สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,พิธีกว่าตั้ง,พิธีกรรม,แม่ซ้าย,เชียงราย
Author จงหทัย อมรพัฒนกุล
Title กว่าตั้ง : การศึกษาเชิงพิธีกรรมวิเคราะห์ ศึกษากรณี หมู่บ้านเย้าห้วยแม่ซ้าย อ.เมือง จ.เชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 153 Year 2536
Source หลักสูตรสังคมวิทยา และมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

กล่าวถึงการวิเคราะห์พิธีกว่าตั้งหรือพิธีแขวนตะเกียง เป็นพิธีของผู้ชายเย้า บ้านห้วยแม่ซ้าย อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อสะท้อนให้เห็นความหมายทางสัญลักษณ์ และทำให้เห็นหน้าที่ต่างๆ ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนจาก หมอผี พ่อครู และผู้อาวุโสเย้า ที่ถ่ายทอดความเชื่อผ่านพิธีกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนการขัดเกลาทางสังคม เช่น สั่งสอนให้ลูกชายมีความกตัญญูต่อบุพการี ครูบาอาจารย์ ให้ประพฤติตัวเป็นคนดีในสังคม และไม่ทำชั่วให้คนอื่นได้รับความเดือนร้อน ทั้งนี้รายงานได้ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมของเย้าอันเนื่องมาจากพื้นฐานทางความเชื่อ เช่น การเซ่นไหว้เพื่อตอบแทนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสอนให้เชื่อผู้นำ ดังนั้นเมื่อมีนโยบายการพัฒนาจากหน่วยงานภาครัฐเข้ามาในหมู่บ้าน สังคมเย้าจึงรับมาโดยง่าย โดยผ่านคำสั่งของผู้นำท้องถิ่นอีกวาระหนึ่ง

Focus

ศึกษาพิธีกว่าตั้ง เพื่ออธิบายลักษณะของพิธีกรรม ความหมายของสัญลักษณ์ และอธิบายความสำคัญของพิธีกว่าตั้งในบริบททางสังคมของเย้า บ้านห้วยแม่ซ้าย (หน้า 20)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เย้าจัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์มองโกลอยด์ (Mongoloid) ตระกูลจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) บันทึกยุคราชวงศ์ถังของจีน (618-906 A.D.) ระบุว่าคำเรียก "เย้า" เรียกในชื่อ "ม่อ เย้า" แปลว่า ไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใด ในเนื้อหาของบันทึกได้บอกว่า บรรพบุรุษของเย้าที่เป็นส่วนหนึ่งของชาวหมานในประเทศจีน และเชื่อว่าเย้า วิวัฒนาการมาจากชาวฉางซาหมาน, อู่หลิงหมาน และอู่ซิหมาน ที่อยู่ในมณฑลฮูหนาน (หน้า 23) เมื่อประมาณสองพันปีก่อนเย้าได้สร้างบ้านเรือนอยู่ริมทะเลสาบตงถิงแถบแม่น้ำแยงซี แต่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มผู้ปกครองรัฐในขณะนั้นจึงย้ายขึ้นไปอยู่ในป่าบนภูเขา จึงได้รับสมญาว่า "ม่อเย้า" (หน้า 23) ต่อมาจนยุคราชวงศ์ซ่ง (960-279 A.D.) ถูกเรียกชื่อเพียงคำว่า "เย้า" เท่านั้น เดิมเย้ามีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น หมาน หรือ หนันหมาน แปลว่า "พวกป่าเถื่อนทางใต้" หรือ ซานจือ แปลว่า "บุตรขุนเขา" หรือ พ่าน หู จ่ง แปลว่า "เชื้อสายของพวกพ่านหู" (หน้า 24) ในจีนเย้ามีชื่อเรียกตนเองที่ไม่เหมือนกันถึง 28 ชื่อ สำหรับเย้าในประเทศไทยจะเรียกตนเองว่า "เมี่ยน" หรือ "อิวเมี่ยน" แปลว่า "คน" ทั้งนี้เย้าในจีนแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ เผ่าเปี้ยน เผ่าปูนุ เผ่าฉาซัน และเผ่าผิงตี้ (หน้า 24) โดยเย้าเผ่าเปี้ยนมีจำนวนประชากรมากที่สุดกว่าทุกกลุ่ม (หน้า 25)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาเย้าอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต สาขาแม้ว-เย้า มีแต่ภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน ภาษาพูดของเย้าได้พัฒนามาจากกลุ่มภาษาของชาวหมาน และได้แพร่หลาย เมื่อเย้าย้ายถิ่นไปยังที่ต่างๆ ตัวเขียนจะยืมมาจากภาษาฮั่นและนำมาผสมกับภาษาเย้า ดังนั้นภาษาเขียนจึงไม่เหมือนภาษาฮั่นอันเป็นฉบับจริง สำหรับตัวหนังสือท้องถิ่นของเย้า เรียกว่า "ถู้สูจื้อ" เวลาอ่านตัวหนังสือ คำที่เป็นภาษาเย้าจะอ่านด้วยสำเนียงของเย้า (หน้า 30) คำศัพท์ภาษาฮั่นจะออกเสียงเป็นภาษาถิ่นกวางตุ้ง (หน้า 31) สำหรับภาษาเย้าทุกวันนี้แยกเป็นภาษาถิ่นย่อย 3 ภาษาได้แก่ ภาษาเมี่ยน ภาษาปูนุ และภาษาลักจา (หน้า 30)

Study Period (Data Collection)

เข้าไปสำรวจพื้นที่ 2 ครั้งระหว่าง ธันวาคม 1991 - มกราคม 1992 และ เก็บข้อมูลระหว่าง มกราคม - กันยายน 1992 และเก็บข้อมูลเพิ่มเติม มีนาคม 1993 (หน้า 21)

History of the Group and Community

ประวัติการย้ายถิ่นของเย้า เย้าเริ่มย้ายที่อยู่อาศัยจากมณฑลฮูหนาน ในยุคราชวงศ์ฉินฮั่น ไปอยู่มณฑลกวางตุ้ง กุ้ยโจว กวางสี และยูนนาน ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ประมาณศตวรรษที่ 15-16 ย้ายมาอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนาม ต่อมาได้ย้ายเข้ามาในพื้นที่ประเทศลาว พม่าและไทย ภายหลังจากสงครามในเวียดนามและลาวสิ้นสุดลง เย้าส่วนหนึ่งได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ (หน้า 25) ประวัติต้นตระกูลเย้า 12 ตระกูล จากพงศาวดารปลายยุคราชวงศ์ฮั่นของจีน (43 BC.) ระบุว่าจักรพรรดิ KAO-HSIN (2435-2365 BC.) พระองค์ได้ทรงสัญญาว่าหากใครสามารถปราบหัวหน้าวู หัวหน้าเผ่า CHUAN JUNG ได้สำเร็จ พระองค์ก็จะทรงยกพระธิดาให้เพื่อตอบแทนความสามารถ ขณะนั้นสุนัข 5 สี ชื่อ พ่านหู (นักวิชาการวิเคราะห์ว่า พ่านหู น่าจะไม่ใช่สุนัข แต่น่าจะหมายถึงข้ารับใช้ชั้นต่ำ) อันเป็นสุนัขรับใช้ในเขตพระราชวัง ได้สมัครไปปราบปรามโดยได้นำหัวของหัวหน้าวูมาถวายองค์จักรพรรดิ (หน้า 24) ดังนั้น พ่านหู จึงได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระธิดาขององค์จักรพรรดิ และได้รับการสถาปนาเป็น เปี้ยน ฮู่ง ต่อมาได้กำเนิดลูกชาย 6 คน และลูกสาว 6 คน อันเป็นต้นตระกูลของเย้าอันประกอบด้วย ฝิง(แซ่) เปี่ยน ตั่ง จ๋าว ลิ่ว เล๋ย โค้ว จั้น ย่าง แจ่ง ล่อ ตั๊วะ ปุ๊ง ดังนั้นเย้าจึงให้ความนับถือ ต่อ "เปี้ยน ฮู่ง" ซึ่งเชื่อว่าคือบรรพบุรุษที่ให้กำเนิดเย้ามาจนทุกวันนี้ (หน้า 24) ประวัติบ้านห้วยแม่ซ้าย เริ่มจากเมื่อปี 1859 เย้าจำนวน 9 ครอบครัวได้ย้ายมาจากเมืองสิงห์ ประเทศลาว แล้วเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้วย้ายมาหลายแห่งจนกระทั่งมาอยู่บ้านห้วยแม่ว้ายในปัจจุบันเริ่มตั้งแต่ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านห้วยเก่า อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ต่อมาย้ายมาอยู่ที่บ้านห้วยแม่มุง อ.เมือง จ.เชียงราย ต่อมาย้ายมาอยู่บ้านห้วยชมภู อ.เมือง จ. เชียงราย กระทั่ง ค.ศ. 1925 เย้า 16 หลังคาเรือน ได้อพยพมาอยู่ที่พื้นที่ดอยบ่อ (หน้า 33) ในปี ค.ศ. 1943 ได้ย้ายบ้านเรือนมาอยู่ที่บ้านหนองแว่น อ.แม่จัน จ.เชียงราย อีกส่วนหนึ่งย้ายมาอยู่บริเวณลุ่มน้ำแม่ซ้าย โดยแบ่งเป็น 2 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านเย้าสองแคว ซึ่งทุกวันนี้เป็นสวนป่าห้วยแม่ซ้าย ตอนนั้นมีจำนวน 8 หลังคาเรือน อีกหมู่บ้านตั้งอยู่ที่สวนเลาเคะเซึง มีจำนวน 8 หลังคาเรือน กระทั่ง 5 ปีผ่านไปจึงย้ายมาอยู่ที่ดอยยาว อ.เมือง จ.เชียงราย จนปี ค.ศ. 1970 เย้าบ้านสองแควจึงย้ายมาเพิ่มเติม (หน้า 33) กระทั่ง วันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1971 จ.เชียงราย จึงได้ประกาศให้บ้านดอยยาวเป็นหมู่บ้านที่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านห้วยแม่ซ้าย" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า 34)

Settlement Pattern

เย้าชอบสร้างบ้านหันหน้าออกจากภูเขา และไม่ชอบสร้างบ้านซ้อนกัน เพราะเชื่อว่าถ้าสร้างซ้อนกัน หลังที่สร้างอยู่ด้านหลังจะกั้นทางเข้าออกของผีน้ำในตอนกลางคืน เนื่องจากเย้าเชื่อว่า ผีน้ำจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข นอกจากนี้ยังเชื่อว่าบ้านที่ตั้งด้านหน้าจะเป็นเป็นที่รองรับสิ่งเลวร้ายของบ้านที่ตั้งทางด้านหลัง (หน้า 34) เย้าจะปลูกบ้านคร่อมกับพื้นดินเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยจะให้ดินเป็นพื้นบ้าน เสาบ้านจะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มุงด้วยหญ้าคา กั้นบ้านด้วยไม้เนื้ออ่อนหรือไม้ไผ่สาน ห้องนอนจะปูพื้นด้วยไม้ มีฝากั้น บ้านจะมี 3 ประตู ได้แก่ ประตูผี ประตูผู้ชาย และประตูผู้หญิง ทุกวันนี้บ้านเย้าบางหลังจะสร้างด้วยวัสดุที่คงทนถาวร แต่รูปแบบบ้านจะเป็นแบบเดิม เพียงแต่เปลี่ยนมามุงด้วยกระเบื้อง หรือ สังกะสี สร้างบ้านด้วยอิฐหรือปูน (หน้า 34)

Demography

ประชากรบ้านห้วยแม่ซ้าย มี 379 คน 58 หลังคาเรือน 87 ครอบครัว (สถิติของหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ปี ค.ศ. 1992) (หน้า 35) จำนวนประชากรเย้าในไทยมีจำนวน 36,140 คน 204 หมู่บ้าน 4,814 หลังคาเรือน สร้างบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดต่างๆ อาทิ เช่น เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง กำแพงเพชร สุโขทัย เชียงใหม่ ตาก เพชรบูรณ์ (ข้อมูลสถาบันวิจัยชาวเขา สำรวจเมื่อ ค.ศ. 1988) (หน้า 32) การย้ายที่อยู่ของเย้า เกิดขึ้นหลายครั้ง มีสาเหตุการย้ายถิ่น 3 ประการ ได้แก่ 1) เย้าเป็นชาติพันธุ์ที่ทำไร่เลื่อนลอย 2) การถูกรังแกจากชนชั้นที่เป็นชนชาติปกครอง 3) เกิดภัยธรรมชาติและโรคร้ายต่างๆ (หน้า 25) เย้าที่ย้ายเข้ามาอยู่ในไทยมีเฉพาะเผ่าเปี้ย เย้า หรือ อิวเมี่ยน การย้ายเข้ามาอยู่ในภาคเหนือของไทย ในวาระและโอกาสที่ต่างกัน โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม (หน้า 31) 1) กลุ่มเชียงราย-น่าน คือ กลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ในไทย เมื่อประมาณ 197 ปีที่ผ่านมา เย้าในกลุ่มนี้ส่วนมากจะเป็น แซ่เติ๋น อันดับต่อมาได้แก่ แซ่พ่าน แซ่โฟ้ง ที่อยู่เดิมอยู่ในพื้นที่มณฑลกวางสี ภายหลังย้ายไปมณฑลยูนาน ของจีน ต่อมาย้ายเข้าเวียดนาม แล้วย้ายเข้าลาว การย้ายเข้าไทยมีหลายเส้นทาง โดยย้ายมาทางทิศเหนือของ จ.น่าน บริเวณเขตแดน ไทย กับ ลาว กระทั่งถึงพื้นที่ อ.เชียงของ จ. เชียงราย ทุกวันนี้จะตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขต จ.เชียงราย พะเยา ลำปาง กำแพงเพชร สุโขทัย (หน้า 31) 2) กลุ่มดอยอ่างขาง ย้ายมาจากลาวเข้ามาทาง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ต่อมาย้ายมาอยู่พื้นที่ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ (หน้า 31) โดยย้ายมาเมื่อประมาณ 120 ปีที่ผ่านมา โดยมากจะเป็นเย้าในตระกูล แซ่พ่าน แซ่จ๋าว แซ่เติ๋น ทุกวันนี้สร้างบ้านเรือนอยู่ใน อ.ฝาง อ.แม่อาย จ.เชียงราย กับ อ.เมือง อ.แม่จัน จ.เชียงราย (หน้า 32) 3) กลุ่มเชียงรายตอนบน ย้ายมาจากลาว ประมาณ 76 ปี ที่ผ่านมาโดยเข้ามาอยู่พื้นที่ อ.เชียงแสน และดอยหลวง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ในปี 1945 ได้ย้ายตามเข้ามาอีกกลุ่มโดยย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่บ้านเล่าสิบ บ้านผาเดื่อ บ้านเล่าซีก๋วย อ.แม่จัน จ. เชียงราย เย้าทั้งสองกลุ่มเดิมทีตั้งบ้านเรือนอยู่พื้นที่น้ำเกิง กับน้ำคา แขวงห้วยซาย ประเทศลาว ส่วนมากอยู่ในตระกูล แซ่ลี แซ่จ๋าว แซ่พ่า ทุกกวันนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ อ.แม่จัน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย, อ.วังเหนือ อ.งาว จ.ลำปาง อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร กับ อ.พบพระ จ.ตาก (หน้า 32) 4) กลุ่มหนีภัยสงคราม ย้ายเข้าไทยหลังสงครามในเวียดนามและลาวสิ้นสุด โดยย้ายมาจาก อ.เมืองสิงห์ แขวงน้ำพา ประเทศลาว ส่วนใหญ่จะเป็นเย้าแซ่จ๋าว เข้ามาอยู่ในไทยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านห้วยขุนยง อ.แม่จัน จ.เชียงราย (หน้า 32)

Economy

อาชีพหลัก เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพหลักหลัก แต่พื้นที่หมู่บ้านอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน ชาวบ้านไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีเพียงสิทธิทำกินบนที่ดินดังกล่าว (หน้า 41) พืชที่ปลูกได้แก่ ข้าวไร่ มีพื้นที่ปลูกราว 700 ไร่ ข้าวที่ได้เอาไว้กินในครัวเรือน โดยจะปลูก 1-2 ปี ตามบริเวณไหล่เขา แล้วจะเปลี่ยนมาปลูกถั่วหรือข้าวโพดหมุนเวียนกับการปลูกข้าว, ข้าวนาดำ เริ่มปลูกเมื่อปี ค.ศ. 1962 โดยปลูกข้าวแบบคนไทยพื้นราบ มีพื้นที่ปลูกประมาณ 350 ไร่ ให้ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 30 ถังต่อไร่ (หน้า 42) ส่วนพืชอื่นที่ปลูก เช่น ถั่วเหลือง ขิง ข้าวโพด พืชสวนครัว เช่น ผักกาด แตงกวา มะเขือเทศ ส่วนผลไม้และไม้ยืนต้นชนิดอื่นเช่น ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง มะขาม ส้มโอ กาแฟ และชา (หน้า 42) การเลี้ยงสัตว์ จะเลี้ยงหมูกับไก่เอาไว้ใช้เซ่นไหว้ในพิธีต่างๆ จำนวนสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้าน มีหมู 137 ตัว ไก่ 733 ตัว เป็ด 50 ตัว วัว 257 ตัว ควาย 93 ตัว และ ช้าง 13 เชือก (หน้า 43) อาชีพอื่น นอกจากอาชีพเกษตรแล้วยังประกอบอาชีพอื่น เช่น ตำรวจ ลูกจ้างหน่วยงานราชการ ค้าขาย ทำงานด้านการท่องเที่ยว ขายของที่ระลึก เป็นควาญช้าง ขับรถรับจ้าง ทำงานรับจ้างที่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ (หน้า 43) ทรัพย์สินอื่นๆ ในหมู่บ้าน มีรถไถนา จำนวน 3 ครอบครัว (หน้า 43) กองทุนช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ ในหมู่บ้านมีกองทุนหลายประเภท เช่น กองทุนเกษตร ตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1987 โครงการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมบนที่สูง ได้ช่วยชาวบ้านเป็นวัสดุการเกษตร ให้ชาวบ้านยืมและใช้คืนแก่กองทุน ทุกวันนี้มีเงินกองทุนจำนวน 3 หมื่น 5 พันบาท (หน้า 43) กองทุนช้าง ตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1986 มีจำนวน 100 หุ้น หุ้นละ 10,000 บาท โดยชาวบ้านและคนไทยพื้นราบได้รวมกลุ่มกันซื้อช้างเพื่อนำมาบริการแก่นักท่องเที่ยว (หน้า 44) กองทุนสตรี ตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1986 ทุกวันนี้มีเงินในกองทุน 12,823 บาท เพื่อเป็นเงินให้สมาชิกยืม กองทุนนี้ริเริ่มโดยเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา โดยได้จัดอบรมด้านงานอาชีพแก่ผู้หญิงในหมู่บ้าน เช่น การเย็บผ้า เป็นต้น ส่วนกองทุนอื่นที่มีในหมู่บ้านได้แก่ กองทุนพัฒนาหมู่บ้าน รายได้ส่วนหนึ่งมาจากกองทุนช้างเพื่อนำมาใช้พัฒนาหมู่บ้าน และกองทุนกระบือ (หน้า 44)

Social Organization

สังคมเย้า เป็นสังคมที่รักความสงบ เย้ามีความเป็นอิสระสูงและไม่ชอบอยู่ในการปกครองของผู้ใด ดังคำกล่าวของจีนในยุคราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ที่ว่า "ไม่มีภูเขาไม่มีเย้า" (หน้า 23) ในหมู่บ้านแม่ซ้ายมีทั้งครอบครัวขยายและครอบครัวเดี่ยว แต่โดยมากจะเป็นครอบครัวขยาย เพราะว่าผู้ชายหากแต่งงานแล้วจะพาภรรยามาอยู่ด้วยที่ครอบครัว ในครอบครัว ผู้ชายทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว และตัดสินใจเรื่องต่างๆ ภายในครอบครัว ส่วนผู้หญิงจะทำงานบ้าน และทำอาหารและเลี้ยงลูก (หน้า 36) ลูกที่โตแล้วจะช่วยทำงานภายในบ้าน เช่น ดูแลน้อง เลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ วัว ควาย (หน้า 36) การสืบเชื้อสายจะสืบทางฝ่ายชาย ลูกจะนับถือผีบรรพบุรุษและใช้แซ่ ทางพ่อ (หน้า 37) เย้ามักจะซื้อเด็กต่างเผ่ามาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เพราะอยากได้คนมาช่วยงานในบ้าน และให้มีคนในครอบครัวมีจำนวนมาก ส่วนการแบ่งมรดกจะให้ลูกชายคนโต หรือ ลูกที่เลี้ยงดูพ่อกับแม่ (หน้า 39) การเลือกคู่ครอง เย้ามีอิสระในการเลือกคู่ นิยมแต่งงานภายในกลุ่มชาติพันธุ์ (Endogamy) สำหรับชายหญิงที่ถือแซ่เดียวกัน แต่อยู่ต่างกลุ่มย่อยคนละกลุ่มสามารถแต่งงานกันได้ เว้นแต่จะถือแซ่ฉิ้น เนื่องจากบรรพบุรุษเป็นคนจีนจึงถือแบบคนจีนว่าคนแซ่ เดียวกันไม่ควรแต่งงานกัน (หน้า 37) การแต่งงาน ก่อนที่จะตกลงใจแต่งงาน หนุ่มสาวจะปรึกษากับพ่อแม่แล้วนำวันเดือนปีเกิดไปให้หมอผีดูให้ว่าเป็นเนื้อคู่กันหรือไม่ ถ้าเป็นเนื้อคู่กันก็สามารถแต่งงานกันได้และจะประกอบพิธีหมั้นและกำหนดค่าสินสอด เย้าจะหมั้นไว้ 8 ถึง 12 เดือนจึงจะจัดงานแต่งงาน สำหรับการแต่งงาน มี 2 อย่าง ได้แก่การแต่งงานแบบใหญ่ (ต้ม โจ๋ว ชิง จ้า) เป็นพิธีที่ใช้เงินจัดมาก โดยจะจัดที่บ้านเจ้าบ่าว 3 วัน กับการแต่งงานแบบเล็ก (โจ๋ว ชิง จ้า ตอน) เป็นการแต่งงานที่เรียบง่ายและประหยัด จะจัดที่ทั้งสองบ้าน พิธีจะทำที่บ้านเจ้าบ่าว กับบ้านเจ้าสาว บ้านละ 1 วัน (หน้า 38,49) สำหรับพิธีแต่งงานนั้นถ้าเจ้าสาวจะออกจากบ้าน ก็จะจัดงานเลี้ยงให้กับพ่อแม่ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ชุบเลี้ยงมา ส่วนพ่อแม่ก็จะให้ของขวัญตอบแทนที่ลูกเคยช่วยงานบ้าน ส่วนหมอผีก็จะประกอบพิธี "แซะ เมี้ยน คู้" เพื่อให้เจ้าสาวลาออกจากผีบรรพบุรุษเดิมและจะไม่ถือผีบรรพบุรุษของตนตลอดไป (หน้า 38) ก่อนที่เจ้าสาวจะเข้าไปอยู่บ้านเจ้าบ่าว หมอผีจะประกอบพิธี "ทิม เมี้ยน คู้" ขอให้ผีบรรพบุรุษของเจ้าบ่าวยอมรับเจ้าสาวมาอยู่ในความคุ้มครอง เมื่อแต่งงานเรียบร้อยแล้วเจ้าสาวจะเป็นสมบัติของฝ่ายเจ้าบ่าว (หน้า 39, 49) อย่างไรก็ดีถ้าบ้านใดมีเพียงลูกสาวก็อาจจะให้เจ้าบ่าวมาอยู่บ้านของผู้หญิง โดยไม่ต้องลาออกจากการนับถือผีบรรพบุรุษของตัวเอง บางครั้งอาจจะมาไหว้ผีบรรพบุรุษของฝ่ายเจ้าสาว หรือทั้งสองต่างนับถือเฉพาะผีบรรพบุรุษของตัวเองก็ได้ ครั้นมีลูกก็ให้ลูกคนโตนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายพ่อ สำหรับลูกคนต่อมาก็ให้นับถือตามฝ่ายแม่ (หน้า 39) การเรียนรู้ทางสังคม เย้าอาจจะเรียนรู้ได้หลายทาง และทางหนึ่งที่สำคัญ คือ "พิธีกว่าตั้ง" ซึ่งให้ความรู้ในเรื่องกฎเกณฑ์ สังคมต่างๆ เช่น ลูกชายรู้หน้าที่ของตนในการทำความดี ขยันทำงานและมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ คบแต่คนดีไม่คบคนพาล ทำตามระเบียบสังคม เช่น ไม่ก่ออาชญากรรม ไม่ลักลอบเป็นชู้กับลูกเมียใคร (หน้า 127,134) เรียนรู้กฎเกณฑ์และรู้ว่า พ่อคือคนในบ้านที่ลูกต้องเคารพมากที่สุดเนื่องจากพ่อเป็นผู้ให้กำเนิดและเป็นครูให้ความรู้คนแรกกับลูก เช่น ให้คำแนะนำ คำปรึกษาต่างๆ (หน้า 128) ส่วนผู้หญิงจำเป็นพึ่งพาอาศัยผู้ชาย เพราะผู้หญิงเข้าร่วมพิธีไม่ได้ ต้องอาศัยบารมีและทหารผีที่สามีแบ่งให้ ฉะนั้นภรรยาต้องเคารพเชื่อฟังสามี (หน้า 128)

Political Organization

หมู่บ้านเย้าจะมีผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 39) คนที่เป็นผู้นำ คนในหมู่บ้านจะช่วยกันเลือก โดยเลือกจากคนที่ชาวบ้านนับถือมีความสามารถ ส่วนใหญ่คนที่ได้รับเลือกเป็นผู้นำหมู่บ้าน จะเป็นผู้สูงอายุของตระกูล กับหมอผี สำหรับการปกครองแยกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายปกครองจำนวน 2 คน กับฝ่ายรักษาความสงบจำนวน 2 คน (หน้า 40) ส่วนการบริหารหมู่บ้านนั้นมีคณะกรรมการบริหารหมู่บ้าน โดยผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน กรรมการก็แบ่งออกเป็นฝ่ายต่างๆ เช่น ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายสาธารณะสุข ฝ่ายการคลัง ฝ่ายการศึกษาวัฒนธรรม และประเพณี ฝ่ายช่าง ฝ่ายสวัสดิการและสังคม และคณะกรรมการที่ปรึกษา ได้แก่ หมอผี และผู้สูงอายุของแต่ละตระกูล ครูและเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวณชายแดน (หน้า 40) ด้านสาธารณูปโภค อาทิ กลุ่มใช้น้ำ หมู่บ้านจะจัดเวรตรวจท่อน้ำ การตัดสินหากเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจะเป็นผู้เจรจาประนีประนอมทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าตกลงกันไม่ลงตัวก็จะมอบหน้าที่ให้ผู้ใหญ่บ้าน แต่ถ้าจกลงกันไม่ได้จริงๆ ก็จะส่งให้ตำรวจจัดการปัญหา (หน้า 41)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อของเย้า นอกเหนือจากความเชื่อดั้งเดิมแล้ว เย้าบ้านห้วยแม่ซ้าย ยังนับถือศาสนาสากลด้วย โดยมีผู้นับถือศาสนาคริสต์ 19 ครอบครัว ภายในหมู่บ้านมีโบสถ์คริสต์ 1 หลัง (หน้า 35) และบางครอบครัวแม้ว่ายังคงประกอบพิธีกรรมเหมือนก่อนแต่นับถือศาสนาพุทธด้วย พร้อมๆ (หน้า 48) กับนับถือผี (Animism) และเชื่อสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ (หน้า 44) ความเชื่อต่างๆ ขวัญ คนที่เกิดมาจะมีขวัญ (เวิ่น) อยู่ตามร่างกาย โดยมีทั้งหมด 11 จุดด้วยกัน ได้แก่ หัว ตา หู จมูก ปาก คอ ขา แขน อก ท้อง เท้า หากคนเสียชีวิตขวัญจะกลายเป็นผี ผีจะอยู่ทั้งในคน และธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น้ำและสิ่งของเช่นเตาไฟ ถ้าหากคนทำให้ผีไม่พอใจ ผีก็จะทำร้ายคนได้ (หน้า 45,135) ถ้าขวัญออกจากร่างกายจะทำพิธีเรียกขวัญ ถ้าเป็นเด็กอายุ 1 ถึง 12 ปี โดยจะเซ่นไหว้ด้วย ไก่ 1 ตัว ไข่ไก่ 1 ฟอง กระดาษเงิน และเหล้า สำหรับเครื่องเซ่นของผู้ใหญ่จะเปลี่ยนเป็นหมูแทนไก่และไข่ไก่ (หน้า 49) ผี ที่เย้านับถือแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) ผีบรรพบุรุษ (องไถ) เย้าจะทำหิ้งผีไว้ในบ้านเพื่อเป็นที่อยู่ของญาติพี่น้อง ที่เสียชีวิตไปแล้ว ถ้าปู่หรือพ่อเสียชีวิต ลูกหลานก็จะทำบุญให้ปีละครั้งติดต่อกัน 3 ปี เพื่อให้ผีบรรพบุรุษช่วยคุ้มครองคนในครอบครัว สำหรับการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ (ชิบ เมี้ยน อง ไถ) จะเลี้ยงอย่างต่ำปีละ 4 ครั้ง ได้แก่ วันปีใหม่ ซึ่งอยู่ในวันตรุษจีนอยู่ระหว่างเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์, กิ่งฉิ่งเหม่ง ตรงกับวันเช็งเม้ง (ช่วงเมษายน), กิ่งปั๊วชุน (เดือนพฤษภาคม), ปีใหม่น้อย ในวันที่ 14 เดือน 7 นอกจากนี้คนในบ้านจะเลี้ยงผีบรรพบุรุษ เพื่อเรียกขวัญของตน (โจ่ว เวิ่น) ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งต่อปี (หน้า 45) 2) ผีเทพยดา ผีเทพที่เย้าเคารพนับถือ มีราว 80 กว่าองค์ ตัวอย่างผีที่นับถือ เช่น ผีฟ้า หรือ หยุด ต้าย ฮุ้ง ทำหน้าที่เป็นประมุขของผีเทพ อยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุด มีหน้าที่คุ้มครองดูแลคนบนโลก หากเย้าเดือดร้อน ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงของผีบรรพบุรุษที่จะช่วยเหลือ เย้าก็จะประกอบพิธีขอความช่วยเหลือจากผีฟ้า, ผีใหญ่ (ต้ม ต้อง เมี้ยน) ที่นับถือมากที่สุด ได้แก่ เล่งปุ เล่งปุ โต๊ะต๊ะ เรียกรวมกันว่า "ฟามชิง" พิธีเลี้ยงผีใหญ่จะทำเพื่อสร้างบารมีให้ตนทั้งชาตินี้หรือชาติหน้า (หน้า 46) ทุกวันนี้รูปเทวภาพมีเฉพาะภาพเขียนวาดโดยจิตรกรชาวจีน 24 รูปอยู่ใน 1 ชุด และเก็บไว้ในห่อผ้า หรือ กรุ เรียกว่า "เมี้ยนคับ" (หน้า 46, ชื่อผีใหญ่ หน้า 46, 47 ดูภาพหน้า 54-77) 3) ผีทั่วไป คือ ผีเจ้าท้องถิ่น ในประเทศไทย ได้แก่ เสียน หลอ หวาง คือ อดีตพระเจ้าแผ่นดินของไทย, ผีเจ้าป่า, เจ้าเขา การเลี้ยงผีท้องถิ่นก็เพื่อขอบคุณที่ช่วยรักษาพืชผักที่ปลูก และคุ้มครองสัตว์เลี้ยงและบ้านให้อยู่อย่างมีความสุข (หน้า 47) ประเพณีและพิธีกรรม การเกิด หากเด็กเกิด หมอผีจะทำพิธีตั้งชื่อ (ทิม เมี้ยนคู้)ในระยะเวลา 10 วัน และทำพิธีบอกผีเรือนเพื่อให้รู้ว่ามีเด็กเกิด จากนั้นก็เขียนชื่อลงกระดาษแล้วเผาทิ้ง หลังคลอดก็จะเลี้ยงผี แต่ถ้ายังไม่เลี้ยงก็จะปักเฉลวไว้ตรงหน้าบ้านเพื่อให้คนรู้ว่าไม่ให้เข้าบ้าน เมื่อเด็กชายอายุเลย 12 ปี และเด็กหญิงอายุเลย 14 ปี ก็จะทำพิธี ชุด เบี้ยง เลี้ยม เพราะถือว่าพ้นจากวัยเด็ก (หน้า 48) และขวัญเด็กที่เรียกว่า "เบี้ยง" จะให้ผีตระกูลคุ้มครอง ต่อมาจะมีขวัญผู้ใหญ่ที่เรียกว่า "เวิ่น" เปลี่ยนจากขวัญเดิม (หน้า 49) งานศพ ถ้ามีคนตายในหมู่บ้าน จะยิงปืนขึ้นฟ้า 3 นัด เพื่อส่งวิญญาณและบอกให้คนอื่นรู้ หากเป็นผู้สูงอายุ คนในหมู่บ้านจะหยุดการทำงานในไร่และให้คนในบ้านมาช่วยงาน หมอผีจะเป็นคนประกอบพิธีและกำหนดวันเผา เมื่อฝังกระดูกหรือฝังศพเรียบร้อยแล้ว ก็จะเซ่นไหว้กระดูก 3 ครั้ง โดยจะห่างกันครั้งละ 1 ปี ก็จะทำให้วิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตนั้นเกิดความบริสุทธิ์และจะเชิญมาที่หิ้งผีในบ้าน สำหรับคนที่ตายหากอายุต่ำกว่า 12 ปี ผู้ชายที่ไม่เคยบวช คนที่ตายผิดธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะเผามากกว่าฝัง (หน้า 50) ปีใหม่เย้า ตรงกับวันตรุษจีน ในวันนี้จะเชิญหมอผีมาทำพิธีเลี้ยงผีที่บ้าน และเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมรับประทานอาหารด้วย (หน้า 50) วันกรรม แบ่งออกเป็นวันกรรมต่างได้ดังต่อไปนี้ วันกรรมเสือนอน (กิ่ง ดะ หม่าว ป๋วย) เป็นวันที่ขอให้ผี ดูแลเสือไม่ให้มารบกวนคน วันกรรมเสือเดิน (กิ่ง ดะ หม่าว ย่าง เจา) เป็นวันที่ขอให้ผีทำให้เสือไปหากินพื้นที่อื่น (หน้า 50) วันกรรมมีด (กิ่ง หยุ) ห้ามทำงานในไร่เพื่อที่จะได้ปลอดภัยจากคมมีด และของมีคม วันกรรมลม (กิ่ง จ๋ยาว) วันกรรมที่อยู่กรรม เพื่อไม่ให้ลมพัดทำลายชีวิตและทรัพย์สิน วันกรรมนก (กิ่ง เหนาะ) เป็นวันอยู่กรรมเพื่อไม่ให้นกทำลายพืชที่เพาะปลูก วันกรรมหนู (กิ่ง หนาว) อยู่กรรมเพื่อไม่ให้หนูทำลายพืชต่างๆ ที่ปลูก วันกรรมงู (กิ่ง นาง) อยู่กรรมเพื่อไม่ให้งูเข้ามาในบ้านและไม่ให้กัดเวลาเดินป่า (หน้า 51) วันกรรมตัวหนอน (กิ่ง แก้ง ปะ เย) เพื่อไม่หนอนมากวน วันกรรมฟ้า (กิ่ง บะ อง) เป็นวันเกิดเทพฟ้าผ่า จะไม่ไปไร่ และตำข้าว วันกรรมน้ำหลาก (กิ่งโหล่) อยู่กรรมเพื่อไม่ให้น้ำป่าไหลมาทำลายชีวิต และทรัพย์สิน วันกรรมเช็งเม้ง (กิ่ง ฉิ่ง เหม่ง ) คือวันเลี้ยงผีบรรพบุรุษ วันกรรมชุ่นปุ่น (กิ่ง ชุ่น ปุน) คือวันกรรมรับฤดูกาลใหม่ เพื่อให้ฝนตกตามฤดูและปลูกพืชให้ผลผลิตจำนวนมาก (หน้า 51) วันกรรมเลี่ยวห่า (กิ่ง เลี่ยว ห่า) คือวันผลัดเปลี่ยนฤดูแบบคนจีน ไม่ให้ผู้ชายนอนตอนกลางวันเพราะเชื่อว่าขวัญจะหาย จะได้ไปอยู่ประเทศที่มีแต่ผู้หญิง (เหยี่ยว เยี่ยน กั๊วะ) วันกรรมปั๊วชุน (กิ่ง ปั๊ว ชุน) จะเลี้ยงผีบรรพบุรุษและผีอื่น เพราะให้ช่วยดูแลพืชที่ปลูกไม่ให้สัตว์ป่ามาทำลาย (หน้า 51) วันกรรมเลียบเชียว (กิ่ง เลียบ เชียว) เป็นวันกรรมที่เซ่นผีป่า เพื่อให้ช่วยดูแลพืชไร่ (หน้า 51, 52) วันกรรมข้าวตั้งท้อง (กิ่ง เบี้ยว ต๋ง ยด) อยู่กรรมเพื่อให้ข้าวไม่ลีบหรือฝ่อ วันกรรมเจียบ หือม (กิ่ง เจียบ หือม) อยู่กรรมเพื่อไม่ให้ผีทั้งหลายและผีที่ถูกขังด้วยมนต์คาถาออกมาเที่ยว วันนื้ถือว่าเป็นวันที่ผีเป็นใหญ่ในรอบปีของเย้า วันกรรมเมี้ยน พุย บัวะ (กิ่ง เมี้ยน พุย บัวะ) เป็นวันที่นำรูปผีใหญ่ที่เก็บเอาไว้อย่างดีมาตากลม เชื่อว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาผีใหญ่ พิธี เจี๋ย ชุ่น ย่าง คือ วันกรรมสำหรับการเปลี่ยนฤดูมาสู่ฤดูหนาว บางพื้นที่เชื่อว่าทำเพื่อไม่ให้ฝนตกทำให้ต้นฝิ่นที่ปลูกได้รับความเสียหาย (หน้า 52) วันปีใหม่น้อย (เจี๋ย เจียบ เฝย) มีความสำคัญถัดจากวันปีใหม่ วันนี้จะทำพิธีบูชาผีบรรพบุรุษ (หน้า 52) พิธีซีปติปูงเมี้ยน ทำเพื่อไหว้ผีบ้านผีเรือน โยจะเลี้ยงปีละ 1 ครั้ง (หน้า 52) พิธีกว่าตั้ง เป็นพิธีที่สำคัญ เพราะถือว่าเป็นพิธีที่สืบตระกูล และทำบุญให้กับบรรพบุรุษ ผู้ที่เข้าพิธีเป็นลูกผู้ชายอยู่ในระหว่างอายุ 15-20 ปี เมื่อผ่านพิธีนี้แล้ว จะถือว่าเป็นผู้ชายเต็มตัวมีชื่อในทำเนียบตระกูลร่วมกับบรรพบุรุษ (หน้า 82) เป็นพิธีที่จัดขึ้นนานๆ ครั้ง เพราะการจัดพิธีต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังต้องดูฤกษ์ยามว่าคนในแซ่นั้นจะจัดพิธีกว่าตั้งได้หรือไม่ได้ หรือจะจัดได้วันไหน (หน้า 22) พิธีกว่าตั้ง แปลว่า แขวนดวงประทีป มี 3 อย่าง คือ 1) กว่า ฟาม ทอย ตัง คือพิธีแขวนตะเกียง 3 ดวง หรือเรียกว่า "กว่าตั้ง" ถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดของพิธีนี้ การประกอบพิธีจะทำ 3 วัน พิธีนี้มีทหารผี 36 และภรรยา 14 โยจะได้ชื่อใหม่มีคำว่า "ฟะ " นำหน้าชื่อ (หน้า 79) 2) กว๋า เชี๊ยด ฟิน ตัง คือพิธีแขวนตะเกียง 7 ดวง (หน้า 79) พิธีอยู่ระดับกลาง คนที่เข้าพิธีจะเคยเข้าพิธีแขวนตะเกียง 3 ดวงมาก่อนแล้วการทำพิธีจะทำพร้อมกันก็ได้ พิธีจะใช้เวลา 7 วัน โดยจะมีหมอผีทำพิธี 6 คน ในพิธีจะใช้ตะเกียงจำนวน 7 ดวงคนที่เข้าพิธีนี้จะมีตำแหน่งในโลกผี สูงกว่าคนที่เข้าพิธีแขวนตะเกียง 3 ดวง อยู่ 1 ขั้น โดยจะมีทหารผี 72 และภรรยา 36 คนที่ผ่านพิธีนี้จะสามารถติดต่อกับผีและรักษาคนที่เจ็บไข้ไม่สบายได้ (หน้า 80) 3) กว๋า เจี๊ยบ อี เซน ต้า ล่อ ตัง หรือ โต่ว ไซ คือ พิธีแขวนตะเกียง 12 ดวง เป็นพิธีที่สูงที่สุด ประกอบพิธีเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน หมอผีทำพิธีมีจำนวน 12 คน คนที่เข้าพิธีจะต้องเคยเข้าพิธีแขวนตะเกียง 7 ดวงมาก่อน เมื่อเข้าพิธีแล้วจะมีทหารผีจำนวน 120 และภรรยา 60 หากคนเข้าพิธีมีพ่อกับลูก ก็จะทำพิธี จา เจ๊ะ อันเป็นพิธีย่อย เมื่อผ่านพิธีแล้วจะได้ชื่อ "ล่อง "ต่อท้ายชื่อ สำหรับภรรยาจะได้ชื่อย่าง ต่อท้ายชื่อ (หน้า 80) สำหรับพิธีนี้จะทำไม่ได้ทุกตระกูล สำหรับตระกูลที่ห้ามทำพิธี ได้แก่ ตระกูล "แซ่ จ๋าว" (หน้า 81) สำหรับการศึกษา จะศึกษาเฉพาะพิธีแขวนตะเกียง 3 ดวง (กว่าตั้ง) เนื่องจากพิธีแขวนตะเกียง 7 ดวงกับ 12 ดวงนั้น ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีเย้าทำพิธีแล้ว เพราะเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ใช้คนช่วยงานจำนวนมาก ไม่ค่อยมีผู้มีคุณสมบัติในการประกอบพิธี และนอกจากนี้ก็เนื่องมาจากศาสนา (หน้า 81) พิธีแขวนตะเกียง 3 ดวง (กว่าตั้ง) รายงานระบุว่าพิธีนี้น่าจะเป็น เปี้ยน โก๊ว ฮู้ง ได้บัญญัติให้เย้าทำพิธีนี้เมื่อ 2361 ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก เปี้ยน โก๊ว ฮู้ง ได้สร้างโลกผีและโลกคน ดังนั้นจึงบอกให้ทำพิธีกว่าตั้ง โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยคนดีที่ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์หรือ ได้ไปอยู่กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่ตกนรกหรือลำบาก (หน้า 81,82) พิธีนี้จะทำได้เพียงเครือญาติ ยุด ไหลจ๋าว ใน แซ่จ๋าว, กลุ่มเครือญาติย่อย ลู่จั้น ตอน ในแซ่จั้น และกลุ่มเครือญาติย่อย ลู่ลิ่วแปะ บางสาย (หน้า 83) การกำหนดวันทำพิธีต้องปรึกษาหมอผี โยการจัดพิธี 3 วัน และไม่จำกัดจำนวนคนที่เข้าร่วมพิธี (หน้า 84) อุปกรณ์ที่จะใช้ในพิธี ได้แก่ ชุดแต่งกายประจำเผ่าชุดผู้หญิง ตัดใหม่, ผ้าดิบสีขาวเก้าอี้ ตกแต่งด้วยกระดาษหลากสี เสาวางตะเกียง เป็นต้นกล้วยยาวประมาณ 140 เซนติเมตร และต้นกล้วยยาว 15 เซนติเมตร 2 ท่อนเพื่อวางขนาบข้างของต้นใหญ่ (หน้า 85) กระดาษสำหรับผี 2 แบบ คือ เจ้ยก๋อง เป็นกระดาษสา ขนาด 4 คูณ 9 นิ้ว แล้วประทับตราที่เรียกว่า จุเจ้ย ซึ่งเป็นวงกลมมีรูปลักษณะสี่เหลี่ยมตรงกลางประทับลงเรียง 5 แถว กับ เจ้ยหม่า กระดาษสา ขนาด 7 คูณ 9 นิ้ว แล้วจะนำไม้สลักคนขี่ม้าขนาด 2 คูณ 8 นิ้ว ทาหมึกดำ แล้วกดประทับลงบนกระดาษ บุหรี่ เหล้า (หน้า 85) ห่อเกลือที่ใช้เชิญหมอผีและพ่อครู ทำจากใบตอง ถุงข้าว (ซิเจี้ยน) ผ้าดิบสีขาวที่ใช้บูชาครู (หน้า 86) เรือ ทำด้วยใบข้าวโพด กับหุ่นผีร้าย (ฉู่ง เมี้ยน) ทำด้วยฟาง ตะเกียง อาหารที่ใช้เซ่นไหว้ และเลี้ยงแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน เช่น หมู ไก่ ข้าว เหล้า ชา ขนมยั่วจง (ทำจากข้าวเหนียวผสมงา ห่อด้วยใบตองแล้วนึ่ง) อุปกรณ์สำหรับหมอผี ได้แก่ ภาพผีใหญ่ จ๋าว เป็นชิ้นไม้ 2 อัน เพื่อใช้เสี่ยงทายความพึงพอใจของผี มีดหมอผี (กึ๋ม) คือ มีดสั้น ด้ามมีดมีเหรียญร้อยเป็นพวง ไม้เท้าหมอผี (ซิก๋วน) (หน้า 86) เขาควาย (จอง) เอาไว้เป่าเชิญผีฟ้า หนังสือ ใช้หลายเล่ม อาทิ ค่อยต้านโซ หนังสือบันทึกคำสวดเลี้ยงผี และจาฟินตาน หนังสือรายชื่อบรรพบุรุษ ตราประทับกระดาษ หมึกดำ, พูกันจีน, กระถางธูปทำจากกระบอกไม้ไผ่ (หน้า 87, ภาพผีใหญ่ หน้า 103) หงะเก๊น (ไม้ไผ่แผ่นบาง ขนาด 1X12 นิ้ว) ชุดหมอผี เสื่อ เชือกปอ กระดิ่ง เครื่องดนตรี ได้แก่ กลอง (จโย๋ว) ฆ้อง (ล่อ) ฉาบ (ฉัจเจ้ย) (หน้า 87 ภาพหน้า 101) คนที่มาร่วมงาน ประกอบด้วย หมอผีใหญ่ (ต้ม ไซ หมอผีน้อย (ไซตอน) ค่อยจ๋าวไซ(พ่อครูคนที่ 1) เป็นคนตระกูลเดียวกัน เบ๊วะจงไซ (พ่อครู คนที่ 2) อาจเป็นคนตระกูลตระกูลเดียวกันหรือต่างตระกูล และ เพื่อนบ้าน ที่มาช่วยเหลืองานต่างๆ การปฏิบัติ ก่อนถึงวันงาน 7 วัน ทุกคนต้องถือศีล ระวังกิริยาวาจา ไม่มีเรื่องกับใคร ไม่มีเพศสัมพันธุ์ ส่วนหมอผีและคนในตระกูล ต้องรักษาศีล 2 สัปดาห์ (หน้า 88) ก่อนวันงาน 1 วัน คนที่จะเข้าพิธีจะนำเอาเกลือ เพื่อไปเชิญ หมอผีใหญ่ หมอผีน้อย กับพ่อครู ส่วนคนที่มาช่วยงาน ชายในตระกูลจะไปเชิญด้วยบุหรี่ 1 มวน เมื่อได้บุหรี่แล้วคนนั้นก็จะรักษาศีล (หน้า 88) การประกอบพิธี การประกอบพิธี มี 3 วัน เมื่อถึงเวลาตามฤกษ์ที่กำหนดไว้วันแรกหมอผีกับค่อยจ๋าวไซ จะเชิญห่อรูปผีใหญ่ เข้ามาที่บ้านที่จัดงานด้านประตูผี (ต้มแกง) เจ้าภาพจะฆ่าหมู 1ตัว (หน้า 88) จากนั้นหมอผีใหญ่จะเชิญผีบรรพบุรุษ และตั้งโต๊ะเครื่องเซ่น เพื่อบอกผีบรรพบุรุษว่าจะจัดพิธีกว่าตั้ง และขอให้มาร่วมพิธีและรับส่วนบุญที่ทำบุญไปให้ ในช่วงเย็นเจ้าภาพจะจัดเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน และหมอผีใหญ่ก็จะแนะนำพิธีต่างๆ และข้อห้ามต่างๆ เช่น คนที่เข้าพิธีต้องกินเจ ไม่ดื่มเหล้า (หน้า 89) ในช่วงกินเลี้ยงจะเสี่ยงกระดูกไก่ โดยนำไม้ไผ่ซี่เล็กๆ ปักที่รูสองรูบนกระดูกไก่ หากไม้ไผ่สองอันนั้นตั้งตรง หรือเอียงหากัน ก็เชื่อว่า งานพิธีจะเป็นไปอย่างไม่มีอุปสรรค แต่ถ้าเอียงไปคนละทิศละทางก็เชื่อว่า งานนั้นอาจจะเกิดปัญหาได้ (หน้า 89) วันที่สอง ตอนเช้าจะจัดพิธีเลี้ยงผี ทั้งผีบรรพบุรุษ และผีอื่นๆ จากนั้นก็จะนำภาพผีใหญ่มาแขวนที่ปะรำพิธี เมื่อถึงตอนเที่ยงก็จะเลี้ยงผีบรรพบุรุษ ซึ่งตลอดงานจะทำพิธีเซ่นไหว้ผีทั้ง 3 มื้อได้แก่ เช้า กลางวัน เย็น ในช่วงเย็นคนเข้าพิธีจะอาบน้ำต้มก้านธูป ชำระกายให้บริสุทธิ์ จากนั้นก็จะสวมชุดประจำเผ่าไว้ทางด้านใน แล้วสวมชุดประจำเผ่าของผู้หญิงเข้าในพิธี ต่อมาหมอผีก็จะมอบผ้าขาวกับคนที่เข้าพิธี (หน้า 90) เมื่อประทับตราบนสารแล้วก็จะเผาสารเพื่อส่งไปให้ผีฟ้า ขั้นต่อไปก็จะเชิญผีฟ้า ผีบรรพบุรุษ และผีอื่น ๆ เพื่อให้มาเข้าร่วมพิธี (หน้า 90) เมื่อสวดเรียบร้อยร้อยแล้ว หมอผีใหญ่ หมอผีน้อย พ่อครู และผู้เข้าพิธี ก็จะมารวมตัวกันที่หน้าภาพผีใหญ่ พร้อมกับสวดและเต้นรำ โดยพ่อครูจะเป็นผู้แนะนำคำสวด และถ้าเต้น สำหรับการสวดจะเป็นการเชิญผีโดยจะเชิญผีจะตำแหน่งสูงไปหาตำแหน่งที่น้อยกว่า โดยจะเชิญ 3 ครั้ง (หน้า 91, 122) เมื่อสวดแล้วก็จะเชิญผีกินข้าว เรียกว่า "กว่าตั้งต้าน" เมื่อถึงฤกษ์กว่าตั้ง ประมาณเที่ยงคืน หมอผีก็จะสวดไล่สิ่งไม่ดีและเชิญขวัญให้กับคนที่เข้าพิธี จากนั้นคนที่เป็นพ่อของผู้เข้าพิธีก็จะเชิญตะเกียง จุ๊ ป๊วน เม่ง ตัว มาวางไว้ตรงกลาง ต่อมา ค่อยจ๋าวไซ ก็จะวางตะเกียงค่อย เหยา ตัง มาวางไว้ด้านขวามือ และต่อไปเบ๊วะจ่งไซ ก็จะวางตะเกียง เบว๊ะ จ่ง ตัง วางไว้ทางซ้ายมือ แต่ถ้าน้องเข้าร่วมพิธีด้วย พี่ชายจะวางตะเกียงดวงแรกแทนพ่อ ค่อยจ๋าวไซจะวางดวงที่สอง และน้องจะวางดวงที่สาม (หน้า 91) สำหรับตะเกียงดวงแรกจะให้ดับไม่ได้ เพราะเชื่อว่าเป็นตะเกียงแห่งชีวิต (หน้า 92,122) ถ้าดับก็อาจถึงแก่ความตาย หากตะเกียงไฟสว่างก็เชื่อว่าชีวิตจะเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าไฟริบหรี่ก็เชื่อว่าชีวิตจะตกอับ เป็นต้น เมื่อวางตะเกียงเรียบร้อยแล้ว หมอผี พ่อครู และแขกรับเชิญที่เคยผ่านพิธีกว่าตั้ง 12 คน ก็จะตั้งแถวแล้วร้องเพลงรอบคนที่เข้าพิธี 3 รอบ เพื่อให้ผีและคนทราบว่า ผู้เข้าพิธีได้ทำพิธีแขวนตะเกียง (หน้า 92) ต่อไปก็จะทำพิธี เชียด พิน กอง โดยเป็นพิธีที่พ่อจะสอนให้คนที่เข้าพิธีเดิน 7 ดาว คนเข้าพิธีจะเดินตามรอยพ่อกับพ่อครู อันหมายถึง ลูกต้องเชื่อฟังและทำตามคำสอนของพ่อและพ่อครู หรือผู้หลักผู้ใหญ่(หน้า 92,122 ภาพหน้า 100,109) และต่อด้วยพิธีเปี๊ยะฟัด โดยพ่อครูจะให้คาถา และให้ทหารผี 36 ตนโดยคนเข้าพิธีจะได้ 24 และภรรยาจะได้ 12 ต่อมาค่อยจ๋าวไซ กับเบ๊วะจ่งไซ ก็จะมาเป่าเกลือคนที่เข้าพิธีจนครบ 3 คนจากนั้นก็จะตั้งชื่อให้ใหม่ โดยมีคำว่า "ฟะ" อาทิเช่น นายสมยศก็จะมีชื่อใหม่ว่า "ฉิ้น ฟะ หว่าง" (หน้า 93,123 ) เมื่อมีชื่อใหม่จะเขียนบนกระดาษแล้วเผา ชื่อนี้จะไปอยู่ที่ทำเนียบบรรพบุรุษและจะได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือจาฟินตาน จากนั้นคนที่วางตะเกียงก็จะถอนตะเกียง ค่อยจ๋าวไซ กับ เบ๊วะจ่งไซ ก็จะเอาไม้เท้าผี 2 อันสอดข้างตัวคนที่เข้าพิธีจากนั้นก็จะยกขึ้นจากเก้าอี้ (หน้า 93,123) ต่อมาค่อยจ๋าวไซ จะบอกกล่าวข้อปฏิบัติและข้อพึงละเว้นแก่คนที่เข้าพิธี เช่นให้เป็นคนดี กตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ให้ทำชั่ว เป็นต้น ต่อไปคนที่เข้าพิธีก็จะถอดชุดที่เข้าทำพิธีซึ่งเป็นชุดผู้หญิง ก็ถือว่าเป็นชายเต็มตัว (หน้า 94) วันสุดท้าย (วันที่ 3) ตอนเช้าจะทำพิธีเลี้ยงผี ตอนสายจะจับผีที่ไม่ดีทำโทษ เพราะเย้าเชื่อว่าการเจ็บป่วย เกิดขึ้นเพราะฝีมือของผีร้ายการทำโทษจะอัญเชิญ เจียบ ตี๋ง ฮุ่ง หรือผีผู้พิพากษามาตัดสิน (หน้า 94,123) เมื่อตัดสินเรียบร้อยแล้วก็จะนำหุ่นผีไปเผา จากนั้นก็จะเซ่นไหว้ เจียบ ตึ๋ง ฮุ่ง โดยฆ่าไก่เซ่น ต่อไปหมอผีใหญ่ก็จะทำบุญให้ผีบรรพบุรุษ และทำพิธีปุน แปง โดยพ่อครูจะนำกระด้งวางบนพื้น นำผ้าขาวที่มีรอยฉีกตรงกลางวางไว้บนกระด้ง จากนั้นจะนำไม้เท้ามาวางกลางผ้า (หน้า 95 ภาพ 112,114) จากนั้นจะนำข้าวสารและเหรียญเงินใส่ลงในเขาควายแล้วเทลงที่ไม้เท้า 3 ครั้ง แล้วห่อด้วยผ้าแยกเป็น 2 ห่อเก็บเอาไว้ (หน้า 95, 96, 123) และจะทำพิธียุ่นปุ่นเป็นพิธีสุดท้าย โดยจะฆ่าหมูเซ่นไหว้ เพื่อส่งผีกลับ เมื่อเก็บภาพผีใหญ่แล้วก็จะเลี้ยงคนที่มาช่วยงาน โดยฆ่าไก่ทำอาหาร โดยไม่ต้องกินอาหารเจ (หน้า 96, 121, 123) ทั้งนี้ในหมู่บ้านเคย มีการทำพิธีกว่าตั้งมาแล้ว 7 ครั้ง โดยมีคนในหมู่บ้านเคยผ่านการทำพิธี จำนวน 68 คน (หน้า 97, 98)

Education and Socialization

ในหมู่บ้านมีโรงเรียน 1 แห่ง สร้างเมื่อ ค.ศ. 1973 ชื่อโรงเรียนบ้านห้วยแม่ซ้าย สังกัดสำนักงานประถมศึกษาจังหวัดเชียงราย (หน้า 35)

Health and Medicine

บ้านห้วยแม่ซ้าย มีสถานีบริการสาธารณะชุมชน 1 แห่ง สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1990 ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ จำนวน 1 คน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านจำนวน 1 คน และผู้สื่อข่าว สาธารณสุข จำนวน 2 คน (หน้า 35)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชุดแต่งกายหมอผีในพิธีกว่าตั้ง หมวกสีดำทรงกลม ด้านบนเย็บติดกัน ตกแต่งด้วยไหมพรมสีแดง ด้านบนแคบกว่าด้านล่าง เสื้อ (ลุย กว่า) ไม่มีแขน เป็นเสื้อผ่าอก ไม่มีปกคอ เสื้อยาวต่ำกว่าสะโพก เวลาสวมจะสวมทับเสื้ออีกชั้นที่มีความฉูดฉาด ตุ้ง จุ้น เป็นผ้าสีเหลี่ยมคางหมู เหมือนกระโปรงแต่ไม่เย็บติดกันยาวกระทั่งถึงข้อเท้า เวลาสวมจะสวมทับกางเกงอีกที, ผา ฮุ้ง คือผ้าสีแดงเอาไว้คาดเอวทับเสื้อ (หน้า 87) ผา จุ้น ผ้าทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ด้านหน้าผ้าเป็นผ้าสีดำปักลวดลาย ส่วนปลายประดับด้วยไหมพรมสีแดง เส้น ต้อ ต๋าย นี้ ใช้ผูกหมวก ผาจุ้น จะให้ปลายทั้งสองห้อยมาทางหลังและสะ แงะ คือภาพผีเทพยดาคล้ายหน้ากากสวมติดบนหัวทับกับหมวก (หน้า 87)

Folklore

ตำนานพิธีกว่าตั้ง ความเป็นมาของการจัดพิธีกว่าตั้งครั้งแรกบนโลก มีดังนี้ นานมาแล้วกลุ่มฟามชิง ที่ประกอบด้วย เล่งสี่ โต๊ะต๊ะ เล่งปุ จะจัดพิธีกว่าตั้ง จึงไปยืมบ้านของมังกรที่มีความโอ่อ่าและสวยงาม แต่มังกรตัวนั้นได้ท้าทายทั้งสามว่า หากมีปัญญาก็เอาบ้านไปได้เลย เมื่อทั้งสามยกบ้านของมังกรไป เมื่อทำพิธีเสร็จก็ได้นำบ้านของมังกรเอาไปไว้บนสวรรค์ (หน้า 82) ตำนานการอพยพของเย้า เหตุที่กลุ่มเครือญาติบางกลุ่มไม่อาจทำพิธีกว่าตั้ง (พิธีแขวนตะเกียง) ระดับสูงๆ ขึ้นไปได้นอกจากพิธีแขวนตะเกียง 3 ดวง มีส่วนในการอพยพครั้งสำคัญ เพราะว่าบรรพบุรุษไม่ใช่เย้าดั้งเดิม เย้าได้ทำมาหากินบนแผ่นดินเก่า กระทั่งเกิดความแห้งแล้งอดอยาก ปลูกพืชไม่ได้จึงได้ย้ายไปอยู่เมืองใหม่ โดยตั้งชื่อว่านานกิงจน ค.ศ. 1398-1399 ได้เกิดความแห้งแล้งอีกครั้ง คราวนี้แล้งนานกว่า 3 ปี ดังนั้นเย้าจึงลงเรือเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน แต่ก็ไม่เห็นฝั่ง (หน้า 83) ดังนั้นเย้าจึงอ้อนวอนผีฟ้าว่าขอให้ถึงฝั่งโดยสวัสดิภาพ จากนั้นอีก 3 วัน จึงขึ้นฝั่งได้ที่บริเวณมณฑลกวางตุ้ง ดังนั้นเย้าจึงทำพิธีเพื่อขอบคุณผีฟ้า ที่ช่วยให้รอดชีวิตมาได้ (หน้า 83) นิทานห้ามการแต่งงานกับบางตระกูล นานมาแล้วมีสามีภรรยา คู่หนึ่ง คนที่เป็นสามีชอบนั่งสมาธิกรรมฐาน หรือเย้าเรียกว่า "เต่อวต้ง" เมื่อเข้าญาณวิญญาณจึงออกจากร่าง เหมือนคนนอนหลับ กระทั่งถึงวันหนึ่งสามีเข้ากรรมฐานเป็นเวลานานหลายวัน วิญญาณก็ยังไม่กลับมาเข้าร่างกาย ภรรยาจึงขาดความอดทนในการเฝ้าร่างของสามี และมักเป็นอยู่อย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ในนิทานไม่ได้บอกเอาไว้ว่าสามีคนนี้มีภรรยากี่คน แต่ได้บอกว่ามีภรรยาคนหนึ่งเกิดความอิจฉาที่สามีรักภรรยาอีกคนมากกว่า จึงเอาหนอนมาใส่ปากสามีที่กำลังเข้ากรรมฐาน และวิ่งไปบอกชาวบ้านคนอื่นๆว่าสามีเสียชีวิตแล้ว โดยดูจากหนอนที่ออกทางปาก (หน้า 37) อย่างไรก็ดีมีญาติบางส่วนเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้มีชู้และถูกชู้ยุให้ทำอย่างนั้น ต่อมาญาติของสามีจึงนำร่างที่มีหนอนออกทางปากนั้นไปทำพิธีศพ ขณะที่ศพตั้งบนกองฟืน วิญญาณของสามีก็ได้คุยอยู่กับเทวดา (หน้า 37) เมื่อเทวดาบอกให้รู้ เขาจึงรีบกลับมาเข้าร่างเดิม แต่ญาติได้จุดไฟแล้ว เมื่อมาถึงร่างไฟได้ไหม้ขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงตะโกนเมื่อเข้าร่างได้สำเร็จว่า คนในเครือญาติของตนอย่าได้แต่งงานกับหญิง ในตระกูล "แซ่ย่าง" ครั้นเมื่อตะโกนแล้ว ด้วยความโมโหภรรยา เขาจึงขาดใจตายในเวลาต่อมา (หน้า 38 )

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงพิธีกรรม งานเขียนระบุว่า พิธี กว๋า ฟาม ทอย ตัง อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบางส่วนเพราะ ตำราประกอบพิธีกรรมเสียหายจากการโยกย้ายที่อยู่ และถูกทำลาย อันเกิดจากความกลัวว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหนังสือของลัทธิคอมมิวนิสต์หรือในกรณีที่เจ้าของบ้านเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ก็จะทำลายตำราเพราะเชื่อว่า เป็นหนังสือของซาตาน ดังนั้นจึงไม่หลงเหลือตำราเก่าๆ ทุกวันนี้ยังคงเหลือแต่ตำราที่มีอายุประมาณ 30 ปีเท่านั้น (หน้า 131) นอกจากนี้ ตำราในแต่ละเล่มยังเรียงไม่ตรงกันอีกด้วยเนื่องจากเย้าเชื่อว่า หากเรียงตรงกับเนื้อหาเดิมจริงๆ คนที่ทำหน้าที่คัดลอกก็จะอายุไม่ยืนดังนั้นเย้าจึงพากันหวาดกลัว อย่างไรก็ดีผู้วิจัยระบุว่า จากการสอบถามหมอผีและผู้อาวุโสเย้า ต่างก็ยืนยันว่าพิธีกรรมต่างๆ ยังคงทำเช่นเดิมจะเปลี่ยนขั้นตอนไม่ได้ เพราะถ้าทำไม่ถูกก็ต้องเริ่มทำพิธีกันใหม่ตั้งแต่ต้น เพราะจะเป็นการเปล่าประโยชน์หรือไม่ผีจะทำร้ายได้ (หน้า 131) การเปลี่ยนแปลงของขั้นตอนการทำพิธี มีด้วยกันดังต่อไปนี้ 1) สังคมเย้าได้ยอมรับสังคมส่วนกลางของไทย เช่น การเชิญผีท้องถิ่น หมอผีจะอัญเชิญ เสียน หลอ หวาง หรือ พระสยามเทวาธิราช ได้แก่กษัตริย์ในอดีตและกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของจุดศูนย์รวมของประเทศไทย ดังนั้นการที่สัญลักษณ์ของกษัตริย์ไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันได้มาอยู่ในพิธีกรรมนั้น ย่อมเป็นเครื่องชี้ว่าเย้ายอมรับสังคมส่วนกลางของไทย (หน้า 132) 2) การตีความหมายของการสวมเสื้อที่ใส่ในการประกอบพิธีกรรม มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ เสื้อผู้หญิงที่ใส่เข้าร่วมพิธีกว่าตั้ง ผู้อาวุโสเย้าระบุว่า เสื้อเป็นตัวแทนของ "ภรรยา" แต่บางข้อสัญนิษฐานบอกว่าเป็นเครื่องหมายของความเป็นครึ่งหญิงครึ่งชายแต่หลังจากประกอบพิธีเรียบร้อยแล้ว คนที่ประกอบพิธีก็จะกลับมาเป็นผู้ชายเช่นเดิม ผู้เขียนอธิบายว่าจากการสอบถามชายเย้าที่มี อายุ 30กว่าปีขึ้นไป ที่เคยเข้าร่วมพิธีได้บอกว่า เสื้อที่สวมหมายถึง "แม่" ที่มารับส่วนกุศลที่ลูกทำบุญไปให้ อันหมายถึงการทดแทนพระคุณของผู้เป็นแม่ (หน้า 133, 136)

Map/Illustration

แผนผัง บ้านห้วยแม่ซ้าย (หน้า 53) ภาพ ผังบ้านงาน (หน้า 99) วิธีเดิน 7 ดาว (หน้า 100) อุปกรณ์ของหมอผี, เครื่องดนตรีที่ใช้ในพิธี (หน้า 101) หิ้งผี กระถางสำหรับเซ่นผีฟ้าและตั๊วะ คุ้น (หน้า 102) ภาพผีใหญ่ เชิญผีบรรพบุรุษ (หน้า 103) งานเลี้ยงคืนแรก เสี่ยงทายไก่ (หน้า 104) ผู้เข้าพิธีกว่าตั้ง หมอผีและครูสอนเต้นรำ (หน้า 105) ไล่ผีนางไม้ในเก้าอี้ (หน้า 106) ขอพรจากผีใหญ่ (หน้า 106) พ่อมอบตะเกียงดวงแรก, พ่อครูมอบตะเกียง (หน้า 107) กองประกาศเกียรติยศ, อำนวยพร (หน้า 108) ผังดาว, เชียด ฟิน กอง (หน้า 109) เปี๊ยะ ฟัด, ไม้หมอทั้งสองยกประคองบัณฑิต (หน้า 110) ย่าง ก่อง โปว, จับผีร้าย (หน้า 111) พิพากษา ขอบคุณ เจียบ ตีง ฮุ้ง (หน้า 112) ขอผีฟ้ามาช่วย ทำบุญให้บรรพบุรุษ (หน้า 113)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 18 ส.ค. 2557
TAG เย้า, พิธีกว่าตั้ง, พิธีกรรม, แม่ซ้าย, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง