|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ประวัติศาสตร์,การตั้งถิ่นฐาน,วิถีชีวิต,สภาพสังคม,การนับถือผี |
Author |
บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ |
Title |
ละว้า |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ละว้า ลัวะ ว้า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
38 |
Year |
2545 |
Source |
ชาวเขาในไทย กรุงเทพ : สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2506 โดย สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์) |
Abstract |
ละว้าเป็นชนชาติที่สืบเชื้อสายมาจาก "ว้า" หรือ "ล้า" ในมณฑลยูนนานตอนใต้กับเขตรัฐฉานแห่งสหภาพพม่า เป็นชนเผ่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาติพันธุ์ประการหนึ่ง คือ นิยมประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการเซ่นสังเวยผีด้วยการฆ่าสัตว์ และยึดถือความ เชื่อในการนับถือผีอย่างเหนียวแน่น สะท้อนผ่านสิ่งปลูกสร้าง ประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ มีหัวหน้าฝ่ายจารีตประเพณีสืบตระกูลต้นผีเรียกว่า "ต้นฮีต" ละว้าบ้านบ่อหลวงกับละว้าบ้านอุมพายถือเป็นคนละตระกูล นับถือผีคนละประเภท ละว้าบ้านบ่อหลวงมักมองว่าละว้าอุมพายนั้นเป็นพวกป่าเถื่อน เนื่องจากยังคงรับประทานเนื้อสุนัขและนับถือผีอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ละว้าบ้านบ่อหลวง บ้านห้วยสิงห์ และบ้านจอมแจ้งนับถือทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ปนกัน ละว้าแต่เดิมพูดภาษาละว้าได้ แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่หมู่บ้านที่พูดละว้าได้ เนื่องจากหันมาพูดภาษาถิ่นตามชาวเขาที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงเพิ่มขึ้น เช่น ภาษาเหนือ ภาษาไทยใหญ่ ภาษาสะกอ |
|
Focus |
เน้นศึกษาประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน สภาพสังคม ความเป็นอยู่และการปรับตัวของชนเผ่าละว้า |
|
Ethnic Group in the Focus |
"ละว้า" เป็นชื่อที่คนไทยภาคกลางใช้เรียก คนเหนือจะเรียกว่า "ลัวะ" ส่วนคนชัยภูมิและเพชรบูรณ์เรียกว่า "ชาวบน" ภาคกลางบริเวณต้นแม่น้ำแควน้อย กาญจนบุรีเรียกกันว่า "อูด" (หน้า 101-102) ชาวไทยใหญ่ในรัฐฉานของพม่าเรียกละว้าว่า "วะ"หรือ "ล้า" ส่วนชาวพม่าเรียกละว้าว่า "กวงยัต" พวกไตแข่ (ไทย-จีน) เรียกว่า "ล้า" บ้างก็เรียก "ปูมาน" ละว้าที่มีอาชีพทำไร่ชาทางตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าถูกเรียกว่า "ปะหร่อง" ละว้าที่นับถือพุทธศาสนาในรัฐเชียงตุงเรียกกันว่า "ไตหลอย" (ไทยภูเขา) "สามต้าว" (สามท้าว) (หน้า 105) ไทยลื้อในเขตสิบสองปันนาและเขตติดต่อกับลาวตอนเหนือสุดเรียกว่าละว้าว่า "ข่าวะ" (หน้า 111) ละว้า (บ้านบ่อหลวง) เรียกตนเองว่า "ละเวือะ" (หน้า 115) ส่วนละว้าแม่สะเรียงเรียกตนเองว่า "ลัวะข้างจาน" หรือละว้าทางใต้ ละว้าบริเวณหมู่บ้านแถวแม่สะเรียงเรียกตนเองว่า "ลัวะหย่องเคาะ" (หน้า 121) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในงานชิ้นนี้ระบุว่า ละว้ามีสำเนียงพูดคล้าย "ข่า" ในประเทศลาว "ม้อย" ในเวียดนาม "พะนอง" และ "สะเตียง" (Stieng) ในกัมพูชา กลุ่มว้า ล้า ปะหร่อง ไตหลอย สามท้าว ปูมานในรัฐฉาน (ไทยใหญ่) และมณฑลยูนนานตอนใต้ (หน้า 102) ภาษาพูดของละว้าในไทย คล้ายว้าหรือล้าในพม่าและมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีน สำเนียงพูดคล้ายเสียงกบร้อง มีความใกล้เคียงภาษามอญ-เขมร ละว้าแต่เดิมพูดภาษาละว้าได้ แต่ปัจจุบันมีหมู่บ้านละว้าเพียงไม่กี่หมู่บ้านที่พูดละว้าได้ เนื่องจากหันมาพูดภาษาถิ่นตามชาวเขาที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงเพิ่มขึ้น เช่น ภาษาเหนือ ภาษาไทยใหญ่ (หน้า 105) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ละว้า เป็นชนชาติที่สืบเชื้อสายมาจาก "ว้า" หรือ "ล้า" ในมณฑลยูนนานตอนใต้กับเขตรัฐฉานแห่งสหภาพพม่า ไทยใหญ่ในรัฐฉานเชื่อว่าดินแดนที่ตนอาศัยอยู่ในปัจจุบันเคยเป็นของพวกละว้ามาก่อน ตามประเพณีรัฐเชียงตุง เมื่อเจ้าฟ้าจะขึ้นครองนครใหม่ต้องให้พวกละว้าไปนั่งบนหอคำหรือวังประทับ แล้วเจ้าฟ้าถือแซ่ไปขับไล่ ละว้าเป็นเจ้าของผืนดินถึง 6 ประเทศเมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน คือ ไทยบริเวณตอนเหนือ ตอนกลางและอีสาน พม่าบริเวณรัฐฉาน (ไทยใหญ่) จีนตอนใต้มณฑลยูนนาน ลาว เวียดนาม กัมพูชาตอนเหนือ (หน้า 102-103) ตำนานพระธาตุจังหวัดภาคเหนือ กล่าวถึงชนชาติละว้าซึ่งมีอยู่ก่อนไทยและขอม ตามพงศาวดารเก่ากล่าวว่า เคยมี "ลวรัฐ" อยู่บริเวณเมืองลพบุรีก่อนขอมเรืองอำนาจ ในสมัยพระนางจามเทวีเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) เคยทำสงครามกับละว้า เนื่องจากพญาวิลังกะได้ไปขอพระนางจามเทวี เมื่อไม่สมหวังก็มีการสู้รบกันจนตัวตาย พวกละว้าแตกพ่ายหนีไปอยู่ตามป่าเขา เจ้าปู่น้ำขุ่นพาพวกละว้าหนีไปอยู่แถบเชียงราย อำพรางตนไม่ให้คนไทยจำได้ เมื่อใครถามก็บอกเป็นพวกข่าเพน ข่าเปี่ยน หากบอกว่าเป็นข่าว้าจะถูกฆ่าตาย (หน้า 103-104) ส่วนที่บ้านบ่อหลวง เดิมอยู่ตามป่าและเนินเขาฝั่งแม่น้ำปิง ตั้งแต่ อ. จอมทองลงไปจนถึง อ.ฮอด ซึ่งเคยเป็นเวียงเชียงทองมาก่อน ประมาณ 250 ปีมาแล้วได้อพยพไปอยู่ที่บ้านบ่อหลวง ในสมัยรัชกาลที่ 5 หัวหน้าละว้าบ้านบ่อหลวงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาขุนดำ ละว้าบ้านบ่อหลวงเรียกตนเองว่า "ละเวือะ" (หน้า 115) ละว้าในอำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอนมีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอแม่สะเรียง ต่อมาถูกพวกกะเหรี่ยงชายแดนรบกวนจนต้องอพยพเข้ามาอยู่ใกล้กับตัวเมือง ปัจจุบันคือบ้านห้วยสิงห์ ต.แม่คะตวน และบ้านจอมแจ้ง ต.แม่สะเรียง เรียกตัวเองว่า "ละว้าทางใต้" (หน้า 121) |
