|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,บทสวดศพ,ความตาย,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์,ลาว |
Author |
Jacques Lemoine |
Title |
L'initiation du Mort chez les Hmong |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาฝรั่งเศส |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
141 |
Year |
2526 |
Source |
Lemoine, Jacques. L'Initiation du mort chez les Hmong. Bangkok : Pandora |
Abstract |
ผู้เขียนได้ใช้แนวคิด โครงสร้างนิยม ศึกษาองค์ประกอบทางสังคมของชาติพันธุ์ม้งผ่านทางเนื้อหาที่สะท้อนออกมาจากบทสวดศพ เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลบอกคณค่าในอารยะธรรมม้ง (หน้า 5) โดยผู้เขียนได้ใช้บทสวดศพ โคว้เก้ ของม้งกลุ่มหนึ่งที่อาศัยในประเทศลาวเป็นจุดศึกษา และนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับวัฒนธรรมความเชื่อที่มีอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะวัฒนธรรมจีน (หน้า 43) บทสวดโคว้เก้หมายถึงการชี้นำเส้นทาง จะพูดถึงเนื้อหานิทานปรัมปราในเรื่องการสร้างโลก การกำเนิดของชาติพันธุ์มนุษย์ ความตาย และสุดท้ายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนตาย (หน้า 14) โดยผู้เขียนวิเคราะห์ว่า ความคิดหลักเรื่องการชี้นำคนตายเป็นเสมือนการเดินทางของวิญญาณหรือขวัญเพื่อไปเกิดใหม่ สำหรับม้ง จุดหมายปลายทางของการกลับมาเกิดใหม่จะเป็นการไปพบบรรพชนในสายตระกูลของตน เพื่อป้องกันวิญญาณไม่ให้พลัดหลงไปเกิดในชาติพันธุ์อื่นหรือสิ่งมีชืวิตอื่น ทำให้ต้องสวดชี้นำเส้นทาง (หน้า 109) ผู้เขียนได้เสริมว่าความเชื่อทางมายาคติเกี่ยวพันกับโลกจริง อัตราการตายโดยเฉพาะในเด็กม้งมีสูง บรรพชนก็เหมือนกับผู้สืบทอด การกลับชาติมาเกิดจะมีขึ้นในเวลาใกล้ๆ กันระหว่างความตายและการเกิดใหม่ การตั้งชื่อผู้เกิดใหม่ให้เหมือนกับชื่อของผู้ตาย มีการสวดนำวิญญาณผู้ตายไปเกิดทันทีแทนที่จะอัญเชิญไปสถิตอยู่แท่นบูชาบรรพบุรุษ อย่างน้อยก็มีความเชื่อว่าเป็นการรับประกันเผ่าพันธุ์จะคงอยู่ต่อไป (หน้า 109-111) |
|
Focus |
ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงความคิดของม้ง เรื่องความตายว่าเป็นเหมือนการเดินทางกลับ ไปหาบรรพชนที่มาของมนุษย์ และสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ในกลุ่มญาติของผู้ตายเอง (หน้า 6,7) ผู้เขียนได้วิเคราะห์ความเชื่อของชาติพันธุ์ม้งที่ส่งผ่านทางบทสวดสำหรับคนตาย โคว้เก้ (Kr'oua Ké) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวนิยายปรัมปราเรื่องการสร้างโลก การสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ น้ำมหาวินาศที่ท่วมโลก และสุดท้ายเป็นการชี้นำเส้นทางแก่คนตายหรือวิญญาณ ไปสู่สรวงสวรรค์ (หน้า 7) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (Hmong) เน้นกลุ่มม้งเขียว (Hmong Vert) หรือ ม้งนจั๊วะ (Hmong Ndjoua) ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (หน้า13-14) ในภาษาจีนเรียกว่า "เหมียว" (Miao) แต่กลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักเรียกว่า "แม้ว" (Meo) นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกม้งอีก 2 ชื่อ คือ พวกมู (Hmou) เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงของมณฑลเกียวเจา และทางตะวันตกของมณฑล ฮูนาน คือ ม้งโคเชียง (KhoHsiong) (หน้า 11) ม้งตั้งถิ่นฐานปกคลุมดินแดนกว้างในเอเชียช่วงเส้นระแวงที่ 16 ถึง 33 (หน้า 13) โดยผู้เขียนชี้ว่า ประเพณีม้งมาจากการผสมผสานประเพณีจีน ไทย และธิเบต-พม่า และในขณะเดียวกันก็นำมาสร้างลักษณะพิเศษเฉพาะที่มีส่วนขยายมาจากเทพนิยายโบราณของจีน (หน้า 43) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในประเทศจีน มีภาษาใช้ในการสื่อสารกันไม่ต่ำกว่า 7 ภาษา แต่ในบริบทของการศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนค้นพบ 2 ภาษา ที่ใช้แตกต่างกันในกลุ่มประเทศลาวและประเทศไทย (หน้า 13) และมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับภาษาม้งใน เสฉวนของจีน จากงานศึกษาวิจัยที่ผ่านมาชาติพันธุ์ม้งไม่มีภาษาเขียน การส่งผ่านวัฒนธรรม จะทำได้โดยการใช้ภาษาพูดเท่านั้น (หน้า 13) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงปี พ.ศ. 2508 |
|
History of the Group and Community |
บรรพบุรุษของม้งเคยอาศัยในพื้นที่ราบลุ่ม ตามริมฝั่งแม่น้ำเหลือง (Le Fleuve Jaune) จากการถูกรุกรานจากคนจีน ทำให้ชาวม้งค่อยๆ อพยพจากด้านตะวันออกลงมาอยู่อาศัยตามแนวเขาทางตอนกลางและทางใต้ของจีน นอกจากนี้ก็มี ม้งอีกจำนวนหนึ่งอพยพลงมาที่คาบสมุทรอินโดจีน (หน้า 11) |
|
Settlement Pattern |
ม้งในคาบสมุทรอินโดจีน (ประเทศลาว ไทย และเวียตนาม) ล้วนอพยพมาจากประเทศจีน ตั้งแต่ปลายคริสตวรรษที่ผ่านมา หรือก่อนปี ค.ศ. 1900 (หน้า 11) โดยตั้งถิ่นฐานทางเขตภูเขาทางภาคเหนือของประเทศ (หน้า 12 แผนที่) |
|
Demography |
จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2503 มีม้งโดยประมาณทั้งสิ้น 1,700,000 คน อาศัยอยู่ในประเทศจีน 1,129,000 คน และในเวียดนามเหนือ 219,514 คน สำหรับในลาวไม่มีข้อมูลระบุ (หน้า 13) |
|
Belief System |
เรื่องความตายสำหรับม้งนับเป็นเรื่องใหญ่ ผู้เขียนให้ความสนใจอย่างมากที่จะศึกษาความคิด ความเชื่อ ที่ปรากฏในบทสวดงานศพสำหรับผู้ตาย ซึ่งเรียกว่า โค้วเก้ (Kr'oua Ké) ที่หมายถึงการชี้นำและบอกเส้นทาง โค้ว ในบริบทนี้มาจาก ครา(Kr'a) ที่แปลว่า ฝึกหัด สอน (หน้า14) โค้วเก้ เป็นบทสวดที่จะสามารถชี้นำทางคนตายหรือวิญญาณเฉพาะในงานศพเท่านั้น ในช่วงเวลาปกติการสวดโค้วเก้จะไม่ได้ผล ม้งจะถือว่าเป็นลางร้ายถ้าผู้ใดจะร้องสวดเมื่อไม่มีคนตาย การที่ม้งไม่มีภาษาเขียน ผู้นำสวดที่สืบทอดต่อๆ มา ต้องพยายามจดจำบทสวดให้ได้เร็วที่สุด เพราะว่าในช่วงเวลาสวดศพโดยปกติ ม้งจะปล่อยให้ผู้สวดอยู่ตามลำพังกับคนตาย และผู้สวดจะสวดเสียงเบาๆ เพื่อให้ผู้ตายได้ยินเท่านั้น (หน้า13 -14) โดยเนื้อหาในบทสวดโค้วเก้ แต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันบ้างในข้อมูลและรายละเอียด ผู้เขียนได้เลือกใช้ของคนทรง ชื่อ นัทซง เนง (Nts'ong Neng) เพราะชื่นชอบในน้ำเสียงการสวด และเมื่อเริ่มศึกษาก็พบว่ามีความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องที่ข้อมูลบางส่วนไม่ปรากฏในบทสวดของคนทรงอื่น (หน้า 6, 13, 113-114) ประเด็นของบทสวดได้พูดถึงที่มาของโลก (การสร้างโลก การสร้างมนุษย์คนแรก) ที่มาของเชื้อสายมนุษย์ ที่มาของความตาย จะจบโดยการพูดถึงเส้นทางของวิญญาณที่ไปสู่สุขคติหรือการกลับชาติมาเกิดใหม่ (หน้า 14) ในพิธีศพ เมื่อนำผู้ตายกลับเข้ามาในหมู่บ้าน จะมีการแจกด้ายแดงให้แก่คนที่นำศพกลับมา และคนที่เข้าใกล้ศพ สำหรับผูกไว้ที่คอหรือที่ข้อมือ (หน้า16) หลังจากอาบน้ำศพเสร็จ จะเริ่มมีการสวดบทแรกที่เรียกว่า กรอง (Kreng) พร้อมกับเป่าเค่ง (เครื่องดนตรีอีกอย่างนอกเหนือจากกลองมีลักษณะคล้ายแคน) บทสวดจะพูดถึงการทำความสะอาดร่างกายผู้ตาย ก่อนจะทำพิธีสวดบท โค้วเก้ นำทางผู้ตายสู่สุขคติ (หน้า15) ในพิธีกรรม คนทรงหรือหมอผีผู้ทำพิธีจะตั้งศพโดยวางถ้วยน้ำเต้าที่ทำจากไม้ไผ่ เหล้า 1 ขวด ไม้ไผ่ 2 ชิ้นที่ถูกหลาวให้เป็นทรงเหมือนมีด เพื่อใช้ในการสื่อสารกับวิญญาณในขณะทำพิธีกรรม เพราะจะมีการเสี่ยงทายว่าวิญญาณต้องการรับของถวายหรือไม่ เช่น ถ้าไม้คว่ำหน้าทั้ง 2 อัน เรียกว่า K'eu hou hou หรือถ้าไม้หงายทั้งคู่ เรียกว่า ndzeng hou hou หมายความว่า วิญญาณปฏิเสธของไหว้ แต่ถ้าอันหนึ่งคว่ำอันหนึ่งหงาย เรียกว่า I chang ndzeng หรือ I chang k'en วิญญาณตอบรับของไหว้ (หน้า17) ในพิธีกรรมการสวด จะนำโดยบทสร้อยอยู่บทหนึ่ง ซึ่งคนทรงใช้ท่องก่อนจะเริ่ม บทสวดโค้วเก้ นั้นคือบทที่พูดถึงเรื่องเครื่องดื่มและของไหว้ เพื่อให้ผู้ตายสามารถไปหาวิญญาณบรรพชนได้ เนื้อความในบทสวดมีเนื้อหาคือ กิน กินคนเดียว ดื่ม ดื่มคนเดียว ถ้าเธอไม่อาจกินอีกได้ ก็จำเป็นต้องกินอีก ถ้าเธอไม่อาจดื่มอีกได้ ก็จำเป็นต้องดื่มอีก แล้วเก็บสัมภาระอาหารใส่กระเป๋าและกระติกน้ำเพื่อนำไปให้ผีบรรพบุรุษ ผู้อยู่ใต้ท้องฟ้าอันแผดร้อนบนพื้นดินที่แห้งผาก ใต้ท้องฟ้าที่เผือกเย็นบนพื้นดินที่มืดมัว เพื่อที่พวกเขาจะได้กินได้ดื่ม (หน้า17) ของเซ่นไหว้นอกจากไข่ต้ม ข้าวสวย แล้วยังมีการฆ่าไก่ เอาตับไก่ ในหนังสือบางเล่มอ้างอิงกล่าวว่าใช้หัวใจไก่ที่ผ่านการทำให้สุกแล้ว ไปวางไว้ใกล้ๆขี้เถ้าที่ร้อนๆสักครู่ จากนั้นหมอผีสวดอัญเชิญให้ผู้ตายกินตับไก่ เพราะไก่จะพาผู้ตายไปหาพ่อแม่หรือบรรพชน ระหว่างทางถ้าเจอแดดร้อนให้หลบเข้าใต้ปีกไก่ แต่ถ้าฝนตกก็ให้หลบใต้หางไก่ (หน้า 26-27) ในบทสวดผู้เฒ่าจะสวดเซ่นไหว้สลับกับบทสวดโค้วเก้ ที่พูดถึงนิยายปรัมปราของม้ง มีการทำกระดาษเงินกระดาษทองใช้เผาในพิธีศพ เพื่อให้ผู้ตายนำไปใช้ในการเดินทางไปสู่สุขคติ (หน้า 30) มีการใช้ด้ายแดงพันไว้ที่นิ้วโป้งขวา และสวดว่า ถ้าในการเดินทางสู่สุขคติถูก รั้งตัวไว้ให้ช่วยปอกหัวหอม ให้บอกว่านิ้วเจ็บจะได้เดินทางต่อไปได้ มีการวางรองเท้าผ้าปานไว้ที่เท้าของศพ เพื่อผู้ตายจะไม่โดนหนามตำเวลาเดินทาง (หน้า 35) จากการสวดส่งผู้ตายไปสู่สุขคติ นอกจากเป็นการสวดนำทางแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่คนที่มีชีวิตอยู่ว่าวิญญาณจะไม่กลับมานำวิญญาณคนอื่นๆ ไปด้วย ไม่นำความตายมาสู่ญาติมิตรหรือแม้แต่ผู้สวด (หน้า 39) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
บ้านเรือนจะตั้งอยู่ที่ทางลาดชันริมเขา สร้างด้วยกระเบื้องไม้ มุงหลังคาด้วยใบหวาย ซึ่งจะไม่ค่อยทนทานนัก โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน (หน้า 14 -15) การจัดการห่อศพของม้ง ศพจะถูกมัดด้วยผ้าป่านสีขาวที่เรียกว่า ชอู นดูอา นดาว (Shaeu ndoua ndao) อาภรณ์ท่อนบนจะปักแต่งอย่างสวยงาม มีการปักเย็บลวดลายเป็นดอกสีขนาดเล็กประมาณหนึ่งนิ้ว สลับสี แดงดำ ขาวแดง เหลืองขาว ฟ้าเหลือง ฯลฯ ที่เท้าผู้ตายถูกห่อด้วยผ้าดิบสีขาว รองเท้าสีฟ้าปักด้วยสีดำ ที่ปลายด้านบนทำเป็นรูปหงอนไก่ เรียกว่า กรู ลู (Kroo Loo) หรือรองเท้าหงอนไก่ ศีรษะผู้ตายวางอยู่บนหมอนเล็กๆ สวมศีรษะด้วยผ้าโพกหัวสีดำและปักลายเป็นแถบตามขวาง เหมือนชุดแต่งกายผู้หญิงม้ง (หน้า15) |
|
Folklore |
ผู้เขียนได้พยายามศึกษาระบบโครงสร้างความคิดในสังคมม้ง ซึ่งตกผลึกและสะท้อนออกมาทางนิยายปรัมปราในบทสวดศพโค้วเก้ โดยได้นำมาเปรียบเทียบกับ นิยายในทำนองเดียวกันจากถิ่นอื่นๆที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับในประเทศลาว โดยผู้เขียนได้ตอกย้ำถึงประเพณีของม้ง ที่ผสมผสานกับประเพณีจีน ไทย และธิเบต-พม่า แล้วทำให้เกิดการสร้างจิตลักษณ์ร่วมกัน ที่สำคัญเพื่อให้ความกระจ่างในเรื่องเกี่ยวกับเทพนิยายจีนโบราณที่แพร่กระจายออกไป (หน้า 43) ผู้เขียนได้แยกประเด็นเนื้อหาออกมาถึง 9 ประเด็น ที่กล่าวถึงในบทสวดศพ โค้วเก้ของ นัทซง เนง (Nts'ong Neng) คนทรงม้งประจำหมู่บ้าน คือ 1. การสร้างโลก ผู้เขียนได้ยกประเด็นนิยายปรัมปราเรื่อง การสร้างโลกที่มาจากบทสวดศพของ นัทซง เนง โดยนำมาเปรียบเทียบกับของเทพนิยายจีน ซึ่งแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด เช่น การโคจรของดวงอาทิตย์ การพูดถึงท้องฟ้ากับพื้นโลก จำนวนพระจันทน์ (หน้า45-46) การกำหนดเพศของพระอาทิตย์และพระจันทร์ การจับคู่ โดยผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่า ในความคิดของม้งจะกำหนดทุกสิ่งมีชีวิตเป็นคู่ โดยเฉพาะมนุษยชาติ แม้แต่การเป็นเพศหญิงของพระจันทร์ที่ถูกกำหนดโดยพระอาทิตย์ (หน้า 48) 2. การสร้างมนุษยชาติ และน้ำมหาวินาศที่ท่วมโลก จากบทสวดศพของ นัทซง เนง (Nts'ong Neng) พูดถึงน้ำท่วมไว้เล็กน้อยเท่านั้น ผู้เขียนได้นำมาเป็นฐานในการเล่าเรื่องการสร้างมนุษย์ชาติไว้ 3 เรื่อง ที่เกี่ยวพันถึงมนุษย์ และการลงโทษจากเทพเจ้าชื่อ โช้ว (Sho) ให้เกิดน้ำท่วมโลก (หน้า 49-50) โดยได้มีการนำมาเปรียบเทียบกับนิยายปรัมปราของเย้าซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีความใกล้เคียงกับม้ง (หน้า 67) และม้งที่อาศัยในมณฑลเสฉวนหรือยูนนานของประเทศจีน (หน้า 75) โดยให้น้ำหนักในเรื่องการสร้างครอบครัว การสืบตระกูลที่ไม่ควรทำในกลุ่มญาติหรือเชื้อสายเดียวกัน ที่เป็นต้นเหตุโดยตรงของการลงโทษให้เกิดน้ำท่วม (หน้า 76-77) 3. การเริ่มต้นชีวิตมนุษย์ และที่มาของความตาย ผู้เขียนได้อธิบายนิทานปรัมปราเรื่องความตายจากบทสวดของ นัทซง เนง ที่พูดถึงการผลิตลูกหลาน การตั้งชื่อลูกเพราะจะทำให้เติบโตขึ้นได้และที่สำคัญ คำสาปแช่งของคางคกที่ถูกลูกชาย 2 คนของมนุษย์คู่แรกฆ่าตาย ในเรื่องโลกของมนุษย์แยกจากโลกของวิญญาณ เรื่องการพื้นคืนชีพของคนตายถ้าวิญญาณสามารถกลับมาได้ทันภายใน 13 วัน ตลอดถึงการบูชายันต์สัตว์ให้คนตายด้วย (หน้า 85-86) 4. โช้ว (Sho) ผู้เขียนได้อธิบายความเชื่อเรื่องเทพเจ้าที่ชื่อว่า โช้ว ที่สอดคล้องกับเทพเจ้าในบริบทของวัฒนธรรมจีน โช้วเป็นเทพเจ้าที่มีความฉลาดและเป็นอมตะ สามารถที่จะแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง เป็นผู้สร้างความรู้แท้จริงของธรรมชาติและของมนุษยชาติ แต่ในบทสวดศพของ นัทซง เนง ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงโช้ว เพียงบทบาทของการแนะนำในเรื่องการกำหนดเพศ ในบริบทของม้งคือสร้างเมล็ดพันธุ์มนุษยชาติ (หน้า 90) 5. นซู โนย้ง (Ndzeu Nyong) ผู้เขียนได้อธิบายว่า นซูโนย้ง เป็นเทพอาศัยอยู่เฉพาะบนท้องฟ้า เมื่อวิญญาณผู้ตายเดินไปตามทางที่จะไปพบบรรพชน วิญญาณนั้นๆ ต้องไปพบ นซูโนย้ง ผู้พิทักษ์ประตูสวรรค์ และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ตัดสินความถูกผิดของวิญญาณผู้ตายว่าจะได้กลับไปเกิดใหม่หรือไม่ หรือต้องตกนรกเพื่อชดใช้กรรมที่ทำมา ผู้เขียนยังชี้ให้เห็นว่า ด้านการส่งผ่านวัฒนธรรม ความเชื่อ ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธของคนจีน (หน้า 91-92) จากหน้าที่กำหนดความตายของ นซูโนย้ง ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีการตายเพราะถือเป็นการชะล้างชีวิต เป็นเหมือนความจริงของชีวิต เพราะถ้าไม่มีความตาย มนุษย์ชาติและธรรมชาติก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปหรือสร้างขึ้นมาใหม่ (หน้า 94) 6. การเริ่มต้นออกเดินทางของวิญญาณ ผู้เขียนได้อธิบายความหมายของบทสวดศพ โค้วเก้ ตามความคิดของม้งว่า คนเราลงมาจากสวรรค์ (ท้องฟ้า) มาใช้ชีวิตบนโลก เมื่อตายลงจึงจำเป็นต้องแนะนำวิญญาณให้ค้นพบเส้นทางเพื่อจะได้กลับขึ้นไปบนสวรรค์ ตลอดเส้นทางของคนตายมีเทพยดาต่างๆคอยชี้เส้นทางการกลับขึ้นสวรรค์ จึงจำเป็นที่ผู้นำสวดต้องคอยบอกกลวิธีการเดินทาง ทิศทาง การขอบคุณหรือการพูดคุยกับเทพยดา (หน้า 95) ในส่วนที่สำคัญอีกอย่างคือ เรื่องการออกเดินทางซึ่งผู้ตายที่กลายเป็นวิญญาณต้องไปตอบแทนบุญคุณแก่เทพยดาต่างๆที่เคยทำไว้ในชีวิต ซึ่งผู้เขียนอธิบายว่าความเชื่อในเรื่องโลกหน้ายังคงนำมาใช้ในโลกจริงได้ คล้ายกับการไหว้ผีสางนางไม้ของคนจีนอาจจะเป็นความเคยชินที่ม้งนำติดตัวมาจากประเทศจีน ตอนถูกขับไล่ลงมาทางตอนใต้ (หน้า 97) 7. การเดินทาง ในเรื่องการเดินทางของวิญญาณผู้ตาย (âme) ผู้เขียนได้อธิบายว่า เมื่อคนเราตายลงจะเหลือ 3 วิญญาณ (หนังสือภาษาไทยจะใช้คำว่า ขวัญ) วิญญาณหนึ่ง (Seu) จะอยู่ที่ฝังศพ วิญญาณที่สอง (Tchao Pli) จะล่องลอยไปในธรรมชาติเหมือนกับผีสางที่ปรากฏให้คนเห็น ส่วนวิญญาณที่สาม (Plig) จะเดินทางไปภพหน้าและกลับชาติมาเกิดใหม่ (หน้า98) ในการเดินทางไปภพหน้า วิญญาณจะเจออุปสรรคต่างๆ ตามเส้นทาง โดยผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อของม้งที่สื่อออกมาทางสัญญะทางศาสนา เช่น สัตว์ในเทพนิยาย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นส่วนใหญ่ (หน้า102) 8. บรรพชน (Les Ancêtres) ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าบรรพชนที่เป็นจุดหมายของการเดินทางของวิญญาณ จริงแล้วคือคนในครอบครัวผู้ตายหรือลูกหลาน ซึ่งวิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่นั่นเอง อย่างประเพณีความเชื่อที่พ่อแม่ให้ลูกๆ ดื่มน้ำจากแท่นบูชาก็เพื่อจะได้กลับมาเกิดในลูกๆของตนเองแทนที่จะเป็นคนอื่น เป็นการเวียนว่ายตายเกิดจากรุ่นสู่รุ่นในกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (หน้า105) 9. การบูชาบรรพชนและการกลับชาติมาเกิดใหม่ ผู้เขียนพูดถึงม้งที่เชื่อการกลับชาติมาเกิดใหม่ จะมีขึ้นไม่นานหรือเกือบจะพร้อมๆกับการตาย ทำให้มีการตั้งชื่อลูกหลานจะตั้งให้เหมือนชื่อปู่ย่าที่ตายไปแล้ว (หน้า106) จะใช้บทสวดโคว้เก้นำทางวิญญาณให้ถึงจุดหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณพลัดหลงไปเกิดในหมู่บ้านอื่นหรือแม้แต่ในสัตว์ (หน้า109) อีกเรื่องที่น่าสนใจ ผู้เขียนอธิบายถึงความตายของเด็กแรกเกิด เช่นการแท้งลูก ทำให้มีการเรียกหมอผีประจำหมู่บ้านมาทำพิธี โดยการสังเวยสัตว์ แล้วแต้มจุดแดงที่หน้าผากและเขม่าดำที่ขาเด็ก นอกจากนี้การสังเวยยังทำเพื่อไถ่หนี้หรือบาปให้แก่ผู้ตายด้วย (หน้า 110) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ผู้เขียนได้ใส่บทสวดโคว้เก้ เป็นภาษาฝรั่งเศส ออกเสียงตามภาษาม้ง (หน้า 119-139) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ให้แผนที่ทางภูมิศาสตร์ของที่อยู่อาศัยของชาติพันธุ์ม้งในเอเชีย (หน้า 12) มีการใช้รูปภาพประกอบ 2 รูป เพื่ออธิบายการโคจรของพระอาทิตย์ตามความเชื่อในนิทานม้ง (หน้า 45) และใช้ภาพภูมิศาสตร์แสดงให้เห็นถึงเส้นแนวความสอดคล้องกันของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเอเชีย ตามทฤษฎีจากผลงานเรื่อง "โครงสร้างเบื้องต้นของเครือญาติ" ของนักมานุษยวิทยา โคล้ด เลวี่-สเตร๊าส์ (หน้า 77) |
|
|