|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาซาง,เด้ออัง,การติดต่อทางวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,ยูนนาน,จีน |
Author |
Yaun Yan |
Title |
A Study on Culture Contact and Cultural Change: Atsang and De'ang Nationalities as Cases |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
17 |
Year |
2546 |
Source |
ayashi Yukio and Thongsa Sayavongkhamdy (editors). Cultural Diversity and Conservation in the Making of Mainland Southeast Asia and Southwestern China Regional Dynamics in the Past and Present, pp.322-335. Kyoto: Center of Southeast Asian Studies, Kyoto University. |
Abstract |
บทความนี้ได้อธิบายถึงการติดต่อและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในแคว้นยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในยูนนานมีพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงที่อยู่บนฐานของการติดต่อทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยศึกษาจากกรณีของชาวอาซางและชาวเด้ออังในบริเวณเต้อหง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนาน ทั้งชาวอาซางซึ่งใช้ภาษาอยู่ในกลุ่มภาษาทิเบต-พม่าในตระกูลภาษาจีน-ทิเบตและชาวเด้ออังซึ่งมีภาษาอยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมรในตระกูลออสโตร-เอเชียติค ต่างมีลักษณะที่เก็บรักษาวัฒนธรรมของกลุ่มตนเองควบคู่ไปกับการรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมไทซึ่งเป็นวัฒนธรรมจากภายนอกโดยอิทธิพลของวัฒนธรรมจากภายนอก/วัฒนธรรมไทได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชาวอาซางและชาว |
|
Focus |
การติดต่อและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ซึ่งบทความนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าชาวอาซางและชาวเด้ออังได้ยอมรับวัฒนธรรมจากภายนอกทำให้พวกเขามีพัฒนาการและความเข้มแข็งอย่างรวดเร็ว (หน้า 331) |
|
Ethnic Group in the Focus |
บทความนี้เน้นศึกษาวัฒนธรรมอาซาง (Atsang) และเด้ออัง (De'ang) ในลักษณะที่สัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ไท (Dai) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ทั้งกลุ่มชาติพันธุ์อาซางและกลุ่มชาติพันธุ์เด้ออังต่างมีภาษา(พูด) ของตนเอง คือภาษาอาซางอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต ส่วนภาษาเด้ออังอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร แต่ไม่มีภาษาเขียนหรือตัวอักษรของตนเอง โดยมีการนำภาษาอื่นโดยเฉพาะภาษาไทมาใช้ในกิจกรรมทางศาสนา ชาวอาซางและชาวเด้ออังจึงเรียนภาษาไท และผู้ที่ผ่านการศึกษาในวัดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (ทั้งผู้ชายและผู้หญิง) จะเรียนทั้งอ่านและเขียนภาษาไท นอกจากนี้ภาษาอาซางที่ชาวอาซางใช้ในการดำเนินชีวิตได้มีการยืมคำหรือภาษาไทไปใช้โดยที่ชาวอาซางและชาวเด้ออังมากกว่าครึ่งมีความสามารถใช้ได้ 2 ภาษา คือ ภาษาของกลุ่มตนเองและภาษาไท จนมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะพบคนที่พูดภาษาไทไม่ได้และมีคนจากหมู่บ้านบางแห่งที่เปลี่ยนไปใช้ภาษาไทจนภาษาของกลุ่มสูญหายไป อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีแนวโน้มว่าการใช้ 2 ภาษาคือภาษาของกลุ่มและภาษาไทในกลุ่มชาวอาซางและชาวเด้ออังได้ลดลงแต่เพิ่มการใช้ภาษา จีนกลาง (แมนดาริน) มากขึ้นๆ (หน้า 326) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุถึงช่วงเวลาที่ศึกษาวิจัย เพียงแต่บอกว่าผู้เขียนได้ลงพื้นที่ไปเยี่ยมชมพระพุทธรูปในวัดของชาวเด้ออังและได้พบกับผู้คนที่ไปวัด (หน้า 324) |
|
History of the Group and Community |
บทความนี้ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์ของชาวอาซางและชาวเด้ออัง ซึ่งมีการกล่าวถึงประเพณีนิยมของเด้ออังและอาซางว่า มีประเพณีนิยมเหมือนกับประเพณีนิยมของชาวไทต่างกันที่เรื่องของภาษา จนกล่าวได้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไทมีอิทธิพลต่ออาซางและเด้ออังตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม(หน้า 327) |
|
Settlement Pattern |
ผู้เขียนไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและลักษณะการตั้งบ้านเรือนของชาวอาซางและชาวเด้ออัง |
|
Demography |
ผู้เขียนไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรชาวอาซางและเด้ออังที่อาศัยอยู่ในบริเวณเต้อหง |
|
Economy |
ชาวอาซางและชาวเด้ออัง คุ้นเคยกับการดำเนินชีวิตด้วยการล่าสัตว์ เก็บผลไม้ป่า แบบชนยุคบุพกาล โดยการที่อาศัยอยู่ร่วมกับชาวไทได้ทำให้ชาวอาซางและชาวเด้ออังเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่การเพาะปลูกและบริโภคข้าวตามอย่างคนไทซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมก้าวหน้ากว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่รายรอบและได้ซึมซับวัฒนธรรมของคนไท อย่าง การเพาะปลูกพืช เครื่องมือเพาะ ปลูกและอาหารการกิน (หน้า 328) อย่างไรก็ตามในปัจจุบันชาวอาซางและชาวเด้ออังมีวัฒนธรรมของตนเองที่เป็นกิจกรรมเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ โดยชาวอาซางมีทักษะความรู้ในการผลิตเครื่องมือที่ทำจากเหล็กซึ่งเป็นสินค้าส่งออกไปยังมณฑลอื่นๆ ของประเทศและไปยังต่างประเทศ ส่วนชาวเด้ออังมีชื่อเสียงในการปลูก การเก็บเกี่ยว การอบและการผลิต(ใบ)ชา (หน้า 333) |
|
Social Organization |
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันชาวอาซางและชาวเด้ออังมีวัฒนธรรมของตนเองที่เป็นกิจกรรมเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ โดยชาวอาซางมีทักษะความรู้ในการผลิตเครื่องมือที่ทำจากเหล็กซึ่งเป็นสินค้าส่งออกไปยังมณฑลอื่นๆ ของประเทศและไปยังต่างประเทศ ส่วนชาวเด้ออังมีชื่อเสียงในการปลูก การเก็บเกี่ยว การอบและการผลิต(ใบ)ชา (หน้า 333) |
|
Belief System |
อาซางและเด้ออังมีความเชื่อของตนเองมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกและได้รักษาความเชื่อนั้นเอาไว้โดยชาวอาซางและชาวเด้ออังสักการะนับถือธรรมชาติ บรรพบุรุษ ผีบ้านผีเรือน อย่างไรก็ตามเมื่อพุทธศาสนาได้เผยแผ่สู่ชาวไทในช่วงศตวรรษที่13 และได้เผยแผ่สู่ชาวอาซางและชาวเด้ออังหลังจากนั้นไม่นานนัก พุทธศาสนาได้มีอิทธิพลเหนือความเชื่อดั้งเดิมของชาวอาซางและชาวเด้ออังโดยความเชื่อเดิมเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของกิจกรรมทางศาสนาของทั้ง 2 กลุ่มและเทศกาลปอย(ปาย) ซึ่งเป็นการสักการะหัวหน้าคณะสงฆ์ของพุทธศาสนาและสวดมนต์เพื่อขอให้มีสุขภาพแข็งแรง มีความมั่งคั่ง มีชีวิตที่เป็นสุข ได้เป็นเทศกาลสำคัญของชาวอาซางและชาวเด้ออังที่จะไปยังสถูปในหมู่บ้านเพื่อทำกิจกรรมทางศาสนา (หน้า 323-324) |
|
Education and Socialization |
ทั้งชาวอาซางและชาวเด้ออังมีประเพณีนิยมในการให้การศึกษาและขัดเกลาทางสังคมแก่เด็กๆ โดยเด็กส่วนใหญ่จะเรียนความรู้ทั่วๆ ไปและทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ประกอบกับการเรียนในวัดซึ่งเป็นสถาบันทางศาสนาที่ทำหน้าที่สั่งสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้โดยเด็กส่วนหนึ่งเมื่อโตขึ้นจะบวชพระและอยู่ในวัดต่อไป ส่วนเด็กที่เลือกใช้ชีวิตฆราวาสจะได้รับความรู้ความสามารถในการอ่านเขียนและความรู้บางอย่างเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ การสุขาภิบาล ฯลฯ จากวัด อย่างไรก็ดีบทบาทของวัดในการให้การศึกษาและขัดเกลาทางสังคมแก่เด็กชาวอาซางและชาวเต้ออังได้เสื่อมลง เนื่องจากการขยายตัวของการศึกษาแบบใหม่และปัจจุบันเด็กส่วนมากจะเรียนในโรงเรียนที่ดำเนินการโดยรัฐบาล จึงมีเด็กไม่มากนักที่ศึกษาในวัด (หน้า 325) |
|
Health and Medicine |
บทความนี้ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลของชาวอาซางและชาวเด้ออัง โดยตรง แต่ได้กล่าวถึงในการพรรณนาเกี่ยวกับเทศกาลปอย(ปาย)ว่า ชาวอาซางและชาวเด้ออังมีการสวดมนต์หน้าสถูปในหมู่บ้าน ขอให้สุขภาพแข็งแรง (หน้า 323-324) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
หมู่บ้านของชาวอาซาง 9 หมู่บ้านในเมืองหูซามีสถูป สถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาตั้งอยู่ในหมู่บ้านแต่ละแห่ง (หน้า 324) ขณะที่รูปแบบของบ้านพักอาศัย ธรรมเนียมการกินอยู่ การแต่งกายและการทอผ้าของชาวอาซางและชาวเด้ออังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมไท โดยมีข้อแตกต่างจากวัฒนธรรมไทเพียงเล็กน้อยในเรื่องประเพณีนิยมในการฝังศพ (หน้า 327) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ทั้งชาวอาซางและชาวเด้ออังมีความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์กับชาวไทโดยมีการติดต่อ แลก เปลี่ยนและบูรณาการทางวัฒนธรรม ในลักษณะที่ชาวอาซางและชาวเด้ออังรับอิทธิพลจากวัฒน ธรรมของชาวไทเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางวัฒนธรรมของตนเอง (หน้า 327-328) ประกอบกับเงื่อนไขที่ว่าชาวไทเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักในบริเวณเต้อหง มีประชากรมากกว่า มีการเมืองที่เข้มแข็งกว่าและมีพลังทางเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ จนทำให้วัฒนธรรมไทมีบทบาทต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่รายล้อม (หน้า 332) ในแง่มุมของการใช้คำนั้นชาวอาซางมีชื่อเรียกสถานที่ใน2ลักษณะโดยชื่อของหมู่บ้านหรือสถานที่ที่มีขนาดใหญ่จะใช้ชื่อเรียกเป็นภาษาไท ส่วนหมู่บ้านที่มีขนาดเล็กจะใช้ชื่อเรียกเป็นภาษาของกลุ่มตนเอง หรือที่ชาวเด้ออังตั้งชื่อเด็กในลักษณะเดียวกับการตั้งชื่อเด็กของชาวไท เช่น การใช้คำว่า "ลา" (la) ซึ่งหมายถึงผู้ชาย และ "ยี" (yi) ซึ่งหมายถึงผู้หญิง ในพยางค์กลางของชื่อเด็กชายและเด็กหญิง (หน้า 329) |
|
Social Cultural and Identity Change |
วัฒนธรรมของชาวอาซางและชาวเด้ออังได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมจากภายนอกคือวัฒนธรรมไท ทำให้ชางอาซางและชาวเด้ออังดำเนินชีวิตตามวิถีชีวิตของชาวไท เช่น การที่ชาวอาซางซึ่งก่อนหน้าที่จะย้ายถิ่นมายังเต้อหงได้ดำรงชีวิตอยู่ในถ้ำและหาอาหารโดยการล่าสัตว์และเก็บของป่า เมื่อมีการย้ายถิ่นมายังเต้อหงไม่พบว่ามีชาวอาซางอาศัยอยู่ในถ้ำอีก หรือการที่ชาวเต้ออังเปลี่ยนจากการใช้ภาษาของกลุ่มเป็นการใช้ภาษาไท มีรูปแบบของบ้าน วัด และเสื้อผ้าแบบวัฒนธรรมไท (หน้า 330) อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มว่าชาวอาซางและชาวเด้ออังจะมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปในทิศทางที่รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของชาวจีนเพิ่มขึ้นๆ เช่น มีการใช้ภาษาจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (หน้า 326) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนไม่ได้ใช้แผนที่และภาพประกอบการอธิบาย แต่มีการใช้ตารางที่แสดงถึงช่วงเวลาของงานปอย(ปาย) และสถานที่ที่มีงานในเมืองหูซาภายในเดือนกันยายนที่ผู้เขียนไปภาคสนาม (หน้า 324)และตารางที่แสดงข้อมูลจากแบบสอบถามเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กชาวอาซางในเมืองหูซาในประเด็นที่ว่าเด็กได้เรียนรู้การปฏิบัติตนที่ดีจากใคร (หน้า 325) |
|
|