สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ผู้ไท,วิถีชีวิต,พิธีแต่งงาน,พ่อล่าม,ลูกล่าม,จังหวัดมุกดาหาร
Author นำชัย อุปัญญ์
Title บทบาทของพ่อล่ามชาวผู้ไทย ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ผู้ไท ภูไท, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 219 Year 2538
Source วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Abstract

ศึกษาบทบาทของพ่อล่าม หรือผู้รับรองหรือเป็นผู้ค้ำประกันความมั่นคงของชีวิตการแต่งงาน กรณีผู้ไทย ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ทั้งนี้พ่อล่ามเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในสังคมผู้ไทยเนื่องจากเป็นผู้ที่มีครอบครัวที่มั่นคงและเป็นผู้ที่คนในชุมชนให้ความเคารพ และเป็นผู้แนะนำลูกล่ามหรือผู้ที่จะเป็นเขยใหม่ให้ขยันทำงานและอ่อนน้อมให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง สำหรับคนที่มาเป็นพ่อล่าม มาจากหลายอาชีพ เช่น ข้าราชการ พ่อค้า และเกษตรกร คนที่เป็นพ่อล่ามจะมีบทบาทต่อลูกล่ามซึ่งเป็นคู่สมรสใหม่ ทั้งก่อนแต่ง และบทบาทระหว่างจัดพิธี และหลังจัดงานแต่งงานเรียบร้อยแล้ว พ่อล่ามก็ยังมีหน้าที่ดูแลคู่สมรสใหม่ในเรื่องต่างๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่อื่นๆ ส่วนลูกล่ามก็จะให้ความช่วยเหลือด้านแรงงานต่อครอบครอบของพ่อล่าม ผู้ไทยถือว่าพ่อล่ามเปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 ที่มีพระคุณต่อชีวิต

Focus

ศึกษาบทบาทของพ่อล่าม ในประเพณีการแต่งงาน และวิถีชีวิตของลูกล่ามหลังการแต่งงานของผู้ไทย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้ไทย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกตนเองว่า ผู้ไทยหรือภูไทย (หน้า 12) มีจำนวนมากเป็นที่สอง รองจากคนไทยอีสาน ผู้ไทยจะอาศัยอยู่บริเวณแถบแม่น้ำโขงและบริเวณเทือกเขาภูพาน อาทิเช่น อ.ธาตุพนม อ.เรณูนคร อ.นาแก จ.นครพนม, อ.วาริชภูมิ อ.พรรณนิคม จ.สกลนคร, อ.กุฉินารายณ์ อ.สหัสขันธ์ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์, อ.คำชะอี อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร (หน้า 1) ประชากรของผู้ไทยที่อยู่ จ.มุกดาหารมีประชากรมากเป็นหนึ่งในสามของผู้ไทยทั้งหมดในไทย (หน้า 45) สำหรับกลุ่มที่อยู่ จ.ราชบุรี และ จ.เพชรบุรี เรียกว่า "ลาวโซ่ง" (หน้า 1) ผู้ไทยมีชื่อเรียกที่เขียนแตกต่างกัน เช่น ภูไทย ภู่ไทย ผู้ไท ผู้ไทย และพูไทย ทั้งนี้รายงานระบุว่า คำว่าผู้ไทยเป็นคำที่ใกล้เคียงและน่าจะถูกต้องกว่าคำอื่น เพราะคำว่า "ผู้ไทย" หมายถึง คนไทย สำหรับคำว่า "ภูไทย" และ "ภูไทย" หมายถึง ภูเขา เนื่องจากว่าตามปกติแล้วผู้ไทยมักจะไม่อยู่บริเวณภูเขา (หน้า 2)

Language and Linguistic Affiliations

ผู้ไทยมีภาษาพูดเป็นของตนเองแต่ไม่มีตัวอักษรเป็นของตัวเอง (หน้า 15, 66) เวลาติดต่อกับคนกลุ่มอื่นจะพูดภาษาของตนเอง หรือภาษาของคนกลุ่มนั้น หากไม่จำเป็นผู้ไทยก็จะไม่พูดภาษาอื่นยกเว้นกับคนที่มาติดต่อด้วย สำหรับภาษาผู้ไทยในท้องถิ่นต่างๆ นั้นจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่อาจจะต่างกันที่สำเนียง (หน้า 66)

Study Period (Data Collection)

เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 (หน้า 10)

History of the Group and Community

ความเป็นมาของผู้ไทย ในอดีตผู้ไทยตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณแคว้นสิบสองจุไทยกับแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งอยู่บริเวณทางเหนือของประเทศลาว กับเวียตนามและติดกับทางตอนใต้ของจีน พื้นที่ที่ผู้ไทยอยู่อาศัยนั้นเคยเป็นของไทย แต่ในภายหลังไทยได้เสียแคว้นสิบสองจุไทย ใน พ.ศ. 2431 และเสียประเทศลาว เมื่อ พ.ศ. 2436 ให้กับฝรั่งเศส ในสมัยรัชกาลที่ 5 (หน้า 45 แผนที่หน้า 46) ผู้ไทยแบ่งเป็น 2 อย่างได้แก่ ผู้ไทยดำ ชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีดำ มีจำนวน 8 เมือง, ผู้ไทยขาว ชอบแต่งตัวด้วยชุดขาว มี 4 เมืองอยู่ติดกับเขตแดนจีน ผู้ไทยดำและผู้ไทยขาว ประกอบด้วยเมือง 12 เมือง ดังนั้นบริเวณแถบนี้จึงมีชื่อเรียกว่า "สิบสองจุไทย" บางครั้งเรียก "สิบสองเจ้าไทย" (หน้า 47) ในสมัยพระเจ้าชัยเชษฐาธิราช ที่ 2 หรือ เจ้าองค์หล่อ แห่งนคร เวียงจันทน์ พระศรีวรราช หัวหน้าของผู้ไทยได้ช่วยปราบปรามกบฏในนครเวียงจันทน์จนสำเร็จดังนั้นพระเจ้าชัยเชษฐาธิราชที่ 2 จึงยกเจ้านางช่อฟ้า พระราชธิดาให้เป็นคู่ครองของพระศรีวรราช ภายหลังมีบุตร 4 คนจึงให้ไปปกครองหัวเมืองผู้ไทย ได้แก่ เมืองสบแอก เมืองวัง เมืองเชียงค้อ เมืองตะโปน เวลาต่อมาในเมืองวังและเมืองตะโปน ได้แยกออกไปตั้งเมืองใหม่ ได้แก่ เมืองพิณ เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน เมืองเชียงฮ่ม เมืองผาบัง เมืองคำอ้อ (หน้า 47) ผู้ไทยที่อพยพ เข้ามาอยู่ในไทย ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงที่พระเจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏ เมื่อ พ.ศ. 2369 ดังนั้นไทยจึงยกทัพไปตีลาว และได้ย้ายผู้ไทยจากเมืองตะโปน เมืองวัง เมืองพิณ เมืองนอง เมืองคำอ้อคำเขียว ให้เข้ามาอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง หรือภาคอีสานของไทย (หน้า 47, 48) ในเมืองสกลนคร กาฬสินธุ์ นครพนม และมุกดาหาร (หน้า 48)

Settlement Pattern

ในการศึกษาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องบ้านโดยตรง มีแต่ภาพเฮินซู หรือเรือนหอ (หน้า 63) และการซ่อมแซมบ้าน (หน้า 170)

Demography

ประชากรผู้ไทย ในภาคอีสานมีจำนวนราว 1 แสนคน โดยมีจำนวนเป็นที่สองรองจากคนไทยอีสาน โดยอาศัยอยู่บริเวณแถบแม่น้ำโขง และบริเวณเทือกเขาภูพาน อาทิเช่น อ.ธาตุพนม อ.เรณูนคร อ.นาแก จ.นครพนม , อ.วาริชภูมิ อ.พรรณนิคม จ.สกลนคร, อ.กุฉินารายณ์ อ.สหัสขันธ์ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์, อ.คำชะอี อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร (หน้า 1) จำนวนประชากรผู้ไทยที่อพยพเข้าไทยในอดีต จากรายงานได้ระบุถึงการอพยพของผู้ไทยที่อพยพ เข้ามาอยู่ในไทย ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงที่พระเจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏ เมื่อ พ.ศ. 2369 ดังนั้นไทยจึงยกทัพไปตีลาว และได้ย้ายผู้ไทยจากเมืองตะโปน เมืองวัง เมืองพิณ เมืองนอง เมืองคำอ้อคำเขียว ให้เข้ามาอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง หรือในภาคอีสานของไทยในปัจจุบัน (หน้า 47,48) ในเมืองสกลนคร กาฬสินธุ์ นครพนม และมุกดาหาร (หน้า 48) เช่น ผู้ไทยอพยพจากเมืองวัง เข้ามาอยู่ที่เมืองกุฉินารายณ์ จำนวน 3,443 คน ทุกวันนี้คือ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์, ย้ายมาจากเมืองวัง 3,023 คนมาอยูที่เมืองภูแล่นช้าง ทุกวันนี้คือ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์, ย้ายมาจากเมืองวัง คำอ้อคำเขียว มาอยู่ที่เมืองหนองสูง จำนวน 1,658 คน ซึ่งเมืองหนองสูงเดิมทุกวันนี้คือ เขตอำเภอคำชะอี อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร กับ อ.นาแก จ.นครพนม (หน้า 48 ,49) ผู้ให้ข้อมูล ในพื้นที่กรณีศึกษา ทั้ง 8 หมู่บ้าน ได้แก่บ้านคำชะอี หมู่ 1, หมู่4, หมู่ 11, บ้านนาปุง หมู่ 3, บ้านหนองกะปาด หมู่ 6, บ้านกกไฮ หมู่ 7, บ้านศรีมงคล หมู่ 8, บ้านแก้งช้างเนียม หมู่ 9 มีจำนวนพ่อล่าม 20 คน, จำนวนลูกล่าม 20 คน, จำนวนลุงตา 20 คน และจำนวนหมอสูด 20 คน (หน้า 5-10)

Economy

อาชีพ พ่อล่าม ในกรณีศึกษามี 3 อาชีพหลักๆ คือ พ่อล่ามที่เป็นข้าราชการ พ่อค้า และเกษตรกร (หน้า 5, 6, 132, 133) ลูกล่าม อาชีพหลักๆ ที่ทำ เช่น เป็นข้าราชการ ค้าขาย และเป็นเกษตรกร (หน้า 6,7) ลุงตา หรือญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง อาชีพที่ทำเช่น เป็นข้าราชการ ค้าขาย และเป็นเกษตรกร (หน้า 8-9)

