|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,วิถีชีวิต,วัฒนธรรม,สังคม,ความเชื่อ,ภาคเหนือ |
Author |
Anonymous |
Title |
The Lü |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
11 |
Year |
2468 |
Source |
Journal of Siam Society Vol. XIX part 3 |
Abstract |
ลื้อชอบอยู่ในพื้นที่หุบเขาใกล้กับริมแม่น้ำ หมู่บ้านของลื้อมีรั้วไม้ล้อมในอดีตลื้อมักสร้างบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง มีจั่วสูง บ้านของลื้อสะอาด ลื้อทานข้าวเหนียวเป็นอาหาร และทานเนื้อสัตว์ เช่น หมู ไก่ เนื้อ เป็ด ปลา กับพืชผักต่างๆ ลื้อล่าสัตว์ ปลูกข้าว ปลูกพืชผักต่างๆ เช่น ต้นฝ้าย ข้าวสาลี ถั่ว งา หรือฟักทอง ทอผ้าเองแต่ไม่มีไว้ขาย มีช่างไม้ฝีมือดี ผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว ภรรยาและลูกต้องเชื่อฟัง เด็กผู้หญิงจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของพ่อแม่จนกว่าจะแต่งงาน ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ปัจจุบันลื้อนับถือพุทธศาสนาปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ลื้อก็ยังคงให้เครื่องเซ่นกับผีเพื่อส่งผลดีกับชาตินี้ เดิมลื้อนับถือภูตผีและบูชาผีสาง ลื้อเชื่อว่าวิญญาณคนตายไม่หายไปไหนแต่รอการเกิด ซึ่งหากทำดีก็จะได้เกิดมามีชีวิตที่ดี |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะทางกายภาพ ประเพณีและวัฒนธรรมของลื้อ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาลื้อ ซึ่งมีลักษะทางกายภาพทางร่างกายคล้ายคนลาว ใบหน้าแบนไม่มีหนวดเครา ผมสีดำ ผิวเหลือง ผู้ชายลื้อมีรอยสักที่ขาซึ่งเอาไว้อวดผู้หญิงเพื่อแสดงว่าตนกล้าหาญ ประเพณีการสักนี้เลียนแบบคน "Shan" และลาว ลื้อเรียกตัวเองว่า "ลื้อ" ปรับตัวง่าย สุภาพ ฉลาดและขยันรู้จักการไถพรวนดินทำเกษตรกรรม (หน้า 159-160) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
ลื้อชอบอยู่ในพื้นที่หุบเขาใกล้กับริมแม่น้ำ มักเลือกแหล่งที่มีป่าไม้ทางตอนเหนือและมีแม่น้ำทางตอนใต้ มีลำธารทางทิศตะวันออก และมีผืนดินที่อุดมสมบูรณ์อยู่ทางทิศตะวันตก (หน้า 160) หมู่บ้านของลื้อมีรั้วไม้ล้อม ในอดีตลื้อมักสร้างบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง มีจั่วสูงและมีครัวอยู่ข้างในบ้านและมีห้องนอน หลังบ้านเรียกว่า 'na hong' หน้าบ้านหันไปทางทิศใต้หรือทิศเหนือ มีบันไดขึ้นตรงห้องหลักของบ้าน ในบ้านมีเครื่องเรือนเช่น เตียง หมอน มุ้งกันยุง มีหม้อดินเผาทำอาหาร เก็บข้าวไว้ในโอ่งไม้ บ้านของลื้อสะอาด (หน้า 161) |
|
Economy |
ลื้อกินข้าวเหนียวเป็นอาหาร และทานเนื้อสัตว์ เช่น หมู ไก่ เนื้อ เป็ด ปลา กับพืชผักต่างๆ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในบางโอกาส เคี้ยวหมากพลู และสูบยาสูบ ลื้อล่าสัตว์ สัตว์หลักที่พวกเขาล่า ได้แก่ กวาง หมูป่า กระต่าย และเดินทางด้วยเกวียนที่มีวัวหรือควายลาก วัวหรือควายเป็นสัตว์ช่วยไถพรวนในไร่นา ลื้อปลูกข้าว และหลังฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว ลื้อจะเข้าไปถากถางพื้นที่ในป่าที่อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 2 ชั่วโมงเดินเท้า แล้วปลูกพืชผักต่างๆ เช่น ต้นฝ้าย ข้าวสาลี ถั่ว งา หรือฟักทอง โดยระหว่างนี้ครอบครัวจะสร้างกระท่อมเล็กๆ ใกล้กับสวนใช้นอนเฝ้าผลผลิตของตน กระทั่งฤดูฝนเริ่มจึงกลับบ้าน (หน้า 162) ลื้อมีตลาดการค้าเล็กๆ มีระบบการชั่งตวงวัดเหมือนคนเมืองเชียงใหม่ ลื้อทอผ้าเองแต่ไม่มีไว้ขาย มีช่างไม้ฝีมือดี (หน้า 163) |
|
Social Organization |
ผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว ภรรยาและลูกต้องเชื่อฟัง เช่นหากจะออกไปข้างนอกจะต้องขออนุญาตเสียก่อน เด็กๆ เมื่อถึงวัยอันควรก็จะได้รับการฝึกให้รู้จักทำการเกษตร เมื่อหนุ่มสาวมีความพอใจกัน พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็จะคุยกันถึงเรื่องพิธีและผู้อาวุโสของหมู่บ้านจะนัดวันพบปะที่บ้านเจ้าสาวและเจ้าบ่าว ซึ่งเจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะต้องนำหมากพลูมามอบแก่กันเพื่อเป็นการแสดงถึงความเป็นสามีภรรยาและความเป็นครอบครัวเดียวกันของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะให้ 'hoi' (12 รูปี) แก่เจ้าสาวเป็นราคาซื้อ ผู้หญิงจะให้จานใส่ดอกไม้พร้อมเทียน 4 คู่แก่เจ้าบ่าว และขอให้เจ้าบ่าวยอมรับหล่อนและลูก ตอนหัวค่ำฝ่ายชายจะพาเพื่อนๆ มาบ้านเจ้าสาว พร้อมกับนำดาบและถุงใส่หมากพลูมาด้วยเพื่อแสดงความเป็นผู้ชาย เมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว พวกเขาจะอยู่บ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิงเพื่อดูแลพวกเขา 3 ปี เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาจึงย้ายไปอยู่บ้านพ่อแม่ฝ่ายชายอีก 3 ปี หรือมิฉะนั้นคู่สามีภรรยาต้องตัดสินใจแยกจากพ่อแม่และไปอยู่ที่อื่นในบ้านของตัวเอง เด็กผู้หญิงจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของพ่อแม่จนกว่าจะแต่งงาน หากลูกผู้หญิงประพฤติตนไม่ดีก็จะไม่ให้อะไรกับลูก ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ผู้ชายมีอำนาจและขอหย่าได้โดยจ่าย 'hoi'(12 รูปี)ให้กับฝ่ายหญิง (หน้า 163-165) |
|
Belief System |
ปัจจุบันลื้อนับถือพุทธศาสนาปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนเรื่องความจริงแห่งชีวิต ซึ่งลื้อเชื่อว่าหากทำดีในชาติหน้าจะได้มีแต่สิ่งดี แต่ลื้อก็ยังคงให้เครื่องเซ่นกับผีเพื่อส่งผลดีกับชาตินี้ เดิมลื้อนับถือภูตผีและบูชาผีสาง มีวัดใหญ่และนักบวชหรือพระอาศัยอยู่ภายในวัด (หน้า 165-166) เมื่อมีเด็กเกิดจะมีหมอตำแยช่วยทำคลอด เด็กวางไว้ในเปลและวางไว้ตรงข้ามกับทางเปิดของบ้าน หมอตำแยจะเคาะพื้นเพื่อให้เด็กร้อง และเรียกผีให้มาเอาตัวเด็กหากต้องการ หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นหมายถึงผีจะไม่มารบกวนและเด็กก็จะมีความสุข (หน้า 166-167) เมื่อมีคนกำลังตาย ญาติพี่น้องจะไปพบพระเพื่อขอยืมบาตรพระและจีวรสงฆ์ เอาไปวางไว้เหนือศีรษะของผู้ที่กำลังจะตายและให้ผู้นั้นสวดมนต์จนกระทั่งสิ้นลมหายใจ เพื่อชีวิตชาติหน้าจะได้ไม่ลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อมีคนตาย มีการอาบน้ำศพ ใส่เสื้อผ้าใหม่ให้และให้นอนหงายและมัดตราสังข์พร้อมด้วยเรือขี้ผึ้งที่บรรจุดอกไม้ธูปเทียนในมือศพ มีการผูกเชือกมัดนิ้วหัวแม่เท้าทั้งสองติดกัน พระสงฆ์จะสวดมนต์ก่อนนำศพไปฝังหรือเผา กรณีนำศพไปฝังในป่า โดยมีวิธีเลือกพื้นที่โดยเอาอาหารและไข่ไก่สดใส่ถุง หากโยนถุงไปที่ใดแล้วไข่แตกก็จะฝังร่างศพไว้ตรงนั้น (หน้า 167-168) ก่อนการสร้างบ้านใหม่ ลื้อจะคุยกับหมอผีถึงวันดีที่จะตัดไม้สร้างบ้าน เมื่อตัดไม้แล้วก็จะเชิญพระมาสวดและให้พร หลังจากนั้นจะถากถางพื้นที่สร้างบ้าน หมอผีจะรดน้ำมนต์ให้และเป็นผู้เลือกเสาบ้านให้ มีการผูกมะพร้าว อ้อย กล้วยไว้กับเสาด้วยด้ายสีขาวทำโดยผู้ที่มีชื่อว่า นายเงิน, นายคำ, นายมี หรือนายแก้ว ลื้อไม่มีพิธีกรรมสำหรับภูตผี (หน้า 168-169) ลื้อเชื่อว่าวิญญาณคนตายไม่หายไปไหน แต่รอการเกิดอีกครั้ง ถ้าทำกรรมดีก็จะเกิดในร่างที่ดี แต่หากทำชั่วก็จะอยู่ในร่างที่ไม่ดี (หน้า 169) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ลื้อใช้รากไม้ เปลือกไม้หรือใบไม้เอามาใช้เป็นยารักษาโรค (หน้า 165) เมื่อมีเด็กเกิดจะมีหมอตำแยช่วยทำคลอด (หน้า 166) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ตั้งแต่ร้อยกว่าปีมาแล้ว ลื้อผู้ชายสวมกางเกงขากว้างปลายบานและเสื้อคลุมสีฟ้า เลี้ยงผมยาวและม้วนไว้ที่กลางศีรษะด้านหลังและพันศีรษะด้วยผ้าสีแดงหรือขาว เจาะหูและใส่ตุ้มหูทอง ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น (kan taw kwai) มีลายแดง ขาว และดำ สวมเสื้อตัวในสีแดงคลุมทับด้วยเสื้อดำ และทำมวยผม สวมกำไลข้อมือทำจากเงิน เสื้อผ้าของลื้อทำเอง ไม่ซื้อและไม่ขาย โดยจะทำเสื้อผ้าที่ใช้ในวันทั่วไปและชุดที่ใช้ใส่ในโอกาสพิเศษ ปัจจุบันลื้อหันมาใส่เสื้อผ้าตามเเบบเชียงใหม่ (หน้า 161) ลื้อใช้ปืนแก๊ป ธนู หรือหน้าไม้ในการล่าสัตว์ การตกปลาจะใช้ตาข่ายและอุปกรณ์หลายชนิด เช่น ข้อง แร้ว ค่าย น่าง แห ยอ สวิง จิบ แซะ ไซ (หน้า 162) ลื้อมีฝีมือในการวาดรูปและระบายสี มีเกมส์ที่เล่นกันในโอกาสพิเศษเช่น หมากรุก หมากถอน หมากเก็บปู วันหยุดหรือวันสำคัญครอบครัวจะทำเหล้าและฆ่าหมูหรือวัวควาย เพื่อเอามาเลี้ยงเพื่อน มีการร้องรำทำเพลง (หน้า 165) |
|
Folklore |
ลื้อเชื่อว่า "พ่อสังกะสี" และ "สังกะสาย" เป็นผู้สร้างโลกและสร้างมนุษย์ชายและหญิงคู่แรกให้มาเป็นสามีภรรยากันจนมีลูกหลานมากมายทั่วโลก (หน้า 169) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เด็กๆ ปัจจุบันเมื่อถึงวัย 5-6 ปีก็จะถูกส่งไปโรงเรียนแทนการอยู่ทำนาไร่ (หน้า 163) |
|
|