สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,การขานชื่อ,การสืบสกุลทางฝ่ายชาย
Author Jane R. Hanks
Title The Akha Patrilineage
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
Thailand Information Center. Total Pages 22 Year 2507
Source Cornell University, Department of Asian Studies.
Abstract

การสืบเชื้อสายของอาข่าเป็นการสืบเชื้อสายทางลำดับญาติผ่านฝ่ายชาย จุดเด่นของความเชื่อในหมู่ชาวอาข่า คือ การสืบทอดพิธีการขานชื่อบรรพบุรุษ ลักษณะการถ่ายจะเป็นแบบปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น(เฉพาะฝ่ายชาย) ลำดับชื่อของบรรพบุรุษ (พิธีการขานชื่อ) ปรากฏอยู่ในทุกๆ พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีศพ ที่เชื่อว่าหากมีการเอ่ยขานถึงรายชื่อบรรพบุรุษวิญญาณผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะพบกับความสุขร่วมกับสมาชิกหรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว

Focus

ความสำคัญในการสืบสายเลือด หรือสกุลของอาข่า

Theoretical Issues

ไม่ระบุ

Ethnic Group in the Focus

อาข่า ที่อาศัยอยู่ที่ดอยแสนใจ (ภาคเหนือของประเทศไทย)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ระบุ

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่ระบุ

Settlement Pattern

ไม่ระบุ

Demography

ไม่ระบุ

Economy

ไม่ระบุชัดเจน แต่ในการกล่าวถึงวิญญาณบรรพบุรุษ เทพเจ้า และที่มาของอาข่ารวมทั้งอาชีพของอาข่า ได้แก่ ล่าสัตว์ ทอผ้า (หน้า 7)

Social Organization

สมาชิกในกลุ่มของอาข่าไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือเด็ก หากเกิดการเสียชีวิตอย่างสงบภายในพื้นที่ของหมู่บ้าน หรือภายในเขตประตูหมู่บ้านผู้ที่จะทำการขานชื่อบรรพบุรุษของผู้ตายคือ หัวหน้าหรือพระประจำหมู่บ้านซึ่งตำแห่งนี้เป็นตำแหน่งที่สืบทอดกันมาทางฝ่ายชาย ดังนั้นในระดับครอบครัวของอาข่าเน้นให้เห็นความสำคัญแก่ฝ่ายชายเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการสืบสกุล มรดก การแต่งงานเป็นการแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย(หน้า 5) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนับถือบรรพบุรุษทางพ่อนั้น อาข่าจะให้ความสำคัญอย่างยิ่ง มีการลำดับบรรพบุรุษฝ่ายชายในพิธีศพเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะไปสู่โลกที่ดี และได้พบกับบรรพบุรุษ รายชื่อของบรรพบุรุษนั้นจะถูกถ่ายทอดทางฝ่ายชาย จากพ่อสู่ลูกชายคนโต และต่อๆ มา แน่นอนว่าชื่อเหล่านี้เป็นความลับเฉพาะในหมู่ผู้ชาย (หน้า 2-3) ความสำคัญของผู้ชายอาข่าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนที่สุด คือ ผู้ชายอาข่าสามารถมีภรรยาได้หลายคนหากภรรยาที่มีอยู่ไม่สามารถมีลูกชายได้ จำนวนของภรรยาจะไม่กำหนด หากยังไม่ได้ลูกชาย (หน้า 5) ในระดับกลุ่มหรือชนเผ่า อาข่ามีผู้นำที่ทำหน้าที่ทั้งในสังคมทั่วไปและพิธีกรรมความเชื่อทางศาสนา (หน้า 1) ระบบของสายตระกูล : ก่อนจะกล่าวถึงระบบสายตระกูลของอาข่า ในหมู่ของอาข่าเองจะปรากฏเทพเจ้าอยู่ 2 องค์ ได้แก่ เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและผืนดิน (M'ma & M'g'on) ทั้งสองมักปรากฏ หรือถูกกล่าวถึงคู่กันเสมอ ที่ต้องกล่าวถึงเทพเจ้าเนื่องจากอาข่าเชื่อว่าเดิม บรรพบุรุษของพวกเขา (Sumio) อาศัยและมีชีวิตอยู่ร่วมกับเทพเจ้าเหล่านี้ ก่อนจะเกิดการขัดแย้ง แล้วแยกตัวออกมาเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ของตนเอง รวมทั้งวิถีชีวิตภูมิปัญญาต่างจนกระทั่งเป็นอาข่าดังเช่นทุกวันนี้ ระบบของสายตระกูลจะแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนในการตั้งชื่อ กล่าวคือ บรรดาเทพเจ้า ชื่อจะมีทั้งสิ้น 2 พยางค์ ส่วน Sumio และผู้สืบทอดตระกูลต่อมาอีก 25 รุ่นจะมีชื่อ 3 พยางค์ และชื่อ 2 พยางค์จะกลับมาปรากฏอีกครั้งเมื่อมีการสืบเชื่อสาเกิน 25 รุ่น การจัดระบบพยางค์ในการตั้งชื่อดังกล่าวมีผลต่อการท่องจำเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นการจัดลำดับที่แยบยล รูปแบบของการตั้งชื่อภายในสายตระกูลเดียวกัน จะใช้ระบบ พยางค์หลังของชื่อก่อน(ชื่อพ่อ) จะเป็นพยางค์แรกของชื่อถัดมา (ชื่อลูก) เช่น ab (ชื่อพ่อ) bc (ชื่อลูก)ในระบบสามพยางค์ก็เช่นเดียวกัน แต่ระบบดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้หากเกิดการเสียชีวิตที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่นการป่วยตาย ชื่อของผู้ตายหรือเสียชีวิต ชื่อของผู้ที่สุขภาพแข็งแรงจะถูกนำมาให้แก่ผู้ที่กำลังป่วยเพื่อให้เกิดการรอดชีวิต หรือในกรณีที่เกิดลูกแฝด ชื่อของเด็กจะไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งตามระบบสายตระกูล(หน้า 7-9)

Political Organization

ไม่ระบุ

Belief System

ระบบสายตระกูลมีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงรายชื่อบรรพบุรุษ เพราะชื่อกันว่าบรรพบุรุษที่ปรากฏชื่อสายตระกูลนั้นเป็นวิญญาณที่คอยเฝ้าดูความเป็นไปและปกป้องคุ้มครองสมาชิกในตระกูล ดังนั้นจึงมีการขานชื่อบรรพบุรุษเป็นประจำทุกปีเพื่อขอให้วิญญาณบรรพบุรุษมาทำหน้าที่ดังกล่าว พิธีกรรมจะตกทอดสู่ชายหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งเมื่อเสียชีวิตไปแล้วจะกลายมาเป็นวิญญาณที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาสมาชิกในหมู่บ้านต่อไป หน้าที่ในฐานะของหัวหน้าหมู่บ้านและผู้นำทางความเชื่อนอกจากการเป็นพ่อของลูกแล้ว จะเน้นหนักไปในการเชื่อโยงระหว่างโลกปัจจุบันและโลกหลังความตาย ซึ่งระบบความเชื่อในเรื่องการขานชื่อนั้นสามารถจัดเป็นประเด็นได้ ดังนี้ 1. การขานชื่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว : เมื่อมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น พิธีศพจะจัดโดยสมาชิกในวงศ์ตระกูลเดียวกัน พิธีดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อส่งวิญญาณไปสู่ปรภพ หรือโลกหลังความตายได้อย่างเป็นสุข ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับศพ เมื่อมีการตายเกิดขึ้นในหมู่บ้านอาข่า นักบวชหรือหัวหน้าหมู่บ้านจะทำการบรรยายหรือขานชื่อถึงบรรพบุรุษของผู้ล่วงลับ โดยเริ่มจากชื่อของผู้ล่วงลับ ตามด้วยบิดาของผู้ล่วงลับ ต่อด้วยบิดาของบิดา เรื่อยไปจนกระทั่งครบราว 50 รุ่น เรื่อยไปจนถึงชื่อของบรรพบุรุษของอาข่าที่เป็นผู้สร้างชนเผ่า วิถีชีวิต และชื่อของวิญญาณที่เคยอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษอีก 9 ชื่อ หลักๆ ได้แก่ เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า M'ma ซึ่งมักมาคู่กับ M'g'on :7 ซึ่งชื่อของเทพเจ้าทั้ง 9 องค์นั้นโดยปกติแล้วเป็นชื่อที่มี 2 พยางค์ทั้งสิ้น โดยหลักๆ แล้วการขานชื่อจะยึดเอาบรรพบุรุษฝ่ายชายเป็นหลัก ต่อให้ผู้เสียชีวิตเป็นหญิง ก็จะใช้ชื่อทางฝ่ายบิดาและสายตระกูลทั้งหมดขาน (หน้า 1 - 2) 2. เหตุผลหรือจุดประสงค์ของพิธีกรรมการขานชื่อบรรพบุรุษ : จุดประสงค์สำคัญในพิธีกรรมการขานชื่อนั้นเพื่อช่วยในการช่วยให้วิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่ที่ที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นที่ที่บรรพบุรุษของวิญญาณนั้นอยู่ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการนำทางวิญญาณให้ได้รู้จักกับวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วก่อนหน้าและอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษได้อย่างมีความสุข การขานชื่อจะเริ่มต้นด้วยชื่อของพ่อผู้ตาย ซึ่งถือว่าเป็นญาติฝ่ายชายที่ใกล้เคียงที่สุด จากนั้นจึงขานชื่อสมาชิกไล่จากวิญญาณบรรพบุรุษ(Sumio) ไล่ลงมา ทั้งนี้มีการจัดเลี้ยงเพื่อเชิญวิญญาณในสายตระกูลมาทำความรู้จักและต้อนรับวิญญาณของผู้ที่เพิ่งจะล่วงลับเข้าสู่กลุ่มดังกล่าว พิธีดังกล่าวจะจัดขึ้นกับการเสียชีวิตอย่างสงบของสมาชิกภายในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือ เด็ก (หน้า 2) 3. พิธีกรรมการขานชื่อ : รายชื่อของสายบรรพบุรุษจะถูกขานโดย นักบวชหรือหัวหน้าหมู่บ้านที่มีคุณสมบัติเพียงพอ อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ขานชื่อนอกจากจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านและนักบวชแล้ว จะต้องมีความรู้ในเรื่องรายชื่อของสายตระกูลของผู้ล่วงลับเป็นอย่างดี เพราะหนึ่งตระกูลอาจมีสายตระกูลแตกแขนงออกมาหลายสาย ดังนั้นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ขานชื่อจึงมีอยู่เฉพาะหมู่บ้านของตนเท่านั้น แต่อาจจะรับผิดชอบขานชื่อบรรพบุรุษให้กับหมู่บ้านหรือสายตระกูลเล็ก ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกันก็ได้ หากสืบค้นแล้วพบว่าน่าจะมาจากสายตระกูลเดียวกัน แต่การรับทราบรายชื่อของสายตระกูลนั้นจัดเป็นหน้าที่ของผู้ชายอาข่าทุกคน ทั้งนี้อาจจะมีการสืบทอดหน้าที่ต่อๆ กันไปได้แล้วแต่กรณี การรับทราบรายชื่อดังกล่าวจำเป็นจะต้องรับทราบถึงรายชื่อบรรพบุรุษฝ่ายชายของภรรยาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษของลูกชายคนโต การเรียนรู้ในการขานชื่อนั้นลูกชายคนโตจะสืบทอดต่อมาจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งหากพ่อเสียชีวิต ผู้ที่ทำหน้าที่สอนต่อมาให้กับลูกชายคนรองและคนอื่นๆ คือลูกชายคนโตนั่นเอง หากผู้เป็นพ่อเสียชีวิตก่อนที่ลูกชายคนโตจะรับทราบรายชื่อดังกล่าว ผู้ที่ทำหน้าที่ในการสอนคือ หัวหน้าหรือนักบวชประจำหมู่บ้าน ทั้งนี้เพื่อให้รายชื่อของบรรพบุรุษสามารถสืบทอดต่อไปได้โดยไม่สูญหายไป ลูกชายที่เป็นสมาชิกภายในบ้านจะได้ยินการขานชื่อจากผู้เป็นพ่อตั้งแต่ยังเล็ก แต่จะยังไม่มีความแม่นยำจนกว่าจะอายุได้ 30 ปี การสอนเรื่องการขานชื่อนี้ผู้หญิงจะไม่ได้รับการถ่ายทอด การถ่ายทอดไม่ถือว่าเป็นความลับ ดังนั้นเด็กในบ้านไม่ว่าชายหรือหญิงอาจจะได้ยินการสอนดังกล่าวได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการขานชื่อก็ยังจัดได้ว่าไม่เรื่องที่เป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายหญิง การขานชื่อโดยปกติจะขานเงียบๆ และจะกระตือรือร้นไปจนถึงขั้นตะโกนก็ต่อเมื่อใกล้จะถึงชื่อสุดท้าย(หน้า 3-4) 4.สถานการณ์ที่มีการขานชื่อ : เมื่อชายอาข่าเดินทางไปยังหมู่บ้านอื่น หรือพบปะกับคนต่างหมู่บ้านจะมีการบอกกล่าวชื่อบรรพบุรุษของตนในแบบสรุปให้แก่ผู้ที่พบปะด้วย เพื่อเป็นการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างบรรพบุรุษที่อาจมีต่อกัน ทั้งนี้เป็นการติดต่อสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในภายหลัง นอกจากนี้การขานชื่ออาจจะเป็นประโยชน์ในการหาความสัมพันธ์ ในกรณีที่มีการอพยพไปอยู่หมู่บ้านอื่น หรือการแต่งงานออกไปยังหมู่บ้านอื่น ผู้ที่ทำหน้าที่ (นักบวชหรือหัวหน้าหมู่บ้าน) ในพิธีการขานชื่อจำเป็นจะต้องรับภาระภายหลังการแต่งงาน คู่แต่งงานใหม่จะอาศัยอยู่กับพ่อของฝ่ายชาย เมื่อพ่อของฝ่ายชายเสียชีวิตลง หากที่บ้านอยู่กันอย่างหนาแน่น หรือเกิดความขัดแย้งกันระหว่างลูกชายของบ้าน อาจจะมีการย้ายออกไปอยู่ที่อื่นของครอบครัวลูกชายครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ซึ่งครอบครัวที่ย้ายออกไป หัวหน้าครอบครัวจะต้องสามารถขานชื่อบรรพบุรุษของบ้านเดิมได้ ความสำคัญของผู้ชายในหมู่อาข่าจึงมีมาก เนื่องจากภาระรับผิดชอบในแง่ของพิธีกรรมจะรับช่วงโดยลูกชายไม่ใช่ลูกสาว ดังนั้นหากคู่สมรสใดไม่มีบุตรชาย สามีสามารถมีภรรยาได้ไม่จำกัดจำนวน จนกว่าจะมีลูกชายไว้สืบทอดมรดก หรือเรื่องราวของครอบครัว สำหรับในแง่ของชีวิตหลังความตาย ฝ่ายชายจะมีชีวิตในโลกหน้ากับบรรพบุรุษของตนเอง เช่นเดียวกับฝ่ายหญิงที่เมื่อตายไปแล้วเชื่อว่าวิญญาณจะกลับสู่มาตุภูมิเดิม แต่หากชีวิตสมรสยาวนาน ลูกๆ ที่เสียชีวิตอาจจะได้กลับมาอยู่กับวิญาณของพ่อแม่ ด้วยเหตุนี้จึงมีการเฉลิมฉลองที่ค่อนข้างหรูหรา ของที่ใช้ในพิธีมีราคา เช่น เงิน หมู นม ของเหล่านี้เชื่อกันว่าสามารถนำไปใช้ หรือกินในโลกหน้า อาจกล่าวได้ว่าอาข่าขานชื่อเพื่อให้ชีวิตหลังความตายของตนได้กลับไปอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวเดียวกันอย่างมีความสุข (หน้า 4-6) ระบบการตั้งชื่อของอาข่า เป็นระบบที่ทำให้สามารถท่องจำได้ และสืบค้นบรรพบุรุษได้โดยง่าย เช่น ปู่ชื่อ ab พ่อชื่อ bc ลูกชื่อ cd เป็นต้น (หน้า 20) อาข่าไม่ใช่ชนกลุ่มเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีระบบการยึดถือบรรพบุรุษ โดยการสืบทอดแบบปากต่อปาก ระบบดังกล่าวปรากฏกับกลุ่มคนที่ใช้ภาษาในตระกูล พม่า-ธิเบต เช่นคะฉิ่น ลัวะ เนื่องจากกลุ่มชนดังกล่าวมีเส้นทางการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาโดยตลอด วิธีการสืบค้นบรรพบุรุษจึงเป็นเหมือนภูมิปัญญาที่แยบยลในสืบจากรุ่นสู่รุ่น โดยการใช้ความเชื่อเป็นสิ่งนำ และจากความเชื่อเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นระบบทางสังคมไปโดยปริยาย

Education and Socialization

ไม่ระบุ

Health and Medicine

ไม่ระบุ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ระบุ

Folklore

ความเชื่อของอาข่านอกจากวิญญาณบรรพบุรุษฝ่ายชายแล้ว ยังมีความเชื่อในเรื่องหรือตำนานของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและเทพเจ้าแห่ง (M'ma และ M'g'on) ซึ่งผู้เขียนคาดว่าเทพเจ้าทั้งสองน่าจะเป็นพี่น้องกัน นอกจากนี้มีการเล่าถึงวิญญาณที่ไม่มีวันสลาย และบรรพบุรุษอาข่า(Sumio) มีการตกลงที่จะอยู่ร่วมกันในโลกที่ไม่มีความตาย ต่อมามีลิงมาตายลงแทบเท้าของ Sumio Sumio ห่อศพลิงขึ้นมาและหลอกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นคน ทั้งสองจึงเกิดความขัดแย้งกัน นับแต่นั้นมาทั้งสองก็แยกออกจากกัน Sumio ออกมาสร้างเผ่าพันธุ์ที่เป็นอาข่า ที่มาของพิธีกรรม และการดำรงชีวิต (หน้า 7)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มีการกล่าวถึงชนเผ่าอื่นในแง่ของการแต่งงานเข้าอาข่า เช่น ฉาน (หน้า 13) เย้า และล่าหู่ (หน้า 18) การแต่งงานข้ามชนเผ่าโดยเฉพาะกับฉาน อาข่าจะถือว่าคนที่แต่งเข้ามาเป็นคนต่างถิ่น สิทธิต่างๆ ไม่มีเทียบเม่ากับอาข่า โดยเฉพาะฉานอาจเปรียบได้กับสถานะคนรับใช้ในหมู่อาข่า (หน้า 18)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและประเพณีในหมู่บ้านอาข่าเองแทบจะไม่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม วิถีชีวิต นอกจากจะเกิดการแต่งงานข้ามชนเผ่าและฝ่ายหญิงเป็นผู้แต่งออกไป พิธีกรรมและความเชื่อบางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง (หน้า 12)

Map/Illustration

ไม่มีข้อมูล

Text Analyst ศิริเพ็ญ วรปัสสุ Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG อาข่า, การขานชื่อ, การสืบสกุลทางฝ่ายชาย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง