยด้านอาชีพ พบว่าม้งที่เป็นเกษตรกรจะใช้ภาษาม้งมากที่สุด ส่วนม้งที่เป็นนักเรียนจะใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด ในการสื่อสารกับตำรวจชายแดน พบว่าปัจจัยด้านอายุนั้น มีม้งอายุน้อยบางคนที่ใช้ภาษาไทยกลางบ้าง ในขณะที่ม้งอายุมากจะใช้ภาษาไทยกลางทั้งหมด 2.2.1.7 ในประเด็นการค้าขายนั้น เป็นการสื่อสารระหว่างม้งกับเจ้าของร้านค้าเล็กๆ ในหมู่บ้าน จากปัจจัยด้านอายุพบว่า ม้งอายุน้อยจะเลือกใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด ในขณะที่ม้งอายุมากจะใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลางควบคู่กันมากที่สุด 2.2.2 ขมุ 2.2.2.1 ประเด็นการศึกษาซึ่งเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับบทเรียนหรือการบ้านกับครูพบว่า ใช้ภาษาไทยกลาง 69.09% ใช้ภาษาคำเมือง 24.55% ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง 6.36% 2.2.2.2 ประเด็นสุขภาพ พบว่าขมุทุกคนเลือกใช้ภาษาคำเมือง 2.2.2.3 ประเด็นความเป็นอยู่ พบว่าเป็นการสื่อสารระหว่างขมุกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับการยกระดับความเป็นอยู่ ปัจจัยด้านอายุและการศึกษามีความสำคัญ กล่าวคือ ขมุอายุน้อยเลือกใช้ภาษาไทยกลาง ในขณะที่ขมุอายุมากเลือกใช้ภาษาคำเมือง ในด้านการศึกษา ขมุที่ได้รับการศึกษาจะเลือกใช้ภาษาไทยกลางมาก ในขณะที่ขมุที่ไม่ได้รับการศึกษาจะเลือกใช้ภาษาคำเมือง 2.2.2.4 ประเด็นความปลอดภัย มีขมุเพียง 16 คนที่พูดคุยกับตำรวจชายแดนเกี่ยวกับความปลอดภัย และเลือกใช้ภาษาคำเมือง 2.2.2.5 ประเด็นการนินทา เป็นการพูดคุยกับม้งและปรัยถึงเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ จากปัจจัยด้านเพศพบว่า ขมุเพศชายเลือกใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง ในขณะที่หญิงขมุเลือกใช้ภาษาคำเมือง และภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลางมากพอๆกัน ส่วนปัจจัยด้านอาชีพพบว่า อาชีพเกษตรกรเลือกใช้ภาษาคำเมืองมากที่สุด ในขณะที่นักเรียนใช้ภาษาคำเมืองมากที่สุดเช่นกัน แต่ก็ใช้ภาษาไทยกลางมากกว่าเกษตรกร 2.2.2.6 ประเด็นการทักทายนั้น แบ่งคู่สนทนาออกเป็นการสนทนากับม้ง ปรัย ครู เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ ตำรวจชายแดน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข การสนทนากับม้ง ปรัยขมุเลือกใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง 57.14% ใช้ภาษาคำเมือง 42.86% ในการสื่อสารกับครู พบว่ามีปัจจัยด้านอายุ การศึกษา และอาชีพเกี่ยวข้องมาก ขมุที่มีอายุน้อยจะใช้ภาษาไทยกลางมาก ในขณะที่ขมุที่มีอายุมากจะใช้ภาษาคำเมืองมาก ในด้านการศึกษา ขมุที่ไม่ได้รับการศึกษาจะใช้ภาษาคำเมือง ส่วนขมุที่ได้รับการศึกษาจะใช้ภาษาไทยกลาง ในด้านอาชีพ เกษตรกรจะใช้ภาษาคำเมือง ในขณะที่นักเรียนจะใช้ภาษาไทยกลาง ในการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ พบว่าใช้ภาษาคำเมือง 46.51% ใช้ภาษาไทยกลาง53.49% ในการสื่อสารกับตำรวจชายแดน พบว่าขมุใช้แต่ภาษาคำเมือง 2.2.2.7 ในประเด็นการค้าขายนั้น เป็นการสื่อสารระหว่างขมุกับเจ้าของร้านค้าเล็กๆในหมู่บ้าน จากปัจจัยด้านอายุพบว่า ขมุอายุน้อยจะเลือกใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด ในขณะที่ขมุอายุมากจะใช้ภาษาคำเมืองมากที่สุด จากปัจจัยด้านการศึกษา พบว่าขมุที่ได้รับการศึกษาเลือกใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด ในขณะที่ขมุที่ไม่ได้รับการศึกษาใช้ภาษาคำเมืองมากที่สุด จากปัจจัยด้านอาชีพพบว่า เกษตรกรเลือกใช้ภาษาคำเมืองมากที่สุด ในขณะที่นักเรียนใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด 2.2.3 ปรัย 2.2.3.1 ในประเด็นการศึกษาซึ่งเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับบทเรียนหรือการบ้านกับครูพบว่า ใช้ภาษาไทยกลาง 65.57% ใช้ภาษาคำเมือง 34.43% ภาษาคำเมือง 2.2.3.2 ในประเด็นสุขภาพ พบว่าปรัยทุกคนเลือกใช้ภาษาคำเมือง 2.2.3.3 ในประเด็นความเป็นอยู่ พบว่าเป็นการสื่อสารระหว่างปรัยกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับการยกระดับความเป็นอยู่ มีปรัย 46 คนจาก 80 คนที่ไม่คุยกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ อย่างไรก็ตาม ปรัยเลือกใช้ภาษาคำเมือง 79.41% ใช้ภาษาไทยกลาง 20.59% 2.2.3.4 ในประเด็นความปลอดภัย ปรัยเลือกใช้ภาษาคำเมืองกับตำรวจชายแดน 2.2.2.5 ในประเด็นการนินทา เป็นการพูดคุยกับม้งและขมุถึงเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ ปรัย 67คน จาก 80 คนไม่พูดกับม้ง จากปัจจัยด้านอายุ พบว่าปรัยอายุน้อยเลือกใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง ในขณะที่ปรัยอายุมากเลือกใช้ภาษาคำเมือง ส่วนปัจจัยด้านอาชีพพบว่า อาชีพเกษตรกรเลือกใช้ภาษาคำเมืองทั้งหมด ในขณะที่นักเรียนใช้ภาษาคำเมืองและไทยกลาง 2.2.3.6 ในประเด็นการทักทายนั้น แบ่งคู่สนทนาออกเป็นการสนทนากับม้ง ขมุ ครู เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ ตำรวจชายแดน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในการสนทนากับม้งนั้น ปรัยเลือกใช้ภาษาคำเมือง 38.46% ใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง 61.54% ในการสนทนากับขมุนั้น ปรัย56คนจาก63คนเลือกใช้ภาษาคำเมือง ที่เหลือใช้ภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลาง ในการสื่อสารกับครู พบว่ามีปัจจัยด้านเพศและอายุมาก ชายปรัยใช้ภาษาไทยกลางมากกว่าคำเมือง ในขณะที่หญิงปรัยเลือกใช้คำเมืองมากกว่าไทยกลาง ในด้านอายุ พบว่าปรัยอายุน้อยใช้ภาษาไทยกลางมาก ในขณะที่ปรัยอายุมากใช้ภาษาคำเมืองมาก ในการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์และตำรวจชายแดน พบว่าปรัยใช้แต่ภาษาคำเมือง 2.2.3.7 ในประเด็นการค้าขายนั้น เป็นการสื่อสารระหว่างปรัยกับเจ้าของร้านค้าเล็กๆ ในหมู่บ้าน จากปัจจัยด้านอายุพบว่า ปรัยอายุน้อยจะเลือกใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด ในขณะที่ปรัยอายุมากจะใช้ภาษาคำเมืองมากที่สุด จากปัจจัยด้านการศึกษา พบว่าปรัยที่ได้รับการศึกษาเลือกใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด ในขณะที่ปรัยที่ไม่ได้รับการศึกษาใช้ภาษาคำเมืองมากที่สุด จากปัจจัยด้านอาชีพพบว่า เกษตรกรเลือกใช้ภาษาคำเมืองมากที่สุด ในขณะที่นักเรียนใช้ภาษาไทยกลางมากที่สุด (หน้า 29-98) 3. ทัศนคติต่อภาษา กลุ่มขมุมีความรู้สึกอายที่จะพูดภาษาตนเองในที่ชุมชนมากกว่ากลุ่มอื่น และอยากอยู่ร่วมกับคนไทยและให้บุตรหลานเรียนภาษาไทยมากกว่ากลุ่มอื่น ในขณะที่กลุ่มม้งต้องการให้คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของตนน้อยกว่ากลุ่มปรัย และพวกเขายังเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งกับกลุ่มอื่นๆ (หน้า 99-114) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
บ้านน้ำสอดมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ในบริเวณนี้ประกอบด้วยกลุ่มคนที่พูดภาษาขมุตั้งบ้านเรือนในบริเวณที่ราบ กลุ่มคนที่พูดภาษาปรัยตั้งบ้านเรือนที่ระดับความสูง 133.3 ฟิตจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และกลุ่มคนที่พูดภาษาม้งตั้งบ้านเรือนที่ระดับความสูง 166.27 ฟิตจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (หน้า10-11) |
|
Demography |
ในบ้านน้ำสอด อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน มีขมุจำนวน 163 คน 27 ครัวเรือน ปรัย 85 คน 17 ครัวเรือน ม้ง 523 คน 68 ครัวเรือน (หน้า10-11) |
|
Economy |
กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสามกลุ่มดำรงชีวิตด้วยการปลูกข้าว ข้าวโพด เผือก และมันฝรั่ง เมื่อดูแลไร่นาเสร็จแล้วก็เข้าป่าไปหาของป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ เผาฟืน และล่าสัตว์ ชาวขมุบางคนเลี้ยงวัวหรือควาย ในขณะที่ชาวปรัยบางคนเลี้ยงหมู ทั้งขมุและปรัยส่วนใหญ่เลี้ยงไก่ไว้เพื่อเซ่นไหว้วิญญาณ เมื่อจำนวนขมุเพิ่มมากขึ้นจนผลผลิตไม่เพียงพอ ชายขมุอายุระหว่าง 15-35 ปีจะออกไปหางานนอกหมู่บ้านเพื่อหารายได้เข้าหมู่บ้านเพิ่ม ม้งก็ประสบปัญหาเดียวกัน เมื่อรายได้ไม่พอก็จะเข้าป่าและหาทุกสิ่งทุกอย่างที่พอจะขายได้ เช่น สัตว์ป่า ต้นไม้กวาด น้ำผึ้ง ฯลฯ หมูเป็นสัตว์สำคัญที่ม้งทุกบ้านจะต้องมีไว้เพื่อใช้ในพิธีบูชายัญหรือขายให้กับพ่อค้าที่จะมารับซื้อถึงหมู่บ้าน แหล่งรายได้หลักของม้งในปัจจุบัน คือ การปลูกขิง (หน้า 11) |
|
Belief System |
แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีความเชื่อเป็นของตนเอง ขมุและปรัยนับถือศาสนาพุทธและบูชาผี ยกเว้นขมุครอบครัวหนึ่งซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ มีม้ง 10 ครัวเรือนจากทั้งหมด 68 ครัวเรือนที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ในวันอาทิตย์ของทุกๆ เดือน คณะมิชชันนารีและม้งที่นับถือศานาคริสต์จะร่วมกันอ่านคัมภีร์ไบเบิล อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ พวกเขาก็ยังคงร่วมทำบุญหรือสร้างกุฏิให้กับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา (หน้า12-13) |
|
Education and Socialization |
บ้านน้ำสอดมีโรงเรียนประถมซึ่งรองรับนักเรียนได้ 140 คน เนื่องจากมีจำนวนเด็กไม่มากพอที่จะตั้งชั้นเรียนใหม่ โรงเรียนจึงต้องเปิดลงทะเบียนนักเรียนใหม่ในทุกชั้นปีการศึกษาในทุกๆ ปี นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนประถมระดับจังหวัดพร้อมหอพักไว้รองรับเด็กชาวเขา (หน้า 12) อย่างไรก็ตาม มีเด็กชาวม้งไม่มากนักที่มีโอกาสได้ศึกษา ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองมักให้บุตรหลานช่วยงานที่ไร่นาหรือที่บ้าน (หน้า 12) หรือผู้ปกครองของเด็กบางคนยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน (หน้า 14) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากการศึกษาทัศนคติที่แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีต่อภาษาของตนเอง ภาษาคำเมืองและภาษาไทย กลุ่มขมุเป็นกลุ่มที่จะมีความรู้สึกอาย ที่จะพูดภาษาตนเองในที่ชุมชนมากกว่ากลุ่มอื่น และยังเป็นกลุ่มที่อยากอยู่ร่วมกับคนไทยและให้บุตรหลานเรียนภาษาไทยมากกว่ากลุ่มอื่น ในขณะที่กลุ่มม้งเป็นกลุ่มที่ต้องการให้คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของตนน้อยที่สุด และพวกเขายังเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งกับเพื่อนต่างกลุ่มมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกลุ่มขมุและกลุ่มปรัยมองว่าม้งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในบ้านน้ำสอด และยังเบียดบังพื้นที่ทำกินและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่จำกัดจำเขี่ย อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่านโยบายผสมกลมกลืนของรัฐบาลไทยกำลังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม (หน้า 115 -120) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้แสดงแผนที่ของจังหวัดน่าน (หน้า IX) อำเภอทุ่งช้าง (หน้า X) และบ้านน้ำสอด (หน้า XI) เพื่อแสดงสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ที่ทำการศึกษา นอกจากนี้ยังมีแผนผัง แผนภูมิ และตารางต่างๆ เพื่อแสดงข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า และข้อมูลจากแบบสอบถาม (หน้า 18, 26, 32, 34, 36-37, 39, 41-43, 45, 47- 48, 52-54, 56-66, 68-72, 74-79, 81-90, 92-95, 97-98, 101, 103-111, 113, 117) |
|
|