Social Organization

สังคม ผู้ไทยมีความเชื่อถือและเคารพผู้นำ และการร่วมกิจกรรมกับทางการหาก ผู้นำเห็นด้วย ผู้ไทยก็จะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ สำหรับนิสัยใจคอนั้นผู้ไทย มีลักษณะกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ หากมีคนทำความดีก็จะยกย่องกันทั้งหมู่บ้าน แต่ถ้าหากมีใครทำให้โกรธ คนในหมู่บ้านก็จะพากันไม่ชอบคนๆ นั้นกันทั้งหมด (หน้า 66) พ่อล่าม คือ คนที่ได้รับการคัดเลือกจากญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชาย เพื่อให้เป็นพ่อ ให้พาไปโอม (สู่ขอ หน้า 12,19) ซึ่งจะผ่านพิธีเฆ้นเขยในงานแต่งงานของผู้ไทย รวมทั้งรับคำสอนจากผู้ใหญ่ฝ่ายผู้หญิง เพื่อรับข้อตกลงว่าจะดูแลชีวิตคู่ เมื่อแต่งงานแล้วให้เป็นไปอย่างราบรื่น (หน้า 12, 110, 111) การสรรหาพ่อล่าม คนที่จะมาทำหน้าที่เป็นพ่อล่ามต้องมีความเป็นผู้นำสามารถที่จะเป็นพ่อเพื่อทำหน้าที่อบรมสั่งสอนครอบครัวใหม่ สำหรับฝ่ายชายหากจะมีลูกหรือหลานจะแต่งงาน ญาติผู้ใหญ่ก็จะหาคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นพ่อล่ามจะต้องไม่ใช่ญาติของฝ่ายหญิ หรือว่าญาติฝ่ายชาย คนที่เป็นพ่อล่ามเปรียบเหมือนพ่อคนที่สอง ดูแลเจ้าบ่าวบางครั้งหากเจ้าบ่าวทำผิดสิ่งใด ก็อาจจะมีการปรับค่าทำผิดดังกล่าวกับพ่อล่าม เพราะถือว่าสั่งสอนไม่ดี (หน้า 3, 111) คุณสมบัติของพ่อล่ามต้องเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ไม่เจ้าชู้มีเมียหลายคน ไม่เป็นหม้ายหรือหย่า มีอายุมากกว่าลูกล่าม มีคุณธรรมเป็นคนดี จำนวนลูกล่ามไม่เยอะกว่าลูกของตนเมียไม่ตั้งครรภ์ในเวลานั้น (หน้า 112) สำหรับสังคมผู้ไทย หากคนใดไม่มีลูกล่ามเลยสักคน ก็เหมือนกับไม่มีคนเคารพนับถือ ดังนั้นหากมีผู้มาติดต่อให้มาทำหน้าที่เป็นพ่อล่าม คนๆ นั้นก็มักจะรับปากในตอนนั้นเลย (หน้า 113) บทบาทของพ่อล่าม คนที่จะมาเป็นพ่อล่าม หากทำงานรับราชการก็มักได้รับเลือกให้เป็นพ่อล่าม เพราะมีคนนับหน้าถือตาในหมู่บ้านและเป็นคนที่มีความรู้ (หน้า 118) ส่วนคนที่ทำอาชีพค้าขายก็มักได้รับความเชื่อถือให้เป็นพ่อล่ามเช่นกัน เว้นแต่ว่าคนๆ นั้นจะทำอาชีพที่ไม่ถูกกฎหมาย (หน้า 119) ส่วนคนที่เป็นเกษตรกร หากเป็นพ่อล่ามก็มักไม่ค่อยมีเวลา เพราะกลางวันต้องไปทำไร่ทำนาและจะมีเวลาว่างเฉพาะช่วงกลางคืน สำหรับการเตรียมตัวก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ (หน้า 119) สำหรับคนที่มีฐานะไม่ค่อยดีก็ได้รับเลือกให้เป็นพ่อล่ามเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยบวชมาก่อน ซึ่งเป็นคนที่ชาวบ้านให้ความเคารพ (หน้า 120) บทบาทของพ่อล่ามตามประเพณีแบ่งได้ดังต่อไปนี้ 1) บทบาทในการโอม คือ พ่อล่ามมีหน้าที่ไปติดต่อพ่อ แม่ หรือญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง เพื่อสู่ขอมาเป็นสะใภ้ การหมั้นพ่อล่ามจะเสียเงินค่าไขคำปาก ต้องบอกพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว ให้หาของฝากมาเพิ่มให้ฝ่ายเจ้าสาว ของที่ให้ส่วนใหญ่จะเป็น กระหยังโอมหรือตะกร้า (เรื่อง และภาพ หน้า 137) การโอมมักจะทำก่อนการแต่งงาน ราว 2 เดือน (เรื่องและภาพ หน้า 138) 2) พิธีจอแต่งขอแปลง จะทำหลังจากพิธีโอมเรียบร้อยแล้วพ่อล่ามก็จะทำพิธีขอแต่งขอแปลงกับลุงตา โดยจะเน้นให้เขยให้ความเคารพต่อญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงตามประเพณี อุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีประกอบด้วย ขัน 5 ขัน 8, เงินสินสอด, กระหยังโอม 2 ใบ, กล้วย (หน้า 140) อ้อย เผือก มัน ข้าวต้ม ข้าวหลาม แสด 2 มัด เงินค่าไขคำปาก จำนวน 3 บาท เหล้า 1 ไห ข้าวสาร และแก่นคูณ (เรื่องและภาพ หน้า 141,142) 3) การส่งล่ามและการอ่มล่าม เมื่อทำพิธีที่บ้านเจ้าสาวเรียบร้อย ก็จะส่งล่ามเพื่ออ่มล่าม คือการไปแสดงความยินดี ที่พ่อล่ามมีลูกล่ามคนใหม่ที่แต่งงานแล้ว คนที่ไปส่งประกอบด้วยลุงตา ญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว ผู้ช่วยล่าว และเพื่อนบ้านที่มาร่วมงาน จะไปส่งจนถึงบ้านพ่อล่าม (หน้า 142 ภาพหน้า 143, 144) บทบาทของพ่อล่ามเกี่ยวกับปัจจัยทางวัตถุ พ่อล่ามจะให้ความช่วยเหลือลูกล่ามตามความสามารถและฐานะของพ่อล่ามที่จะช่วยได้ เช่น ให้กู้เงินหรือซื้อสัตว์เลี้ยงให้เลี้ยงและแบ่งกันเมื่อ สัตว์เลี้ยง เช่น วัวควายออกลูก สำหรับก็จะช่วงเหลือด้านแรงงานในครอบครัวพ่อล่ามและญาติๆ เช่นช่วยเตรียมงาน เมื่อมีการทำบุญต่างๆ การซ่อมแซมบ้านเรือน (หน้า 169 ภาพ หน้า 170, 171, 172) บทบาทคนที่เป็นลูกล่าม ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดก่อนที่จะแต่งงาน จะต้องจัดเตรียมสิ่งของที่จะใช้ในพิธี และหาพ่อล่าม เพื่อเตรียมเครื่องขันหมาก ค่าสินสอด รวมทั้งพิธีล้างเท้าเขย คนที่เป็นลูกล่ามก่อนที่จะไปทำพิธีโอม จะต้องพาไปโดยพ่อล่ามกับญาติพี่น้อง (หน้า 126) (หน้า 128) การแต่งงาน พิธีแต่งงานของผู้ไทย เรียกว่า "เอ็ดป๋าซู" และ "การกินดอง" (หน้า 3) หรือ "ปะชู" (หน้า 19) ขั้นตอนพิธีแต่งงานของผู้ไทยแบ่งได้ดังนี้ 1) การบัก เมื่อหนุ่มสาวจีบกันแล้วรักกัน ผีของฝ่ายหญิงก็จะเป็นทูตช่วยเหลือหนุ่มสาวคู่นั้น โดยจะดลบันดาลให้ญาติคนใดคนหนึ่งไม่สบายอย่างปัจจุบันทันด่วน พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็จะพาคนป่วยคนนั้นไปหาหมอ เมื่อหมอว่าป่วยเป็นไร(หน้า 78) ก็จะไปบอกญาติผู้ใหญ่ของทางฝ่ายชายเพื่อทำ "การบัก" หรือตกลงวันที่จะไปสู่ขอ (หน้า 79) 2) การแปลงสาว คือ เมื่อญาติฝ่ายหญิงมาตามนัด ฝ่ายชายก็จะเลี้ยงอาหารตอนรับเพื่อเลี้ยงผีของทั้งสองฝ่าย ญาติฝ่ายชายก็จะถามญาติฝ่ายหญิงเพื่อความมั่นใจ หรือเรียกว่า "การแปลงสาว" ญาติฝ่ายหญิงก็จะตอบกลับว่าแปลงเอาหรือแปลงเพื่อหย่าจากกัน หากแปลงเพื่อเอาก็จะสู่ขอเพื่อให้ไปเป็นลูกสะใภ้ หากแปลงเพื่อหย่าจากกันก็จะหย่าเลิกแล้วต่อกันหากฝ่ายหญิงตกลงใจก็จะบอกค่าสินสอดทองหมั้น (หน้า 79) ก่อนขอค่าสินสอด ฝ่ายหญิงจะขอค่าไขคำปากจากฝ่ายชาย ได้แก่ เหล้าแกลบ 1 ไห ทุกวันนี้จะใช้เหล้าขาว ค่าสินสอดไม่เกิน 6 ตำลึง 2 บาท (26 บาท) ส่วนฝ่ายชาย ก็จะปลูก "เฮินซู" หรือบ้านขนาดเสา 9 ต้นที่อยู่ในพื้นที่บ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิงให้เสร็จก่อนวันแต่งงาน แต่ถ้าสร้างไม่เสร็จ ก็จะเช่าห้องบ้านพ่อตา เป็นเงิน 1 ตำลึง 2 บาท หรือ 6 บาท และพ่อล่ามจะทำบันไดให้ลูกเขย ให้ขึ้นบ้านต่างหาก เพราะถ้าใช้บันไดร่วมกับ พ่อตา แม่ยาย เชื่อว่าจะทำให้ คะลำ (หน้า 79) 3) การโอม คือ การหมั้น ฝ่ายชายจะหาล่ามเพื่อพาไปหมั้น อุปกรณ์ที่นำไปด้วยได้แก่ กระหยัง 4 ใบ เด็กผู้หญิง 4 คนเพื่อถือกระหยังคนละ 1 ใบ ข้าวต้มเปล่าๆไม่ใส่อะไรจำนวน 4 มัด มัดละ 4 ห่อ เมื่อทำพิธีโอมแล้วฝ่ายหญิงจะมอบหระหยังคืนให้ฝ่ายชาย 2 ใบ สำหรับข้าวต้มอีก 2 กระหยัง ฝ่ายหญิงจะนำไปแจกให้ญาติๆ เพื่อประกาศให้คนรู้ว่าได้หมั้นเรียบร้อยแล้ว (หน้า 80) 4) การเข้าพิธีแต่งงาน เมื่อทำพิธีโอมแล้วก็จะกำหนดฤกษ์วันแต่งงาน เจ้าบ่าวจะแห่ขบวนไปบ้านเจ้าสาว คนที่เป็นล่ามจะสะพายย่าม สะพายดาบ ในย่ามจะใส่หมากพลู บุหรี่ ตะปู ค้อน เจ้าบ่าวจะผูกเอวด้วยผ้าขาวม้าไหม ขัดด้วยฝักมีดที่บริเวณเอว มือขวาถือเต้าน้ำ มือซ้ายถือไข่ไก่ 1 ฟอง โดยจะนำไข่ไปซ่อนก่อนถึงบ้านฝ่ายหญิง หรือ "เฮินซู" บ้านที่สร้างเอาไว้ก่อนแต่งงาน เมื่อถึงบ้านคนที่มากับขบวนจะกระทืบเท้า เพื่อพิสูจน์ว่าบ้านแข็งแรงหรือไม่ จากนั้นคนที่หาบหับจะนำไปมอบให้กับเฒ่าแก่ของฝ่ายเจ้าสาว (หน้า 80 ภาพหน้า 128,129,130,131,132,146) หับมีจำนวน 16 ใบ สานด้วยไม้ไผ่เป็นใบขนาดเล็ก ในนั้นจะใส่ดอกรัก เมล็ดฝ้าย ไข่ไก่ เมื่อมอบหับก็จะมอบสินสอดด้วยเงิน 6 ตำลึง 2 บาท และเหล้า 2 ไห หรือ 2 ขวด เมื่อฝ่ายหญิงรับของแล้วก็จะให้เหล้ากับฝ่ายชาย 2 ไห หรือ 2 ขวด อันดับต่อไปก็จะสู่ขวัญ ผูกแขน มอบเขย เฆ้นเขย (หน้า 80) (ภาพเอ็ดป๋าซู หรือการแต่งงานผู้ไทย หน้า 104, 181) 5) การสมมาตอนแต่งงาน เมื่อเฆ้นเขยแล้ว(อบรมคนที่จะมาเป็นเขย) ฝ่ายเจ้าสาวจะมอบของสมมากับฝ่ายเจ้าบ่าว(หน้า 80) ของที่มอบได้แก่ ผ้าห่ม หมอน ผ้าขาม้า ซิ่น (หน้า 81 ภาพหน้า 109, 147) 6) การเฆ้นเขย คือ การอบรมคนที่จะมาเป็นลูกเขย ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง หรือ ลุงตาพาข้าว คนที่ถูกเฆ้นจะเป็นลูกเขย หรือพ่อล่าม เพื่อให้เขยเคารพญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง (หน้า 81) (หน้า 157) (ภาพหน้า 162,163) บทบาทของลุงตา ลุงตาหรือญาติผู้ใหญ่ฝ่ายผู้หญิง (หน้า 13) จะทำอาชีพอะไรก็ได้ โดยจะทำหน้าที่เฆี่ยนเขยผ่านล่าม ในการประกอบพิธีแต่งงาน (หน้า 148) มีบทบาทในการเฆ้นเขย หรือการสั่งสอนลูกเขยใหม่ บอกสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ สิ่งที่ควรทำเช่น ให้ขยันทำงาน และให้เกียรติญาติภรรยา และไม่ให้ไปไหนตามลำพังกับญาติภรรยา เป็นต้น สำหรับการเฆ้นเขย ล่ามจะเป็นผู้รับฟัง สำหรับ สิ่งของที่จะใส่ในถ้วยเฆ้น ประกอบด้วย ไก่ 1 ตัว ดอกไม้ 1 คู่ ถ้วย 1 ใบ เหล้า 1 ขวด เงินอีก 1 สลึง (หน้า 149 ภาพหน้า 150, 151) บทบาทของหมอสูด หมอสูดจะทำอาชีพใดก็ได้ ในพิธีแต่งงานหมอสูดจะทำหน้าที่เป็น "หมอสูด" เมื่องานแต่งงานยุติแล้วหน้าที่ของหมอสูดก็หมดไปด้วย (หน้า 151 ภาพหน้า 152) หมอสูดจะมีบทบทคือ ทำพิธีการจ้ำขวัญคู่บ่าวสาว สำหรับการจ้ำขวัญจะมีการประกอบพิธี ได้แก่ หยิบไก่ขวัญ ไข่ ข้าวต้ม ข้าวหวาน วางที่ฝ่ามือเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว และกล่าวคำจ้ำขวัญ ส่วนไข่ต้ม ล่ามจะแบ่งครึ่ง แล้วไขว้มือ (หน้า 152)

Political Organization

ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร แบ่งการปกครองออกเป็น 11 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านคำชะอี หมู่ 1, หมู่4, หมู่ 11, บ้านห้วยทราย หมู่ 2, หมู่ 10, บ้านนาปุง หมู่ 3, บ้านโนนสว่าง หมู่ 5, บ้านหนองกะปาด หมู่ 6, บ้านกกไฮ หมู่ 7, บ้านศรีมงคล หมู่ 8, บ้านแก้งช้างเนียม หมู่ 9 (หน้า 5, 61) ทุกหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านปกครองหมู่บ้าน (หน้า 61) ประชากรส่วนใหญ่ในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นผู้ไทยและมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจำนวนเล็กน้อย หมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านที่แยกออกมาจากหมู่บ้านคำชะอี (หน้า 62)

Belief System

ประเพณีของผู้ไทย ประเพณีของผู้ไทยคล้ายกับชาวอีสาน แต่ประเพณีบุญพระเวส ผู้ไทยให้ความสำคัญมากที่สุด โดยจะทำในระหว่างเดือน 4 ถึง เดือน 6 สำหรับการทำบุญพระเวส บางครั้งผู้ไทยจะทำบุญต่อกัน 3 ปี บางครั้งก็อาจจะหยุดเป็นระยะ (หน้า 66) สำหรับประเพณีต่างๆ ในรอบปีของผู้ไทยได้แก่ 1) วันสงกรานต์ ก่อนวันเนา 1 วัน พระในหมู่บ้านจะนำพระพุทธรูปองค์เล็กๆ นำไปตั้งบนร้านกลางลานวัด ในวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันเนา ตอนเย็นคนในหมู่บ้านทั้งชาย และหญิง ก็จะนำดอกไม้ น้ำอบน้ำหอมต่างๆ มารดน้ำพระพุทธรูป ในวันนี้จะเล่นสาดน้ำ ก่อเจดีย์ทราย และไปเก็บดอกไม้จากป่ามาถวายพระ (หน้า 71) 2) บุญข้าวจี่ ชาวบ้านกับพระจะไปตัดต้นไม้ข้าวจี่ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่คล้ายต้นปอ เมื่อตัดได้แล้วจะนำกลับมากองไว้ที่วัด ตอนเช้าชาวบ้านทั้งชายหญิงก็จะเอาข้าวเหนียวมาโอบไม้ย่างไฟ ทาไข่ใส่เกลือและใส่น้ำอ้อย เมื่อปิ้งสุกแล้วก็จะนำไปถวายพระที่ศาลาวัด พระเมื่อฉันแล้วก็จะเทศน์ให้พร สำหรับบุญข้าวจี่จะทำบุญในช่วงเดือน 3 (หน้า 69) 3) บุญพระเวส (มหาชาติ) การทำบุญจะแบ่งกัณฑ์เทศน์ 13 กัณฑ์ ออกเป็นหลายผูกแล้วแจกให้กับแต่ละวัดเพื่อนิมนต์พระมาเทศน์ในวันงาน เมื่อถึงวันงานคืนแรกพระจะเทศน์มาลัยหมื่นมาลัยแสนหรือเทศน์พวงมาลัย ตอนเช้าอีกวันจะเทศน์ศักราช (หน้า 68) ต่อไปก็จะเทศน์พระเวส โดยเรียงตามลำดับกัณฑ์ ซึ่งในแต่ละกัณฑ์จะแบ่ง 5 ถึง 6 ตอน เมื่อพระเทศน์จบ ก็จะผลัดเปลี่ยนให้พระรูปอื่นก็จะเทศน์ต่อทุกกัณฑ์ที่เทศน์เป็นทำนองร้อยเอ็ด บุญพระเวสจัดในเดือน 4 (หน้า 69) 4) บุญบ้องไฟ จัดตั้งแต่เดือน 6 ถึงกลางเดือน 8 วันงานชาวบ้านจะนำบ้องไฟมาแห่รอบโบสถ์กลุ่มผู้ชายก็จะแต่งตัวด้วยชุดตลก ร่ายรำและร้องเพลงพื้นบ้านที่เรียกว่า "เซิ้ง" ส่วนผู้หญิงก็จะนั่งที่ปะรำ หรือเรียกว่าตูบ ที่ตั้งอยู่รอบโบสถ์ เมื่อแห่แล้วก็จะนำบ้องไฟไปเก็บไว้บนกุฏิ ในวันรุ่งขึ้นก็จะนำบ้องไฟมาพาดที่บันได ซึ่งจะทำไว้บนต้นไม้สูง บริเวณริมทุ่ง ถ้าจุดแล้วบ้องไฟขึ้นคนที่แห่ก็จะพาช่างทำบ้องไฟไปแห่เพื่อขอเหล้าสาโทในหมู่บ้าน แต่ถ้าหากบ้องไฟจุดไม่ขึ้น คนดูก็จะช่วยกันจับช่างทำบ้องไฟ โยนลงบ่อโคลน อย่างครื้นเครง (หน้า 68) 5) บุญข้าวประดับดิน การทำบุญจะทำบุญหลังจากหมดเดือน 8 ตอนรุ่งเช้า ชาวบ้านจะนำอาหารและหมาก บุหรี่ อย่างละนิด ละหน่อย ไปวางไว้พื้นดิน ตามต้นไม้ ในบริเวณวัด เพื่อเลี้ยงญาติพี่น้อง เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อถึงช่วงบิณฑบาตก็จะไปทำบุญใส่บาตรอีกรอบ (หน้า 69) 6) บุญข้าวสาก การทำบุญเหมือนกับทำบุญข้าวสารท โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือน 10 เพ็ญ คนที่มาทำบุญจะทำให้ผีที่เป็นญาติ กับผีอื่นๆ หากใครไม่ทำถือว่าไม่มีความกตัญญูต่อพ่อ แม่และญาติที่สิ้นบุญไปแล้ว ก็จะทำให้คนที่ตายไปแล้วโกรธและอาจทำให้ญาติๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องเดือดร้อนอย่างใด อย่างหนึ่งการทำบุญ วันขึ้น14 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านจะนำอาหาร และขนมไปใส่บาตร ช่วงเพลชาวบ้านจะทำอาหารไปถวายพระบ้านละหนึ่งสำรับ และจะทำห่อข้าวใหญ่กับห่อชิ้นปลาเพื่อถวายพระ นอกจากนี้จะทำมีห่อข้าวน้อยจะมี ห่อหมาก บุหรี่ มัดติดกันเป็นคู่ นำไปรวมที่ศาลาวัดจากนั้นก็จะจับสลายรายชื่อสำรับ เพื่อถวายแก่พระ ถ้าพระรูปใดจับได้สำรับของใคร ชาวบ้านคนนั้นก็จะถวายตามชื่อที่ประกาศ เมื่อถวายอาหารพระแล้วจะนำห่อข้าวน้อย ไปวางไว้ตามลานวัด และผูกที่ต้นไม้ เพื่อทำบุญให้ผีต่างๆ เมื่อพระฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว คนที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ ให้กับญาติพี่น้องที่เสียชีวิตที่ต้องการทำบุญอุทิศให้ (หน้า 70) 7) วันออกพรรษา ชาวบ้านจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปทำบุญบูชาพระที่วัด และพระจะนำก้านกล้วยมาทำเป็นรูปเรือ นำมาปักที่กลางวัด แล้วชาวบ้านจะนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปัก ตอนเช้าชาวบ้านจะมาไหว้อีกรอบ ส่วนพระก็จะนำรูปเรืออีกลำ นำไปลอยในน้ำ ซึ่งเรียกว่า ล่องเรือไฟ การทำบุญตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 วันออกพรรษา (หน้า 69) 8) บุญกฐิน ครั้นออกพรรษา คนที่มีฐานะจะจัดองค์กฐินไปถวายพระชาวบ้านจะทำความสะอาดบ้านเรือน และพื้นที่ที่จะตั้งกองกฐิน และทำความสะอาดถนนที่จะไปทอดกฐิน ช่วงกลางคืนจะมีการแสดง อาทิ หมอลำ ให้ชมพักผ่อนหย่อนใจ (หน้า 70, 71) การนับถือผี แบ่งได้ดังนี้ ผีเชื้อ คือการนับถือผีปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียชีวิตไปแล้ว การเซ่นไหว้จะแก้ตามชนิดผีเชื้อของตนเอง เช่น วัว เป็ด ไก่ เหล้า ของหวาน การเซ่นไหว้คนที่เป็นลูกเขยต้องระวังตัวขณะทำพิธี เพื่อไม่ให้ "คะลำ" หรือผิดผี (หน้า74) คะลำเป็นข้อห้ามไม่ให้กระทำในส่งที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม เพราะเชื่อว่าถ้าทำแล้วจะทำให้เป็นบาป (หน้า 164) สำหรับข้อปฏิบัติเช่น ไม่ให้รับสิ่งของจากมือแม่ยาย และไม่ให้จับลูก หลานฝ่ายพ่อตา แม่ยาย ส่วนลูกสะใภ้ก็จะปฏิบัติเหมือนกับลูกเขย โดยจะเปลี่ยนจากแม่ยาย มาเป็นปู่ (หน้า 74, 166, 167) ผีเรือน ผู้ไทยจะทำพิธีรับผีขึ้นมาอยู่บนบ้านเรือน หรือ การกล่าวเอาผี เพื่อปกป้องรักษาสมาชิกทุกคนในบ้าน ซึ่งมีข้อห้ามหรือคะลำ หลายอย่าง เช่น ถ้าเจ้าของบ้านดึงบันไดขึ้น บางครั้งก็จะมัดเชือกแล้วผลักบันไดออกห่างจากตัวบ้าน คนที่ไม่ใช่ญาติ จะนำบันไดลงจากบ้าน หรือไม่ให้ผลักบันไดเข้าไปติดตัวบ้าน หากทำจะผิดผีและต้องเสียเงินค่าผิดผี สำหรับข้อปฏิบัติของคนที่เป็นลูกเขย มีดังนี้ (หน้า 74) หากขึ้นบันได ต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นบ้าน หากนุ่งโสร่ง หรือผ้าขาวม้าต้องนุ่งกระเบนเหน็บ หากหายหรือคอนสิ่งของ จะต้องยื่นสิ่งของนั้นๆ ขึ้นไปก่อน ฯลฯ (หน้า 75,167) งานศพ หากมีสมาชิกในบ้านของพ่อล่ามเสียชีวิต คนที่เป็นลูกล่ามจะให้ความช่วยเหลือ เช่น ด้านการใช้แรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการศพ การทำบุญ การเตรียมอาหารเพื่อเลี้ยงแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ส่วนการบอกบุญนั้น บางโอกาสลูกล่ามก็จะให้ภรรยาหรือสะใภ้ล่าม ทำหน้าที่แทนตนเอง (หน้า 181)

Education and Socialization

การศึกษาของพ่อล่าม ผู้ไทยตำบลคำชะอีโดยมากจะได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่าชั้นมัธยมศึกษา ในพื้นที่มีโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา อยู่ 4 โรงเรียนด้วยกัน ประกอบด้วยโรงเรียนคำชะอีวิทยาคาร, โรงเรียนคำบกวิทยาคาร, โรงเรียนหนองสูงสามัคคีวิทยา, โรงเรียนคำชะอีพิทยาคม สำหรับพ่อล่ามที่เรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายเป็นต้นไป จะมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ซึ่งคนส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาก็จะออกไปทำงาน สำหรับคนที่เรียนสูงกว่าระดับมัธยมปลาย ก็จะเตรียมในเรื่องต่างๆ ดีกว่าคนที่เรียนไม่ค่อยสูง (หน้า122,136) ผู้ไทยตำบลคำชะอีส่วนมากจะได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายลงมา (หน้า 122, 136)

Health and Medicine

การรักษาด้วยหมอเหยา การเจ็บป่วยของผู้ไทย เชื่อว่าหากทำผิดจารีตประเพณี ก็จะทำให้เจ็บป่วย เพราะเป็นการผิดผี เช่น ผู้ชายไปลวนลาม หญิงสาวบนบ้านผู้อื่น การเรียนคาถาโดยไม่บอกผี ลูกสะใภ้ หลานสะใภ้เดินกระทืบบนบ้านหรือเคาเสาหรือฝาบ้าน (หน้า 65, 72) เมื่อป่วยไข้ จะให้หมอเหยาหรือหมอลำส่องเสี่ยงทาย หากหมอเหยา บอกว่าผีอยากกินอาหารอะไรก็จะจะต้องทำให้กิน เช่นอาหารที่ทำจากเนื้อไก่ หมู หรือเนื้อควาย (หน้า 31, 65) คนที่ทำผิดผีก็จะหามาเซ่นไหว้ แต่ทุกวันนี้มีการอนุโลมกันบ้าง เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย ก็จะสมมุติโดยใช้ไก่แทนเป็นต้น (หน้า 65) การเตรียมตัวก่อนทำพิธี จะต้องเตรียมเทียนหนัก 1 บาท จำนวน 2 คู่ เทียนเล็กอีก 5 คู่ เงินฮ้อย หรือเงินรางเก่า หนักรางละ 4 บาท จำนวน 4 ฮ้อย ขันหมากเบ็งหรือบายศรี 1 คู่ และสะพานผ้า หรือผ้าขาวที่ใช้โยงจากที่ตั้งเครื่องบูชามาที่บายศรี ไข่ไก่ 2 ฟอง ข้าวสาร 1 ถ้วย แส้หวาย 1 ต้น และดอกไม้พุ่มจำนวน 1 พุ่ม และพานขวัญข้าว ซึ่งเรียกว่า "คายเล็ก" ประกอบด้วยของต่างๆ เช่น หมากพลู เงิน 1 สลึง ชุดแต่งกายชาย หญิง เช่น ผ้าซิ่น ผ้านุ่ง เสื้อผู้หญิง ผ้าแพร แหวน กำไล สร้อย (หน้า 65) พิธีเหยาแบ่งเป็น 4 อย่างได้แก่ 1) การเหยาธรรมดา หากเจ็บป่วย จะต้องเสียค่าคาย หรือค่าทำขวัญ 12 บาท ผ้าซิ่น 1 ผืน ผ้าห่มแพร 1 วา และทำกระทงเก้าห้อง (หน้า 76) 2) การเหยาแก้พรมฆาต ประกอบด้วยคลาด 1 คิน (เขื่อน) สืบสายตาหรือต่อชะตา กระทงเก้าห้อง คายหรือค่าขวัญข้าว 12 บาท นำหม้อนึ่ง และหวดนึ่งข้าวเหนียว เป็นอุปกรณ์แก้เคราะห์ (หน้า 76) 3) การเหยาก่นค้างบ้างเคิน (เขื่อน) คาย 12 บาทกระทงเก้าห้อง ผ้าซิ่น แพรวา และอุปกรณ์อื่นเช่น เสียม ขวาน พร้า (หน้า 77) 4) การเหยาย้ายมิ่งย้ายแนน (ย้ายสายสมพงษ์เนื้อคู่) ใช้ค่าคาย 24 บาท ผ้าซิ่น ผ้าแพรวา กระทงเก้าชั้นเก้าห้อง หวายยาว 1 วา เพื่อใช้เสี่ยงทาย (หน้า 77)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ผู้ไทยแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ตามลักษณะการแต่งกาย โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม เช่น ผู้ไทยแดง ผู้ไทยขาว ผู้ไทยดำ ผู้ไทยลาย (หน้า 2) ผู้หญิง จะสวมผ้าซิ่นสีดำ หากไม่สวมเสื้อ ก็จะนำแขนเสื้อมาผูกสะพายแล่ง เฉวียงบ่าแทนผ้าห่ม เครื่องประดับจะสวมกำไลเงินที่ข้อมือ ใส่กระจอนหูหรือต่างหู ที่ทำด้วยเงินหรือทองเหลือง สำหรับคนที่มีฐานะก็จะผูกผ้ามนต์ขิต ซึ่งเป็นผ้าเก็บดอกสี่เหลี่ยมขนาดเล็กๆ เพื่อไม่ให้ผมรุงรัง โดยมากผ้ามนต์ขิตหากเป็นวันนักขัตฤกษ์จะใช้ทั้งชายและหญิง แต่ถ้าเป็นช่วงปกติ ผู้ชายจะไม่ใช้ผ้ามนต์ขิต (หน้า 64) เสื้อจะสวมเสื้อสีดำแขนยาว เป็นเสื้อทรงกระบอก ติดกระดุมประมาณ 30 ถึง 50 เม็ด เครื่องประดับสวมสร้อยลูกปัด หากเดินทางไกลผู้หญิงจะนำกระหยังหรือตะกร้า บรรจุเครื่องนุ่งห่ม และเครื่องแต่งตัว เช่นหวี กระจก เป็นต้น หญิงผู้ไทยจะไว้ผมยาวแล้วมวยผมเอาไว้ (หน้า 64) ผู้ชาย สวมกางเกงผ้าด้ายตาเมล็ดงาสีดำ บางครั้งจะนุ่งผ้าขาวม้าด้ายสีขาว สวมเสื้อเป็นผ้าพื้นเมืองสีดำ ในช่วงงานขัตฤกษ์จะนุ่งผ้าไหม สวมเสื้อชั้นใน ห่ม ผ้าขิต มวยผมเอาไว้เหมือนกับผู้หญิง สำหรับการแต่งตัวในทุกวันนี้ ชายผู้ไทยจะแต่งตัวเหมือนกับคนอีสาน และจะแต่งตัวด้วยชุดผู้ไทยเวลามีงานเทศกาล (หน้า 64,65)

Folklore

ตำนานที่มาของจังหวัดมุกดาหาร จากตำนานเล่าว่า ครั้นเจ้าจันทรสุริยวงศ์ เจ้าเมืองโพนสิม ซึ่งตั้งอยู่ในแขวงสุวรรณเขต ถึงแก่กรรม เจ้ากินรีได้เป็นเจ้าเมืองคนต่อมา กระทั่งปี พ.ศ.2310 จึงย้ายข้ามโขง มาอยู่พื้นที่ ปากห้วยมุก เมื่อมาสร้างเมืองครั้งแรก มีคนเห็น แก้วสวยใสดวงหนึ่ง ลอยออกจากต้นตาล 7 ยอด ในเวลากลางคืน แล้วลอยกลับมายังต้นตาลอีกครั้งเวลารุ่งเช้า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างนี้เกือบทุกคืน ดังนั้นเจ้ากินรีจึงตั้งชื่อดวงแก้งดังกล่าวว่า "แก้วมุกดาหาร" ส่วนเมืองได้ตั้งชื่อว่า "มุกดาหาร" เมื่อเดือน 4 ปีกุน พ.ศ. 2313 (หน้า 51) จนเมืองเวียงจันทน์ ยกกองทัพมาตีเมืองลุ่มบัวลำภู ซึ่งทุกวันนี้คือ อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี เมื่อปี พ.ศ. 2321 ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดเกล้า ให้เจ้าพระยาจักรี ยกกองทัพไปร่วมกับเมืองหนองบัวลำภู สู้รบกับกองทัพจากเวียงจันทน์ โดยยกกองทัพเรือล่องไปในแม่น้ำโขง เริ่มจากเมืองจำปาศักดิ์กระทั่งถึงเมืองหนองคาย เมืองมุกดาหารจึงผนวกเข้ากับอาณาจักรธนบุรี นับจากนั้นเรื่อยมา และเจ้ากินรี ก็ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้เป็น พระยาจันทร์ศรีสุราชอุปราชามัณฑาตุราช (หน้า 51) มุกดาหารเป็นเมืองระยะเวลา 137 ปี เนื่องจาก พ.ศ. 2450 ทางการได้ปรับปรุงการปกครองมณฑลอุดร โดยแบ่งการปกครองเป็นเมืองต่างๆ ได้แก่ เมืองนครพนม เมืองสกลนคร เมืองมหาสารคาม เมืองขอนแก่น เมืองอุดร ทั้งนี้เมืองมุกดาหารถูกลดฐานะเป็นอำเภออยู่ในเขตการปกครองของเมืองนครพนท กระทั่งทางการได้ยกฐานะอำเภอมุกดาหารขึ้นเป็นจังหวัด เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2525 (หน้า 52) ความเป็นมาของชื่อ " คำชะอี " มี 2 แนวเรื่องคือ (หน้า 53) เรื่องที่ 1 บริเวณทิศเหนือของหมู่บ้านมีพื้นที่ที่เรียกว่า "ดานตึง" มาจากคำว่า "ดาน" คือ ลานหิน และ "ตึง" แปลว่า เสียงก้อง หากรวมแล้วก็มีความหมายว่า ลานหินที่เมื่อเดินก็จะมีเสียงกึกก้อง เนื่องจากว่ามีถ้ำใต้ลานหิน บริเวณนี้เป็นป่าอุดมสมบูรณ์และมีหนองน้ำที่มาจากน้ำคำ หรือน้ำซับที่ไหลอยู่ทั้งปี บริเวณนี้มีแมลงตัวเล็กๆชาวบ้านเรียกว่า "แมงอี่" อยู่จำนวนมาก ซึ่งแมลงชนิดนี้รูปร่างคล้ายจั๊กจั่น (หน้า 54) เมื่อแมลงบินมาตายที่หนองน้ำเป็นจำนวนมาก คนจึงพากันเรียกว่า "คำแมงอี่" ซึ่งมาจากคำว่า "น้ำคำ" และ "แมงอี่" หมู่บ้านนี้คนจึงเรียกว่า บ้านคำแมงอี่ในภายหลังได้เรียกเพี้ยน เป็น "บ้านคำชะอี" (หน้า 54) เรื่องที่ 2 บริเวณหมู่บ้านแต่เดิม มีต้นไม้ชื่อ "ต้นคำชะอี" ซึ่งได้สูญพันธ์ไปแล้ว ต้นไม้ชนิดนี้ดอกสีเหลืองมีกลิ่นหอม เปลือกและแกนก็มีกลิ่นหอมเช่นกัน ชาวบ้านชอบนำมาอบเสื้อผ้า เพื่อให้มีกลิ่นหอม ต่อมาชาวบ้านจึงนำชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่ออำเภอ ว่า อำเภอคำชะอี (หน้า 54) ตำนาน เหตุใดผู้ไทยไม่มีตัวหนังสือเป็นของตัวเอง สาเหตุที่ผู้ไทยมีแต่ภาษาพูด ไม่มีตัวหนังสือเป็นของตัวเองนั้น เนื่องจากว่าในอดีต พระยาแถง (หน้า 15) ได้บอกให้ชนชาติต่างๆ ไปรับตัวอักษรเอาไว้เขียนหนังสือ เมื่อไปรับเจ้าเมืองผู้ไทยได้เขียนตัวหนังสือเอาไว้ที่หนังวัวตากแห้ง พอฝนตกหนังวัวเปียกฝน เจ้าเมืองจึงได้เอาหนังวัวผืนนั้นไปตากแดด แต่หมาได้คาบวิ่งหนีไป ดังนั้นผู้ไทยจึงไม่มีตัวอักษรเขียนหนังสือ เป็นของตนเอง (หน้า 16) ความเป็นมาของการนับถือพุทธศาสนา นานมาแล้วผู้ไทยยังไม่นับถือศาสนาใด โดยจะนับถือ "ผีด้าม" คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียชีวิตแล้ว ขณะนั้นพระยาก่าเจ้าเมืองของผู้ไทยยังไม่มีคู่ครอง เจ้าอนุรุธกุมารเจ้าเมืองเวียงจันทน์ จึงมอบนางลาว ซึ่งเป็นนางสนม มาให้เป็นคู่ครองของพระยาก่า และให้พระสงฆ์หนึ่งรูป ไปตั้งวัดที่เมืองวัง และเผยแพร่ศาสนาพุทธ และนางลาวก็ทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำในการทำบุญ นับจากนั้นผู้ไทยก็เลยนับถือพุทธศาสนา เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ (หน้า 67) ตำนานการนับถือผี กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระยาก่า เจ้าเมืองของผู้ไทย ได้นางลาว เป็นคู่ครองต่อมานางลาว ได้ให้กำเนิดบุตร 3 คน ได้แก่ บุตรคนโตชื่อ ท้าวคำ คนรองชื่อ ท้าวก่ำ และคนสุดท้องชื่อ ท้าวแก้ว ตอนนั้นมีผีอยู่ที่เขาถ้ำ โดยจะปรากฏตัวให้เห็นเหมือนกับคนโดยทั่วไป หากผู้ไทยมีงานก็จะไปขอความแรงจากผีให้มาช่วยทำงาน สำหรับอาหารที่เลี้ยงผี ผีไม่กินอาหารคาว จะกินเฉพาะของหวานเท่านั้น ผีเวลาพูดคุยจะคุยเหมือนกับคนปกติ แต่เวลาทำงานผีจะทำต่างหาก จะไม่ทำงานร่วมกับกลุ่มคนเนื่องจากผีเหม็นกลิ่นตัวคน จึงแยกทำงานเฉพาะผีด้วยกันเท่านั้น (หน้า 71)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

คนทุกวันนี้ไม่อยากเป็นพ่อล่าม เพราะว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก เช่น การอ่มล่าม หรือการเลี้ยงแสดงความยินดี เมื่อจบงานพิธีการแต่งงาน ชาวบ้านก็จะไปส่งล่ามเพื่อแสดงความยินดี คนที่เป็นพ่อล่ามซึ่งทำหน้าที่เป็นพ่อของลูกล่ามลูกชายคนใหม่ ก็ต้องเลี้ยงแขกที่มาส่ง บางครั้งก็มีการดื่มสุรา ซึ่งทำให้เกิดความฟุ่มเฟือย ดังนั้นคนที่ฐานะไม่ร่ำรวยก็จะไม่ค่อยกล้ารับเป็นพ่อล่าม เนื่องจากส่วนหนึ่งก็ไม่มีความสมารถที่จะมีรายได้พอจะจ่ายในส่วนนี้ (หน้า 116)

Map/Illustration

แผนที่ ที่ตั้งเมืองแถง และเมืองไล ถิ่นที่อยู่เดิมของชาวผู้ไทย (หน้า 46) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หน้า 216) จังหวัดมุกดาหาร (หน้า 217) อำเภอคำชะอี (หน้า 218) ตำบลคำชะอี (หน้า 219) แผนผัง บ่านคำชะอี (หน้า 60) ภาพ วัดโพธิ์ศรี บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร (หน้า 62) เฮินซู (เรือนหอ) ของผู้ไทยในอดีต (หน้า 63) การนับถือผีบรรพบุรุษของผู้ไทย (เจ้าปูมเหสักข์ ) (หน้า 72) ประเพณีการเหยา (หน้า 78) ขั้นตอนต่างๆ ในงานเอ็ดป๋าซูของผู้ไทย (หน้า 95) เอ็ดป๋าซู (การแต่งงานของผู้ไทย) (หน้า 104) การสมมา (หน้า 109) โครงสร้าง บทบาทและหน้าที่ของพ่อล่ามและลูกล่ามที่มีความเกี่ยวข้องกัน (หน้า 114) ขอบเขตบทบาทและหน้าที่ของพ่อล่ามที่มีต่อลูกล่าม (หน้า 115) การเตรียมสถานที่ของพ่อล่าม (หน้า 124) การเตรียมทำห้องน้ำห้องส้วม (หน้า 125) การเตรียมอาหาร (หน้า 126) ขบวนแห่ขันหมากของเจ้าบ่าวเมื่อไปสู่ขอเจ้าสาวก่อนพิธีแต่งงาน (หน้า 128) การจัดกาน้ำหอมแก่นจันทร์ที่นำไปใช้ในพิธีแต่งงาน (หน้า 129) ขันใส่เงินค่าสินสอด(หน้า 130) ไข่ต้มที่เตรียมไว้ในพิธีแต่งงาน (หน้า 131) การล้างเท้าเขย (หน้า 132) พ่อล่ามขณะทำพิธีการโอม (หน้า 137) กะหยังโอมของฝากที่ลุงตากำชับให้หามาเพิ่ม (หน้า 138) พ่อล่ามขณะทำพิธีขอแต่งขอแปลง (หน้า 141) อุปกรณ์การขอแต่งขอแปลง (หน้า 142) การอ่มล่าม (การแสดงความยินดี ) (หน้า 143) การส่งล่ามและการอ่มล่าม (หน้า 144) พิธีสู่ขวัญเจ้าบ่าว เจ้าสาว (หน้า 146) พิธีการสมมา (หน้า147,148) ลุงตาขณะทำพิธีเฆ้นเขย (150) การเลี้ยงข้าวเขย (หน้า 151) หมอสูดในพิธีแต่งงาน (หน้า 152) พิธีการเฆ้นเขยของชาวผู้ไทย ( หน้า 162) เขยผู้ไทยจะต้องช่วยกิจการของลุงตาอยู่เสมอ (หน้า 163) ลูกล่ามช่วยพ่อล่ามโดยซ่อมบ้าน (หน้า 170) พ่อล่ามกับการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อช่วยเหลือลูกล่าม (หน้า 171) ลูกล่ามช่วยเหลือพ่อล่ามในด้านแรงงาน (หน้า 172) โครงสร้างของพ่อล่ามกับลูกล่าม (หน้า 174) พ่อล่ามผู้ไทยตำบลคำชะอี (หน้า 175) พ่อล่ามให้คำปรึกษาลูกล่าม (หน้า 176) การประนีประนอม โดยลุงตากรณีลูกล่ามเกิดความขัดแย้งกับสะใภ้ล่าม (หน้า 177) คนชราลูกล่ามจะต้องให้ความเคารพ (หน้า 178) คนชราผู้ไทย ตำบลคำชะอี (หน้า 179) พ่อล่ามและลูกล่ามร่วมกันจัดงานประเพณี "รวมเผ่าไทยมุกดาหารมะขามหวานชายโขง" (หน้า 180) พิธีแต่งงานของผู้ไทย(หน้า 181) งานศพ (หน้า 182) การสร้างบ้านใหม่ (หน้า 183)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 27 ก.ย. 2555
TAG ผู้ไท, วิถีชีวิต, พิธีแต่งงาน, พ่อล่าม, ลูกล่าม, จังหวัดมุกดาหาร, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง