|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,การขานชื่อ,การสืบสกุลทางฝ่ายชาย |
Author |
Jane R. Hanks |
Title |
The Akha Patrilineage |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
Thailand Information Center. |
Total Pages |
22 |
Year |
2507 |
Source |
Cornell University, Department of Asian Studies. |
Abstract |
การสืบเชื้อสายของอาข่าเป็นการสืบเชื้อสายทางลำดับญาติผ่านฝ่ายชาย จุดเด่นของความเชื่อในหมู่ชาวอาข่า คือ การสืบทอดพิธีการขานชื่อบรรพบุรุษ ลักษณะการถ่ายจะเป็นแบบปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น(เฉพาะฝ่ายชาย) ลำดับชื่อของบรรพบุรุษ (พิธีการขานชื่อ) ปรากฏอยู่ในทุกๆ พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีศพ ที่เชื่อว่าหากมีการเอ่ยขานถึงรายชื่อบรรพบุรุษวิญญาณผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะพบกับความสุขร่วมกับสมาชิกหรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว |
|
Focus |
ความสำคัญในการสืบสายเลือด หรือสกุลของอาข่า |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่า ที่อาศัยอยู่ที่ดอยแสนใจ (ภาคเหนือของประเทศไทย) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Economy |
ไม่ระบุชัดเจน แต่ในการกล่าวถึงวิญญาณบรรพบุรุษ เทพเจ้า และที่มาของอาข่ารวมทั้งอาชีพของอาข่า ได้แก่ ล่าสัตว์ ทอผ้า (หน้า 7) |
|
Social Organization |
สมาชิกในกลุ่มของอาข่าไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือเด็ก หากเกิดการเสียชีวิตอย่างสงบภายในพื้นที่ของหมู่บ้าน หรือภายในเขตประตูหมู่บ้านผู้ที่จะทำการขานชื่อบรรพบุรุษของผู้ตายคือ หัวหน้าหรือพระประจำหมู่บ้านซึ่งตำแห่งนี้เป็นตำแหน่งที่สืบทอดกันมาทางฝ่ายชาย ดังนั้นในระดับครอบครัวของอาข่าเน้นให้เห็นความสำคัญแก่ฝ่ายชายเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการสืบสกุล มรดก การแต่งงานเป็นการแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย(หน้า 5) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนับถือบรรพบุรุษทางพ่อนั้น อาข่าจะให้ความสำคัญอย่างยิ่ง มีการลำดับบรรพบุรุษฝ่ายชายในพิธีศพเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะไปสู่โลกที่ดี และได้พบกับบรรพบุรุษ รายชื่อของบรรพบุรุษนั้นจะถูกถ่ายทอดทางฝ่ายชาย จากพ่อสู่ลูกชายคนโต และต่อๆ มา แน่นอนว่าชื่อเหล่านี้เป็นความลับเฉพาะในหมู่ผู้ชาย (หน้า 2-3) ความสำคัญของผู้ชายอาข่าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนที่สุด คือ ผู้ชายอาข่าสามารถมีภรรยาได้หลายคนหากภรรยาที่มีอยู่ไม่สามารถมีลูกชายได้ จำนวนของภรรยาจะไม่กำหนด หากยังไม่ได้ลูกชาย (หน้า 5) ในระดับกลุ่มหรือชนเผ่า อาข่ามีผู้นำที่ทำหน้าที่ทั้งในสังคมทั่วไปและพิธีกรรมความเชื่อทางศาสนา (หน้า 1) ระบบของสายตระกูล : ก่อนจะกล่าวถึงระบบสายตระกูลของอาข่า ในหมู่ของอาข่าเองจะปรากฏเทพเจ้าอยู่ 2 องค์ ได้แก่ เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและผืนดิน (M'ma & M'g'on) ทั้งสองมักปรากฏ หรือถูกกล่าวถึงคู่กันเสมอ ที่ต้องกล่าวถึงเทพเจ้าเนื่องจากอาข่าเชื่อว่าเดิม บรรพบุรุษของพวกเขา (Sumio) อาศัยและมีชีวิตอยู่ร่วมกับเทพเจ้าเหล่านี้ ก่อนจะเกิดการขัดแย้ง แล้วแยกตัวออกมาเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ของตนเอง รวมทั้งวิถีชีวิตภูมิปัญญาต่างจนกระทั่งเป็นอาข่าดังเช่นทุกวันนี้ ระบบของสายตระกูลจะแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนในการตั้งชื่อ กล่าวคือ บรรดาเทพเจ้า ชื่อจะมีทั้งสิ้น 2 พยางค์ ส่วน Sumio และผู้สืบทอดตระกูลต่อมาอีก 25 รุ่นจะมีชื่อ 3 พยางค์ และชื่อ 2 พยางค์จะกลับมาปรากฏอีกครั้งเมื่อมีการสืบเชื่อสาเกิน 25 รุ่น การจัดระบบพยางค์ในการตั้งชื่อดังกล่าวมีผลต่อการท่องจำเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นการจัดลำดับที่แยบยล รูปแบบของการตั้งชื่อภายในสายตระกูลเดียวกัน จะใช้ระบบ พยางค์หลังของชื่อก่อน(ชื่อพ่อ) จะเป็นพยางค์แรกของชื่อถัดมา (ชื่อลูก) เช่น ab (ชื่อพ่อ) bc (ชื่อลูก)ในระบบสามพยางค์ก็เช่นเดียวกัน แต่ระบบดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้หากเกิดการเสียชีวิตที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่นการป่วยตาย ชื่อของผู้ตายหรือเสียชีวิต ชื่อของผู้ที่สุขภาพแข็งแรงจะถูกนำมาให้แก่ผู้ที่กำลังป่วยเพื่อให้เกิดการรอดชีวิต หรือในกรณีที่เกิดลูกแฝด ชื่อของเด็กจะไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งตามระบบสายตระกูล(หน้า 7-9) |
|
Belief System |
ระบบสายตระกูลมีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงรายชื่อบรรพบุรุษ เพราะชื่อกันว่าบรรพบุรุษที่ปรากฏชื่อสายตระกูลนั้นเป็นวิญญาณที่คอยเฝ้าดูความเป็นไปและปกป้องคุ้มครองสมาชิกในตระกูล ดังนั้นจึงมีการขานชื่อบรรพบุรุษเป็นประจำทุกปีเพื่อขอให้วิญญาณบรรพบุรุษมาทำหน้าที่ดังกล่าว พิธีกรรมจะตกทอดสู่ชายหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งเมื่อเสียชีวิตไปแล้วจะกลายมาเป็นวิญญาณที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาสมาชิกในหมู่บ้านต่อไป หน้าที่ในฐานะของหัวหน้าหมู่บ้านและผู้นำทางความเชื่อนอกจากการเป็นพ่อของลูกแล้ว จะเน้นหนักไปในการเชื่อโยงระหว่างโลกปัจจุบันและโลกหลังความตาย ซึ่งระบบความเชื่อในเรื่องการขานชื่อนั้นสามารถจัดเป็นประเด็นได้ ดังนี้ 1. การขานชื่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว : เมื่อมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น พิธีศพจะจัดโดยสมาชิกในวงศ์ตระกูลเดียวกัน พิธีดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อส่งวิญญาณไปสู่ปรภพ หรือโลกหลังความตายได้อย่างเป็นสุข ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับศพ เมื่อมีการตายเกิดขึ้นในหมู่บ้านอาข่า นักบวชหรือหัวหน้าหมู่บ้านจะทำการบรรยายหรือขานชื่อถึงบรรพบุรุษของผู้ล่วงลับ โดยเริ่มจากชื่อของผู้ล่วงลับ ตามด้วยบิดาของผู้ล่วงลับ ต่อด้วยบิดาของบิดา เรื่อยไปจนกระทั่งครบราว 50 รุ่น เรื่อยไปจนถึงชื่อของบรรพบุรุษของอาข่าที่เป็นผู้สร้างชนเผ่า วิถีชีวิต และชื่อของวิญญาณที่เคยอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษอีก 9 ชื่อ หลักๆ ได้แก่ เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า M'ma ซึ่งมักมาคู่กับ M'g'on :7 ซึ่งชื่อของเทพเจ้าทั้ง 9 องค์นั้นโดยปกติแล้วเป็นชื่อที่มี 2 พยางค์ทั้งสิ้น โดยหลักๆ แล้วการขานชื่อจะยึดเอาบรรพบุรุษฝ่ายชายเป็นหลัก ต่อให้ผู้เสียชีวิตเป็นหญิง ก็จะใช้ชื่อทางฝ่ายบิดาและสายตระกูลทั้งหมดขาน (หน้า 1 - 2) 2. เหตุผลหรือจุดประสงค์ของพิธีกรรมการขานชื่อบรรพบุรุษ : จุดประสงค์สำคัญในพิธีกรรมการขานชื่อนั้นเพื่อช่วยในการช่วยให้วิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่ที่ที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นที่ที่บรรพบุรุษของวิญญาณนั้นอยู่ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการนำทางวิญญาณให้ได้รู้จักกับวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วก่อนหน้าและอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษได้อย่างมีความสุข การขานชื่อจะเริ่มต้นด้วยชื่อของพ่อผู้ตาย ซึ่งถือว่าเป็นญาติฝ่ายชายที่ใกล้เคียงที่สุด จากนั้นจึงขานชื่อสมาชิกไล่จากวิญญาณบรรพบุรุษ(Sumio) ไล่ลงมา ทั้งนี้มีการจัดเลี้ยงเพื่อเชิญวิญญาณในสายตระกูลมาทำความรู้จักและต้อนรับวิญญาณของผู้ที่เพิ่งจะล่วงลับเข้าสู่กลุ่มดังกล่าว พิธีดังกล่าวจะจัดขึ้นกับการเสียชีวิตอย่างสงบของสมาชิกภายในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือ เด็ก (หน้า 2) 3. พิธีกรรมการขานชื่อ : รายชื่อของสายบรรพบุรุษจะถูกขานโดย นักบวชหรือหัวหน้าหมู่บ้านที่มีคุณสมบัติเพียงพอ อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ขานชื่อนอกจากจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านและนักบวชแล้ว จะต้องมีความรู้ในเรื่องรายชื่อของสายตระกูลของผู้ล่วงลับเป็นอย่างดี เพราะหนึ่งตระกูลอาจมีสายตระกูลแตกแขนงออกมาหลายสาย ดังนั้นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ขานชื่อจึงมีอยู่เฉพาะหมู่บ้านของตนเท่านั้น แต่อาจจะรับผิดชอบขานชื่อบรรพบุรุษให้กับหมู่บ้านหรือสายตระกูลเล็ก ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกันก็ได้ หากสืบค้นแล้วพบว่าน่าจะมาจากสายตระกูลเดียวกัน แต่การรับทราบรายชื่อของสายตระกูลนั้นจัดเป็นหน้าที่ของผู้ชายอาข่าทุกคน ทั้งนี้อาจจะมีการสืบทอดหน้าที่ต่อๆ กันไปได้แล้วแต่กรณี การรับทราบรายชื่อดังกล่าวจำเป็นจะต้องรับทราบถึงรายชื่อบรรพบุรุษฝ่ายชายของภรรยาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษของลูกชายคนโต การเรียนรู้ในการขานชื่อนั้นลูกชายคนโตจะสืบทอดต่อมาจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งหากพ่อเสียชีวิต ผู้ที่ทำหน้าที่สอนต่อมาให้กับลูกชายคนรองและคนอื่นๆ คือลูกชายคนโตนั่นเอง หากผู้เป็นพ่อเสียชีวิตก่อนที่ลูกชายคนโตจะรับทราบรายชื่อดังกล่าว ผู้ที่ทำหน้าที่ในการสอนคือ หัวหน้าหรือนักบวชประจำหมู่บ้าน ทั้งนี้เพื่อให้รายชื่อของบรรพบุรุษสามารถสืบทอดต่อไปได้โดยไม่สูญหายไป ลูกชายที่เป็นสมาชิกภายในบ้านจะได้ยินการขานชื่อจากผู้เป็นพ่อตั้งแต่ยังเล็ก แต่จะยังไม่มีความแม่นยำจนกว่าจะอายุได้ 30 ปี การสอนเรื่องการขานชื่อนี้ผู้หญิงจะไม่ได้รับการถ่ายทอด การถ่ายทอดไม่ถือว่าเป็นความลับ ดังนั้นเด็กในบ้านไม่ว่าชายหรือหญิงอาจจะได้ยินการสอนดังกล่าวได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการขานชื่อก็ยังจัดได้ว่าไม่เรื่องที่เป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายหญิง การขานชื่อโดยปกติจะขานเงียบๆ และจะกระตือรือร้นไปจนถึงขั้นตะโกนก็ต่อเมื่อใกล้จะถึงชื่อสุดท้าย(หน้า 3-4) 4.สถานการณ์ที่มีการขานชื่อ : เมื่อชายอาข่าเดินทางไปยังหมู่บ้านอื่น หรือพบปะกับคนต่างหมู่บ้านจะมีการบอกกล่าวชื่อบรรพบุรุษของตนในแบบสรุปให้แก่ผู้ที่พบปะด้วย เพื่อเป็นการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างบรรพบุรุษที่อาจมีต่อกัน ทั้งนี้เป็นการติดต่อสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในภายหลัง นอกจากนี้การขานชื่ออาจจะเป็นประโยชน์ในการหาความสัมพันธ์ ในกรณีที่มีการอพยพไปอยู่หมู่บ้านอื่น หรือการแต่งงานออกไปยังหมู่บ้านอื่น ผู้ที่ทำหน้าที่ (นักบวชหรือหัวหน้าหมู่บ้าน) ในพิธีการขานชื่อจำเป็นจะต้องรับภาระภายหลังการแต่งงาน คู่แต่งงานใหม่จะอาศัยอยู่กับพ่อของฝ่ายชาย เมื่อพ่อของฝ่ายชายเสียชีวิตลง หากที่บ้านอยู่กันอย่างหนาแน่น หรือเกิดความขัดแย้งกันระหว่างลูกชายของบ้าน อาจจะมีการย้ายออกไปอยู่ที่อื่นของครอบครัวลูกชายครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ซึ่งครอบครัวที่ย้ายออกไป หัวหน้าครอบครัวจะต้องสามารถขานชื่อบรรพบุรุษของบ้านเดิมได้ ความสำคัญของผู้ชายในหมู่อาข่าจึงมีมาก เนื่องจากภาระรับผิดชอบในแง่ของพิธีกรรมจะรับช่วงโดยลูกชายไม่ใช่ลูกสาว ดังนั้นหากคู่สมรสใดไม่มีบุตรชาย สามีสามารถมีภรรยาได้ไม่จำกัดจำนวน จนกว่าจะมีลูกชายไว้สืบทอดมรดก หรือเรื่องราวของครอบครัว สำหรับในแง่ของชีวิตหลังความตาย ฝ่ายชายจะมีชีวิตในโลกหน้ากับบรรพบุรุษของตนเอง เช่นเดียวกับฝ่ายหญิงที่เมื่อตายไปแล้วเชื่อว่าวิญญาณจะกลับสู่มาตุภูมิเดิม แต่หากชีวิตสมรสยาวนาน ลูกๆ ที่เสียชีวิตอาจจะได้กลับมาอยู่กับวิญาณของพ่อแม่ ด้วยเหตุนี้จึงมีการเฉลิมฉลองที่ค่อนข้างหรูหรา ของที่ใช้ในพิธีมีราคา เช่น เงิน หมู นม ของเหล่านี้เชื่อกันว่าสามารถนำไปใช้ หรือกินในโลกหน้า อาจกล่าวได้ว่าอาข่าขานชื่อเพื่อให้ชีวิตหลังความตายของตนได้กลับไปอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวเดียวกันอย่างมีความสุข (หน้า 4-6) ระบบการตั้งชื่อของอาข่า เป็นระบบที่ทำให้สามารถท่องจำได้ และสืบค้นบรรพบุรุษได้โดยง่าย เช่น ปู่ชื่อ ab พ่อชื่อ bc ลูกชื่อ cd เป็นต้น (หน้า 20) อาข่าไม่ใช่ชนกลุ่มเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีระบบการยึดถือบรรพบุรุษ โดยการสืบทอดแบบปากต่อปาก ระบบดังกล่าวปรากฏกับกลุ่มคนที่ใช้ภาษาในตระกูล พม่า-ธิเบต เช่นคะฉิ่น ลัวะ เนื่องจากกลุ่มชนดังกล่าวมีเส้นทางการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาโดยตลอด วิธีการสืบค้นบรรพบุรุษจึงเป็นเหมือนภูมิปัญญาที่แยบยลในสืบจากรุ่นสู่รุ่น โดยการใช้ความเชื่อเป็นสิ่งนำ และจากความเชื่อเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นระบบทางสังคมไปโดยปริยาย |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ความเชื่อของอาข่านอกจากวิญญาณบรรพบุรุษฝ่ายชายแล้ว ยังมีความเชื่อในเรื่องหรือตำนานของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและเทพเจ้าแห่ง (M'ma และ M'g'on) ซึ่งผู้เขียนคาดว่าเทพเจ้าทั้งสองน่าจะเป็นพี่น้องกัน นอกจากนี้มีการเล่าถึงวิญญาณที่ไม่มีวันสลาย และบรรพบุรุษอาข่า(Sumio) มีการตกลงที่จะอยู่ร่วมกันในโลกที่ไม่มีความตาย ต่อมามีลิงมาตายลงแทบเท้าของ Sumio Sumio ห่อศพลิงขึ้นมาและหลอกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นคน ทั้งสองจึงเกิดความขัดแย้งกัน นับแต่นั้นมาทั้งสองก็แยกออกจากกัน Sumio ออกมาสร้างเผ่าพันธุ์ที่เป็นอาข่า ที่มาของพิธีกรรม และการดำรงชีวิต (หน้า 7) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มีการกล่าวถึงชนเผ่าอื่นในแง่ของการแต่งงานเข้าอาข่า เช่น ฉาน (หน้า 13) เย้า และล่าหู่ (หน้า 18) การแต่งงานข้ามชนเผ่าโดยเฉพาะกับฉาน อาข่าจะถือว่าคนที่แต่งเข้ามาเป็นคนต่างถิ่น สิทธิต่างๆ ไม่มีเทียบเม่ากับอาข่า โดยเฉพาะฉานอาจเปรียบได้กับสถานะคนรับใช้ในหมู่อาข่า (หน้า 18) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและประเพณีในหมู่บ้านอาข่าเองแทบจะไม่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม วิถีชีวิต นอกจากจะเกิดการแต่งงานข้ามชนเผ่าและฝ่ายหญิงเป็นผู้แต่งออกไป พิธีกรรมและความเชื่อบางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง (หน้า 12) |
|
|