สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,โครงสร้างทางสังคม,เศรษฐกิจ,วัฒนธรรม,ภาคเหนือ,ประเทศไทย
Author Joann L. Schrock
Title The Meo
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 93 Year 2513
Source Minority Groups in Thailand, ARPA Research and Development Center Thailand
Abstract

ม้งเป็นชาวเขากลุ่มใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในประเทศไทย เป็นเผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ที่อพยพมาจากทางใต้ของจีนก่อนเข้าสู่ประเทศไทย ม้งปลูกพืชหลายอย่างเช่น ข้าว ข้าวโพด เมล็ดข้าวสาลีเป็นพืชหลัก พืชรองมาได้แก่ อ้อย แตง ถั่ว ผักต่างๆ มันเทศ หอมหัวใหญ่ งา พริก น้ำเต้า ฟักทองเศรษฐกิจของม้งขึ้นอยู่กับการทำไร่เลื่อนลอย การล่าสัตว์ การปลูกฝิ่นเพื่อขาย ล่าสัตว์และจับปลา การหาของป่า งานอุตสาหกรรมในครัวเรือน และการเกษตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ครัวเรือนของม้งมีลักษณะเป็นครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อแม่ ลูกชายและคู่สมรส กับลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ม้งมีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษและผีต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น ผีฟ้า ผีนา ผีภูเขา และอื่นๆ จึงมีการเซ่นไหว้เพื่อให้ผีพอใจและไม่ทำร้าย ซึ่งต้องมีหมอผีเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามนุษย์จะมี 'pli' อยู่ในร่างทำให้มีชีวิต หาก 'pli' ออกจากร่างกายและไม่กลับมาจะถึงแก่ความตาย แต่ 'pli' นี้จะกลับมารอที่บ้านเพื่อจะได้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง

Focus

ศึกษาม้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ในเรื่องสภาพชีวิต ภูมิหลังทางชาติพันธุ์ การแต่งกาย ขนบธรรมเนียมประเพณี สภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม และการเมือง

Theoretical Issues

ไม่ได้ระบุชัดเจน

Ethnic Group in the Focus

ม้งเป็นชาวเขากลุ่มใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในประเทศไทย เป็นเผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ที่อพยพมาจากทางใต้ของจีนก่อนเข้าสู่ประเทศไทย คนไทยเรียกชาวเขากลุ่มนี้ว่า 'เมี้ยว' หรือ 'แม้ว' ส่วนคนจีนในไทยมักเรียกว่า "Che-hpik" แปลว่า คนจีนในชุดขาว ส่วนคนกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นคน Shan, Yao และลาว ก็เรียก 'แม้ว' เช่นกัน คำว่า 'แม้ว' หมายถึง "แมว" ในภาษาจีน และมีคำว่า 'tze' ตามมาหมายถึง 'ป่าเถื่อน' และในประวัติศาสตร์จีนก็มีคำว่า 'man' ที่แปลว่าเถื่อน ซึ่งใช้เรียกเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ตอนใต้ของจีน ทำไมจีนเรียกว่า 'แม้ว' ก็มีหลายข้อสันนิษฐานว่าในทัศนะของจีนภาษาของแม้วฟังคล้ายเสียงร้องของแมว (หน้า 573) ม้งเป็นกลุ่มชาวเขาที่แยกออกเป็นกลุ่มย่อยๆ หลายกลุ่ม เช่น ม้งแดง ม้งดอก ม้งลาย ม้งดำ ม้งน้ำเงิน และม้งขาว หากดูจากภาษาจีนเป็นหลัก (หน้า 574) จะจำแนกได้เป็น Huang Meo= แม้วแดง Hua Meo = แม้วดอก Hei Meo = แม้วดำ เรียกตัวเองว่า "Pho" Ch'ing Meo = แม้วน้ำเงิน ซึ่งอาจจะรวม Gua M'ba Meo ด้วย Pe Meo = แม้วขาว เรียกตัวเองว่า "Hmong Deaw" แต่ชาวเวียดนามเรียกว่า "Meo Trang" (หน้า 574,575)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาม้งจัดอยู่ในกลุ่มภาษา 'Man' ซึ่งอยู่ในตระกูล Tibeto-Burman ร่วมกับภาษาเย้าและ 'Pateng' แต่การจัดประเภทไม่มีการตกลงแน่นอน ภาษาม้งเป็นคำพยางค์เดียวและมีระบบเสียงวรรณยุกต์ คำนามวางอยู่หน้าคำกิริยาและตามด้วยกรรม ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเองแต่ใช้อักษรจีน มิชชันนารีและหน่วยงานรัฐบาลได้คิดค้นระบบอักษรม้ง โดยประยุกต์จากอักษรโรมัน แม้ว่าม้งจะไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงในกลุ่มชาวเขาอื่นๆ แต่พวกเขาก็สามารถพูดภาษาอื่นๆได้ เช่น ภาษาจีน ภาษาไทย สำเนียงท้องถิ่นของม้งลายและ ม้งน้ำเงินมีความคล้ายคลึงกัน ส่วนม้งขาวและ ม้งแดงมีสำเนียงที่ต่างกัน ซึ่งไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร (หน้า 578,579)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุชัดเจน

History of the Group and Community

ประวัติศาสตร์ของม้งค่อนข้างจะมืดมนว่ามาจากไหนและเป็นใคร มีแต่ตำนานเล่าขาน ขาดหลักฐานบันทึก ตามหลักฐานของจีนเองก็มีหลายแนวคิด บางแนวคิดก็ว่าม้งเป็นชนชาติเดิมของมองโกลกลุ่มหนึ่ง (หน้า 584) ที่อพยพมีหลักฐานเชื่อถือได้ก็ต่อเมื่อม้งได้อพยพเข้ามาในจีนแล้ว อย่างน้อยก่อนหลายพันปีก่อนเริ่มคริสตวรรษ แต่เมื่อมีสงครามกับจีนและพ่ายแพ้เมื่อประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตศักราช ก็เริ่มอพยพลงมาเรื่อยๆ และมีสงครามอันยาวนานกับจีน ประวัติศาสตร์ระหว่างจีนกับม้งจึงเป็นประวัติศาตร์อันยาวนานของการสู้รบเพื่อเป็นอิสระสำหรับม้ง และเป็นการควบคุมม้งสำหรับจีน ม้งอพยพลงไปทางใต้ของจีนจนถึงยูนนานและเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านห้วงที่เวลายาวมากว่า 150 ปี โดยอาจเข้ามาทางตอนเหนือของเวียดนามช่วงปลายศตวรรษที่ 18 หรือต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนเข้าสู่ไทย อีกกลุ่มอพยพตามแม่น้ำโขงแล้วเข้าสู่ลาว ส่วนพวกที่อพยพจากพม่าสู่ไทยเมื่อประมาณ ค.ศ. 1890 โดยผ่านแม่น้ำโขง ปลายศตวรรษที่ 13 สงครามโลกครั้งที่ 2 และระบอบคอมมิวนิสต์บีบให้ Meo เข้าสู่ประเทศไทย (หน้า 584-586)

Settlement Pattern

ม้งตั้งหมู่บ้านอยู่บนภูเขาที่สูงประมาณ 3,000 ฟุต หมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้แห่งต้นน้ำลำธาร และสร้างฝายเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมาบริโภค การอยู่บนที่สูงทำให้พวกเขามีอิสระที่จะทำพืชไร่แบบดั้งเดิม ม้งอพยพถิ่นฐานทุกๆ 3-50 ปี ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยเฉพาะหากเก็บเกี่ยวพืชผลไม่ดี ดินเสื่อม ข้าวติดโรค หรือโรคระบาด การย้ายถิ่นมักจะใช้ระยะทางเดินจากหมู่บ้านเก่าไปไม่เกิน 1 วัน การย้ายถิ่นจะถูกวางแผนไว้อย่างดี และมีการจัดเลี้ยงล่วงหน้าเพื่อเตรียมแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ กลุ่มที่ไปถีงถิ่นใหม่จะสร้างบ้านแบบชั่วคราว จัดเตรียมที่ดินเพื่อตั้งบ้านเรือนและทำไร่นา และปลูกพืชผลรอจนกระทั่งการเก็บเกี่ยวครั้งแรกมาถึง ชาวบ้านจะละทิ้งหมู่บ้านเก่า โดยอาจเผาบ้านเก่าทิ้งหรือปล่อยให้พังเอง แล้วเก็บข้าวของเพื่อรอผู้นำให้สัญญาณ ผู้หญิงจะเดินรั้งท้ายนำสัตว์ขนสัมภาระ ผู้ชายจะคอยระวังภัยและเปิดทาง มีข้อยกเว้นในรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของม้งในลาว ที่ม้งย้ายสู่ที่ราบต่ำ เช่นในจังหวัดเชียงของ (หน้า 587-589) ภายในหมู่บ้านของม้งมีสิ่งก่อสร้างอยู่ 5 แบบ คือ บ้านที่เป็นที่อยู่อาศัย คอกสัตว์ โรงเก็บของ โรงหล่อ และกระท่อมปลายนา ทั้งหมดมีโครงสร้างเป็นไม้ เช่นไม้สัก ไม้ไผ่ หรือไม้สน การสร้างบ้านจะเริ่มด้วยการปักเสาหลัก 4 เสาตรงพื้นที่ลาดเอียงข้างบ้าน มักเป็นไม้สัก ตามด้วยเสาคาน แล้วจึงสร้างจันทันเพื่อรองรับหลังคา หลังคาทำจากใบปาล์มสาน เมื่อบ้านสร้างเสร็จ ก็จะสร้างที่ก่อไฟ เตา และกำแพงบ้าน บ้านม้งมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวและความกว้างประมาณ 36x9 ฟุต ประตูทำไว้เตี้ยเพื่อให้คนโน้มตัวก่อนผ่านเข้ามา ตามธรรมเนียมจะมีประตู 2 ประตู ไม่มีหน้าต่าง อาศัยแสงที่ผ่านเข้าช่องประตูหรือตามรูผนัง และไม่สร้างรั้วไว้รอบบ้าน ขนาดของบ้านขึ้นอยู่กับสถานะ ความมั่งคั่ง และจำนวนลูกหลานในครอบครัว (หน้า 589,590) (ดูรูปบ้านของม้ง หน้า 591) ในเวียดนามหรือจีน ผนังบ้านสร้างด้วยอิฐหรือดินเหนียว หญ้าแห้ง ไม้ไผ่ หรือหลังคามุงกระเบื้อง บ้านของ ม้งในประเทศไทยไม่ใช้ตะปูหรือกาวในการเชื่อมต่อโครงสร้าง ผนังไม้กระดานมีคามหนาประมาณ 1 นิ้วครึ่ง และกว้าง 6-4 นิ้ว บ้านม้งมักมี 2 ประตู ด้านหนึ่งจะเชื่อมห้องครัว อีกด้านเป็นทางเข้าบ้าน ภายในบ้านมักแบ่งไว้อย่างน้อย 2 ห้อง มีห้องนั่งเล่นและห้องนอน ห้องครัวจะแยกออกไป พื้นบ้านเป็นดินอัดแข็ง ที่นอนอยู่สูงจากพื้นนิดหน่อย ห้องนอนไม่มีประตู แต่สร้างทางเดินตามผนัง ดังนั้นจึงมองไม่เห็นจากภายนอก มีที่เก็บของใต้หลังคา บ้านเกือบทุกหลังมีที่ก่อไฟ 2 แห่ง ในห้องนั่งเล่นและในครัว มีเตาทำอาหาร และม้งก่อไฟด้วยวิธีแบบดั้งเดิม ในบ้านไม่มีที่ระบายควัน ส่วนที่ก่อไฟในห้องนั่งเล่นใช้ในกิจกรรมภายในบ้านม้งผลิตของใช้ในบ้านเอง แต่ซื้อโลหะหรือเหล็กจากที่อื่น เก้าอี้มักมีเฉพาะในครอบครัวมีฐานะ ส่วนใหญ่จะมีเพียงโต๊ะเล็กๆ กับเสื่อ (หน้า 592,593) โรงหล่อตั้งอยู่ใกล้พื้นที่อยู่อาศัยเป็นที่ผลิตเครื่องไม้เครื่องมือ เป็นโรงเล็กๆ เปิดด้านข้าง พื้นโรงหล่อยกสูง คอกสัตว์สร้างด้วยเสาไม้และมีขนาดต่างๆ กันตามแต่ความมั่งคั่งของครอบครัว คอกม้าจะสร้างใหญ่กว่าสัตว์อื่นและสร้างพื้นไม้เพื่อป้องกันสัตว์ ส่วนคอกไก่จะสร้างเป็นโครงคล้ายกล่องอยู่เหนือพื้นดิน ส่วนโรงเก็บของของม้งจะอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 6 ฟุต เพื่อป้องกันพืชผลจากความชื้นและสัตว์ต่างๆ หรืออาจสร้างสูงถึง 12 ฟุต ปิดผนังไว้รอบด้าน มีหลังคาใบไม้ ส่วนกระท่อมปลายนาจะใช้ในช่วงปลูกพืชผลและฤดูเก็บเกี่ยว เป็นกระท่อมเล็กทีสร้างด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้า ภายในมีเตาทำอาหาร ชั้นเก็บของ ที่นอน (หน้า 594-596)

Demography

ม้งในประเทศไทยมีจำนวนระหว่าง 45,000-50,000 คน และเมื่อรวมที่อยู่ในเอเชียมีอยู่ประมาณ 8,000,000 คน ม้งในปีค.ศ. 1953 ทางการจีนได้ระบุจำนวนประชากรม้งว่ามี 2,511,389 คน รวมจำนวนประชากรจากหลายๆ จังหวัด คือ Kweichow มี 1,800,000 คน ในยูนนานมี 360,000 คน ในกวางสีมี 180,000 คนใน Hunan มี 300,000 คน และใน Hainan มี 30,000 คน ในประเทศลาวมีจำนวนประชากรประมาณ 50,000-65,000 คน ในหลวงพระบาง ปีค.ศ. 1950 มี 7,069 คน ในเชียงของ ปีค.ศ. 1959 มี 45,000 คน ใน Houa Phan ปีค.ศ. 1936 มี 7,438 คน ใน Sayaboury ปีค.ศ. 1950 มี10,419 คน ใน Haut-Mekong ปีค.ศ 1938 มี 217 คน และใน Phong Saly ปีค.ศ. 1930 มี 400 คน ประชากรม้งพบที่ทางตอนเหนือของเวียดนามและในพม่า ปี ค.ศ. 1960 มีม้งในเวียดนาม 223,000 คน และ ม้งในพม่ามีจำนวนมากกว่า 800 คน ส่วนในประเทศไทย ในปีค.ศ. 1962 ม้งน้ำเงินมีจำนวน 26,400 คนจาก 93 หมู่บ้าน ม้งขาวมีประชากร 19,200 คนจาก 69 หมู่บ้าน และม้งกอมบาจาก 2 หมู่บ้าน มีประชากรประมาณ 200 คน (หน้า 575) เด็กที่เกิดมาเสียชีวิตมีอัตราส่วนค่อนข้างสูง ประมาณ 30% ของเด็กแรกเกิด (หน้า 599) โดยปกติครอบครัวหนึ่งจะมีบุตรประมาณ 7 คน (หน้า 600) จำนวนประชากรของม้งอายุ 1-17 มี 40.6% ช่วงอายุ 19-50 ปี มี 55.1% และ 50 ปีขึ้นไปมี 4.3% (ตารางหน้า 599)

Economy

ม้ง ปลูกพืชหลายอย่างเช่น ข้าว ข้าวโพด เมล็ดข้าวสาลีเป็นพืชหลัก พืชรองมาได้แก่ อ้อย แตง ถั่ว ผักต่างๆ มันเทศ หอมหัวใหญ่ งา พริก น้ำเต้า ฟักทอง อาหารของ ม้งมีข้าวเป็นหลักและเติมเนื้อหมูหรือไก่และเกลือ อาหารบางชนิดจะรับประทานดิบ เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่จะรับประทานเป็นหลักในงานกินเลี้ยงม้ง รู้จักการถนอมเนื้อโดยหมักเกลือแล้วนำไปตากแดดหรือรมควัน อาหารของม้ง นอกจากการเพาะปลูกแล้วมีการล่าสัตว์ด้วย เช่น เต่า กบ หรือแมลงปีกแข็ง ส่วนสัตว์อื่นที่ยกเว้นคือ งู กะรอกดำ กิ้งก่า และหนอนเป็นต้น เครื่องดื่มของม้งได้แก่น้ำและเหล้าข้าวโพด นมเป็นของต้องห้าม แต่มีการผลิตฝิ่นและยาสูบเพื่อใช้เอง (หน้า 627-630) เศรษฐกิจของม้งมีพื้นฐานจากกิจกรรม 6 ประการคือ การทำไร่เลื่อนลอย (swidden) การเลี้ยงสัตว์ การปลูกฝิ่นเพื่อขาย การล่าสัตว์และจับปลา การหาของป่า และงานอุตสาหกรรมในครัวเรือน ม้งมีรายได้ประมาณ 6,000 บาทต่อปี การเกษตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พืชหลักได้แก่ ข้าว ข้าวโพดผัก ผลไม้ อ้อย ถั่ว มันเทศ พริก พริกไทย ฟักทอง กล้วย และสินค้าอื่น ฝิ่น ยาเส้น กัญชา ฝ้าย ป่าน และปลูกพืชที่ใช้นำมาย้อมสีผ้า เทคนิคการเกษตรเป็นแบบง่ายๆ และเป็นวิธีดั้งเดิมคือ เผาป่าและปลูกพืช เมื่อดินเสื่อมก็ย้ายไปทำที่อื่น ไม่มีเครื่องมือทันสมัยมาก Meo ไม่ทำกับดักหรือรั้วไว้ในไร่นา แต่ใช้คนมาดูแทน (หน้า 637-641) การเลี้ยงสัตว์ทำเพื่อนำเนื้อมาขายและบริโภค ซึ่งได้แก่ หมู ไก่ วัว แพะ สุนัข เพื่อนำมาใช้งานอื่นๆ เช่นบรรทุกของ ขนส่ง ล่าสัตว์ได้แก่ม้า สุนัข และเพื่อนำไปขาย ได้แก่ วัวควาย และแพะ (หน้า 641,642) ม้งเป็นนักล่าที่มีความสามารถ คือล่าช้าง แรด กวาง และสัตว์ทุกอย่างที่กินได้ ล่าเพื่อนำไปเป็นอาหารและขายแต่ไม่ทำเงินมากนัก วิธีล่าคือการรอเหยื่อที่ผ่านมาหรือใช้กลเรียกเหยื่อด้วยเสียง โดยใช้ปืนคาบศิลา หน้าไม้ ม้งฆ่าสัตว์โดยไม่สนใจว่าเป็นฤดูกาลใด หรือสัตว์กำลังมีลูกหรือยังเยาว์วัย ในการตกปลาม้งใช้ใบไม้หรือเปลือกไม้ที่มียาพิษเป็นเหยื่อล่อปลา (หน้า 643,644) นอกจากนั้นม้งยังหาของป่าในกรณีที่ผลผลิตไม่เพียงพอ (หน้า 645) การปลูกฝิ่นเป็นงานสำคัญ ค่าเฉลี่ยของแต่ละครอบครัวจากการค้าฝิ่น 3,600 บาทต่อปีหรือมากกว่านี้ Meo สูบฝิ่น 5%-10% จากผลผลิตที่ปลูก ที่เหลือนำไปขาย จะมีพ่อค้าเข้ามาซื้อในหมู่บ้าน แต่เมื่อเร็วๆ นี้รัฐบาลสนับสนุนให้ปลูกกะหล่ำปลีหรือต้นพีชแทน (หน้า 645)

Social Organization

หน่วยสังคมที่สำคัญของโครงสร้างทางสัมคมม้งคือครอบครัวและตระกูล ในชีวิตประจำวันครัวเรือนมีความสำคัญ (หน้า 606) แต่ตระกูลมีความสำคัญในระดับที่กว้างกว่าเช่นในหมู่บ้าน ตระกูลเป็นหน่วยที่มีการออกกฏเกณฑ์พฤติกรรมสำหรับสมาชิก ในแต่ละตระกูลจะมีครัวเรือนมีความผูกพันกันทางฝ่ายชาย และมีแซ่เดียวกัน เมื่อลูกชายเกิดมาก็จะสืบตระกูลของพ่อ ส่วนผู้หญิงหากแต่งงานแล้วต้องไปอยู่ในตระกูลของสามี (หน้า 606) ไม่มีระบบชนชั้นในหมู่เครือญาติยกเว้นแต่พวกที่ไร้ญาติ (unfree) ซึ่งมีสถานะต่ำกว่า คนชราจะได้รับการเคารพ ผู้ชายมีสถานะสูงกว่าผู้หญิง สถานะจะขึ้นอยู่กับเพศและตำแหน่งในครอบครัว ผู้ชายที่อาวุโสจะเป็นผู้นำและมีอำนาจในการตัดสินลงโทษ (หน้า 607,608) สถานะของผู้หญิงจะขึ้นอยู่กับอายุและจำนวนของบุตร ยิ่งมีบุตรมากก็ยิ่งมีสถานะสูง เพราะเด็กจะเติบโตเป็นแรงงาน นิยมมีบุตรชายมากกว่าผู้หญิงเพราะจะเป็นผู้สืบทอดเครือญาติ ผู้หญิงจะไม่ร่วมงานกิจกรรมทางศาสนา ผู้ชายจะทำงานที่ต้องใช้แรงและผู้หญิงจะช่วยงานเบาๆ เช่น ทำงานบ้าน เลี้ยงลูก และจะทำงานร่วมกันยามฤดูเก็บเกี่ยว เด็กๆ ช่วยทำงานด้วย(หน้า 609,610) ครอบครัวเป็นแบบครอบครัวขยาย เมื่อลูกชายอายุ 30 ปี จะย้ายออกไปพร้อมภรรยาและลูกไปสร้างครอบครัว ถ้าผู้นำของครอบครัวตาย ภรรยาม่ายจะแต่งงานกับพี่หรือน้องชายของสามีเก่า การแบ่งมรดก ผู้ชายจะแบ่งปันกันขณะที่ผู้หญิงไม่ได้รับอะไร จะได้มากน้อยอยู่กับอายุและความสัมพันธ์ในครอบครัว ตามหลักผู้นำจะเป็นเจ้าของที่ดินแต่ตามหลักปฏิบัติที่ดินจะเป็นของคนที่เข้าไปใช้พื้นที่ ภายในกลุ่มเครือญาติจะแบ่งปันที่ดินกัน มรดกไร่นา สัตว์ บ้าน เป็นทรัพย์สินของครอบครัว ถ้าผู้นำตายก็จะเป็นของผู้นำคนต่อไปซึ่งเป็นลูกชายคนโตส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งลูกชายที่ย้ายออกไปสร้างครอบครัวใหม่จะไม่ได้รับมรดกอะไร (หน้า 610-612) ถ้าผู้หญิงเสนอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ชายจะหมายถึงการเชื้อเชิญทางเพศ มีข้อห้ามไม่ให้ผู้ชายรับเครื่องดื่มจากผู้หญิงโดยเฉพาะในครอบครัว ถ้าฝ่าฝืนผีจะลงโทษ ม้งแต่งงานกับคนต่างถิ่นได้ แต่ไม่พบบ่อยนัก ผู้ชายแต่งงานเมื่ออายุ 16-17 ปี ผู้หญิงแต่งงานเมื่ออายุ 20 ปี ผู้ชายจะเลือกผู้หญิงที่แข็งแรงที่ให้กำเนิดบุตรได้หลายคนและทำงานในไร่ได้ ผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง ถ้าพอใจจะไปขอพ่อของผู้หญิง และพ่อของผู้หญิงจะไปขอผี ถ้าผีบอกไม่อนุญาตฝ่ายชายก็จะหาต่อไปแต่ถ้าผีบอกว่าได้ ฝ่ายชายก็จะขอผู้หญิงแต่งงาน พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจะคุยกันเรื่องค่าสินสอด การแต่งงานมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน-มกราคม ในพิธีแต่งงานพ่อแม่ฝ่ายหญิงและเจ้าสาวไปที่บ้านเจ้าบ่าว เมื่อเข้าไปในบ้านเจ้าบ่าว ผู้นำครอบครัวฝ่ายชายจะบูชายัญเพื่อเซ่นบรรพบุรุษและผีเพื่อให้ยอมรับสมาชิกใหม่ หลังจากนั้นก็จะมีพิธีกินเลี้ยงของทั้งสองฝ่าย เจ้าสาวจะนอนรวมกับผู้หญิงคนอื่น 3 วันก่อนจะนอนกับสามีใหม่ ถ้าผู้ชายมีภรรยาสองคน ภรรยาคนหลังจะต้องเชื่อฟังคนแรก ผู้หญิงจะอยู่ที่บ้านฝ่ายชาย ผู้ชายมีสิทธิ์มีภรรยาใหม่ได้ ผู้หญิงก็แต่งงานใหม่ได้ แต่สามีคนใหม่ต้องจ่ายค่าสินสอดคืนให้สามีเก่าของผู้หญิงเสียก่อน (หน้า 612-615) ผู้หญิงแม้ตั้งครรภ์ก็จะทำงานจนกว่าจะถึงเวลาคลอดลูกซึ่งจะมีผู้หญิงคนอื่นมาช่วยทำคลอด ไม่มีหมอตำแย หลังคลอดแม่จะพัก 3-30 วัน ซึ่งช่วงนั้นผู้ชายจะช่วยทำงานที่เป็นหน้าที่ของผู้หญิง ถ้ามีลูกฝาแฝดจะโชคดี 3 วันหลังเด็กเกิดจะมีการทำพิธีด้วยไก่ตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัว และแนะนำเด็กให้ชาวบ้านรู้จัก บางครอบครัวรับบุตรบุญธรรมที่อายุน้อยกว่า 10 ปี เมื่อเด็กโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จะมีอิสระในเรื่องเพศมากขึ้น ถ้าหากผู้หญิงตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานจะต้องรีบแต่งงาน (หน้า 618,619)

Political Organization

เมื่อมีปัญหาขัดแย้งในกลุ่ม ม้งจะไม่ต่อสู้กันแต่จะพูดคุยกัน บางทีก็มีผู้นำมาช่วยไกล่เกลี่ย (หน้า 602) ผู้นำหมู่บ้านได้รับเลือกขึ้นมาตามประเพณีหรือรัฐบาลอาจแต่งตั้งผู้นำ ทำให้มีผู้นำสองคนในหมู่บ้านได้ หน้าที่ของผู้นำม้งคือรายงานให้รัฐทราบว่าจะย้ายเมื่อไร และช่วยหากรัฐบาลต้องการอาหาร กำลังคน หรือคนนำทาง และผู้นำได้รับเงินจากรัฐบาล มีคณะผู้อาวุโสบริหารหมู่บ้านช่วยตัดสินเมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งถ้ามีเรื่องสำคัญมากจะส่งเรื่องให้ผู้นำ ปกติแล้วไม่ค่อยมีเรื่องผิดร้ายแรง การทำโทษเช่น การจ่ายค่าปรับ หรือคืนของที่ขโมย หรือเฆี่ยน หรืออาจถูกตัดนิ้ว ขึ้นอยู่กับความผิดที่กระทำ แต่ไม่มีการทำโทษถึงตาย มากที่สุดคือการขับออกจากหมู่บ้าน อำนาจผู้นำของแต่ละหมู่บ้านผันแปร แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความดีและความสามารถของผู้นำ ม้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทยผ่านทางผู้นำและโรงเรียนตามชายแดน แต่มีปัญหากับรัฐในเรื่องภาษีเพราะ ม้งไม่เข้าใจว่าทำไมต้องจ่ายค่าภาษีให้รัฐบาล คอมมิวนิสต์แทรกแซง ม้งที่อยู่ในจีน และเวียดนามตอนเหนือ รวมทั้งจูงใจให้ต่อต้านกองทัพไทย (หน้า 650-654)

Belief System

เมื่อมีคนตาย ศพจะถูกนำไปอาบน้ำและแต่งกายสวยงาม และวางไว้ติดผนัง 2 วัน สุสานจะหันไปทางทิศตะวันออก-ตะวันออก ศพจะถูกฝังหันหัวไปทางทิศตะวันออกและเท้าชี้ไปทางทิศตะวันตก บางทีก็จะทำรั้วไปรอบๆ เพื่อกันสัตว์มาคุ้ย หลังจากการฝังจะมีการเซ่นไหว้และกินเลี้ยงในหมู่เครือญาติ 3 วัน และมีการนำอาหารไปที่สุสาน หลังจากการตาย ภรรยาและลูกๆ ของผู้ตายจะไว้ทุกข์โดยสวมผ้าโพกหัวศีรษะสีขาวเป็นเวลา 12 วัน และใน 1 ปี ห้ามไม่ให้ภรรยาและลูกของผู้ตายทำกิจกรรมทางเพศ ถ้าคนที่ตายเป็นผู้หญิง ผู้ชายห้ามมีเพศสัมพันธ์ 1 สัปดาห์ (หน้า 619,620) ม้งเชื่อเรื่องภูติผีและหมอผี (shamanism) เชื่อว่ามีผีอยู่ทุกที่ พิธีกรรมเกี่ยวกับศาสนาจัดขึ้นเพื่อทำให้ผีพอใจจะได้ไม่ทำให้ตนมีโชคร้าย ผีทุกตัวเท่าเทียมกัน ยกเว้นแต่มีผีแม่-พ่อที่มีเพศเดียวกันในหนึ่งเดียว ผีชอบการเซ่นไหว้และจะติดต่อกับหมอผี ผีมีรูปร่างหลายแบบ ผีร้ายจะมีรูปร่างคล้ายทหารจีน ผีเป็นอมตะและมีที่อยู่ที่ต้องไม่ไปรบกวน ผีส่วนใหญ่ปลูกข้าวและหาอาหารเอง (หน้า 631) ภูตผีหลักของม้ง ได้แก่ 'Du Lu Pan', 'Lu Lu Pan' และ 'San Lu Pan' เป็นผีแห่งการหล่อโลหะ ผี 'Yu Wan Su Fu' เป็นผีเกี่ยวกับการักษา ผี 'Ko No Ko Tsu' , 'Ta Fu Ye', 'Lu Fu Ye' และ ' San Fu Ye' เป็นผีที่ติดต่อกับหมอผีและบอกเรื่องทางศาสนา ผี 'Ta Ho Lu Pin' เป็นผีแห่งไฟ อาศัยอยู่ในเตาไฟบ้าน ส่วน 'sen sen' เป็นผีที่อยู่บนเมฆ ผี 'Me Yen' เป็นผีเด็กแรกเกิด และผี 'Su Kan' เป็นผีแห่งความร่ำรวย และผี 'na thu pen do na thu pe de' เป็นผีโบราณที่เป็นหัวหน้าผีและรับการเซ่นจากมนุษย์ ม้งเชื่อว่าสุนัขกลายเป็นผีได้ ถ้าอยากได้ผีปกป้องทรัพย์สินก็จะฆ่าสุนัขแล้วแขวนไว้ตรงนั้น (หน้า 632) ม้งไม่มีความเชื่อในการอธิบายการเกิดของโลกหรือเหตุการณ์ธรรมชาติต่างๆ แต่เชื่อเรื่อว 'pli' เป็นวิญญาณที่ไร้เพศและเป็นอมตะ อยู่ในร่างของมนุษย์ทุกคนและออกจากร่างได้เมื่อนอนหลับ ความฝันคือการที่ 'pli' มาบอกเรื่องราว 'pli' ออกจากร่างหากตาย และจะกลับมาเกิดใหม่ในกลุ่มเครือญาติอีก เมื่อมีคนตาย 'pli' จะอยู่ในร่างอีก 3 วัน คนจะนำอาหารฝังไปด้วยและหลังจากนั้น 'pli' จะกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอให้มีเด็กมาเกิดในเครือญาติ (หน้า 632,633) หมอผีเป็นผู้ทำพิธีกรรมทางศาสนาม้งเชื่อว่าหมอผีเป็นคนที่มีพลังพิเศษ หมอผีเป็นได้ทั้งผู้หญิงและชาย เมื่อไม่มีพิธีกรรม หมอผีก็จะทำงานเช่นเดียวกับคนทั่วไป เสื้อผ้าที่หมอผีใส่มีสัญลักษณ์เป็นกากบาทบนเสื้อ หมอผีผู้หญิงมีผมสั้นเหมือนผู้ชาย หมอผีติดต่อกับ 'pli' ได้แต่ควบคุมธรรมชาติและใช้เวทมนตร์ดำกับคนอื่นไม่ได้ หมอผีทำหน้าที่บูชาบรรพบุรุษ การเซ่นไหว้ และรักษาคนป่วย ทำนายฝัน ทำนายอนาคต และทำเครื่องรางของขลัง (หน้า 634) สาเหตุที่ม้งทำพิธีเซ่นสังเวยเพื่อให้ภูตผีพอใจ พิธีค่อนข้างสับสนและซับซ้อน การฉลองปีใหม่เริ่มเดือนธันวาคมจัดขึ้น 4 วันพวกเขาจะบูชาผีแม่-พ่อและผีอื่น โดยการเซ่นไหว้ด้วยเนื้อสัตว์และข้าวของอื่นๆ และมีการกินเลี้ยง (หน้า 634,635) การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาของมิชชันนารีไม่ได้ผลเพราะม้งยังคงเชื่อในสิ่งที่พวกเขานับถืออยู่ (หน้า 636) ม้งเชื่อในลางสังหรณ์ เชื่อว่าจะป่วยหากฝันถึงต้นไม้ ม้า หรือวัว และเชื่อว่าจะตายหากฝันถึงฟัน การฝันถึงบ้านถูกเผา คนหนีไปจากพื้นที่ หรือข้าวสีดำ จะหมายถึงเคราะห์ร้าย ถ้าฝันถึงข้าวสีขาว เสื้อผ้าใหม่ น้ำตื้น และปีใหม่ถือเป็นลางดี ถ้าขณะทำงานถ้าม้ง พบงูหรือกระจงจะต้องหยุดทำงาน หรือถ้าพบใยแมงมุมใหม่หมายถึงลางดี เชื่อว่าสุนัขมองเห็นผี พวกเขาจะไม่นอนทิศทางเดียวกับคนตายหากต้องนอนบนพื้นบ้าน แต่ถ้านอนในพื้นที่ยกสูงขึ้นมาจะนอนทิศทางใดก็ได้ (หน้า 627)

Education and Socialization

ม้งไม่มีภาษาเขียน จึงเรียนรู้แบบปากเปล่าเพราะไม่มีหนังสือ สิ่งที่เรียนรู้เป็นเรื่องที่จำเป็นในการทำงานเมื่อโตขึ้น เช่น การทำเครื่องมือ การเตรียมฝิ่น การทอผ้า การล่าสัตว์ใหญ่ และทำเครื่องโลหะ มีโรงเรียนมิชชันนารีและโรงเรียนตำรวจชายแดนให้ ม้งมีตำราเรียนที่เขียนเป็นภาษาม้ง ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นอักษรไทยมากกว่าเป็นภาษาอื่น ม้งพยายามส่งลูกไปเรียนหนังสือ (หน้า 620,621) เด็กผู้ชายจะตามรอยเท้าพ่อ ส่วนเด็กผู้หญิงจะตามอย่างแม่ การเรียนรู้จะต้องไม่ขัดกับประเพณี ม้งปรับตัวและพร้อมเรียนรู้ทำให้กลุ่มที่เรียนรู้เร็ว (หน้า 603) การนับเลขจะใช้นิ้วมือนิ้วเท้าช่วยในจำนวน 1-20 ถ้ามากกว่านั้นก็จะใช้เมล็ดข้าวหรือเมล็ดข้าวโพดช่วยในการนับเลข หน่วยการวัดน้ำหนักจะใช้ระบบของจีน บางกลุ่มทางอินโดจีนจะทำบากเล็กๆบนไม้ ในประเทศไทยใช้ระบบวันและปี เดือนหนึ่งมี 30 วัน 1 ปี มี 12 เดือนแต่ ม้งไม่มีปฎิทินหรือจดบันทึกไว้ (หน้า 604)

Health and Medicine

สุขอนามัยพื้นฐานของม้งถูกมองว่ากว่ามาตรฐานในแง่ที่ม้งจะไม่ใคร่ได้อาบน้ำ พราะคิดว่าจะทำให้ป่วยและตาย แต่จะอาบเฉพาะช่วงเทศกาลพิเศษ นอกจากนี้ยังมีขยะทิ้งไว้รอบบ้านในช่วงฤดูแล้ง ในช่วงฤดูฝนขยะเหล่านี้จะถูกชะล้างออกไปบ้าง แต่ความไม่สะอาดเหล่านี้อาจทำให้เกิดโรคผิวหนัง มีเหา เป็นปอดบวม และเกิดโรคติดต่อ นอกจากนี้ยังมีโรคพยาธิและคอพอก (หน้า 598) ม้งป่วยเป็นไข้มาลาเรียเมื่อลงไปที่ราบ และไม่ยอมค้างคืนที่นั่น แต่จะกลับมานอนที่หมู่บ้านของตนเอง (หน้า 599) ม้งเชื่อว่าการเจ็บป่วยมีสาเหตุจากภูตผี พวกเขามียาใช้รักษาเอง เช่น ฝิ่น โคเคน โคลา ยาควินิน พวกเขาเข้าใจเรื่องการตั้งครรภ์และรู้วิธีการทำคลอด นอกจากนี้ยังรู้จักการรักษากระดูกหัก แต่ความรู้ในการรักษาพยาบาลของม้งมักควบคู่ไปกับการเซ่นไหว้ผี ซี่งหมอผีของหมู่บ้านเป็นผู้ทำพิธี (หน้า 600)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เสื้อผ้า ม้งในประเทศไทยผลิตเสื้อผ้าเอง รูปแบบเสื้อผ้าของ ม้งไม่แตกต่างกันยกเว้นแต่สีสัน เสื้อผ้าของม้งมีการเย็บปักถักร้อยและสีสันแบบที่เรียกว่า "บาติก" วัสดุเป็นผ้าฝ้ายหรือลินินสีอ่อน ผู้ชายใส่เสื้อผ้าโทนสีน้ำเงินเข้มหรือดำ ประกอบด้วยเสื้อคลุม กางเกง ผ้าพันรอบเอว ผ้าพันศีรษะ และที่หุ้มขา เสื้อคลุมมีแขนกว้างและผูกทางซ้ายมือ เป็นเสื้อคลุมหลวมข้างหลังยาวกว่าข้างหน้า ปลายเสื้อด้านหน้าอยู่เหนือกางเกงหลายนิ้ว ทำให้มองเห็นผิวด้านในระหว่างเสื้อคลุมกับผ้าพันเอว ในงานพิธีจะสวมชุดที่ทำแบบบาติกตกแต่งด้วยเครื่องประดับเงิน กางเกงเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือดำ พอดีเอวและค่อยๆ บานออกปลายขาคล้ายขากระดิ่ง และเป้ายานถึงเข่า (หน้า 622) (ดูรูปการแต่งกายของชายหน้า 623) ผู้หญิงม้งสวมกระโปรงและเสื้อ มีผ้ากันเปื้อน มีผ้าโพกศีรษะ และที่หุ้มขา เสื้อแขนยาวคอวีต่ำถึงหน้าอก ผูกไว้ที่เอว มีสาบเสื้อที่ด้านหลังสีสันสดใส เสื้อผ้าที่ใส่ออกงานพิธีจะประดับตกแต่งด้วยงาน "บาติก" กระโปรงยาวถึงเข่ามีสีสันต่างๆ ตามแต่กลุ่ม ผ้ากันเปื้อนมีสีสันมากและมีความยาวกว่ากระโปรงติดที่รอบเอวด้วยพ้าพัน ผู้หญิงโพกศีรษะเช่นเดียวกับผู้ชายสีดำหรือน้ำเงินเข้ม และสวมที่หุ้มขา ทั้งหญิงและชายสวมเครื่องประดับเงิน เช่น แหวน กำไล สร้อย โดยทำมาจากเหรียญเงินจีนแล้วนำมาหลอมเป็นเงิน (หน้า 625,626) (ดูรูปการแต่งกายของผู้หญิงหน้า 624) ม้งถนัดงานไม้ งานโลหะ งานตีเหล็ก ทำตะกร้า ทอเสื้อผ้า ทำกระดาษ สลักงาช้างหรือกระดูกและทำเครื่องเรือนใช้เอง (หน้า 646)

Folklore

ม้งมีตำนานเกี่ยวกับภาษาเขียน เชื่อว่าพวกเขาเคยมี แต่สูญไปเมื่อม้ง อพยพจากจีนแล้วข้ามทะเลสาบแต่ไม่สำเร็จจึงกลับขึ้นฝั่ง ก็พบว่าพวกเขาได้กลืนอักษรของพวกเขาไปพร้อมกับน้ำ อีกเรื่องเล่ากันว่าตำราของม้งได้ถูกม้ากินไปตอนอพยพจากจีน การเล่าตำนานของม้งมักเล่าในช่วงเทศกาลโดยคนสองคนหรือสองกลุ่ม ส่วนใหญ่เล่าโดยผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ตำนานส่วนใหญ่เป็นเรื่องของบรรพบุรุษที่กลายเป็นผี หรือเรื่องเล่าต่างๆ เป็นเรื่องสนุกที่ม้งแต่งขึ้นเองเพื่อหลอกคนอื่น มีเรื่องการสร้างสวรรค์และโลก โดยเทพที่เหมือนมนุษย์และเทพธิดา ชื่อ 'Gloe-an' กับ 'Ngo-a' ซึ่งได้สร้างสวรรค์ 48 ชั้น และสร้างโลก 48 ชั้น โดยใช้ฆ้อนทองเหลืองและฆ้อนเหล็ก ในบางพื้นที่เล่าถึงพระเจ้าที่สร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน เรื่องการสร้างโลกนั้นมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งแผ่นดินปกคลุมด้วยผืนน้ำ ตอนนั้นมีมีธิดาแห่งพระอาทิตย์ 7 องค์ และเทพแห่งดวงจันทร์ 9 องค์ล้อมรอบโลกทำให้ไม่มีกลางคืน ในช่วง 7 ปีดวงอาทิตย์ได้ทำให้โลกแห้งและเกิดแผ่นดิน เทพเจ้าจึงสร้างสัตว์ป่า ต้นไม้ และมนุษย์ ม้งคิดว่าดวงดาว ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสะเก็ดหิน และจะตกใส่พวกเขา เจ้าแห่งท้องฟ้าจึงมอบท้องฟ้าและฉากกั้น แต่มนุษย์ก็ยังกลัว จึงยิงธนูขับไล่ธิดาแห่งดวงอาทิตย์และเทพแห่งดวงจันทร์ไปที่เหลือก็หลบซ่อน ทำให้เกิดกลางคืนครั้งแรกถึง 7 ปี ไก่ตัวหนึ่งนำเหล่าเทพกลับมาได้โดยขัน 7 ครั้ง อย่างไรก็ดีดวงอาทิตย์ยังคงกลัวอยู่จึงซ่อนตัวในบางครั้ง กลายมาเป็นกลางวันกลางคืน ม้งมีตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมโลก และมีคู่พี่น้องหญิงชายเป็นผู้รอดชีวิตแล้วแต่งงานจนมีลูกเกิดมาสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป เป็นตำนานที่พยายามอธิบายถึงกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ และยังมีตำนานที่เกี่ยวกับต้นตอของชาติพันธุ์ม้ง ว่าม้ง และคนจีนตอนแรกเป็นพี่น้องท้องเดียวกันม้งเป็นพี่คนโต เมื่อพ่อแม่ตายทั้งสองงก็ไม่เคยพบกันอีก จนกระทั่งถึงวันไหว้พ่อแม่ที่สุสาน ม้งและจีนต่างจำกันไม่ได้ จึงหาผู้ตัดสินเพื่อพิสูจน์ว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกันจริง ม้ง ฝังแผ่นหินทางขวาของสุสาน ส่วนจีนฝังฆ้องทองแดงไว้ทางซ้าย ผลออกมาว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน หลายศตวรรษผ่านไปต่างก็มีทายาท จีนผู้เป็นน้องเข้มแข็งขึ้น ขณะที่ม้งอ่อนแอลง อีกเรื่องเล่าว่าเทพเจ้า 'Yaushau' ได้สร้างม้งผู้ชายและผู้หญิงขึ้นมาก่อน และต่อมาก็สร้างคนจีน คนไทย และคนต่างชาติ แต่คนจีนต่อมาได้ทำสงครามกับม้งและบังคับให้ขึ้นไปอยู่บนเขา ส่วนอีกเรื่องนั้นยืมมาจากตำนานของเย้าบอกว่าม้งเป็นคนที่มาจาการแต่งงานจากทาสเถื่อนกับเจ้าหญิงจีน ม้งอ้างว่ากษัตริย์องค์แรกที่ปกครองบนภูเขามีปัญหาเรื่องสิทธิ์ในผืนดินกับเพื่อนบ้าน จึงสั่งให้ผู้ชายทุกคนเดินทางออกไปจากหมู่บ้านตอนกลางคืนและกลับมาตอนเช้า ใครเดินทางผ่านที่ใดก็จะเป็นเจ้าของที่ และหากเดินทางกลับมาไม่ทันรุ่งเช้าก็จะต้องอยู่ที่นั่น ในตำนานเกี่ยวกับบรรพบุรุษของม้งมาจากถ้ำใหญ่ ข้ามน้ำอันกว้างใหญ่ มาถึงที่ราบสูงอันกว้างขวาง ซึ่งใช้เวลาหลายปีในการเดินทางมาถึงยังพื้นที่หนาวเย็นซึ่ง ปีหนึ่งมีกลางวันครี่งหนึ่งและกลางคืนอีกครึ่งหนึ่ง มีต้นไม้ไม่กี่ต้น คนตัวเล็กและสวมชุดขนสัตว์ น้ำเปลี่ยนเป็นหิน หลังจากนั้นได้อพยพต่อมาจนถึงประเทศจีน สู้กับจีนและอพยพต่อไปทางทิศใต้ (หน้า 579-583)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ได้ระบุชัดเจน

Social Cultural and Identity Change

ไม่ได้ระบุชัดเจน

Map/Illustration

ตาราง Table 10 ชื่อเรียกกลุ่มย่อยของม้ง หน้า 574 Table 11 ตารางแสดงช่วงอายุ หน้า 599 Table 12 รูปแบบการผลิตทางการเกษตรกรรม หน้า 639 แผนที่ The Meo หน้า 572 Figure 21 รูปแบบบ้านม้ง หน้า 587 Figure 22 ประตูเข้าหมู่บ้าน หน้า 589 Figure 23 บ้านม้ง หน้า 591 Figure 24 บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน หน้า 595 Figure 25 คู่แต่งงานชาวม้ง หน้า 623 Figure 26 เด็กผู้หญิงม้งในชุดประจำเผ่า หน้า 624 Figure 27 ท่อส่งน้ำและครกตำข้าว หน้า 640 Figure 28 เตาไฟสำหรับทำเครื่องเงิน หน้า 647 Figure 29 หน้าไม้ที่ใช้ล่าสัตว์ หน้า 662

Text Analyst กฤษฎาภรณ์ อินทรวิเชียร Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, โครงสร้างทางสังคม, เศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง