สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,บทสวดศพ,ความตาย,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์,ลาว
Author Jacques Lemoine
Title L'initiation du Mort chez les Hmong
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาฝรั่งเศส
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 141 Year 2526
Source Lemoine, Jacques. L'Initiation du mort chez les Hmong. Bangkok : Pandora
Abstract

ผู้เขียนได้ใช้แนวคิด โครงสร้างนิยม ศึกษาองค์ประกอบทางสังคมของชาติพันธุ์ม้งผ่านทางเนื้อหาที่สะท้อนออกมาจากบทสวดศพ เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลบอกคณค่าในอารยะธรรมม้ง (หน้า 5) โดยผู้เขียนได้ใช้บทสวดศพ โคว้เก้ ของม้งกลุ่มหนึ่งที่อาศัยในประเทศลาวเป็นจุดศึกษา และนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับวัฒนธรรมความเชื่อที่มีอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะวัฒนธรรมจีน (หน้า 43) บทสวดโคว้เก้หมายถึงการชี้นำเส้นทาง จะพูดถึงเนื้อหานิทานปรัมปราในเรื่องการสร้างโลก การกำเนิดของชาติพันธุ์มนุษย์ ความตาย และสุดท้ายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนตาย (หน้า 14) โดยผู้เขียนวิเคราะห์ว่า ความคิดหลักเรื่องการชี้นำคนตายเป็นเสมือนการเดินทางของวิญญาณหรือขวัญเพื่อไปเกิดใหม่ สำหรับม้ง จุดหมายปลายทางของการกลับมาเกิดใหม่จะเป็นการไปพบบรรพชนในสายตระกูลของตน เพื่อป้องกันวิญญาณไม่ให้พลัดหลงไปเกิดในชาติพันธุ์อื่นหรือสิ่งมีชืวิตอื่น ทำให้ต้องสวดชี้นำเส้นทาง (หน้า 109) ผู้เขียนได้เสริมว่าความเชื่อทางมายาคติเกี่ยวพันกับโลกจริง อัตราการตายโดยเฉพาะในเด็กม้งมีสูง บรรพชนก็เหมือนกับผู้สืบทอด การกลับชาติมาเกิดจะมีขึ้นในเวลาใกล้ๆ กันระหว่างความตายและการเกิดใหม่ การตั้งชื่อผู้เกิดใหม่ให้เหมือนกับชื่อของผู้ตาย มีการสวดนำวิญญาณผู้ตายไปเกิดทันทีแทนที่จะอัญเชิญไปสถิตอยู่แท่นบูชาบรรพบุรุษ อย่างน้อยก็มีความเชื่อว่าเป็นการรับประกันเผ่าพันธุ์จะคงอยู่ต่อไป (หน้า 109-111)

Focus

ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงความคิดของม้ง เรื่องความตายว่าเป็นเหมือนการเดินทางกลับ ไปหาบรรพชนที่มาของมนุษย์ และสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ในกลุ่มญาติของผู้ตายเอง (หน้า 6,7) ผู้เขียนได้วิเคราะห์ความเชื่อของชาติพันธุ์ม้งที่ส่งผ่านทางบทสวดสำหรับคนตาย โคว้เก้ (Kr'oua Ké) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวนิยายปรัมปราเรื่องการสร้างโลก การสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ น้ำมหาวินาศที่ท่วมโลก และสุดท้ายเป็นการชี้นำเส้นทางแก่คนตายหรือวิญญาณ ไปสู่สรวงสวรรค์ (หน้า 7)

Theoretical Issues

ไม่ระบุ

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (Hmong) เน้นกลุ่มม้งเขียว (Hmong Vert) หรือ ม้งนจั๊วะ (Hmong Ndjoua) ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (หน้า13-14) ในภาษาจีนเรียกว่า "เหมียว" (Miao) แต่กลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักเรียกว่า "แม้ว" (Meo) นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกม้งอีก 2 ชื่อ คือ พวกมู (Hmou) เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงของมณฑลเกียวเจา และทางตะวันตกของมณฑล ฮูนาน คือ ม้งโคเชียง (KhoHsiong) (หน้า 11) ม้งตั้งถิ่นฐานปกคลุมดินแดนกว้างในเอเชียช่วงเส้นระแวงที่ 16 ถึง 33 (หน้า 13) โดยผู้เขียนชี้ว่า ประเพณีม้งมาจากการผสมผสานประเพณีจีน ไทย และธิเบต-พม่า และในขณะเดียวกันก็นำมาสร้างลักษณะพิเศษเฉพาะที่มีส่วนขยายมาจากเทพนิยายโบราณของจีน (หน้า 43)

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในประเทศจีน มีภาษาใช้ในการสื่อสารกันไม่ต่ำกว่า 7 ภาษา แต่ในบริบทของการศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนค้นพบ 2 ภาษา ที่ใช้แตกต่างกันในกลุ่มประเทศลาวและประเทศไทย (หน้า 13) และมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับภาษาม้งใน เสฉวนของจีน จากงานศึกษาวิจัยที่ผ่านมาชาติพันธุ์ม้งไม่มีภาษาเขียน การส่งผ่านวัฒนธรรม จะทำได้โดยการใช้ภาษาพูดเท่านั้น (หน้า 13)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงปี พ.ศ. 2508

History of the Group and Community

บรรพบุรุษของม้งเคยอาศัยในพื้นที่ราบลุ่ม ตามริมฝั่งแม่น้ำเหลือง (Le Fleuve Jaune) จากการถูกรุกรานจากคนจีน ทำให้ชาวม้งค่อยๆ อพยพจากด้านตะวันออกลงมาอยู่อาศัยตามแนวเขาทางตอนกลางและทางใต้ของจีน นอกจากนี้ก็มี ม้งอีกจำนวนหนึ่งอพยพลงมาที่คาบสมุทรอินโดจีน (หน้า 11)

Settlement Pattern

ม้งในคาบสมุทรอินโดจีน (ประเทศลาว ไทย และเวียตนาม) ล้วนอพยพมาจากประเทศจีน ตั้งแต่ปลายคริสตวรรษที่ผ่านมา หรือก่อนปี ค.ศ. 1900 (หน้า 11) โดยตั้งถิ่นฐานทางเขตภูเขาทางภาคเหนือของประเทศ (หน้า 12 แผนที่)

Demography

จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2503 มีม้งโดยประมาณทั้งสิ้น 1,700,000 คน อาศัยอยู่ในประเทศจีน 1,129,000 คน และในเวียดนามเหนือ 219,514 คน สำหรับในลาวไม่มีข้อมูลระบุ (หน้า 13)

Economy

ไม่ระบุ

Social Organization

ไม่ระบุ

Political Organization

ไม่ระบุ

Belief System

เรื่องความตายสำหรับม้งนับเป็นเรื่องใหญ่ ผู้เขียนให้ความสนใจอย่างมากที่จะศึกษาความคิด ความเชื่อ ที่ปรากฏในบทสวดงานศพสำหรับผู้ตาย ซึ่งเรียกว่า โค้วเก้ (Kr'oua Ké) ที่หมายถึงการชี้นำและบอกเส้นทาง โค้ว ในบริบทนี้มาจาก ครา(Kr'a) ที่แปลว่า ฝึกหัด สอน (หน้า14) โค้วเก้ เป็นบทสวดที่จะสามารถชี้นำทางคนตายหรือวิญญาณเฉพาะในงานศพเท่านั้น ในช่วงเวลาปกติการสวดโค้วเก้จะไม่ได้ผล ม้งจะถือว่าเป็นลางร้ายถ้าผู้ใดจะร้องสวดเมื่อไม่มีคนตาย การที่ม้งไม่มีภาษาเขียน ผู้นำสวดที่สืบทอดต่อๆ มา ต้องพยายามจดจำบทสวดให้ได้เร็วที่สุด เพราะว่าในช่วงเวลาสวดศพโดยปกติ ม้งจะปล่อยให้ผู้สวดอยู่ตามลำพังกับคนตาย และผู้สวดจะสวดเสียงเบาๆ เพื่อให้ผู้ตายได้ยินเท่านั้น (หน้า13 -14) โดยเนื้อหาในบทสวดโค้วเก้ แต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันบ้างในข้อมูลและรายละเอียด ผู้เขียนได้เลือกใช้ของคนทรง ชื่อ นัทซง เนง (Nts'ong Neng) เพราะชื่นชอบในน้ำเสียงการสวด และเมื่อเริ่มศึกษาก็พบว่ามีความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องที่ข้อมูลบางส่วนไม่ปรากฏในบทสวดของคนทรงอื่น (หน้า 6, 13, 113-114) ประเด็นของบทสวดได้พูดถึงที่มาของโลก (การสร้างโลก การสร้างมนุษย์คนแรก) ที่มาของเชื้อสายมนุษย์ ที่มาของความตาย จะจบโดยการพูดถึงเส้นทางของวิญญาณที่ไปสู่สุขคติหรือการกลับชาติมาเกิดใหม่ (หน้า 14) ในพิธีศพ เมื่อนำผู้ตายกลับเข้ามาในหมู่บ้าน จะมีการแจกด้ายแดงให้แก่คนที่นำศพกลับมา และคนที่เข้าใกล้ศพ สำหรับผูกไว้ที่คอหรือที่ข้อมือ (หน้า16) หลังจากอาบน้ำศพเสร็จ จะเริ่มมีการสวดบทแรกที่เรียกว่า กรอง (Kreng) พร้อมกับเป่าเค่ง (เครื่องดนตรีอีกอย่างนอกเหนือจากกลองมีลักษณะคล้ายแคน) บทสวดจะพูดถึงการทำความสะอาดร่างกายผู้ตาย ก่อนจะทำพิธีสวดบท โค้วเก้ นำทางผู้ตายสู่สุขคติ (หน้า15) ในพิธีกรรม คนทรงหรือหมอผีผู้ทำพิธีจะตั้งศพโดยวางถ้วยน้ำเต้าที่ทำจากไม้ไผ่ เหล้า 1 ขวด ไม้ไผ่ 2 ชิ้นที่ถูกหลาวให้เป็นทรงเหมือนมีด เพื่อใช้ในการสื่อสารกับวิญญาณในขณะทำพิธีกรรม เพราะจะมีการเสี่ยงทายว่าวิญญาณต้องการรับของถวายหรือไม่ เช่น ถ้าไม้คว่ำหน้าทั้ง 2 อัน เรียกว่า K'eu hou hou หรือถ้าไม้หงายทั้งคู่ เรียกว่า ndzeng hou hou หมายความว่า วิญญาณปฏิเสธของไหว้ แต่ถ้าอันหนึ่งคว่ำอันหนึ่งหงาย เรียกว่า I chang ndzeng หรือ I chang k'en วิญญาณตอบรับของไหว้ (หน้า17) ในพิธีกรรมการสวด จะนำโดยบทสร้อยอยู่บทหนึ่ง ซึ่งคนทรงใช้ท่องก่อนจะเริ่ม บทสวดโค้วเก้ นั้นคือบทที่พูดถึงเรื่องเครื่องดื่มและของไหว้ เพื่อให้ผู้ตายสามารถไปหาวิญญาณบรรพชนได้ เนื้อความในบทสวดมีเนื้อหาคือ กิน กินคนเดียว ดื่ม ดื่มคนเดียว ถ้าเธอไม่อาจกินอีกได้ ก็จำเป็นต้องกินอีก ถ้าเธอไม่อาจดื่มอีกได้ ก็จำเป็นต้องดื่มอีก แล้วเก็บสัมภาระอาหารใส่กระเป๋าและกระติกน้ำเพื่อนำไปให้ผีบรรพบุรุษ ผู้อยู่ใต้ท้องฟ้าอันแผดร้อนบนพื้นดินที่แห้งผาก ใต้ท้องฟ้าที่เผือกเย็นบนพื้นดินที่มืดมัว เพื่อที่พวกเขาจะได้กินได้ดื่ม (หน้า17) ของเซ่นไหว้นอกจากไข่ต้ม ข้าวสวย แล้วยังมีการฆ่าไก่ เอาตับไก่ ในหนังสือบางเล่มอ้างอิงกล่าวว่าใช้หัวใจไก่ที่ผ่านการทำให้สุกแล้ว ไปวางไว้ใกล้ๆขี้เถ้าที่ร้อนๆสักครู่ จากนั้นหมอผีสวดอัญเชิญให้ผู้ตายกินตับไก่ เพราะไก่จะพาผู้ตายไปหาพ่อแม่หรือบรรพชน ระหว่างทางถ้าเจอแดดร้อนให้หลบเข้าใต้ปีกไก่ แต่ถ้าฝนตกก็ให้หลบใต้หางไก่ (หน้า 26-27) ในบทสวดผู้เฒ่าจะสวดเซ่นไหว้สลับกับบทสวดโค้วเก้ ที่พูดถึงนิยายปรัมปราของม้ง มีการทำกระดาษเงินกระดาษทองใช้เผาในพิธีศพ เพื่อให้ผู้ตายนำไปใช้ในการเดินทางไปสู่สุขคติ (หน้า 30) มีการใช้ด้ายแดงพันไว้ที่นิ้วโป้งขวา และสวดว่า ถ้าในการเดินทางสู่สุขคติถูก รั้งตัวไว้ให้ช่วยปอกหัวหอม ให้บอกว่านิ้วเจ็บจะได้เดินทางต่อไปได้ มีการวางรองเท้าผ้าปานไว้ที่เท้าของศพ เพื่อผู้ตายจะไม่โดนหนามตำเวลาเดินทาง (หน้า 35) จากการสวดส่งผู้ตายไปสู่สุขคติ นอกจากเป็นการสวดนำทางแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่คนที่มีชีวิตอยู่ว่าวิญญาณจะไม่กลับมานำวิญญาณคนอื่นๆ ไปด้วย ไม่นำความตายมาสู่ญาติมิตรหรือแม้แต่ผู้สวด (หน้า 39)

Education and Socialization

(ไม่ระบุ)

Health and Medicine

(ไม่ระบุ)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

บ้านเรือนจะตั้งอยู่ที่ทางลาดชันริมเขา สร้างด้วยกระเบื้องไม้ มุงหลังคาด้วยใบหวาย ซึ่งจะไม่ค่อยทนทานนัก โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน (หน้า 14 -15) การจัดการห่อศพของม้ง ศพจะถูกมัดด้วยผ้าป่านสีขาวที่เรียกว่า ชอู นดูอา นดาว (Shaeu ndoua ndao) อาภรณ์ท่อนบนจะปักแต่งอย่างสวยงาม มีการปักเย็บลวดลายเป็นดอกสีขนาดเล็กประมาณหนึ่งนิ้ว สลับสี แดงดำ ขาวแดง เหลืองขาว ฟ้าเหลือง ฯลฯ ที่เท้าผู้ตายถูกห่อด้วยผ้าดิบสีขาว รองเท้าสีฟ้าปักด้วยสีดำ ที่ปลายด้านบนทำเป็นรูปหงอนไก่ เรียกว่า กรู ลู (Kroo Loo) หรือรองเท้าหงอนไก่ ศีรษะผู้ตายวางอยู่บนหมอนเล็กๆ สวมศีรษะด้วยผ้าโพกหัวสีดำและปักลายเป็นแถบตามขวาง เหมือนชุดแต่งกายผู้หญิงม้ง (หน้า15)

Folklore

ผู้เขียนได้พยายามศึกษาระบบโครงสร้างความคิดในสังคมม้ง ซึ่งตกผลึกและสะท้อนออกมาทางนิยายปรัมปราในบทสวดศพโค้วเก้ โดยได้นำมาเปรียบเทียบกับ นิยายในทำนองเดียวกันจากถิ่นอื่นๆที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับในประเทศลาว โดยผู้เขียนได้ตอกย้ำถึงประเพณีของม้ง ที่ผสมผสานกับประเพณีจีน ไทย และธิเบต-พม่า แล้วทำให้เกิดการสร้างจิตลักษณ์ร่วมกัน ที่สำคัญเพื่อให้ความกระจ่างในเรื่องเกี่ยวกับเทพนิยายจีนโบราณที่แพร่กระจายออกไป (หน้า 43) ผู้เขียนได้แยกประเด็นเนื้อหาออกมาถึง 9 ประเด็น ที่กล่าวถึงในบทสวดศพ โค้วเก้ของ นัทซง เนง (Nts'ong Neng) คนทรงม้งประจำหมู่บ้าน คือ 1. การสร้างโลก ผู้เขียนได้ยกประเด็นนิยายปรัมปราเรื่อง การสร้างโลกที่มาจากบทสวดศพของ นัทซง เนง โดยนำมาเปรียบเทียบกับของเทพนิยายจีน ซึ่งแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด เช่น การโคจรของดวงอาทิตย์ การพูดถึงท้องฟ้ากับพื้นโลก จำนวนพระจันทน์ (หน้า45-46) การกำหนดเพศของพระอาทิตย์และพระจันทร์ การจับคู่ โดยผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่า ในความคิดของม้งจะกำหนดทุกสิ่งมีชีวิตเป็นคู่ โดยเฉพาะมนุษยชาติ แม้แต่การเป็นเพศหญิงของพระจันทร์ที่ถูกกำหนดโดยพระอาทิตย์ (หน้า 48) 2. การสร้างมนุษยชาติ และน้ำมหาวินาศที่ท่วมโลก จากบทสวดศพของ นัทซง เนง (Nts'ong Neng) พูดถึงน้ำท่วมไว้เล็กน้อยเท่านั้น ผู้เขียนได้นำมาเป็นฐานในการเล่าเรื่องการสร้างมนุษย์ชาติไว้ 3 เรื่อง ที่เกี่ยวพันถึงมนุษย์ และการลงโทษจากเทพเจ้าชื่อ โช้ว (Sho) ให้เกิดน้ำท่วมโลก (หน้า 49-50) โดยได้มีการนำมาเปรียบเทียบกับนิยายปรัมปราของเย้าซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีความใกล้เคียงกับม้ง (หน้า 67) และม้งที่อาศัยในมณฑลเสฉวนหรือยูนนานของประเทศจีน (หน้า 75) โดยให้น้ำหนักในเรื่องการสร้างครอบครัว การสืบตระกูลที่ไม่ควรทำในกลุ่มญาติหรือเชื้อสายเดียวกัน ที่เป็นต้นเหตุโดยตรงของการลงโทษให้เกิดน้ำท่วม (หน้า 76-77) 3. การเริ่มต้นชีวิตมนุษย์ และที่มาของความตาย ผู้เขียนได้อธิบายนิทานปรัมปราเรื่องความตายจากบทสวดของ นัทซง เนง ที่พูดถึงการผลิตลูกหลาน การตั้งชื่อลูกเพราะจะทำให้เติบโตขึ้นได้และที่สำคัญ คำสาปแช่งของคางคกที่ถูกลูกชาย 2 คนของมนุษย์คู่แรกฆ่าตาย ในเรื่องโลกของมนุษย์แยกจากโลกของวิญญาณ เรื่องการพื้นคืนชีพของคนตายถ้าวิญญาณสามารถกลับมาได้ทันภายใน 13 วัน ตลอดถึงการบูชายันต์สัตว์ให้คนตายด้วย (หน้า 85-86) 4. โช้ว (Sho) ผู้เขียนได้อธิบายความเชื่อเรื่องเทพเจ้าที่ชื่อว่า โช้ว ที่สอดคล้องกับเทพเจ้าในบริบทของวัฒนธรรมจีน โช้วเป็นเทพเจ้าที่มีความฉลาดและเป็นอมตะ สามารถที่จะแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง เป็นผู้สร้างความรู้แท้จริงของธรรมชาติและของมนุษยชาติ แต่ในบทสวดศพของ นัทซง เนง ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงโช้ว เพียงบทบาทของการแนะนำในเรื่องการกำหนดเพศ ในบริบทของม้งคือสร้างเมล็ดพันธุ์มนุษยชาติ (หน้า 90) 5. นซู โนย้ง (Ndzeu Nyong) ผู้เขียนได้อธิบายว่า นซูโนย้ง เป็นเทพอาศัยอยู่เฉพาะบนท้องฟ้า เมื่อวิญญาณผู้ตายเดินไปตามทางที่จะไปพบบรรพชน วิญญาณนั้นๆ ต้องไปพบ นซูโนย้ง ผู้พิทักษ์ประตูสวรรค์ และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ตัดสินความถูกผิดของวิญญาณผู้ตายว่าจะได้กลับไปเกิดใหม่หรือไม่ หรือต้องตกนรกเพื่อชดใช้กรรมที่ทำมา ผู้เขียนยังชี้ให้เห็นว่า ด้านการส่งผ่านวัฒนธรรม ความเชื่อ ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธของคนจีน (หน้า 91-92) จากหน้าที่กำหนดความตายของ นซูโนย้ง ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีการตายเพราะถือเป็นการชะล้างชีวิต เป็นเหมือนความจริงของชีวิต เพราะถ้าไม่มีความตาย มนุษย์ชาติและธรรมชาติก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปหรือสร้างขึ้นมาใหม่ (หน้า 94) 6. การเริ่มต้นออกเดินทางของวิญญาณ ผู้เขียนได้อธิบายความหมายของบทสวดศพ โค้วเก้ ตามความคิดของม้งว่า คนเราลงมาจากสวรรค์ (ท้องฟ้า) มาใช้ชีวิตบนโลก เมื่อตายลงจึงจำเป็นต้องแนะนำวิญญาณให้ค้นพบเส้นทางเพื่อจะได้กลับขึ้นไปบนสวรรค์ ตลอดเส้นทางของคนตายมีเทพยดาต่างๆคอยชี้เส้นทางการกลับขึ้นสวรรค์ จึงจำเป็นที่ผู้นำสวดต้องคอยบอกกลวิธีการเดินทาง ทิศทาง การขอบคุณหรือการพูดคุยกับเทพยดา (หน้า 95) ในส่วนที่สำคัญอีกอย่างคือ เรื่องการออกเดินทางซึ่งผู้ตายที่กลายเป็นวิญญาณต้องไปตอบแทนบุญคุณแก่เทพยดาต่างๆที่เคยทำไว้ในชีวิต ซึ่งผู้เขียนอธิบายว่าความเชื่อในเรื่องโลกหน้ายังคงนำมาใช้ในโลกจริงได้ คล้ายกับการไหว้ผีสางนางไม้ของคนจีนอาจจะเป็นความเคยชินที่ม้งนำติดตัวมาจากประเทศจีน ตอนถูกขับไล่ลงมาทางตอนใต้ (หน้า 97) 7. การเดินทาง ในเรื่องการเดินทางของวิญญาณผู้ตาย (âme) ผู้เขียนได้อธิบายว่า เมื่อคนเราตายลงจะเหลือ 3 วิญญาณ (หนังสือภาษาไทยจะใช้คำว่า ขวัญ) วิญญาณหนึ่ง (Seu) จะอยู่ที่ฝังศพ วิญญาณที่สอง (Tchao Pli) จะล่องลอยไปในธรรมชาติเหมือนกับผีสางที่ปรากฏให้คนเห็น ส่วนวิญญาณที่สาม (Plig) จะเดินทางไปภพหน้าและกลับชาติมาเกิดใหม่ (หน้า98) ในการเดินทางไปภพหน้า วิญญาณจะเจออุปสรรคต่างๆ ตามเส้นทาง โดยผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อของม้งที่สื่อออกมาทางสัญญะทางศาสนา เช่น สัตว์ในเทพนิยาย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นส่วนใหญ่ (หน้า102) 8. บรรพชน (Les Ancêtres) ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าบรรพชนที่เป็นจุดหมายของการเดินทางของวิญญาณ จริงแล้วคือคนในครอบครัวผู้ตายหรือลูกหลาน ซึ่งวิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่นั่นเอง อย่างประเพณีความเชื่อที่พ่อแม่ให้ลูกๆ ดื่มน้ำจากแท่นบูชาก็เพื่อจะได้กลับมาเกิดในลูกๆของตนเองแทนที่จะเป็นคนอื่น เป็นการเวียนว่ายตายเกิดจากรุ่นสู่รุ่นในกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (หน้า105) 9. การบูชาบรรพชนและการกลับชาติมาเกิดใหม่ ผู้เขียนพูดถึงม้งที่เชื่อการกลับชาติมาเกิดใหม่ จะมีขึ้นไม่นานหรือเกือบจะพร้อมๆกับการตาย ทำให้มีการตั้งชื่อลูกหลานจะตั้งให้เหมือนชื่อปู่ย่าที่ตายไปแล้ว (หน้า106) จะใช้บทสวดโคว้เก้นำทางวิญญาณให้ถึงจุดหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณพลัดหลงไปเกิดในหมู่บ้านอื่นหรือแม้แต่ในสัตว์ (หน้า109) อีกเรื่องที่น่าสนใจ ผู้เขียนอธิบายถึงความตายของเด็กแรกเกิด เช่นการแท้งลูก ทำให้มีการเรียกหมอผีประจำหมู่บ้านมาทำพิธี โดยการสังเวยสัตว์ แล้วแต้มจุดแดงที่หน้าผากและเขม่าดำที่ขาเด็ก นอกจากนี้การสังเวยยังทำเพื่อไถ่หนี้หรือบาปให้แก่ผู้ตายด้วย (หน้า 110)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ระบุ

Social Cultural and Identity Change

ไม่ระบุ

Other Issues

ผู้เขียนได้ใส่บทสวดโคว้เก้ เป็นภาษาฝรั่งเศส ออกเสียงตามภาษาม้ง (หน้า 119-139)

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ให้แผนที่ทางภูมิศาสตร์ของที่อยู่อาศัยของชาติพันธุ์ม้งในเอเชีย (หน้า 12) มีการใช้รูปภาพประกอบ 2 รูป เพื่ออธิบายการโคจรของพระอาทิตย์ตามความเชื่อในนิทานม้ง (หน้า 45) และใช้ภาพภูมิศาสตร์แสดงให้เห็นถึงเส้นแนวความสอดคล้องกันของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเอเชีย ตามทฤษฎีจากผลงานเรื่อง "โครงสร้างเบื้องต้นของเครือญาติ" ของนักมานุษยวิทยา โคล้ด เลวี่-สเตร๊าส์ (หน้า 77)

Text Analyst อนุศิษฐ พิบูลศิริ Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ม้ง, บทสวดศพ, ความตาย, วัฒนธรรม, ความเชื่อ, อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, ลาว, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง