|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การแต่งงาน,ภาคกลาง |
Author |
Nitaya Onozawa |
Title |
Traditional Marriage and Transaction of the Black Thai in Central Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
10 |
Year |
2541 |
Source |
Bulletin of Tokyo Kasei Gakum, Tsukuba Women's University |
Abstract |
คนไทยดำในอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีธรรมเนียมการแต่งงานที่แตกต่างจากคนไทย หลังจากที่หนุ่มสาวชอบพอกัน ฝ่ายชายจะตกลงกับพ่อแม่ฝ่ายหญิงเพื่อมาเป็นเขยขวัญทำงานในไร่นาให้ฝ่ายหญิงอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก่อนจะทำพิธีหมั้น หลังจากหมั้นก็จะเป็นช่วงเวาลาเขยอาสาซึ่งฝ่ายชายจะมาอยู่ที่บ้านของภรรยา จนเมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายชายและพาภรรยาและบุตรย้ายออกจึงมีพิธีแต่งงาน ซึ่งภรรยาจะต้องเปลี่ยนกลุ่มผีตามสามี คนไทยดำนับถือผีบรรพบุรุษและเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย |
|
Focus |
ศึกษาระบบการแต่งงานของไทยดำรวมทั้งพิธีกรรมและความเชื่อในจังหวัดเพชรบุรี (หน้า 41) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนไทยดำหรือถูกเรียกโดยคนไทยว่า "ลาวโซ่ง" มีพิธีแต่งงานและหลักปฏิบัติแตกต่งจากคนไทยในภาคกลางและเป็นกลุ่มที่นับญาติฝ่ายพ่อ ซึ่งมีพิธีบูชาผีบรรพบุรุษซึ่งสืบทอดโดยลูกชาย (หน้า 41,42) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าตำบลเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เป็นถิ่นฐานแรกที่ไทดำเข้ามาอาศัยอยู่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ประชากรได้เคลื่อนย้ายมาจากพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามมาสู่อาณาจักรไทย การอพยพมีทั้งสิ้น 6 ครั้งคือ ในปี ค.ศ. 1776, 1779, 1792, 1835, 1836 และ 1887 โดยเข้ามาอยู่ในเพชรบุรีในฐานะไพร่ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 คนกลุ่มนี้ได้รับอนุญาตให้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นได้ จึงพบชุมชนไทยดำในทั้งภาคตะวันตกและภาคกลางของไทยที่ได้อพยพมาจากจังหวัดเพชรบุรี (หน้า 43) |
|
Social Organization |
คนไทยดำมีหลักการก่อนเข้าสู่พิธีแต่งงานดังนี้คือ การเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยการเกี้ยวพาราสี ฝ่ายชายจะออกไปเลือกผู้หญิงในหมู่บ้านอื่น เพราะการแต่งงานกับเชื้อสายเดียวกันเป็นข้อห้าม ผู้ชายจึงออกไปหาผู้หญิงในที่ไกลๆ เช่นในจังหวัดนครปฐมหรือราชบุรี (หน้า 43) เมื่อตัดสินใจว่าเลือกใครเป็นคู่ครองจึงพบกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเพื่อเจรจาเรื่องธรรมเนียมของเจ้าบ่าวที่ต้องปฏิบัติ ซึ่งเรียกว่า "เขยขวัญ" เป็นช่วงที่ฝ่ายชายย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายหญิงและช่วยครอบครัวฝ่ายหญิงทำงานก่อนแต่งงาน ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ซึ่งเวลาเดียวกันนี้ผู้หญิงและพ่อแม่ก็จะดูความประพฤติผู้ชายด้วย ระหว่างนี้ฝ่ายชายไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ้านหรือเข้ามาใต้ชายคาบ้าน และห้ามมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายหญิง เมื่อหมดช่วงของการเป็นเขยขวัญ จึงมีพิธีหมั้น ในงานหมั้น ฝ่ายชายตระเตรียมขันหมาก ใส่หมากพลู 'kaleb' คือ ภาชนะบรรจุอาหารที่ใช้ในพิธี และ 'haab-kow' ใส่ขนมหวานสำหรับครอบครัวฝ่ายหญิง สามสิ่งนี้จะนำไปเซ่นผีบรรพบุรุษเสียก่อน(หน้า 44 ) เมื่อเสร็จพิธีหมั้นก็จะมีพิธีแต่งเขยอาสา (Taeng Kuey-asaa) จัดที่บ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวนำอาหารที่ใช้ในพิธีและของขวัญมาให้แก่พ่อแม่ของเจ้าสาวและผีบรรพบุรุษ พิธีนี้เป็นการย้ำว่าเจ้าบ่าวได้เปลี่ยนสถานะเป็นลูกเขย และสัญญาว่าจะทำงานให้ครอบครัวฝ่ายหญิง 2-3 ปี หลังจากพิธีเสร็จสิ้น ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็จะเป็นสามีภรรยาและมีบุตรด้วยกันได้ ฝ่ายชายจะอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิงเมื่อมีบุตรได้ 3 คน แล้วจึงย้ายออกไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายชาย จำนวนปีที่เป็นเขยอาสาไม่แน่ชัด ขึ้นอยู่กับว่าพร้อมจะย้ายออกเมื่อใด อย่างไรก็ดีมีกรณียกแว้นที่สามีอาจไม่ไปอยู่กับภรรยา เพราะเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ซึ่งเรียกว่าอาสานอก กรณีของอาสานอก สามีทานอาหารที่บ้านพ่อแม่ของตนและมาเยี่ยมฝ่ายหญิงเฉพาะตอนกลางคืน อีกกรณีคืออาสาทำงานข้างนอก คือฝ่ายชายทำงานในไร่นาของครอบครัวตน เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวได้ก็จะแบ่งมาให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง พิธีแต่งงานเป็นพิธีสุดท้ายที่สำคัญ ไทยดำถือเป็นธรรมเนียมต้องปฏิบัติหลังจากที่ช่วงเวลาการเป็นเขยอาสาสิ้นสุด สามีจะพาภรรยาและบุตรไปอยู่ที่บ้านครอบครัวของตน ภรรยาต้องย้ายออกจากกกลุ่มผีของตนเพื่อไปเข้ากับผีของสามี ฝ่ายชายจะมอบเงิน (ngern-tam-mae-ko) ของแม่แก่ครอบครัวของภรรยาและผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง จำนวนเงินนี้เท่ากับจำนวนที่แม่ของผู้หญิงได้รับในงานแต่งงาน (หน้า 45) เงินนี้ไม่ใช่สินสอดแต่เป็นเงินที่ให้เตรียมไว้สำหรับทารกและมารดา อีกกรณีที่พบคือเขยอาสาอยู่กับครอบครัวภรรยาถาวร เรียกว่าอาสาขาด (asaa-kaad) พบในคนรุ่นเก่า อย่างไรก็ตามการแต่งงานจะเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อภรรยาเปลี่ยนกลุ่มผีบรรพบุรุษมาเป็นของสามีเท่านั้น (หน้า 46) ของขวัญที่ฝ่ายชายให้เป็นธรรมเนียม โดยมากเป็นของที่ให้แก่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงและผีบรรพบุษ เจ้าสาวแทบไม่ได้รับอะไรเลย (หน้า 47) |
|
Belief System |
ไทยดำเคารพผีบรรพบุรุษ ภายในบ้านมีส่วนที่เป็นห้องผีเรียกว่า 'kalo-hong' (หน้า 44) ภรรยาต้องนับถือผีของสามี มิฉะนั้นชีวิตหลังความตายจะไม่ได้รับการเคารพให้เป็นผีหลักของครัวเรือน ไทยดำเชื่อว่าผีของสามีและภรรยาต้องอยู่ด้วยกันในบ้านของลูกๆ เพื่อปกป้องคุ้มครองลูกหลานต่อไป สองหรือสามปีจะมีครั้งหนึ่งที่ไทยดำจัดพิธี 'เสนเรือน' เป็นพิธีเลี้ยงแก่ผีบรรพบุรุษ (หน้า 46) ไทยดำเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายสำคัญเท่ากับชีวิตปัจจุบัน (หน้า 50) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่กล่าวถึงคนไทยน้อยหรือไทยสยาม ที่อยู่ในเขตภาคกลาง (หน้า 50) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในช่วงที่ศึกษาคนไทยดำรุ่นใหม่นิยมแต่งงานแบบคนไทย และไม่มีระบบเขยขวัญหรือเขยอาสา แม้ว่าคนรุ่นใหม่จะรู้จักว่าเป็นอย่างไร เพราะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตได้เข้ามีผลต่อการปฏิบัติและการเปลี่ยนอาชีพ พิธีแต่งงานมักจัดพร้อมพิธีหมั้น บางครั้งมีพระสงฆ์มาร่วมพิธี ซึ่งไม่ใช่ธรรมเนียมของไทยดำ ในการแต่งงานเจ้าสาวย้ายไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวในวันเดียวกัน เหตุผลคือเป็นการเสียเงินเสียทองที่จะจัดให้ถูกต้องตามธรรมเนียมได้ยาก แต่ก็ยังมีให้ขันหมากและมีการให้สินสอดทองหมั้นแบบคนไทยน้อยแทนเงินสินสอดที่เรียกว่า 'ngern-tam-mae-ko' เป็นเงินให้พ่อแม่เจ้าสาว ทองหมั้นเป็นเครื่องประดับอัญมณีที่ให้แต่เจ้าสาวในงานแต่งงาน ซึ่งส่วนนี้เจ้าสาวจะเก็บไว้เอง (หน้า 47-48) การแต่งงานของไทยดำเปลี่ยนแปลงเพราะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและอิทธพลของวัฒนธรรมไทยทำให้เกิดการดูดซึมทางวัฒนธรรม (หน้า 49-50) |
|
Map/Illustration |
ตาราง 1. Receivers of gifts, Brideservice and Bridewealth (หน้า 47) ตาราง 2. The Present Practise of Marriage Transaction in the Black Thai Community (หน้า 49) |
|
|