|
Settlement Pattern |
ละว้าตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณฟากตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน เข้าไปในเขตจีนเกือบถึงแม่น้ำโขง (หน้า 105) ละว้าบ้านบ่อหลวงตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,238 เมตร (หน้า 115) บ้านละว้าทุกหลังคาเรือนจะมีแท่นบูชาผีเรือนตามมุมบ้าน ปลูกบ้านโดยใช้ไม้ใหญ่เป็นเสาเรือน หลังคาสูง ใช้ไม้ไผ่สานเป็นฝา มีเตาไฟในบ้าน 2 เตา บ้านจะมีลำไม้ไผ่ปักไว้ 2 เล่มสำหรับแขวนตะกร้าสิ่งของและแขวนกระบอกสุรา ละว้าบ้านบ่อหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ตั้งถิ่นฐานในที่ราบสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,238 เมตร ถัดจากบ้านบ่อหลวงไปทางทิศตะวันตกเป็นหมู่บ้านใหญ่ เรียกว่า "บ้านบ่อสะหลี" ละว้าหมู่บ้านนี้อพยพมาจากบ้านบ่อหลวง เดิมเคยอาศัยอยู่ตามป่าและเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำปิง ตั้งแต่ อ.จอมทองลงไปถึง อ.ฮอด ละว้าแม่สะเรียงนิยมสร้างบ้านเรือนขนาดพออยู่ ไม่ใหญ่โต ยกพื้นสูง หลังคาสูงคลุมลงมาแทบไม่เห็นฝาเรือน ชานหน้าบ้านใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ใต้ถุนทำเป็นที่เก็บฟืนและเล้าไก่ ทุกหลังคาเรือนจะมีเตาไฟตรงกลางห้องโถงเรียกว่า "เตาไฟหล่ม" ทั้งยังตั้งหิ้งบูชาเซ่นไหว้ผีไว้บนเรือน (หน้า109,110,123,125) |
|
Demography |
ละว้ามีจำนวนพลเมืองไม่แน่นอน ประชากรใน 45 หมู่บ้านมีประมาณ 10,000 คน หมู่บ้านชาวละว้าที่ใหญ่ที่สุดคือ บ้านบ่อหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ มีจำนวนประมาณ 228 หลังคาเรือน (หน้า 112) ละว้าที่อยู่ในเขตอำเภอแม่สะเรียง มีจำนวนประมาณ 3,000 คน (หน้า 122) |
|
Economy |
ละว้าล่าศรีษะมนุษย์มักทำไร่ปลูกข้าว ปลูกผัก พริกและฝิ่น รวมถึงเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเครื่องเซ่นผี มักแลกเปลี่ยนฝิ่นกับปืนหรือสิ่งของเสื้อผ้าไม่ใช้เงิน มีอาวุธเป็นพวกหอก ดาบ หน้าไม้ ปืน มีดสั้น (หน้า 109) ละว้าบ้านบ่อหลวงประกอบอาชีพทำนา หากล้วยไม้นำมาขายให้พ่อค้าคนกลาง ชาวบ้านบ่อหลวงชำนาญในการตีเหล็กเป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ อาทิ ดาบ ตะไกร มีดพร้า ถือเป็นสินค้าออกสำคัญของหมู่บ้าน หญิงบ้านบ่อหลวงไม่ชำนาญในการทอผ้าจึงมักหาซื้อจากละว้าหมู่บ้านอื่น (หน้า 115-116) ละว้าแม่สะเรียงประกอบอาชีพ ปลูกข้าว ฝ้าย พืชผักและยาสูบ พวกที่อยู่ไกลออกไปปลูกฝิ่น ฝ้าย ข้าวไร่ ชายเขาทำนาเป็นชั้น ๆ ลงมาตามลาดเขาโดยใช้น้ำจากลำธารทดเข้าสู่พื้นนาที่สูงแล้วปล่อยให้ไหลลงมายังนาชั้นล่าง มีการเลี้ยงสัตว์แบบปล่อยให้ หากินเอง หากมีมากพอเป็นสินค้าก็นำไปขายในเมือง ละว้าแม่สะเรียงมีฝีมือในการทำเครื่องประดับโลหะเงิน เช่น กำไลเงิน กล้องยาสูบ นอกจากนี้ยังชำนาญในการสานเสื่อ กระบุง ย่ามและทอผ้า มีการตีเหล็กและถลุงเหล็กเป็นเครื่องใช้ ละว้านิยมเคี้ยวหมาก และรับประทานเนื้อสุนัข ดื่มสุราเก่ง นิยมรับประทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะปลาร้า (หน้า 122-123) |
|
Social Organization |
ละว้ามีประเพณีการเที่ยวสาว ชายหนุ่มจะมาเกี้ยวพาราสีหญิงสาวที่บ้าน มีการเจาะร่องไว้ข้างที่นอน ชายหนุ่มจะมาในเวลากลางคืนแล้วล้วงมือไปลูบคลำต้นแขน เมื่อทั้งคู่ตกลงปลงใจกันแล้ว ก็จะกำหนดวันแต่งงาน ละว้าหมู่บ้านบ่อหลวงจะไม่มีการสู่ขอ มีการฆ่าสุนัขตัวผู้สีแดงเซ่นผีเรือน (หน้า 119-120) ในสมัยก่อน ชายหนุ่มจะดีดเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายซออู้ เรียกว่า "เปี๊ยะ" ไปถึงบ้านหญิงสาว ละว้าบ้านช่างหม้อแต่เดิมหากชายหญิงตกลงปลงใจรักใคร่กันแล้ว มักนัดพากันหนี ชายหนุ่มจะนำหญิงสาวไปฝากไว้บ้านญาติ แล้วให้เพื่อนชายนำสุราไปปลุกบิดามารดาฝ่ายหญิงเพื่อแจ้งให้ทราบ มีการฆ่าหมูหามไปมอบให้บ้านฝ่ายหญิง เงินสินสอดฝ่ายชายจะจัดผู้เฒ่านำมามอบให้ หากฝ่ายหญิงสืบสายตระกูลกษัตริย์หรือมีเชื้อขุน ฝ่ายชายก็ต้องเสียเงินสินสอดจำนวนมากกว่าหญิงที่มีเชื้อสายไพร่ เมื่อแต่งงานแล้ว ผู้ชายต้องมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง เมื่อคลอดบุตรแล้ว ฝ่ายชายจะนำภรรยากลับบ้านตนแล้วจัดพิธีสู่ขอลูกสะใภ้ให้ไปสืบมรดกตระกูลต่อไป เมื่อฝ่ายหญิงไปอยู่บ้านฝ่ายชายต้องหันไปนับถือผีฝ่ายชายและตัดขาดการนับถือผีฝ่ายบิดามารดาฝ่ายตน ละว้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการหย่าร้าง หากฝ่ายชายผิดจะแบ่งมรดกคนละครึ่ง หากฝ่ายหญิงผิดจะไม่ได้อะไรเลย (หน้า 129-132) |
|
Belief System |
มีละว้าส่วนน้อยที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ละว้าที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาและป่าลึกแถบแม่สะเรียง ยังคงนับถือผีตามความเชื่อดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น ดังสุภาษิตไทยใหญ่ที่ว่า "ไตแล้งพะรา ล้าเล้งผี" หมายถึง ชาวไทยใหญ่เลี้ยงพระ ชาวละว้าเลี้ยงผี มีเรื่องเล่ากันว่าในรัฐฉานของพม่า มีละว้าที่อยู่ในป่าลึกยังล่าหัวมนุษย์เพื่อบูชาผีไร่ ในปีหนึ่ง ๆ จะมีเวลาล่าศีรษะมนุษย์ 3 เวลา คือ ช่วงเริ่มปลูกข้าวไร่ ช่วงเก็บเกี่ยวข้าวไร่เรียกกันว่า "ไปหาหัวฮ้า" และช่วงก่อนปีใหม่ 7-8 วันประมาณเดือนเมษายน เมื่อเสร็จพิธีแล้วหัวกะโหลกจะถูกนำไปรวมไว้ที่เรือนผีหรือศาลหัวกะโหลก มีการเซ่นบูชาผีหัวกะโหลกปีละครั้งด้วยการล้มกระบือ หิ้วหัวกะโหลกมนุษย์เต้นรำไปรอบ ๆ (หน้า 107-108) ละว้าบ้านกายตื่นบูชาผีเรือนซึ่งเป็นผีผู้หญิงและมักนำสุนัขมาเป็นเครื่องเซ่น ทั้งยังนิยมฆ่ากระบือดำมาบูชาผีหมู่บ้านหรือผีหลวงผีไร่ (หน้า 110) ละว้าบ้านบ่อหลวงนับถือทั้งศาสนาพุทธและผี มีวัด 2 แห่ง ตามบ้านไม่มีหิ้งผี แต่มีแท่นบูชาพระพุทธรูปนิยมทำบุญอย่างชาวเหนือ แต่ก็ยังคงนับถือผีอย่างเหนียวแน่น ผีที่บ้านบ่อหลวงนับถือ ได้แก่ ผีละมาง (ผีเรือน) และผีหลวงประจำหมู่บ้าน รวมถึงผีบ่อแร่ทั้งห้า มีการตั้งหัวหน้าเป็นตัวแทนผี (หน้า 116-117) เมื่อต้องการจะขุดแร่ ต้องทำพิธีบอกกล่าวเซ่นสังเวยต่อผีบ่อแร่ก่อน โดยใช้ไข่ไก่และพานข้าวตอกดอกไม้ มีการฆ่าโคสีแดงเซ่นสังเวย แล้วส่งหญิงพรหมจารีเปลือยกายเข้าไปขุดสินแร่ พิธีดังกล่าวได้ยกเลิกไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่การเซ่นไหว้ผียังคงมีอยู่ (หน้า 117-118) ละว้านิยมจัดพิธีเลี้ยงผีและเซ่นผีเป็นปกติ เช่น พิธีเลี้ยงผีหลวงมักจัดขึ้นหลังการเก็บเกี่ยวข้าวไร่ การเซ่นผีฟ้าเพื่อล้างซวยเมื่อมีฟ้าผ่าในในไร่สวน (หน้า 126-128) ในหมู่บ้านละว้าบ่อหลวงจะมีหัวหน้าฝ่ายจารีตประเพณีสืบตระกูลต้นผีเรียกว่า "ต้นฮีต" ที่บ้านของต้นฮีตจะมี "ถา" หรือ คำสาปแช่งผู้กระทำผิดฮีต จารึกด้วยอักษรขอมบรรจุในหม้อดินเผาฝังดิน เมื่อ "ต้นฮีต" ถึงแก่กรรมก็จะขุดขึ้นมาเปิดออกอ่าน โดยจะทำพิธี ตั้งเครื่องเซ่นบูชา (หน้า 117-118) ละว้าบ้านบ่อหลวง กับละว้าบ้านอุมพายถือเป็นคนละตระกูล นับถือผีคนละประเภท ละว้าบ้านบ่อหลวงมักมองว่าละว้าอุมพายนั้นเป็นพวกป่าเถื่อน เนื่องจากยังคงรับประทานเนื้อสุนัขและนับถือผีอย่างเคร่งครัดอยู่นั่นเอง สำหรับพิธีศพ ละว้าบ้านบ่อหลวง มีการนิมนต์พระมาทำพิธีทางพุทธศาสนา แต่ก็ยังคงไม่ละทิ้งเคล็ดความเชื่อตามจารีตเดิมอยู่ ส่วนละว้าบ้านห้วยสิงห์ ละว้าบ้านจอมแจ้งนับถือทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ปนกัน (หน้า 120-121) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เมื่อเจ็บป่วยจะมีการรับประทานยาสมุนไพรหรือต้มรากไม้ นอกจากนี้ยังมีการใช้ไก่ สุนัขและสุราเซ่นผี ทั้งยังขับไล่ผีออกจากร่าง (หน้า 132) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กลุ่มละว้าล่าหัวมนุษย์ในรัฐฉานแต่งกายด้วยผ้าเตี่ยวสั้นสีดำ ไม่สวมเสื้อ บ้างก็ใช้ผ้าปิดระหว่างต้นขา หญิงสวมเสื้อผ้าชุดดำ ผ้านุ่งสั้นมีลายสีแดงสลับ หญิงละว้าเมืองเลินไม่เย็บผ้านุ่งแต่จะใช้ผ้าพันกาย โพกผ้าดำ ประดับลูกปัด สายสร้อยคอและมือ พันเชือกควั่นรอบเอว ใส่ตุ้มหูโลหะเงิน (หน้า 108-109) หญิงละว้าบ้านบ่อหลวงในอดีตใส่ชุดดำ มีขอบแดงที่ปลายแขน เสื้อยาวกว่าเอว ผ้าซิ่นพื้นสีดำสลับแดง-ขาว นิยมสวมกำไลข้อมือ (หน้า 116) ละว้าบ้านอุมพายนุ่งกางเกงขายาวก้นหย่อน เสื้อแขนยาวผ่าอกกลาง ชอบใช้สีขาวมากกว่าสีดำ ผู้หญิงนิยมใช้ชุดดำ ผ้านุ่งสลับสีแดงขาวเป็นลวดลาย สั้นแค่หัวเข่า สวมปลอกผ้าหุ้มน่องและปลอกหน้าแข้ง (หน้า 120) ละว้าตามป่าเขาในพื้นที่แถบแม่สะเรียง นิยมสวมเสื้อดำมีขลิบผ้าแดงที่ปลายแขนเสื้อ สวมผ้านุ่งสั้นทรงกระบอกแคบสีดำลายแดง นิยมสวมเสื้อสีขาวตัวยาวเหนือเข่า ใช้สีขาวมากกว่าสีดำ เสื้อกางเกงผู้ชายนิยมใช้สีขาว หญิงที่แต่งงานแล้วบ้างก็ใช้สีดำ บ้างก็ใช้เสื้อสีดำทับแขนเสื้อสีขาวอีกชั้น หญิงแม่เรือนสวมเสื้อสีขาวมาก มักทอผ้าขึ้นใช้เอง อาจเนื่องจากละว้าถิ่นนี้อยู่ใกล้กะเหรี่ยงและไทยใหญ่ จึงยืมสีขาวของสาวกะเหรี่ยงพรหมจารีมาใช้ เพราะละว้าถิ่นอื่นมักใช้สีดำ เครื่องประดับชายหญิงนิยมเจาะหู ใส่แผ่นทองเหลืองหรือใบลานม้วนกลมมีพู่ห้อยทำจากเส้นด้าย นิยมสูบกล้อง ประดับคอด้วยสร้อยลูกปัด - ลูกประคำสวมกำไลข้อมือเงินขดเป็นเกลียว ชายมีมีดสั้น - หุ้มโลหะเงินเหน็บไว้ที่เอว (หน้า 122) การสร้างที่อยู่อาศัย ละว้าในเขตอำเภอแม่สะเรียงนิยมสร้างบ้านยกพื้นสูง ขนาดพออยู่ หลังคาสูงคลุมฝาเรือนลงมา มีชานหน้าบ้านสำหรับประกอบกิจกรรมการทอผ้าปั่นฝ้าย ภายในห้องมีเตาไฟสุมไว้ตลอด ใช้เสื่อไม้ปูนอน หมอนทำด้วยท่อนไม้ ถือว่า การนอนบนที่นอนนุ่มเป็นเรื่องผิดจารีต อาจทำให้เจ็บป่วยได้ (หน้า 123-124) |
|
Folklore |
พงศาวดารเชียงตุงบันทึกว่า ละว้าเป็นคนพวกแรกที่ออกมาจากน้ำเต้าใบเดียวกับชนเผ่าอื่นๆ ซึ่งตรงกับตำนานเมืองสิบสองจุไทยเล่าว่า มนุษย์ 5 คู่ออกมาจากผลน้ำเต้าปุง ข่าออกมาเป็นคู่แรกแถบเดียนเบียนฟูหรือเมืองแถง แต่ไม่ยอมอาบน้ำชำระร่างกาย ที่หนองน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าหากผู้ใดอาบน้ำที่หนองฮกหนองฮายแล้ว จะมีร่างกายผ่องใส สติปัญญาเฉลียวฉลาด ข่าจึงมีผิวดำเตี้ย เป็นต้นกำเนิดของข่าและพวกม้อยในลาวและเวียดนาม พงศาวดารเมืองยองเล่าว่า แต่เดิมว้าตั้งหมู่บ้านอยู่รอบหนองน้ำเมืองยอง มีพญาลกเป็นหัวหน้า ต่อมามีพวกละว้าอพยพมาจากเชียงตุงมาอยู่ด้วย เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงส่งคนมาขอละว้าคืน แต่ท้าวลกไม่ยอมให้จึงเกิดการสู้รบกัน พญาลกรบชนะได้ยกไปตีหัวเมืองต่าง ๆ รวมถึงเมืองเชียงรุ้งของไทยลื้อ ต่อมาพญาลกพ่ายแพ้แก่โอรสเจ้าฟ้าเมืองเชียงรุ้ง จึงพากันหนีไปในเขตลาวกลายเป็นพวกข่า (ข้า) ต่าง ๆ เช่น ข่ามุ ข่าเม่ด ข่าฮอก ข่าเพน ฯลฯ (หน้า 103-104, 140-141) อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า มีกบยักษ์ 2 ผัวเมียชื่อ "ยาถำ" กับ "ยาไถ่" จับสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร ต่อมากบผัวเมียได้จับมนุษย์มากินเป็นอาหาร แล้วนำหัวกะโหลกใส่ตะกร้ามาแขวนบนเสา เมื่อทั้งคู่แก่ชราลงได้ไปดักเอาหลานของตนมากินเป็นอาหาร บรรดาบุตรชายทั้งเก้าปรึกษากัน แล้วก็พร้อมใจจับเอายาถำกับยาไถ่บิดามารดามาฆ่ากิน เกิดเป็นธรรมเนียมฆ่าบิดามารดาเมื่ออายุมากสืบต่อกันมา มีการสร้างกลองทองเหลืองทรงกลมมีรูปกบเกาะอยู่ริมกลอง เพื่อเป็นที่ระลึกว่าพวกข่ามีบรรพบุรุษเป็นกบ กลองนี้กะเหรี่ยงและข่าในลาวใช้ พม่าเรียก "กลองปะชี " แปลว่า "กลองกบ" ส่วนไทยเรียกกลองนี้ว่า "กลองมโหระทึก" (หน้า 106-107) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ละว้ามีเอกลักษณ์เฉพาะของชาติพันธุ์ประการหนึ่งคือ นิยมประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการเซ่นสังเวยผีด้วยการฆ่าสัตว์ (124 -128) การแต่งกายจะแตกต่างกันไปตามเผ่า (หน้า 108, 116, 120) ละว้าในจังหวัดเพชรบูรณ์หรือ "ชาวบน" มีรูปร่างเตี้ยกว่าปกติ ใบหน้าค่อนข้างกลม ผิวเนื้อดำแดง จมูกไม่โด่ง ริมฝีปากหนา นุ่งผ้าโจงกระเบน(ปัจจุบันนุ่งกางเกง) สูบกล้อง กินหมาก ชอบดื่มสุรา มีความชำนาญในการจักสานเสื่อลำแพน เสื่อหวาย กระบุง ตะกร้า (หน้า 133) ภาษาพูดมีสำเนียงเป็นเอกลักษณ์ คือ คล้ายเสียงกบร้อง ซึ่งเกี่ยวโยงกับตำนานความเชื่อที่ว่าละว้ามีต้นตระกูลเป็นกบ (หน้า 113) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อละว้าย้ายถิ่นไปอยู่ในสภาพสังคมใดก็จะเรียนรู้ภาษาถิ่นนั้นๆ ละว้าทางเหนือจะใช้ภาษาเหนือแทน จนลืมภาษาเดิมของตนเสียหมด อีกทั้งขนบจารีตประเพณีและวัฒนธรรมก็เปลี่ยนแปลงไปจนหมด ใช้ตามแบบชาวเหนือจนแทบ ไม่รู้เลยว่าเป็นหมู่บ้านละว้า (หน้า 113, 121) ละว้าจำนวน 45 หมู่บ้าน สามารถพูดภาษาละว้าได้เพียง 7-8 หมู่บ้านเท่านั้น ละว้าที่อยู่ใกล้กับกระเหรี่ยงเผ่าสะกอ สามารถพูดภาษาสะกอได้ (หน้า 112-113) ในสมัยที่การคมนาคมยังเข้าไม่ถึงหมู่บ้าน ละว้าจะรับจ้างสะพายสิ่งของ โดยนำของใส่ตะกร้าสะพายข้างหลัง ที่มีสายรัดคาดหน้าผากเรียกว่า "ป๋วด" หรือ "พวด" ผู้หญิงจะหาบสิ่งของ (หน้า 115) เมื่อละว้าบ้านบ่อหลวง บ้านบ่อสะลี๋ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่เลิกรับประทานเนื้อสุนัข ก็กลับมองละว้าบ้านอุมพายที่ยังนิยมรับประทานเนื้อสุนัขสีแดง ว่าเป็นพวกป่าเถื่อนล้าหลัง เพราะยังยึดคติจารีตแบบเดิมเช่นเดียวกับชาวจีนบางพวกที่นิยมรับประทานเนื้อสุนัขดำ (หน้า 120) |
|
Map/Illustration |
พิธีส่งเจ้าสาวของละว้า/การเล่นรำกระทบไม้ในงานศพของละว้า (หน้า 134) หญิงชาวละว้า/ละว้าตำข้าว (หน้า 135) ละว้าแม่สะเรียง (หน้า 136) บ้านชาวละว้าแม่สะเรียง/กระเปาะที่อยู่ของผีละมางเรียกว่า "ซะหล้อ" (หน้า 137) |
|
|