สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู,วิถีชีวิต,การเพาะปลูก,ครอบครัว,ความเชื่อ,ภาคเหนือ
Author บุญช่วย ศรีสวัสดิ์
Title แข่ลีซอ
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 36 Year 2545
Source ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2506 โดย สำนักพิมพ์ โอเดียนสโตร์)
Abstract

"ลีซอ" เป็นชื่อที่คนไทยใช้เรียกชาวเขาเผ่าหนึ่งซึ่งนิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่สงบห่างไกล เนื่องจากนิยมปลูกฝิ่น เรียกตนเองว่า "ลีซู" นิยมปลูกบ้านเรือนติดพื้นดิน บ้านของลีซอมีประตูเข้าด้านหน้าประตูเดียวเรียกว่า "ประตูผีออก" มีประเพณีห้ามหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้วกลับเข้าบ้านทางประตูนี้โดยไม่มีสามีพามา หญิงลีซอนิยมแสกผมกลางเกล้ามวยแล้วโพกผ้าสีดำผืนใหญ่ ความสุขของชายลีซอคือ "การดื่มสุรา ดื่มน้ำชา รับประทานอาหารและร่วมประเวณี" ชายหญิงลีซอไม่ถือเรื่องการมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงาน มีประเพณีพาหนีแล้วจึงมาสู่ขอ เมื่อแต่งงานแล้วหญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย ลีซอนิยมบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ลีซูประกอบอาชีพปลูกฝิ่น ไม่ชำนาญด้านการล่าสัตว์เหมือนมูเซอแดง นิยมเพาะปลูกข้าวไว้พอบริโภคภายในครอบครัวทั้งยังทำไร่ข้าวโพดไว้ใช้เลี้ยงหมูและไก่ ลีซอนับถือผีและดวงวิญญาณบรรพบุรุษ มีการตั้งแท่นบูชาเรียกว่า "ตาบิ" มีผู้นำทางศาสนาหรือหมอผีประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ มีการเซ่นบูชาผีฟ้า ประเพณีที่สำคัญ เช่น การทำบุญทานศาลา งานกินฟ้าหรือกินวอ (งานฉลองปีใหม่) งานเต้นรำของลีซอเรียกว่า "เอี๊ยหยาม่า" หรือ "เทียวโก" ถือเป็นการพลีกรรมถวายผีฟ้าและผีเรือน พิธีเรียกขวัญหรือ "โซฮาคู"

Focus

ศึกษาสภาพสังคม วิถีชีวิต วัฒนธรรมและความเชื่อของชนเผ่าลีซู

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

แข่ลีซอ ผู้วิจัยเรียกว่า "ลีซู"

Language and Linguistic Affiliations

แข่ลีซอ เรียกตนเองว่า "ลีซู " ชาวไทยเรียกว่า "ลีซอ" ชาวจีนเรียกเพี้ยนเป็น "ลีโซ" หรือ "ลีซือ" ส่วนคำเรียก "แข่ลีซอ" เป็นชื่อที่ชาวไทยใหญ่และไทย-จีนใช้เรียกชนเผ่านี้ "แข่" แปลว่า ชาวจีนกลางตามความหมายของไทยใหญ่ (หน้า 285) ลีซอรู้ภาษาจีนฮ่อ มูเซอ ก้อ ไทยใหญ่และภาษาท้องถิ่นทางภาคเหนือของไทย มีคำนำหน้านามว่า "อา" ซึ่งใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในขณะที่ฝ่ายหญิงมีคำลงท้ายว่า "ม่า" เสมอ คำต่อท้ายนามสำหรับฝ่ายชายคือ "ผ่า" หากมีเชื้อสายจีนฮ่อมักใช้ว่า "เลา" (หน้า 291-292)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

ถิ่นฐานเดิมของลีซูอยู่ต้นน้ำสาละวิน ต่อมาได้อพยพไปอยู่ทางทิศตะวันตก ในรัฐกะฉิ่น แม่น้ำมายกะ กระจัดกระจายตามหุบเขาของลำน้ำเมา (ส่วยลี่) เหนือเมืองเตงเยน กระจัดกระจายทางทิศตะวันออกถึงฝั่งแม่น้ำโขง อพยพไปยังทิศใต้ของรัฐฉาน (ไทยใหญ่) พม่า ลาวเหนือและไทย ลีซูเป็นชนชาติที่นิยมการผจญภัย จึงมักเร่ร่อนไปไกลจากถิ่นเดิม ลีซูในประเทศไทยอพยพมาจากเขตเชียงตุงและเมืองปั่นเมื่อ 50 ปีมานี้ ลีซูบ้านสันกำแพง อ.แม่จันเดิมเคยอยู่บนเขาหมอกฟ้าเมืองเลิน (ในเขต เมืองว้า ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเชียงตุง) ภายหลังย้ายเข้ามาอยู่บนดอยน้ำขากแล้วจึงอพยพมาอยู่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย เมื่อ 50 ปีมานี้ (หน้า 286-287) ลีซอตระกูลลีจาและตระกูลเลาลีเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบสายมาจากพวกจีนฮ่อ (มณฑลยูนนาน) พวกสืบสายเลือดจีนผสมลีซอ ถือขนบเคร่งครัดกว่าพวกลีซอแท้ (หน้า 285-288)

Settlement Pattern

ลีซูมักตั้งบ้านเรือนในที่สงบ บนเขาสูงตามที่ลาดตอนกลางระหว่างเขา สามารถใช้กำบังลมได้ บ้านลีซูปลูกอยู่ใกล้กัน หมู่บ้านหนึ่งมีประมาณ 15-50 หลังคาเรือนตัวบ้านลีซูส่วนใหญ่อยู่ติดกับพื้นดิน บางหมู่บ้านในเขตอำเภอเชียงดาวยกพื้นสูงจากพื้นดินเล็กน้อย เสาบ้านทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยใบคาพาดบนคานไม้ไผ่เรียงเป็นรูปตาราง ปล่อยชายยาวลงมาเกือบจรดพื้นดิน ทุกบ้านกั้นรั้วสานจากไม้ไผ่สูงแค่บั้นเอว บริเวณบ้านประกอบด้วยตัวบ้านหลังเล็ก เล้าไก่ ยุ้งข้าว โรงม้า มีลำไม้ไผ่ใช้แทนท่อประปาเป็นรางรองรับน้ำจากบนเขาลงมาใช้ภายในหมู่บ้านทั่วทุกครัวเรือน มีประตูทางเข้าด้านหน้าประตูเดียวเรียกว่า "ประตูผีออก" ภายในบ้านมีเตาไฟตั้งติดพื้นดินสุมไว้ตลอดเวลา ใช้หุงต้มและให้ความอบอุ่น และเตาไฟสำหรับต้มสุราและต้มอาหารให้สัตว์เลี้ยง ภายในบ้านลีซอจึงมักอบอวลไปด้วยควันไฟ และมีกาน้ำชาซึ่งมีน้ำร้อนเสมอ ในบ้านแบ่งห้องเป็นห้องนอนเจ้าของบ้าน ห้องนอนเด็กและผู้หญิง ห้องรับแขก ระหว่างห้องนอนเจ้าของบ้านและห้องนอนแขกมีพื้นดินโล่งกั้นกลาง มีแท่นบูชาดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ติดห้องนอนเป็นที่ว่างเก็บเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ หากเป็นครอบครัวใหญ่จะมีหลายห้อง หากเป็นครอบครัวเล็กจะมีเพียง 3 ห้อง คือ ห้องรับแขก ห้องเจ้าของบ้านกับห้องเด็ก ห้องผู้หญิงอย่างละห้อง ด้านนอกมีแคร่สำหรับใช้ตากพริก ข้าวโพด (หน้า 288 - 290)

Demography

ชนเผ่าลีซู อาศัยอยู่ในเขตสิบสองปันนา ยูนนานตอนใต้ และเขตเมืองเชียงตุง รัฐฉานตอนใต้ของพม่า โดยเฉพาะที่แสนหวีมีชาวลีซู 20,000 คน ประมาณปี พ.ศ. 2504 ในภาคเหนือของไทย มีลีซูหลายตระกูล เช่น ตระกูลซิมพ้ง, สือผ่า (ไม้) งวาผ่า (ปลา) เสนมู เสนมี่ เช่งว้อง เลาลีหรือลีจา เป็นต้น ลีซูบ้านน้ำดัง ต.เมืองแหงมี 54 หลังคาเรือน ตำบลเมืองคองมี 72 หลังคาเรือนอยู่ในเขตเชียงตุง รัฐฉานของพม่า ต่อมาย้ายมาอยู่ อ.ฝาง อ.เชียงดาว จ.เชียงราย ลีซูใน อ. แม่จัน (พ.ศ. 2505) มี 6 หมู่บ้าน บ้านห้วยส้านมี 50 หลังคาเรือน บ้านแม่มอน 38 หลังคาเรือน จำนวนประชากรลีซอในประเทศไทยมี 20,000 คน ราว 50 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่ง ๆ มี 15-50 หลังคาเรือน (หน้า 286-288)

Economy

ลีซูประกอบอาชีพปลูกฝิ่นอยู่บนไหล่เขาสูง อากาศเย็น ไม่ชำนาญด้านการล่าสัตว์เหมือนมูเซอแดง เพาะปลูกข้าวไว้พอบริโภคภายในครอบครัว ข้าวของลีซูเป็นข้าวไร่เมล็ดกลมรี ไม่เหนียวติดกันเหมือนข้าวเหนียวของไทยเหนือ หากนึ่งแล้วปั้นเป็นก้อนได้ และทำไร่ข้าวโพดไว้ใช้เลี้ยงหมูและไก่ หรือนำมาหมักต้มกลั่นเป็นสุราในฤดูฝนมีการปลูกพริก มันฝรั่ง ฝ้าย ผักกาด กะหล่ำปลี ฟักแฟงและพืชผักต่าง ๆ หญิงลีซูขยันทำงานมากกว่าชาย มักตื่นมาตำข้าว ตักน้ำ ให้อาหารสัตว์แต่เช้าตรู่ ยามสายก็ออกไปไร่ ว่างจากงานในไร่ก็ปั่นฝ้าย หีบฝ้าย ย้อมผ้า ทอผ้า และเก็บฟืน ลีซูชอบอาหารรสจืด นิยมเนื้อหมูมากกว่าเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ทานข้าวด้วยตะเกียบและนิยมดื่มน้ำชาร้อน ๆ ส่วนน้อยที่สูบฝิ่น ลีซูนิยมเคี้ยวหมากมากกว่า (หน้า 294, 295-296, 304)

Social Organization

ชายหญิงลีซูมีการร้องเพลงเกี้ยวพาราสีกันในยามค่ำคืน ฝ่ายชายจะดีดพิณ "ซือบือ" ไปบ้านฝ่ายหญิงเป็นการเที่ยวสาว หญิงชายลีซูมักมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงานถือเป็นเรื่องปกติ หญิงอาจผ่านมือชายที่หล่อนพอใจมาแล้วหลายคนจนมีบุตร แต่ชายผู้เป็นสามีกลับไม่ถือสา คิดว่าได้กำไรและบุตรที่ได้มาถือเป็น "ลูกผีให้" ธรรมเนียมลีซูนิยมนำหญิงมาอยู่ที่บ้านตน บางคนก็ไปกู้ยืมเงินมาเป็นเงินค่าตัวหญิงสาวเรียกว่า "เยงฮอ" วันแต่งงานจึงชำระครบถ้วน หากฝ่ายหญิงไปอยู่บ้านฝ่ายชายต้องเสียค่าสินสอดเป็นจำนวนสูงกว่า แต่หากชายไปอยู่บ้านรับใช้บิดามารดาฝ่ายหญิงจะเสียเงินน้อยกว่า ลีซูมักแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อย ลีซูนิยมบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ไม่นิยมแต่งงานกับพวกม้ง แต่ยอมแต่งกับมูเซอ ผู้ชายลีซอมีภรรยาได้ 2-3 คน หญิงผู้เป็นภรรยาต้องทำงานหนักกว่าชาย พิธีแต่งงานเรียกว่า "กินฟ้า" หรือ "อุดู้แถ่ " มีการฆ่าหมู และต้มกลั่นสุราข้าวโพดไว้เลี้ยงชาวบ้าน มีงานเต้นรำดีดพิณเป่าแคนน้ำเต้า ผู้เฒ่าทำพิธีผูกด้ายข้อมือแล้วกล่าวให้พร หากครอบครัวใดมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ชายหนุ่มต้องไปอยู่ที่บ้านหญิงสาวเพื่อสืบแซ่สกุล ครอบครัวที่มีบุตรชายคนโตต้องนำภรรยามาอยู่ที่บ้านบิดามารดา เพราะบุตรคนโตเป็นผู้สืบแซ่รับมรดก เมื่อสามีตาย ผู้เป็นภรรยาต้องรับใช้บิดามารดาฝ่ายสามีตลอดไป ลีซูมีการหย่าร้างน้อยกว่ามูเซอ แต่มากกว่าม้งและเย้า หากฝ่ายชายขอหย่าร้างต้องเสียค่าปรับไหม (หน้า 300-304)

Political Organization

ลีซูบางหมู่บ้านเคยถูกฮ่อผู้ลี้ภัยบางกลุ่มรบกวน ในปี พ.ศ. 2498 พวกฮ่อได้แย่งม้าของหัวหน้าเผ่าลีซูบ้านสันกำแพง อ.แม่จัน จ.เชียงรายไป หัวหน้าเผ่าเสียใจมากจึงอพยพไปอยู่ที่อื่น โดยปกติสาเหตุการอพยพเกิดจากการแตกแยกทางความคิดในกลุ่มเดียวกัน หรือถูกรบกวนจากคนต่างเผ่า (หน้า 312)

Belief System

ลีซู นับถือผีซึ่งมีทั้งผีดีและผีร้าย เช่น ผีน้ำเรียกว่า "อิยาเน" ผีไร่ เรียกว่า "อามิเน่" ผีป่าเรียกว่า "เน่ด่ามา" มักเซ่นด้วยไก่และสุรา มีหมอผีทำพิธีขับไล่ปัดเป่าให้ออกจากร่างหากเจ็บป่วย ผีที่ลีซูเกรงกลัวคือ "ผีหลวง" อยู่บนยอดเขาสูง มีการสร้างศาลไว้ หากผีหลวงโกรธเคืองมักจะโยนก้อนหินใหญ่ลงมา หรืออาจบันดาลให้เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่า ลมพายุรุนแรงพัดบ้านเรือน ต้องหักเชือดและหักคอไก่เป็นเครื่องเซ่น น้อยคนจะรอดชีวิตนอกจากนี้ลีซูยังนับถือดวงวิญญาณบรรพบุรุษ มีแท่นบูชาเรียกว่า "ตาบิ" และนับถือ ผีเมือง (ผีหมู่บ้าน) จัดเป็นผีที่คอยคุ้มภัยอันตรายมีศาลประทับบนเนินเขานอกหมู่บ้าน มีพิธีเลี้ยงผีในเทศกาลขึ้นปีใหม่ หรือเมื่อมีเหตุผิดปกติ เช่น โรคระบาดในหมู่บ้านเป็นต้น ลีซูมีผู้นำทางศาสนาหรือหมอผีเป็นผู้ประกอบพิธี ลีซูมักมีเครื่องรางแขวนคอกันทุกคน หรือเครื่องรางมักผ่านการปลุกเสกเก็บไว้ในถุงผ้า (หน้า 298-300) กรณีที่มีเด็กชายคลอดใหม่ จะรับขวัญเซ่นดวงวิญญาณผีบรรพบุรุษด้วยหมูกับไก่อย่างละตัว มีการทำพิธีผูกข้อมือเด็กและยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมเรียกว่า "ฉิงเจีย" นอกจากนี้ยังมีพิธีเซ่นบูชาผีฟ้าพญาอินทร์พญาคำ มีการนำแผ่นไม้วางพาดข้างทางเรียกว่า "ทานสะพานให้ผีเดิน" พิธีงานกินฟ้า หรือ "กินวอ" เป็นงานเลี้ยงเทศกาลปีใหม่ของลีซู วันก่อนปีใหม่เรียกว่า "ซีลุ" (วันเตรียม) จะมีการทำขนม "ปาปาตี" หรือ "การตำข้าวปุก" การเต้นรำเป็นพลีกรรมถวายผีฟ้าผีเรือนเรียกว่า "เอี๊ยหยาม่า" หรือ "เทียวโก" พิธีเรียกขวัญเรียกว่า "โซฮาคู" มีการผูกข้อมือ "ซือย่าฉั่ว" ให้แก่คนป่วย (หน้า 305, 306, 307, 309, 310)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ลีซูเมื่อมีผู้ป่วย ลีซูมีวิธีรักษาโรคแผนโบราณด้วยการมักเรียกขวัญและผูกเส้นด้าย พร้อมฆ่าหมูตั้งเครื่องเซ่น หมอผีจะปักกิ่งไม้ 4 กิ่งรอบตัวผู้ป่วย และทำพิธีปัดเป่าขับไล่ภูตผีปีศาจ มีการผูกด้ายที่ข้อมือ "ซือย่าฉั่ว" หรือเรียกขวัญ "โซฮาคู" สวมกำไลข้อมือและห่วงคอเงิน หากป่วยเป็นไข้รากสาด ลำไส้ มาเลเรีย เจ็บอก มักมีการทำบุญทานศาลา ทานสะพาน ฆ่าไก่หรือหมูโดยเซ่นผีปักกระดูกไก่ นอกจากนี้ยังมีการสูบฝิ่นระงับปวด และรู้จักนำสมุนไพรรากไม้มาต้มดื่มเป็นยา ยาแผนปัจจุบันที่รู้จักคือยาแก้ปวดศีรษะและยาควินิน (หน้า 310)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของลีซู หญิงนิยมหวีผมแสกกลาง เกล้ามวยไว้ด้านหลัง โพกผ้าดำผืนใหญ่ มักสวมเสื้อคลุมยาวลงมาถึงน่องหรือใต้หัวเข่า นุ่งกางเกงขากว้างหลวม ๆ นิยมใช้ผ้าสีฟ้า มีรอยแหวกข้างจากเอวหน้า บริเวณเอวคาดผ้าสีดำผืนใหญ่ เหน็บซ่อนปลาย แขนเสื้อติดผ้าแถบเป็นบั้ง ๆ หลากสี หญิงลีซูนิยมใช้สีฉูดฉาดกว่าทุกเผ่า เมื่อมีงานฉลองจะใส่เสื้อกั๊กสั้นแค่เอวทำด้วยกำมะหยี่สีดำ ประดับกระดุม เหรียญเงิน ดอกจัน มีตุ้มหูเงินเป็นวงกลม 2 ข้าง ร้อยสายสร้อยสีขาว บ้างก็ร้อยไหมพรมเป็นสาย มีสนับแข้งเย็บเป็นปลอกสองสี ใช้ผ้าโพกศีรษะปล่อยชายห้อยหลัง เครื่องแต่กายหญิงลีซูในไทยคล้ายคลึงกัน ส่วนหญิงลีซูในพม่ามีเครื่องประดับน้อยกว่า ชายลีซูสวมกางเกงขากว้างสั้นแค่เข่า เสื้อเอวสั้น แขนยาวผ่าอกข้าง นิยมสีฉูดฉาดประดับกระดุมเงิน กางเกงนิยมใช้สีฟ้า สีเขียวหรือสีดำ ชายตัดผมสั้น โพกผ้าผืนใหญ่ สวมหมวกกลมสีดำอย่างหมวกแม้วหรือจีนฮ่อ ที่ขาดไม่ได้เครื่องดนตรีที่นิยมเล่นเป็นประจำคือ พิณสามสาย "ซือบือ" นอกจากนี้ยังมีคูลู กลองยาว ฆ้องและแคน เป็นต้น (หน้า 292-293) ลีซอมีการเต้นรำฉลองในเทศกาลปีใหม่ ทั้งยังมีการเล่นโยนลูกช่วงและร้องเพลงเกี้ยวกัน การเต้นรำเพื่อเป็นการพลีกรรมถวายให้ผีฟ้า ผีเรือนเรียกว่า "เอี๊ยหยาม่า" หรือ "เทียวโก"หากใครมัวเอียงอายไม่ยอมออกไปเต้นรำ มักจะถูกจับทาหน้าด้วยดินหม้อหรือเอาสุรากรอกปาก เอาน้ำสาดฉุดไปร่วมเต้นรำ (หน้า 309)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลีซอเรียกตนเองว่า "ลีซู" จีนเรียกเพี้ยนเป็น "ลีซือ" หรือ "ลีโซ" ส่วนชาวไทยใหญ่เรียกลีซอว่า "แข่ลีซอ" มีรูปร่างลักษณะคล้ายมูเซอมากกว่าจีน การแต่งกายของหญิงลีซอก็นิยมใช้สีฉูดฉาดกว่าชาวเขาทุกเผ่า ลีซอมีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี ขยันในการทำมาหากิน ใช้จ่ายอย่างประหยัด และมักรับประทานอาหารอย่างประหยัด ต้อนรับแขกด้วยน้ำชา สุราอาหารอย่างดี บ้างก็นำฝิ่นมาให้สูบ เล่นการพนัน นิยมแต่ง-กายประดับประดาหรูหราเต็มยศในงานฉลองปีใหม่ หญิงทำงานมากกว่าชาย เมื่อมี งานฉลองปีใหม่หญิงลีซอมักจะใส่เสื้อกั๊กหรือเสื้อไม่มีแขนสั้นแค่เอวสีดำสวมทับ นิยมโพกผ้าสีดำผืนใหญ่ มีเครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ประจำเผ่าเรียกว่า " ซือบือ" ลักษณะคล้ายพิณ 3 สาย มีคันยาว กะโหลกเล็กหุ้มด้วยหนังตะกวด ใช้ดีดเล่นในเวลากลางคืน ลีซอนิยมอาหารรสจืด ต่างจากมูเซอที่นิยมอาหารรสเผ็ดร้อน ขนบธรรมเนียมของลีซอจะคล้ายคลึงกับแม้วและเย้ามากกว่าลาฮูหรืออาข่า เพราะได้รับอิทธิพลจากชาวจีน (หน้า 285, 291-294, 308)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

การเต้นรำเลี้ยงสุราอาหารของลีซอเมื่อถึงงานปีใหม่ (หน้า 313) ลีซอกรีดฝิ่น (หน้า 314) การเต้นรำรอบเสาไม้ไผ่บูชาผีฟ้าในงานปีใหม่ (หน้า 315) ฤดูหนาวยามสายในหมู่บ้านลีซอ (หน้า 315) หญิงลีซอ (หน้า 316, 318) ครกตำข้าว สถานที่เกี้ยวกันของหนุ่มสาว (หน้า 317) แข่ลีซอ (หน้า 317) หญิงลีซอซักผ้าที่รางน้ำไม้ไผ่ในหมู่บ้าน/ลีซอที่บ้านเมืองดอง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ (หน้า 319)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 01 พ.ย. 2555
TAG ลีซู, วิถีชีวิต, การเพาะปลูก, ครอบครัว, ความเชื่อ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง