สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,พุทธศาสนิกชน,ประเพณี,การผสมผสานทางสังคม,จังหวัดชายแดนภาคใต้
Author ฉวีวรรณ วรรณประเสริฐ, พีรยศ ราฮิมมูลา, มานพ จิตต์ภูษา
Title ประเพณีที่ช่วยส่งเสริมการผสมผสานทางสังคมระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิม
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 150 Year 2524
Source ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
Abstract

กล่าวถึงประเพณีต่างๆ ในท้องถิ่นที่ช่วยสนับสนุนการผสมผสานทางสังคมของกลุ่ม ผู้นับถือศาสนาพุทธและมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามใน 5 หมู่บ้านที่เป็นกรณีศึกษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ บ้านป่าบอน บ้านมะปรางมัน ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านคล้า บ้านกะลุแป ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา และบ้านปิเหล็ง ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ในแต่ละหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านที่นับถือศาสนา อิสลามทั้งหมดหรือศาสนาพุทธทั้งหมู่บ้าน และบางแห่งต่างก็นับถือศาสนาทั้งสองในอัตราส่วนที่ต่างกัน ในงานเขียนได้กล่าวถึงประเพณีต่างๆ ของศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ แม้ว่าประเพณีทางศาสนาคนทั้งสองกลุ่มจะไม่ประกอบพิธีร่วมกันแต่ผู้นับถือศาสนาทั้งสองก็ได้ร่วมกิจกรรมทางประเพณีกันในทางสังคม เช่น ไปช่วยเหลืองาน จัดเตรียมงาน และเป็นแขกไปร่วมงานเพื่อแสดงน้ำใจต่อกัน

Focus

เพื่อค้นหาประเพณี และศึกษาค้นคว้าหาประเพณีที่ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนและมุสลิม สามารถปฏิบัติร่วมกัน เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ทำให้เกิดความมั่นคงในสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และเพื่ออนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นทราบข้อแตกต่างของประเพณี รวมทั้งหาวิธีเพื่อนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม (หน้า 2)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

คนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู ที่อยู่อาศัยในจังหวัดปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม มีภาษาพูด รวมทั้งวัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ไม่เหมือนกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ (หน้า 9) (หน้า 40)

Language and Linguistic Affiliations

มุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 70-80 % พูดภาษามลายูเป็นภาษาพูดในชีวิตประจำวัน (หน้า 9) ภาษาเขียนในอดีตเคยใช้อักษรยาวี เขียนตำราศาสนาอิสลาม ซึ่งในอดีตปัตตานีเป็นสถานที่ศึกษาศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียงในอดีต นอกจากนี้ภาษามลายูยังเป็นภาษาที่ใช้สอนศาสนาอิสลามในโรงเรียนปอเนาะ (หน้า 9) ไทยพุทธในบ้านมะปรางมัน จ.ปัตตานี จะพูดภาษาไทยท้องถิ่น ถ้าพูดกับมุสลิมบ้านป่าบอนจะพูดภาษามลายูท้องถิ่น ส่วนมุสลิมก็จะสามารถฟังภาษาไทยแต่พูดไม่ค่อยชำนาญ (หน้า 134)

Study Period (Data Collection)

เริ่มการวิจัยกลางเดือนพฤษภาคม 2523 และดำเนินการวิจัยเป็นระยะเวลาหลายเดือน เนื่องจากสถานการณ์ในภาคสนามไม่มีความปลอดภัย ทั้งเรื่องโจรผู้ร้าย และเหตุการณ์น้ำท่วม การวิจัยผู้วิจัยได้ให้ผู้ร่วมทำงาน ทำงานวิจัยก่อน เป็นเวลา 4 เดือน เพราะผู้วิจัยเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อกลับมาได้ทำงาน 3 เดือนทางการได้ห้ามข้าราชการเข้าพื้นที่เพราะกลัวไม่ปลอดภัย ต่อมาผู้วิจัยต้องหยุดการทำงานระยะหนึ่งเนื่องจากเป็นไข้มาลาเรีย และเมื่อหายป่วยได้ทำงานต่อ 10 เดือน กระทั่งทำงานเสร็จ (คำปรารภ)

History of the Group and Community

2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ประวัติบ้านป่าบอน หมู่ 1 ชื่อหมู่บ้านเรียกตาม ลักษณะที่มีต้นบอนขึ้นเป็นจำนวนมากในหมู่บ้าน ในหมู่บ้านเคยมีวังของพระยากูรายาซึ่งเป็นเจ้าเมืองเก่า มีพื้นที่ 15 ไร่ ล้อมด้วยรั้วไผ่ อยู่ใกล้โรงเรียนบ้านป่าบอน ทุกวันนี้ไม่มีวังดังกล่าวแล้ว (หน้า 106,108) ประวัติมะปรางมัน หมู่ 7 ในอดีตเคยมีต้นมะปรางมันเกิดอยู่บริเวณหมู่บ้าน แต่ต้นไม้นี้ได้ตายแล้ว คนในหมู่บ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านวาบ้านมะปรางมัน (หน้า 106,108) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา ประวัติบ้านคล้า หมู่ 3 ตั้งชื่อหมู่บ้านตามต้นคล้าซึ่งเคยมีในบริเวณหมู่บ้าน เป็นจำนวนมาก (หน้า 112,114) ประวัติบ้านกะลุแป หมู่ 4 ตั้งชื่อตามชื่อต้นกะลุแป ซึ่งเป็นภาษามลายู ที่เคยมีในหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก (หน้า 112,114) 1 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ประวัติบ้านปิเหล็ง ชื่อหมู่บ้านตั้งตามชื่อต้นปิเหล็ง ซึ่งเป็นพืชตระกูลปาล์ม ที่ขึ้นเป็นจำนวนมากในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านเรียกว่า ต้นสิเหรง ที่เกิดในหมู่บ้านเป็นจำนวนมากแต่ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว พื้นที่หมู่บ้านเมื่อก่อนเป็นป่าสงวนแห่งชาติ มีเนื้อที่ราว 178,850 ไร่ ทุกวันนี้สภาพป่าไม้ทั่วไปเป็นป่าเสื่อมโทรมและเป็นป่าเสม็ดเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 119) สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส รายงานระบุว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ว่าสร้างตั้งแต่ตอนไหน ซึ่งจากข้อสันนิษฐานของนักเขียนชาวยุโรปเชื่อว่า เมืองเดิมของปัตตานี คือเมืองลังกาสุกะ ที่เป็นเมืองท่าสำคัญในพุทธศตวรรษที่ 8 และชาวเมืองนับถือศาสนาฮินดูและพราหมณ์ กระทั่งพุทธศตวรรษที่ 12-18 อาณาจักรศรีวิชัยได้ขยายเขตการปกครองครอบคลุมเขตปัตตานี แหลมมลายู และ บอร์เนียว ชวา สุมาตรา บางส่วน (หน้า 7) ดังนั้นจึงทำให้ศาสนาพุทธได้รับการนับถือโดยทั่วไปในบริเวณนี้รวมทั้งปัตตานี ต่อมาศาสนาอิสลามจากมะละกา สมัยซัฟฟาร์ เมื่อประมาณ พ.ศ.2002 ได้เข้ามาเผยแพร่ในปัตตานี ซึ่งจากประวัติเมืองตานี (ปัตตานี) ฉบับภาษามลายูได้ระบุว่า กษัตริย์ศรีอินทราของเมืองตานีได้เข้ารีตองค์แรก และตรงกับประวัติเมืองมะละกาที่บอกว่า ปัตตานี หรือเมืองตานีได้สร้างขึ้นภายหลังการล่มสลายของเมืองลังกาสุกะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-19 (หน้า 7) ต่อมาไทยได้ขยายเขตการปกครองครอบคลุมแหลมมลายูไปถึงยะโฮร์ และเกาะทุมมาสิก หรือสิงคโปร์และปัตตานีได้เป็นของไทยในฐานะประเทศราช ภายหลังสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา ไทยได้ละเลยประเทศราชทางใต้ ดังนั้นอาณาจักรมะละกาได้รวมเอาปัตตานีเข้าเขตการปกครองของตนตั้งแต่ พ.ศ. 2003 กระทั่ง พ.ศ. 2054 มะละกาเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส ปัตตานีจึงกลับมาอยู่ในการปกครองของกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง (หน้า8) ถ้าไทยเกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง ปัตตานีก็มักจะกระด้างกระเดื่องเช่นเดียวกับเมืองประเทศราชอื่นๆไม่ว่าจะเป็นเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา เมืองพัทลุง ที่อยู่ในการปกครองของไทย ดังนั้นสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้แยกเมืองปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง ได้แก่ 1) ปัตตานี ทุกวันนี้คือ จ.ปัตตานี 2) ยะลา ทุกวันนี้คือ จ.ยะลา 3) ยะหริ่ง ทุกวันนี้เป็นอำเภออยู่ใน จ.ปัตตานี (หน้า 8) 4) ระแงะ ทุกวันนี้เป็นอำเภอใน จ.นราธิวาส 5) รามันห์ ทุกวันนี้เป็นอำเภอใน จ.ยะลา 6) สายบุรี ทุกวันนี้เป็นอำเภอใน จ.ปัตตานี 7) หนองจิก ทุกวันนี้เป็นอำเภอในเขตปัตตานี (หน้า 9) คนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ราว 80% เป็นมุสลิมเชื้อสายมลายู (หน้า 9)

Settlement Pattern

สภาพการตั้งบ้านเรือนของหมู่บ้าน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การตั้งบ้านเรือนโดยทั่วไปจะแยกกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ในตำบลบางพื้นที่จะมีไทยพุทธและมุสลิม แยกมาตั้งหมู่บ้านต่างหาก โดยไม่ค่อยติดต่อกัน แต่ในบางพื้นที่แม้ว่าจะมาตั้งหมู่บ้านอยู่รวมกับคนที่นับถือศาสนา ที่ตนนับถือเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ติดต่อกับเพื่อนบ้านที่นับถือศาสนาต่างกันดี (หน้า 1) การตั้งบ้านเรือนในบ้านป่าบอน หมู่ 1 ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านป่าบอน ส่วนมากจะสร้างบ้านตามแนวถนน (Line settlement) กับเป็นแบบกระจัดกระจาย (Scattered settlement) อยู่บริเวณไร่นา บ้านส่วนมากจะสร้างแบบชั้นเดียวใต้ถุนสูง สร้างด้วยไม้เนื้อแข็งทั้งหลัง พื้นที่บริเวณบ้านเป็นแบบไม่มีแบบแผน (Unplanned ) คือการปลูกต้นไม้ต่างๆ อย่างไม่เป็นระเบียบ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงจะเลี้ยงที่ใต้ถุนบ้านและบริเวณบ้าน (หน้า 108) การตั้งบ้านเรือนในบ้านมะปรางมัน หมู่ 7 ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านมะปรางมันส่วนมากจะสร้างบ้านตามแนวถนน (Line settlement) บางส่วนจะอยู่รวมกัน (Clustered settlement) มีไร่นาล้อมบริเวณที่อยู่ บ้านเรือนมีทั้งหมด 80 หลัง จากการสุ่มตัวอย่าง 66 หลังคาเรือน บ้าน 49 หลังเป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง เป็นบ้านชั้นเดียว 10 หลัง บ้าน 2 ชั้น 7 หลัง วัสดุที่ใช้ 44 หลัง สร้างด้วยไม้จริง 13 หลังสร้างด้วยไม้ไผ่ และ 7 หลังเป็นบ้านครึ่งตึครึ่งไม้ และบ้านตึกมี 1 หลัง (หน้า 110) พื้นที่บริเวณบ้าน มีลักษณะใช้พื้นที่อย่างไม่ได้วางแผนล่วงหน้า ปลูกต้นไม้อย่างไม่เป็นระเบียบ มักจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่ใต้ถุนบ้าน และบริเวณบ้าน (หน้า 110) การตั้งบ้านเรือนในบ้านคล้า หมู่ 3 ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา บ้านคล้า เมื่อก่อนจะสร้างบ้านแบบกระจัดกระจาย ทุกวันนี้จะสร้างบ้านตามแนวถนน เพราะมีการสร้างถนนที่บริเวณคันดินชลประทาน คนจึงนิยมมาสร้างบ้านติดถนน บริเวณบ้านเป็นแบบไม่เป็นแบบแผน ปลูกพืชอย่างไม่เป็นระเบียบชอบเลี้ยงสัตว์ที่ลานบ้านและใต้ถุนบ้าน (หน้า 114,115) การตั้งบ้านเรือนในบ้านกะลุแป หมู่ 4 ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา บ้านกะลุแป เมื่อก่อนจะสร้างบ้านแบบกระจัดกระจาย (Scattered settlement) ทุกวันนี้จะสร้างบ้านตามแนวถนน (Line settlement) บริเวณบ้านเป็นแบบไม่เป็นแบบแผน (Unplanned) ปลูกพืชอย่างไม่เป็นระเบียบชอบเลี้ยงสัตว์ที่ลานบ้านและใต้ถุนบ้าน (หน้า 115) การตั้งบ้านเรือนในบ้านปิเหล็ง หมู่ 6 ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส บ้านปิเหล็ง สร้างบ้าน (Planned settlement) โดยจะสร้างบ้านตามแนวถนน (Line settlement) บ้านที่สร้างใหม่จะเป็นแบบของทางราชการเป็นแบบบ้านพักข้าราชการ อาคารไม้หลังคามุงกระเบื้องหรือสังกะสี เสาคอนกรีตยกพื้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส ให้ความช่วยเหลือในการออกแบบการก่อสร้าง และมอบสังกะสีมุงหลังคา โดยให้บ้านละ 22 แผ่น (หน้า 120,122) ส่วนบ้านแบบเดิมจะมุงหลังคาด้วยจาก กั้นฝาบ้านด้วยเปลือกไม้หรือไม้ไผ่ ปลูกบ้านอย่างไม่เป็นระเบียบ (Unplanned settlement) และเป็นแบบกระจัดกระจาย (Scattered settlement) และยกพื้น (หน้า 122)

Demography

ประชากร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชากร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งประกอบด้วย จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส มีประชากรรวม 1,153,707 คน หรือประมาณ 20% ของประชากรในภาคใต้ ซึ่งจากสถิติ พ.ศ. 2522 ระบุว่า มีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลาม 70% (และนับถือศาสนาพุทธ 30% หน้า 1) จ.ปัตตานี มีประชากร 449,307 คน ชาย 217,108 คน หญิง 232,199 คน มีจำนวนประชากรเป็นอันดับสี่ ของภาคใต้ ความหนาแน่นประชากรเฉลี่ย 214 คน ต่อ 1 ตารางกิโลเมตร มีอัตราการเพิ่มประชากรระหว่าง พ.ศ. 2517-2522 เฉลี่ย 2.3 (หน้า10) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านป่าบอน มีจำนวน 62 หลังคาเรือน จำนวน 68 ครอบครัว จำนวนสมาชิกครอบครัวเฉลี่ย ครอบครัวละ 4 คน (หน้า 110) บ้านมะปรางมัน มีจำนวน 80 หลังคาเรือน จำนวน 88 ครอบครัว สมาชิกครอบครัวเฉลี่ยครอบครัวละ 4 คน (หน้า 110,112) จ.ยะลา มีประชากรจำนวน 272,005 คน เพศชาย 140,865 คน และหญิง 131,140 คน อัตราความหนาแน่นของประชาชน 51.85 คน ต่อตารางกิโลเมตร จากการสำรวจ ระหว่างปี พ.ศ. 2517 ถึง 2522 มีอัตราการเพิ่มประชากรเฉลี่ย 3.5 (หน้า 14) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา บ้านคล้า ในหมู่บ้านมีประชากร 565 คน เป็นชาย 260 คน และหญิง 305 คน จำนวนหลังคาเรือนในหมู่บ้าน 22 หลังคาเรือน คนที่นับถือศาสนาพุทธจำนวน 365 คน เป็นมุสลิม 200 คน (หน้า 115) บ้านกะลุแป ในหมู่บ้านมีประชากร 1,908 คน เป็นชาย 1,312 คน เป็นหญิง 596 คน ในหมู่บ้านมีจำนวน 260 หลังคาเรือน (หน้า 118) จ.นราธิวาส มีจำนวนประชากร 432,395 คน เพศชาย 217,922 คน หญิง 214,473 คน อัตราความหนาแน่นต่อพื้นที่เฉลี่ย 102.28 คนต่อตารางกิโลเมตร (หน้า 15) 1 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส บ้านปิเหล็ง มีจำนวนครอบครัว 500 ครอบครัวเพศชาย 650 คนและเป็นหญิงจำนวน 680 คน (หน้า 121,124)

Economy

อาชีพหลัก คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำอาชีพหลัก คือทำการเกษตร เช่นทำสวนยางพารา ทำนา ทำการประมง สวนมะพร้าว ทำสวนผลไม้ ปลูกกาแฟ ทำเหมืองแร่ (สถิติ พ.ศ.2522) (หน้า 1) เศรษฐกิจ จ.ปัตตานี ประชากรทำนาเป็นอาชีพหลัก อาชีพรองอื่นๆ ที่ทำเช่น ทำสวน สวนยางพารา สวนมะพร้าว สวนผลไม้ ประมง ทำนาเกลือ (หน้า 10) รายได้เฉลี่ยต่อคน 6,781 บาท ต่อปี (หน้า 10) ที่ดิน แบ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม 742,736 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทำไร่ 317,034 ไร่ หรือ 42.7% ปลูก สวนยางพารา 302,252 ไร่ หรือ 40.7% สวนมะพร้าว 70,837 ไร่ หรือ 9.5% สวนผลไม้ 20,785 ไร่ หรือ 2.8% อื่นๆ 31,826 ไร่ หรือ 4.3% อัตราถือครองที่ดินต่อครัวเรือนคิดเป็น 8 ไร่ต่อครัวเรือน (หน้า 10) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านป่าบอน ที่ดิน หมู่บ้านมีพื้นที่ทั้งหมด 790 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตร 720 ไร่ ที่อยู่อาศัย 60 ไร่ ที่ดินสาธารณะ 7 ไร่ คนที่มีที่ดินมากที่สุด 70 ไร่ มีที่ดินน้อยที่สุด 0.25 ไร่ ถือครองที่ดินเฉลี่ยต่อครัวเรือน 11.4 ไร่ ต่อครัวเรือน (หน้า 108) การเลี้ยงสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์ใต้ถุนบ้าน และบริเวณบ้าน โดยเลี้ยงวัว ควาย เอาไว้ใช้แรงงาน และเลี้ยงเอาไว้กินเช่น ไก่ แพะ แกะ และอื่นๆ (หน้า 108) บ้านมะปรางมัน ที่ดิน หมู่บ้านมีเนื้อที 925 ไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมจำนวน 830 ไร่ เป็นเนื้อที่บ้านเรือนที่อยู่ 129 ไร่ ที่ดินสาธารณะ 2 ไร่ ที่วัด 3 ไร่ คนที่มีที่ดินมากที่สุดจำนวน 65 ไร่ มีที่ดินน้อยที่สุด 0.5 ไร่ เฉลี่ยการถือครองที่ดินต่อครอบครัวเท่ากับ 10.8 ไร่ ต่อครอบครัว (หน้า 110) การเลี้ยงสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์ใต้ถุนบ้าน และบริเวณบ้าน โดยเลี้ยงวัว ควาย เอาไว้ใช้แรงงาน และเลี้ยงเอาไว้กินเช่น ไก่ การเลี้ยงหมูจะเลี้ยงเพียงจำนวนเล็กน้อย และเลี้ยงในคอก (หน้า 110) เศรษฐกิจ จ.ยะลา ทำสวนยางพาราเป็นอาชีพหลัก ทำอาชีพรองเช่น ทำนา ปลูกกาแฟ มะพร้าว สวนผลไม้ เหมืองแร่ (หน้า 14) รายได้ เฉลี่ยรายได้ต่อคนเฉลี่ย 11,370 บาทต่อปี (หน้า 14) ที่ดิน แบ่งเป็นพื้นที่สวนยางพารา 902,030 ไร่ นา 85,972 ไร่ กาแฟ 15,080 ไร่ สวนมะพร้าว 22,812 ไร่ อัตราถือครองที่ดินต่อครัวเรือนคิดเป็น 20.20 ไร่ต่อครัวเรือน (หน้า 14) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา บ้านคล้า ที่ดิน หมู่บ้านมีเนื้อที่ 2,354 ไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรม 1,188 ไร่ เนื้อที่บ้านเรือนที่อยู่อาศัย 366 ไร่ ที่ดินสาธารณะ 800 ไร่ คนที่มีที่ดินมากที่สุดมี 15 ไร่ มีน้อยที่สุด 3 ไร่ มีที่ดินเฉลี่ย 3 ไร่ต่อครัวเรือน (หน้า 114 แผนผังหน้า 116) บ้านกะลุแป ที่ดิน หมู่บ้านมีเนื้อที่ 2,500 ไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมจำนวน 1,600 ไร่ เป็นบ้านเรือนที่พักอาศัย 500 ไร่ ที่ดินสาธารณะจำนวน 400 ไร่ คนที่มีที่ดินมากที่สุด 10 ไร่ น้อยที่สุด 1.5 ไร่ มีที่ดินเฉลี่ย 5 ไร่ ต่อครัวเรือน (หน้า 115 แผนผนังหน้า 117) เศรษฐกิจ จ.นราธิวาส ประชากรทำสวนยางเป็นอาชีพหลัก อาชีพรอง จะทำนา สวนผลไม้ ประมง (หน้า 15) รายได้ อัตราเฉลี่ยรายได้ 9,493 บาทต่อปี (พ.ศ. 2522) (หน้า 15) ที่ดิน มีดินที่ทำการเกษตร 1,479,397 ไร่ สวนยางพารา 866,181 ไร่ ที่นา245,556 ไร่ สวนมะพร้าว 57,927 ไร่ ไม้ผลและไม้ยืนต้น 1,066,896 ไร่ พืชไร่ 97,146 ไร่ ปลูกผัก 20,094 ไร่ ครัวเรือนมีที่ดินเฉลี่ย 14.68 ไร่ (หน้า 15) 1 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส บ้านปิเหล็ง หมู่ 6 ที่ดิน พื้นที่เดิมเป็นป่าสงวน (หน้า 119) หมู่บ้านเป็นแบบหมู่บ้านสหกรณ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่ของประชาชนที่ยากจน เนื้อที่หมู่บ้านมีจำนวน 30,000 ไร่ จัดให้เป็นที่อยู่อาศัยและสวนหลังบ้านให้ครอบครัวละ 5 ไร่ และที่ดินสำหรับทำการเกษตร 20 ไร่ รวมแล้วเป็นที่ดิน 25 ไร่ (หน้า 120) การปลูกพืช ในหมู่บ้านปลูกพืชเช่น มะพร้าว มะม่วง มะนาว (หน้า 122) การเลี้ยงสัตว์ ในหมู่บ้านมุสลิมจะเลี้ยง วัว ควาย แพะ แกะ, ในหมู่บ้านไทยพุทธ เลี้ยง ไก่ วัว ควาย สุกร สุนัข (หน้า 122)

Social Organization

สังคมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมจะมีหลากหลาย หากเป็นการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นจะไม่เข้าร่วมพิธี อาทิเช่นไทยพุทธจะไม่เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม และมุสลิมก็จะไม่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาของศาสนาพุทธ แต่ทั้งไทยพุทธและมุสลิมจะเข้าร่วมกิจกรรมทางประเพณีในท้องถิ่นของแต่ละฝ่ายในทางสังคม และมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นอย่างดี (หน้า 27) การแต่งงานของมุสลิม การสมรส ตามความคิดของอิสลาม ตรงกับภาษาอาหรับว่า "นิกาห" หมายความว่า ชายและหญิงตกลงใจที่จะอยู่ด้วยกันเป็นสามี ภรรยา โดยถูกต้องตามพิธีทางศาสนา (หน้า 54) การแต่งงานมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ 1) การเลือกคู่ครอง ก่อนที่จะเลือกคู่ครองต้องปรึกษาพ่อ แม่ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกคู่ สำหรับการเลือกคู่มีหลักการเลือกคือ ชายกับหญิงต้องเป็นมุสลิม ฝ่ายหญิงต้องยินยอมแต่งงานด้วย ต้องไม่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน หรือเป็นภรรยาคนอื่น (หน้า 61, 62) 2) การสู่ขอ ญาติผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ของฝ่ายชายจะไปสู่ขอกับพ่อ แม่ฝ่ายหญิง เพื่อตกลงเรื่องสินสอดและกำหนดวันหมั้น สำหรับค่าสินสอดฝ่ายชายจะมอบให้ฝ่ายหญิงในวันแต่งงาน (หน้า 62) 3) การหมั้น จะจัดขันหมากเป็นเลขคี่ อาทิ เลข 5, 7, 9 เป็นต้น สำหรับสิ่งของประกอบด้วย แหวนหมั้น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง หมาก พลู ผลไม้และขนม เมื่อขบวนไปถึงบ้านฝ่ายหญิง แม่ของฝ่ายหญิงก็จะมอบของตอบแทนกลับให้แม่ของฝ่ายชาย (หน้า 63) 4) ห้องหอ ส่วนมากจะจัดห้องหอที่บ้านฝ่ายหญิง และให้อยู่ที่นี่ก่อน จนกว่าจะแยกไปสร้างบ้านของตนเอง เจ้าบ่าว เจ้าสาวจะอยู่ในห้องหอในวันทำพิธีวลีมะห์ ตอนกลางวันจะมีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาวมาอยู่ด้วยเพื่อเป็นพี่เลี้ยง เมื่อฉลองวาลีมะห์ (การจัดงานฉลองการแต่งงาน) แล้วเสร็จ แขกเหรื่อเดินทางกลับ ก็จะให้เจ่าบ่าว เจ้าสาวเข้าห้องหอ (หน้า 63, 64) 5) พิธีแต่งงาน ฝ่ายเจ้าบ่าวจะนำสินสอด เช่น เงิน ทอง และผลไม้ใส่พานแห่ไปบ้านเจ้าสาว สำหรับการแต่งงาน หรือนิกาห มีส่วนประกอบดังนี้ ผู้ปกครองฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้จัดงานแต่งงาน หรือมอบให้คนอื่นจัดงาน ถ้อยคำที่ฝ่ายผู้ปกครองใช้ทำการสมรสกับฝ่ายสามีกล่าวตอบ มีพยานไม่น้อยกว่า 2 คน เป็นต้น (หน้า 63) สำหรับขั้นตอนของการแต่งงานมีดังนี้ 1) วะลี คือพ่อ ของฝ่ายเจ้าสาวมอบให้โต๊ะอิหม่าม 2) อ่านคัมภีร์อัลกุรอาน (หน้า 63) 3) กล่าวกุฏบะห์ นิกาห คือการอบรมเจ้าบ่าวในการใช้ชีวิตการแต่งงาน 4) การตรวจดูมะฮัร หรือ สินสอด 5) การกล่าวคำเสนอกับคำตอบรับ นิกาหต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย โดยมีโต๊ะอิหม่ามเป็นผู้ประกอบพิธีถามเจ้าบ่าว เจ้าสาว 6) การจัดงานฉลองการแต่งงาน หรือวาลีมะห์ การจัดขึ้นอยู่กับความสมัครใจเพราะศาสนาไม่บังคับ ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดที่บ้านเจ้าสาวโดยญาติฝ่ายเจ้าสาวเป็นคนจัดงาน (หน้า 64) การทำกิจกรรมในพิธีแต่งงานของไทยพุทธและมุสลิม การจัดงานจะไม่มีการแบ่งแยกศาสนา ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวมีสิทธิเชิญแขกของตนมาร่วมงาน (หน้า 65) การช่วยเหลือกันจะเป็นในลักษณะการช่วยจัดสถานที่แต่งงาน ยืมสิ่งของหรือกู้ยืมเงินเป็นต้น แต่ในส่วนของศาสนา คนที่นับถือศาสนาอื่นจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว (หน้า 66) การแต่งงานของไทยพุทธ (หน้า 56-61) สำหรับขั้นตอนต่างๆ ของการแต่งงานของไทยพุทธมีดังนี้ (หน้า 56) 1) การเลือกคู่ครอง ขึ้นอยู่กับความชอบพอของหนุ่มสาว (หน้า 56) 2) พิธีสู่ขอ ฝ่ายชายจะให้ญาติผู้ใหญ่ไปทาบทามญาติฝ่ายหญิงก่อน หากฝ่ายหญิงตกลง ก็จะทำพิธีสู่ขอ และฝ่ายหญิงก็จะเรียกค่าสินสอด (หน้า 56) 3) พิธีหมั้น ทางฝ่ายชายจะแต่งขันหมาก 2 ขัน โดยขันหนึ่งใส่หมากพลู ส่วนอีกขันจะใส่ข้าวตอก พลู และหมากเจียน (หน้า 56) เมื่อขบวนขันหมากไปถึงบ้านฝ่ายหญิง ก็จะมอบแหวนหมั้นให้ฝ่ายหญิง สำหรับสินสอดทองหมั้นหรือแหวนหมั้น หากผู้ชายไม่ยอมแต่งงานกับฝ่ายหญิง ขันหมากหมั้นก็จะเป็นของฝ่ายหญิง ซึ่งเรียกว่า "ม่ายขันหมาก" แต่ถ้าผู้หญิง ไปทำสิ่งไม่ดีในระหว่างนั้นก่อน ก็ต้องมอบขันหมากทั้งหมดคืนกับฝ่ายชาย (หน้า 57) 4) การปลูกเรือนหอ ทุกวันนี้การสร้างเรือนหอต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหลังจากแต่งงานแล้ว จะใช้ห้องหอที่อยู่ในบ้านของฝ่ายหญิงก่อน (หน้า 57) 5) พิธีแต่งงาน ฝ่ายเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องต่างๆ เช่น ขอฤกษ์แต่งงานกับพระที่นับถือ จัดเตรียมสถานที่ และชุดแต่งงาน และอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธี เช่นโต๊ะหมู่บูชา ที่ขันรองน้ำสังข์ เตรียมของชำร่วย (หน้า 57) ส่วนขั้นตอนการแต่งงานมีขั้นตอนเช่น ทำพิธีแห่ขันหมาก (หน้า 58) ทำพิธีรดน้ำ การเลี้ยงฉลองงานแต่งงาน (หน้า 59) ทำพิธีไหว้ผีปู่ย่า ตายาย ทำพิธีปูที่นอน ทำพิธีส่งตัว (หน้า 60) การทำกิจกรรมในพิธีแต่งงานของไทยพุทธและมุสลิม เพื่อนบ้านที่เป็นมุสลิมจะเข้ามาช่วยงานแต่งงานของไทยพุทธ เช่น ช่วยจัดขันหมาก ช่วยสร้างเรือนหอ นำสิ่งของมาช่วยงานเช่น ข้าวสาร ผลไม้ต่างๆ และให้เกียรติมาร่วมงานฉลองการแต่งงาน (หน้า 61) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านป่าบอน ลักษณะครอบครัวโดยมากเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว และมีครอบครัวเป็นแบบครอบครัวขยาย ราว 10 ครอบครัว และส่วนใหญ่ผู้ชายจะเป็นผู้นำของครอบครัว (หน้า 110) บ้านมะปรางมัน ลักษณะครอบครัวโดยมากเป็นแบบผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว (หน้า112) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา บ้านคล้า ลักษณะครอบครัวโดยมากเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว(หน้า 115) ครอบครัวส่วนใหญ่ผู้ชายจะเป็นใหญ่ในบ้าน (หน้า118) บ้านกะลุแป ครอบครัวโดยมากเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวส่วนใหญ่ผู้ชายจะเป็นใหญ่ในบ้าน (หน้า 118) 1 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส บ้านปิเหล็ง โดยมากเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว คนในบ้านมี พ่อ แม่ ลูกและมีครอบครัวแบบครอบครัวขยายราวที่มีคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ ลูก ตาและยาย ครอบครัวขยายมีจำนวนไม่มาก ทางการได้แบ่งคนในหมู่บ้านเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มมุสลิมซึ่งมีประมาณ 50% และกลุ่มไทยพุทธ ซึ่งมีประมาณ 50% (หน้า 124)

Political Organization

การปกครอง จ.ปัตตานี แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ 107 ตำบล 553 หมู่บ้าน (หน้า 13 แผนที่ หน้า 12) การปกครอง จ.ยะลา แบ่งการแกครองเป็น 5 อำเภอ 50 ตำบล 260 หมู่บ้าน (หน้า 14 แผนที่ หน้า 17) การปกครอง จ.นราธิวาส แบ่งออกเป็น 10 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ 65 ตำบล 383หมู่บ้าน (หน้า15 ตารางหน้า 19 แผนที่หน้า 20)

Belief System

การนับถือศาสนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วย จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส มีผู้นับถือศาสนาอิสลามราว 70% และนับถือศาสนาพุทธประมาณ 30% (หน้า 1) ศาสนาอิสลาม โครงสร้างของศาสนาอิสลาม ที่เป็นตัวกำหนด และค่านิยมทางศาสนา งานเขียนได้แยกศึกษาออกเป็น 2 อย่าง ได้แก่ (หน้า 29) 1. วัฒนธรรมอิสลาม คือ สภาพอันเป็นความเจริญงอกงาม ที่เกิดจากการนอบน้อมยอมตนต่ออัลลอฮ พระองค์เดียว เพื่อความสันติสุข ทั้งโลกนี้และโลกหน้า วัฒนธรรมของอิสลามเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ซึ่งมีที่มาของวัฒนธรรมจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะห์ ซึ่งหมายถึง โอวาท วจนะ (หะดีษ) การปฏิบัติ(จริยวัตร) ของท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ็อล) (หน้า 29) 2. โครงสร้างอิสลาม แบ่งเป็น 2 อย่างคือ (หน้า 30) 1) หลักศรัทธา (รุก่นอีหม่าน) มีดังนี้ 1.1) ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว (อัลลอฮ) 1.2) ศรัทธาในบรรดามลาอีกะห์ คือข่าวของพระเจ้า (หน้า 30) 1.3) ศรัทธาในคัมภีร์ (หน้า 31) 1.4) ศรัทในวันพิพากษา หรือเชื่อในโลกหน้า 1.5) ศรัทธาในการกำหนดสภาวะของพระผู้เป็นเจ้า (หน้า 31) 2) หลักปฏิบัติ (รุก่นอิสลาม) มีดังนี้ (หน้า 31) 2.1) กล่าวปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ และแท้จริงมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ " (หน้า 31) 2.2) การละหมาด (นมาซ) คือการแสดงความรพพระเจ้าทั้งกายและใจ โดยจะทำ 5 ครั้งใน1วัน ได้แก่ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น กลางวัน บ่าย เมื่อพระอาทิตย์ตก และเวลากลางคืน (หน้า 31) 2.3) ถือศีลอด คือ การไม่บริโภคอาหารเครื่องดื่ม งดการมีเพศสัมพันธ์ การไม่ทำความชั่วทั้งกายและใจและคำพูด ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น กระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ในเดือนรอมฎอนปีละ 1 ครั้ง จุดประสงค์ก็เพื่อให้มีความอดทนและให้มีความเมตตาต่อคนอื่น (หน้า 31,33,72) ส่วนคนที่ไม่ต้องถือศีลอดได้แก่ ผู้หญิงมีประจำเดือน หรือมีเลือดออกหลังจากคลอดลูก คนป่วย หรือคนที่เดินทางไกล แต่ก็ให้บวชชดเชยในตอนหลังจนครบตามวันที่กำหนด (หน้า 73) 2.4) บริจาคซะกาต คือการบริจาคเงินหรือสิ่งของจำนวน 2.5% ของรายได้ให้กับคนยากจน 2.5) การประกอบพิธีฮัจญ์ คือ มุสลิมผู้ใดมีความสามารถทั้งร่างกายและทรัพย์ ก็ให้เดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาที่ ปัยตุ้ลลอฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย (หน้า 31) การทำบุญศาสนาพุทธ แบ่งการทำบุญออกเป็น 2 อย่าง คือ 1) งานมงคลที่เชื่อว่าจัดแล้วชีวิตจะมีความสุขความเจริญ ได้แก่ ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน บุญวันเกิด 2) งานอวมงคล อาทิ ทำบุญวันตาย ทำบุญเพราะฟ้าผ่า ไฟไหม้บ้าน (หน้า 46) จ.ปัตตานี ประชากรนับถือศาสนาอิสลาม 76.86% ศาสนาพุทธ 22.90% และศาสนาอื่นๆ จำนวน 0.24% สำหรับมุสลิม จะทำพิธีละหมาดวันละ 5 ครั้ง โดยในวันศุกร์จะไปทำพิธีละหมาดที่มัสยิด และโต๊ะอิหม่ามจะอบรมเรื่องศีลธรรมต่างๆ (หน้า 13) ศาสนสถาน มีวัด 72 แห่ง สำนักสงฆ์ 9 แห่ง และมัสยิด 9 แห่ง (หน้า 13) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านป่าบอน นับถือศาสนาอิสลาม 100% กิจกรรมทางศาสนาจะทำละหมาดวันละ 5 ครั้ง ชาย ในวันศุกร์มุสลิมจะไปประกอบพิธีละหมาดที่มัสยิด สำหรับผู้หญิงจะไปในฮารีรายอ หมู่บ้านมีมัสยิด 1 แห่ง โรงเรียนสอนศาสนา 1 แห่ง สำหรับประเพณีที่ทำในหมู่บ้านได้แก่ การถือศีลอด การเข้าสุหนัต การจัดงานเมาลิด ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ อาซูรา แต่งงาน งานศพ (หน้า 112) บ้านมะปรางมัน นับถือศาสนาพุทธ 100 % ในหมู่บ้านมีวัดอยู่ 1 วัด ชื่อ วัดมะปรางมัน สำหรับประเพณีที่สำคัญในหมู่บ้านได้แก่ การทอดผ้าป่า การทอดกฐิน การบวชนาค งานสงกรานต์ การชักพระ วันเข้าพรรษา การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ (หน้า 112) จ.ยะลา ประชากรนับถือศาสนาอิสลาม 60% ศาสนาพุทธ 24% ลัทธิขงจื้อ 12% และอื่น 4% ศาสนสถาน มีวัด 22 แห่ง สำนักสงฆ์ 13 แห่ง โรงเรียนสอนศาสนา อิสลาม 83 แห่ง โบสถ์คริสต์ 3 แห่ง วัดญวน 1 แห่ง วัดซิกห์ 1 แห่ง ศาลเจ้า 8 แห่ง (หน้า 14) หมู่บ้าน 2 แห่ง พื้นที่ศึกษา ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา บ้านคล้า นับถือศาสนาพุทธ 80% นับถือศาสนาอิสลาม 20% ในหมู่บ้านมีวัด 1 แห่งชื่อวัดศรีพัฒนาราม และมัสยิด 1 แห่ง ประเพณีสำคัญแบ่งออกเป็นประเพณีของมุสลิม และของไทยพุทธ (หน้า 118) บ้านกุละแป นับถือศาสนาอิสลาม 100% มีมัสยิด 1 แห่ง (หน้า 118) จ.นราธิวาส ประชากรนับถือศาสนาอิสลาม 77.93% นับถือศาสนาพุทธ 21.8% นับถือศาสนาคริสต์ 0.02 % ศาสนาอื่น ๆ 0.26% สำหรับศาสนาสถาน มี มัสยิด 359 แห่ง วัด 54 แห่ง และสำนักสงฆ์ 12 แห่ง (หน้า 15) 1 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส บ้านปิเหล็ง การนับถือศาสนาแบ่งเป็นสองกลุ่ม โดยแบ่งเป็น คนที่นับถือศาสนามีราว 50% และคนที่นับถือศาสนาพุทธมีประมาณ 50% ในหมู่บ้านมีมัสยิด 1 แห่ง และวัดศาสนาพุทธที่กำลังก่อสร้าง 1 แห่ง (หน้า 124) ประเพณีของมุสลิม เช่น งานแต่งงาน ประเพณีเข้าสุหนัต วันฮารีรายอ ประเพณีการถือศีลอด ประเพณีวันเมาลิด ประเพณีอาซูรา ขึ้นบ้านใหม่ งานศพ (หน้า125) ประเพณีของไทยพุทธ เช่น การแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ งานศพ การบวชนาค ประเพณีชิงเปรต ประเพณีชักพระ การทอดกฐิน การทอดผ้าป่า (หน้า 125) การทำบุญของมุสลิม ศาสนาอิสลามถือว่า การทำบุญขึ้นอยู่กับความศรัทธา จะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ของคนๆ นั้น หากไม่มีความพร้อมก็ไม่ควรทำ ซึ่งตามหลักศาสนา อิสลามจะไม่สนับสนุนให้ยืมเงินมาทำบุญ เพราะการทำบุญต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมและความพอใจ และทำแล้วไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ สำหรับการทำบุญจะทำตอนไหนก็ได้เพราะอิสลามไม่ถือเรื่องฤกษ์ยาม (หน้า 50) ประเพณีต่างๆใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีดังนี้ ขึ้นบ้านใหม่ ไทยพุทธ จะเชื่อถือเรื่องฤกษ์ยาม (หน้า 51) ดังนั้นจะไปขอฤกษ์กับพระที่นับถือ เมื่อได้ฤกษ์ยามแล้วจึงจะไปเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมงานตามวันเวลาที่กำหนด ส่วนเต้าภาพก็จะเตรียมอาหารไว้ทำบุญ และเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน (หน้า 52,127) มุสลิม การขึ้นบ้านใหม่จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเจ้าภาพ เมื่อเชิญแขกเหรื่อแล้ว ก็จะจัดอาหารไว้เลี้ยงต้อนรับ ในวันขึ้นบ้านใหม่ เจ้าภาพจะเชิญโต๊ะครู โต๊ะอิหม่ามและผู้อาวุโสและเพื่อนบ้าน มาทำพิธีละหมาดฮายัด ขอพรจากพระอัลลอฮ เพื่อให้เจ้าของบ้านอยู่ในบ้านนั้นอย่างมีความเจริญก้าวหน้า (หน้า 52,127) ประเพณีลาซัง หรือ ปูยอบือแน หมายถึง ประเพณีการฉลองนา หรือซังข้าว โดยจะทำหลังจากเก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้ว จะทำในเดือน 5 หรือเดือน 6 โดยจะทำทั้งไทยพุทธและมุสลิมในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่ทุกวันนี้ประเพณีไม่มีแล้ว แต่จะมีในชนบทบ่งพื้นที่กับในมาเลเซีย (หน้า 78,129,130) ประเพณีสำคัญของมุสลิม การถือศีลอด ถือศีลอด คือ การไม่บริโภคอาหาร เครื่องดื่ม การมีเพศสัมพันธ์ การไม่ทำความชั่วทั้งกายและใจและคำพูด ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น กระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ในเดือนรอมฎอนปีละ 1 ครั้ง จุดประสงค์ก็เพื่อให้มีความอดทน และให้มีความเมตตาต่อคนอื่น (หน้า 31, 33, 72) ส่วน คนที่ไม่ต้องถือศีลอดได้แก่ ผู้หญิงมีประจำเดือน หรือมีเลือดออกหลังจากคลอดลูก คนป่วย หรือคนที่เดินทางไกล แต่ก็ให้บวชชดเชยในตอนหลังจนครบตามวันที่กำหนด (หน้า 73) ช่วงหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ในเดือนรอมฎอน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ มุสลิมชาย หญิงจะไปรวมกันที่มัสยิด เพื่อทำพิธีละหมาดตือราแวห์ (หน้า 73,129) ประเพณีวันฮารีรายอ ในหนึ่งปีมุสลิมจะมีวันที่เป็นวันฉลองที่สำคัญ คือ วันอีด โดยแบ่งเป็น 2 วาระ ได้แก่ อีดุลฟิฏร์ และอีดุลอัฏหา ซึ่งตามความหมายแล้ว "อีด" หมายถึง เทศกาลที่กลับมาเวียนมา ในหนึ่งปีจะมีวันอีด 2 ครั้ง ได้แก่ (หน้า 75) 1) วันอีดุลฟิฏร์ ตามความหมาย มาจากคำว่า "อัลฟิฏร์" หมายถึง สภาพเดิม เมื่อนำคำว่า "อีด" มารวมกับ "อัลฟิฏร์" ก็จะเป็นคำว่า "อีดุลฟิฏร์" หมายถึง วันรื่นเริงเนื่องในการครบรอบเข้าสู่สภาพเดิม คือ การที่ไม่ต้อง อดอาหาร โดยจะตรงกับวันที่ 1 (วันขึ้น 1 ค่ำ) เดือนเชาวาล หรือเดือนที่10 ในวันอีดุลฟิฏร์ บางครั้งเรียกว่า "วันออกบวช" หรือ "วันอีดเล็ก" ในภาษามลายู เรียก "ฮารีรายอ ปอซอ" (หน้า 75) วันนี้มีความสำคัญคือเป็นวันฉลองหลังจากที่ต้องถือศีลอดในระหว่างเดือนรอมฎอน หรือเดือน 9ตามหลักศาสนาอิสลาม เป็นเวลา 1 เดือน (หน้า 75) 2) วันอีดุลอัฏหา มาจากคำว่า อัฏหา " หมายถึง การเชือดสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารของประชาชนและคนยากจน เมื่อนำมารวมกับคำว่า "อีด" ก็จะเป็นคำว่า "อีดุลอัฏหา" แปลว่า วันรื่นเริงหลังจากเสร็จสิ้นจากการประกอบพิธีฮัจญ์ โดยจะมีการฆ่าสัตว์ทำอาหารเลี้ยงประชาชนและคนจน ในวันนี้ตรงกับวันที่ 10 เดือนซุ้ลฮัจญะห และเดือนที่ 12 ของฮิจญ์ วันนี้มุสลิมมักเรียกว่า "วันออกฮัจญี" หรือวันออกอีดใหญ่ ในภาษามลายู เรียกว่า "ฮารีรายอฮายี" (หน้า 75, 76) ประเพณีการเข้าสุหนัต (มาโซ้ยาวี) คือการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย (Circumcision) ภาษามลายู เรียก "มาโซ้ะยาวี" การขลิบโดยมากจะทำเมื่อเด็กมีอายุ 7-10 ปี ตามหลักศาสนา อิสลามจะไม่บังคับเรื่องการทำสุหนัต ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ แต่ถ้าใครที่ไม่ทำนั้นถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากว่าการทำละหมาดวันละ 5 เวลานั้นต้องรักษาความสะอาดของร่างกาย ดังนั้นคนจึงทำสุหนัตเพื่อความสะดวกในการทำพิธี (หน้า 80,130) ประเพณีวันเมาลิด คือวันเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของพระนาบีมูฮัมมัด ซึ่งตรงกับวันที่ 12 รอบิอุลเอาวาล (หน้า 82, 130) ประเพณีอาซูรา ตรงกับวันที่ 10 เดือน "มาฮารัม " เดือนที่ 1 ของฮิจเราะห์ศักราชแห่งอสลาม พิธีวันอาซูรา จะเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 10 เดือนมาฮารัม โดยทำได้ทั้งเดือน จากความหมาย "อาซูรา" หมายความว่า พิธีทำขนม "ซูรา" ของมุสลิม (หน้า 84, 85, 130) ประเพณีสำคัญของไทยพุทธ วันว่าง (วันสงกรานต์) ตรงกับวันที่ 13,14,15 เมษายน ในวันที่ 13 ไทยพุทธจะนำอาหารไปทำบุญที่วัดตอนเย็นจะสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ เล่นสาดน้ำ ในวันที่ 14 และ 15 จะไปรดน้ำผู้หลักผู้ใหญ่ และผู้หลักผู้ใหญ่ก็จะให้พรลูกหลานที่มาเยี่ยม ในวันสงกรานต์คนจะพักผ่อน ดังนั้นจึงเรียกกันว่า วันว่าง (หน้า 73-74) การบวช ตามความหมายคำว่า บวช มาจากคำว่า "ป กับ วช" หมายถึง การเว้นจากกาม การบวชมี 2 ประเภท คือ การบวชสามเณรสำหรับคนที่อายุไม่ถึง 20 ปี และบวช พระสำหรับคนที่อายุครบ 20 ปี (หน้า 66, 67) ประเพณีชิงเปรต เทศกาลสารทในเดือนสิบ ไทยพุทธใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกว่า "ชิงเปรต" ตรงกับวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนสิบ วันนี้เป็นวันรับตายาย (ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับไปแล้ว) หรือวันรับเปรต สำหรับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 คือวันส่งตายาย หรือวันส่งเปรต จุดประสงค์ก็เพื่อทำบุญให้บรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว เพื่อแสดงความกตัญญู (หน้า 86, 87,130) ประเพณีชักพระ (ลากพระ) ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ช่วงเทศกาลออกพรรษา การจัดแบ่งเป็น 2 อย่างดังนี้ 1) การชักพระทางบก จะทำในวัดที่ห่างไกลจากแหล่งน้ำ ชาวบ้านจึงจัดพิธีทางบก เช่น ในพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ 2) การชักพระทางน้ำ สำหรับวัดที่อยู่ติดแม่น้ำ หรือทะเล ชาวบ้านจึงจัดทางน้ำ เช่นในพื้นที่ อ.ยะหริ่ง (หน้า 87, 88,131) ทอดกฐิน การทอดกฐินมาจากคำว่า "กฐิน" หมายถึง กรอบไม้หรือสะดึง ที่ใช้ขึงผ้าเย็บจีวรสำหรับพระ สำหรับผ้ากฐินจะเป็นผ้าที่ใช้สะดึงช่วงดึงในตอนเย็บ จากนั้นก็จะเอาไปทอดแก่พระที่จำพรรษา การทอดกฐินจะเริ่มจาก แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 (หน้า 91) สำหรับกฐินใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แบ่งเป็น 3 อย่างคือ 1) กฐินต้น คือ กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำริ และนำไปทอดที่วัดราษฎร์ด้วยพระองค์ (หน้า 91) 2) กฐินหลวง คือ กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานผ้ากฐิน ให้กระทรวง ทบวง กรม เพื่อไปทอด หรือพระองค์ เสด็จไปทอดด้วยพระองค์ (หน้า 91) 3) กฐินราษฎร์ คือ กฐินที่ชาวบ้านจัดไปทอดที่วัดราษฎร์ หาชาวบ้านจะไปทอดที่วัดหลวง ต้องขอพระบรมราชานุญาต จึงจะสามารถไปไปทอดที่วัดหลวง (หน้า 91,131) ทอดผ้าป่า ผ้าป่า คือ ผ้าที่ไม่มีเจ้าของ ทิ้งอยู่ในป่าหรือตามทาง อยู่ตามกิ่งไม้ การทอดผ้าป่าไม่มีการกำหนดเวลา คนที่มีใจศรัทธาสามารถทอดผ้าป่าได้ทั้งปี (หน้า 94, 95) งานศพของไทยพุทธกับมุสลิม ศาสนาพุทธ งานศพของไทยพุทธแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้ 1) การบอกหนทาง เมื่อผู้ป่วย ป่วยหนักลูกหลานก็จะนำดอกไม้ไปให้ไหว้ เพื่อระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย จะได้ไม่เป็นทุกข์ เมื่อสิ้นใจจะได้ไปสู่สุขคติ (หน้า 96 ,97) 2) การอาบน้ำศพ จะนำขมิ้นสด ผิวมะกรูด ตำคั้นแล้วนำมาทาร่างผู้เสียชีวิต เพื่อให้เกิดไปชาติหน้าจะได้มีหน้าตาสวยงามดูดี (หน้า 96, 97) 3) การแต่งตัวศพ (หน้า 96) 4 ) การตราสังศพ จะนำด้ายดิบ ทำเป็นบ่วง บ่วงแรกสวมที่คอ บ่วงที่สอง ผูกหัวแม่มือกับข้อมือทั้งสองข้าง บ่วงที่สามผูกหัวแม่เท้ากับข้อเท้า (หน้า 96, 97) 5) โลงและการเบิกโลง 6) เครื่องประกอบโลง 7) การตั้งศพ 8) การนำศพออกจากบ้าน 9) การเผาศพ 10) แปรธาตุและเก็บอัฐิ 11) ทำบุญให้ผู้ล่วงลับ (หน้า 97,131) ศาสนาอิสลาม พิธีศพของศาสนาอิสลาม มีขั้นตอนดังนี้ 1) การอาบน้ำศพ สำหรับศพแบ่งเป็นประเภทต่างๆ เช่น ศพ "ซะฮีด" คือ คนที่เสียชีวิตเพราะต่อสู้ เพื่อศาสนาหรือป้องกันรักษาประเทศ, เด็กที่แท้งก่อนคลอด, คนที่ตายตามอายุขัยและป่วยตาย, คนที่ตายเพราะอุบัติเหตุ และด้วยเหตุอื่นๆ (หน้า 102) 2) การห่อศพ ศพชายต้องห่ออย่างน้อย 1 ชั้น หรือ 3 ชั้น หากเป็นหญิงต้องห่อ 5 ชั้น 3) การละหมาดให้แก่ศพ 4) การฝังศพ ส่วนมากจะให้หันหน้าศพไปทางทิศที่เป็นที่ตั้งของเมืองเมกกะ ที่ตั้งของหินอัลกะบะฮ์ สำหรับมุสลิมในปัตตานีจะหันหัวศพไปทางทิศเหนือ โดยให้นอนตะแคงขวา หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากทิศที่ตั้งของเมืองเมกกะอยู่ด้านทิศตะวันตกของจังหวัด (หน้า 102,103,131)

Education and Socialization

2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี บ้านป่าบอน ประชากรในหมู่บ้านส่วนมากไม่ได้เรียนหนังสือ สำหรับคนที่ได้เรียนหนังสือมีจำนวน 133 คน จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 86 คน (หน้า 110) ในหมู่บ้านมีโรงเรียนสอนศาสนา 1 แห่ง ตั้งในพื้นที่ของมัสยิด โยจะสอนหนังสือให้เด็กในหมู่บ้าน ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ (หน้า 112) บ้านมะปรางมัน ประชากรในหมู่บ้านส่วนมากจบการศึกษาภาคบังคับ คนที่ได้เรียนหนังสือระดับสูงมีจำนวนเล็กน้อย และมีจำนวนที่ไม่ได้เรียนหนังสือจำนวน 88 คน (หน้า 112) 2 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา บ้านคล้า ส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านจบระดับประถมศึกษาปีที่ 4 (หน้า 118) บ้านกุละแป คนในหมู่บ้านส่วนมากเรียนไม่ค่อยสูง ส่วนใหญ่จบระดับประถมศึกษาปีที่ 4 (หน้า 118) 1 หมู่บ้าน พื้นที่ศึกษา ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส บ้านปิเหล็ง ในหมู่บ้านมีโรงเรียน 1 แห่ง มีครูผู้ชายจำนวน 8 คนทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ มีจำนวนนักเรียน 192 คน เป็นนักเรียนชาย 101 คน นักเรียนหญิง 91 คน โดยคิดเป็นนักเรียนที่นับถือศาสนาพุทธจำนวน 160 คน และเป็นมุสลิมอีก 32 คน (หน้า 122)

Health and Medicine

กล่าวถึงสถานรักษาพยาบาลของแต่ละจังหวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น จ.ปัตตานี มีโรงพยาบาล 2 แห่ง ศูนย์การแพทย์และอนามัย 2 แห่ง สถานีอนามัย 68 แห่ง สำนักงานผดุงครรภ์ 34 แห่ง (หน้า 13) จ.ยะลา มีโรงพยาบาล 56 แห่ง และศูนย์อนามัยแม่และเด็ก (หน้า 14) จ.นราธิวาส กล่าวถึงบ้านปิเหล็ง ต.มะรือโบออก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่เป็นบ้านกรณีศึกษา ว่า มีสถานีอนามัย 1 แห่ง (หน้า 122)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง จังหวัดปัตตานี (หน้า 11) จังหวัดยะลา (หน้า 17) จังหวัดนราธิวาส (หน้า 19) ระบบการกระทำในสังคม (หน้า 22) แผนที่ จ.ปัตตานี (หน้า 12) จ.ยะลา (หน้า 17) จ.นราธิวาส (หน้า 20) แผนผัง ต.ป่าบอน (หน้า 107) หมู่บ้านป่าบอน (หน้า 109) หมู่บ้านมะปรางมัน (หน้า 111) ต.ยุโป (หน้า 113) หมู่บ้านคล้า (หน้า 116) หมู่บ้านกะลุแป (หน้า 117) หมู่บ้านปิเหล็ง (หน้า 123)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 27 ธ.ค. 2550
TAG มุสลิม, พุทธศาสนิกชน, ประเพณี, การผสมผสานทางสังคม, จังหวัดชายแดนภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง