|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,ความขัดแย้ง,นโยบายรัฐ,ปัตตานี |
Author |
Corner Bailey, John N. Miskic |
Title |
“The Country of Patani in the Period of Reawakening” - a Chapter from Ibrahim Syukri's Serarah Kerajaan Melayu Patani |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
16 |
Year |
2532 |
Source |
The Muslims of Thailand, vol.2, (ed.) Andrew Forbes. Gaya : Center for Southeast Asian Studies. p.151-166. |
Abstract |
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะนโยบายของรัฐที่ชาวปัตตานีถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของคนมาเลย์ อีกทั้งการที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือพัฒนาทางเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งมาก็รับสินบนและเอาเปรียบประชาชนในพื้นที่ ทำให้ผู้เขียนเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการกดขี่ทางวัฒนธรรม การเมือง และตักตวงผลประโยชน์จากชาวปัตตานี ทำให้เกิดการต่อต้านที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ (หน้า 152) |
|
Focus |
เนื้อหาในบทความนี้แปลมาจากบทที่ 4 ของหนังสือ "Serajah Kerajaan Malayu Patani" เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนมุสลิมที่เคยอยู่ในรัฐปะตานีกับรัฐบาลไทยหลัง ค.ศ. 1902 เมื่อระบบกษัตริย์มลายูถูกล้มเลิกไป |
|
Theoretical Issues |
ไม่ได้ระบุแนวทฤษฎี เป็นการพรรณนาเหตุการณ์ที่แสดงความขัดแย้งและการต่อต้านของกลุ่มคนที่เรียกว่า "มาเลย์" ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยเป็นรัฐปะตานี ต่อการปกครองของรัฐบาลไทยตั้งแต่ปี ค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) เป็นต้นมา |
|
Ethnic Group in the Focus |
ในงานนี้เรียกว่า "มาเลย์" |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
เวลาที่ศึกษาในงานนี้ครอบคลุมตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2440 ถึงช่วงทศวรรษ 2490 |
|
History of the Group and Community |
ในอดีตรัฐปะตานีเคยเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรือง เป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญในพุทธศตวรรษที่ 21-22 ต่อมาถูกอาณาจักรสยามรุกราน มีการสู้รบกันอยู่เนือง ๆ ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 22 มาในศตวรรษที่ 23 ปะตานีก็เสื่อมอำนาจลงและในปี พ.ศ. 2327 ก็พ่ายแพ้ต่อสยามในที่สุด (หน้า 152) |
|
Political Organization |
ชุมชนในรัฐปะตานีต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้หญิงสวมกระโปรงยาวหลวม ๆ มีผ้าคลุมไหล่ ผู้ชายสวมเสื้อยาว มีผ้าโพกศีรษะ (หน้า 156-157) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
นโยบายประเทศสยามคุกคามความเป็นอยู่และไม่สนใจความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของคนมาเลย์ในภาคใต้ จนเกิดเป็นความขัดแย้ง ผู้เขียนเรียกร้องให้คนมาเลย์ภาคใต้รวมตัวกันเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง หาทางแก้ไขปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่สงบที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เนื้อหาในบทนี้เป็นการจุดประกายมิติการมองกลุ่มชาติพันธุ์มาเลย์ และผู้แปลเสนอว่าการเข้าใจลักษณะทางชาติพันธุ์ของคนมาเลย์เป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหานี้เพราะเป็นปัญหาที่มีลักษณะเฉพาะ เนื้อหากล่าวถึงเมื่ออำนาจการปกครองของราชามาเลย์สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2445 ปัตตานีถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามไทย (ผู้เขียนในคำนี้เพื่อหมายถึงชาติพันธุ์ไทยอาณาจักรสยาม) มีการแต่งตั้งข้าราชการไปประจำ แต่ลักษณะการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชในขณะนั้นเป็นการปกครองที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของอาณาจักรสยาม และเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ คนมาเลย์ถูกบังคับให้เสียภาษีในอัตราสูงที่สุด แต่เงินภาษีนั้นกลับใช้จ่ายเป็นเงินเดือนข้าราชการที่มาปกครองส่วนหนึ่ง และที่เหลือถูกส่งกลับไปกรุงเทพฯ จนอาจกล่าวได้ว่าไม่มีการใช้เพื่อคนมาเลย์ซึ่งเป็นผู้จ่ายภาษีเลย ข้าราชการที่มาปกครองก็เข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จนมั่งคั่ง ไม่เคยทำความเข้าใจคนมาเลย์และศาสนาอิสลาม ไม่มีการพัฒนาสาธารณสุขหรือการศึกษา มีเพียงการตั้งโรงเรียนของรัฐในตัวเมืองเพื่อให้ลูกหลานข้าราชการสยามเรียน การบริหารงานในด้านตุลาการก็ขึ้นกับผู้ตรวจการ ตำรวจ และผู้พิพากษา คนที่ถูกจับกุมตัวต้องถูกขังนานหลายเดือนกว่าจะได้ขึ้นศาลเพราะเจ้าหน้าที่ต้องการเรียกเงินจากผู้ที่ถูกกล่าวหา ในปี พ.ศ. 2466 คนมาเลย์ลุกขึ้นต่อต้านปฏิเสธไม่จ่ายภาษีเพราะรังเกียจเจ้าหน้าที่ของรัฐ และนำไปสู่การเรียกร้องอิสรภาพทำให้เกิดการต่อสู้กับตำรวจสยาม ผู้นำคนมาเลย์หลายคนถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ พวกเขาถูกจับและถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ ในข้อหาก่อการกบฏ บางคนในจำนวนนี้เสียชีวิตและถูกฝังที่กรุงเทพฯ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระยาเดชานุชิตข้าหลวงที่ปกครองมณฑลปัตตานีถูกย้าย ปี พ.ศ. 2483 สมัยที่หลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีชูนโยบายรัฐนิยม มีการตั้งสภาวัฒนธรรมขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมนโยบายชาตินิยมและเผยแพร่วัฒนธรรมสยามไปทั่วประเทศ มีการบังคับให้ประชาชนสวมเสื้อผ้าแบบตะวันตก และสวมหมวก ใช้ช้อนส้อมและนั่งบนเก้าอี้ คนมาเลย์ในจังหวัดปัตตานี ยะลา และสตูลไม่พอใจที่ถูกห้ามไม่ให้แต่งกายแบบมาเลย์ ห้ามใช้ชื่อภาษามาเลย์ ห้ามปฏิบัติกิจศาสนาอิสลาม ห้ามพูดภาษมาเลย์ในสถานที่ราชการ คนมาเลย์ที่ต้องการติดต่อราชการ หากพูดภาษาไทยไม่ได้ก็ต้องจ้างล่ามมา ไม่ว่างานนั้นจะสำคัญหรือไม่ ศาสนาอิสลามถูกต่อต้านและถูกตรวจสอบ เด็กนักเรียนมาเลย์ถูกบังคับให้บูชาพระพุทธรูปที่โรงเรียน และคนมาเลย์ไม่สามารถรับราชการในตำแหน่งสูง ๆ ได้ ในปีพ.ศ. 2484 มีการบังคับให้คนมาเลย์สวมเสื้อผ้าแบบตะวันตก ผู้ชายต้องสวมเสื้อโค้ต กางเกงขายาว และสวมหมวก ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อรัดรูปและกระโปรงสั้น คนที่ไม่ทำตามจะถูกจับกุม และบางครั้งถูกตำรวจซ้อม อาศัยกฎข้อบังคับทางวัฒนธรรมนี้ เจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจค้นได้ทุกที่ เป็นการเหยียบย่ำเกียรติของอิสลามและธรรมเนียมของคนมาเลย์ ต่อมาปี พ.ศ. 2487 หลวงพิบูลสงครามสั่งยกเลิกสำนักงานตุลาการศาสนาของท้องถิ่นในจังหวัดปัตตานี ยะลา สตูล และนราธิวาส ยกเลิกกฎศาสนาอิสลามที่เกี่ยวกับการแต่งงาน การหย่าร้าง และการรับมรดกที่ได้รับการยอมรับจากอาณาจักรสยามมาเป็นเวลานานแล้ว จากนโยบายนี้ มีผลให้ทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎศาสนาอิสลามต้องถูกยกเลิก และถูกบังคับให้ทำตามกฎหมายของอาณาจักร และต้องขึ้นศาลของอาณาจักรสยามด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง และในปีเดียวกันนี้เอง Haji Sulung bin Abdul Kadir ได้ก่อตั้งองค์กรศาสนาขึ้นในปัตตานีมีชื่อว่า Hayat Alnapadz Allahkam Al S'yariat ซึ่งจุดมุ่งหมายขององค์กรนี้คือการผลักดันให้ผู้นำอิสลามร่วมมือกันต่อต้านกระบวนการเปลี่ยนคนมาเลย์ให้เป็นสยาม และในปีเดียวกันนี้เอง Tungku Abdul Jalal bin Tungku Abdul Talib ผู้นำมาเลย์ภาคใต้ และตัวแทนมาเลย์ในรัฐสภาได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อหลวงพิบูลสงครามเรื่องนโยบายรัฐนิยมที่มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมคนมาเลย์ในภาคใต้และศาสนาอิสลาม แต่คำตอบที่ได้คือการปฏิบัติตามนโยบายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 สงครามมหาเอเชียบูรพาสิ้นสุดลง นายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกกฎหมายวัฒนธรรมของหลวงพิบูลสงคราม แต่ความโหดร้ายทารุณที่ข้าราชการปฏิบัติต่อคนมาเลย์ยังคงดำเนินต่อไป มีการรับสินบนในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง คนมาเลย์ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการต่อต้านรัฐบาลถูกจับและถูกทำร้ายร่างกาย เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490 คณะกรรมการตรวจสอบได้จัดการประชุมกับคนมาเลย์ปัตตานีขึ้นเพื่อตอบข้อซักถาม ในการประชุมนี้ตัวแทนชาวอิสลามได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อต่อรัฐบาล รายละเอียดของข้อเรียกร้องได้แก่ การขอให้ผู้ที่จะมาปกครอง 4 จังหวัดภาคใต้ต้องเป็นชาวมุสลิมที่มาจากหนึ่งในจังหวัดเหล่านี้และต้องได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ภาษีที่เก็บจากท้องที่นี้จะต้องถูกใช้ที่นี่ รัฐต้องยอมให้ใช้ภาษมาเลย์ควบคู่ไปกับการใช้ภาษาไทย เป็นต้น แต่ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2491 ผู้นำการเรียกร้องในครั้งนี้ถูกจับกุมตัวในข้อหากบฏและถูกตัดสินจำคุก 3 ปี จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เกิดความไม่สงบ วันที่ 30 มกราคม ปีเดียวกันมีการส่งกำลังตำรวจจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดมาเลย์เพื่อช่วยควบคุมคนมาเลย์ให้อยู่ในความสงบ แต่แล้วในวันที่ 28 เมษายน ก็เกิดการต่อสูขึ้นที่จังหวัดนราธิวาส มีคนมาเลย์เสียชีวิตกว่า 400 คนในจำนวนนี้มีทั้งคนแก่ ผู้หญิง และเด็ก ส่วนตำรวจเสียชีวิตราว 30 คน เหตุการณ์ครั้งนี้รัฐบาลสยามโกหกว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มกองโจรกับกองกำลังรักษาสันติภาพ และพยายามทำให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของคนมาเลย์เป็นเรื่องเล็กและกล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนมาเลย์ถูกกลุ่มผู้ปลุกระดมซึ่งเป็นคนมาเลย์ปัตตานีจ้างวานให้ทำ และกลุ่มที่จ้างวานนั้นได้หนีไปมาลายาแล้ว วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2490 บาร์บารา วิตติงตัน โจนส์ นักข่าวชาวอังกฤษได้ไปเยือนปัตตานีเพื่อศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของคนมาเลย์ 7 แสนคนที่อยู่ภายใต้การกดขี่ของรัฐบาลสยาม โจนส์ได้รายงานในหนังสือพิมพ์ สเตรต ไทมส์ ของสิงคโปร์ฉบับเดือนธันวาคมว่าโรงเรียนในปัตตานีถูกปิด คนสยามดูถูกคนมาเลย์ว่าเป็นพวกไม่รู้หนังสือและเป็นชาวนาที่โง่เขลา เจ้าหน้าที่สยามรับสินบน เมื่อมีคดีตำรวจสยามถูกโจรยิงเสียชีวิต ตำรวจสยามไม่ต้องการสืบสวนหาความจริง พวกเขาบุกค้นบ้านคนมาเลย์ ข่มขืนผู้หญิงมาเลย์ บังคับให้ร้านค้าของคนมาเลย์จ่ายค่าคุ้มครอง คนมาเลย์มักถูกยิงเสียชีวิตโดยไม่มีการสอบสวน หรือไม่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ไร้ร่องรอย และไม่มีการรายงาน อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของคนมาเลย์ก็ยังแข็งแกร่งอย่างมาก นโยบายวัฒนธรรมไม่ประสบความสำเร็จ คนมาเลย์ยังคงรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ได้ จากรายงานของโจนส์ทำให้เข้าใจเหตุผลว่าเหตุใดคนมาเลย์จึงเรียกร้องขออิสรภาพและความเป็นธรรม รัฐบาลสยามปกครองแบบผิด ๆ มาตลอด คนมาเลย์ปัตตานีไม่เคยได้รับความสนใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสาธารณสุข การศึกษา หรือเศรษฐกิจ ปัตตานีถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังมาตลอด สิบเจ็ดปีของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คนมาเลย์ปัตตานีไม่เคยได้รับการดูแลตามระบอบประชาธิปไตย ชะตากรรมของคนมาเลย์ปัตตานีจึงไม่ควรอยู่ในมือของรัฐบาลสยาม -ไทย แต่ควรอยู่ในมือของพวกเขาเอง |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|