สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,วิถีชีวิตเมือง,เชียงใหม่
Author ปนัดดา บุณยสาระนัย, หมี่ยุ้ม เชอมือ
Title อาข่า หลากหลายชีวิตจากขุนเขาสู่เมือง
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 178 Year 2547
Source สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

รายงานการวิจัยเล่มนี้นำเสนอข้อมูลพื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า สภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนบนที่สูง ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับกลุ่มอาข่าที่อพยพลงมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเชียงใหม่โดยนำเสนอผ่านกรณีตัวอย่างจำนวน 6 กรณี นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้สำรวจสัมภาษณ์พูดคุยกับอาข่าที่เข้ามาอาศัยในตัวเมืองเชียงใหม่จำนวน 1,020 คน พบว่าส่วนใหญ่เป็นคนโสด อยู่ในวัยเรียนและวัยทำงาน เป็นเพศหญิงมากกว่าชาย นับถือศาสนาคริสต์ การศึกษายังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายส่วนตัวและทำงานบริการต่างๆ โดยอาข่ามักอาศัยรวมกันเป็นกลุ่มมากกว่าอยู่ตามลำพัง และมีกิจกรรมต่างๆที่ทำร่วมกัน เช่น การรวมตัวที่โบสถ์อาข่าคริสต์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นต้น รายงานการวิจัยชิ้นนี้พบว่าการอพยพเข้ามาสู่เมืองของอาข่ามีความสัมพันธ์กับบริบทความเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมที่เกิดจากการพัฒนาชุมชนบนที่สูง ทิศทางการพัฒนาเมืองให้เป็นเขตที่เจริญเติบโตในทุกๆ ด้าน โดยที่ทิศทางการพัฒนาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่ออาข่า (รวมไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ) ที่ต้องทิ้งวิถีชีวิตแบบเดิมเพื่อเข้ามาหาทางรอดที่ดีกว่าในเมืองใหญ่ เป็นการอพยพที่เกิดจากการถูกบีบคั้นหลายประการ เช่น ขาดแคลนที่ดินทำกิน ปัญหาผลผลิตราคาตกต่ำ ต้องการการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ความต้องการด้านสวัสดิการทางสังคมที่สูงขึ้น เมื่ออาข่าอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว แต่ละคนแต่ละชุมชนก็มีรูปแบบการปรับตัว การเลือกใช้ การตัดสินใจ และการดำเนินชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย มีการประยุกต์ใช้ทุนทางสังคมที่มีในการดำเนินชีวิตประจำวันทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยใช้ทักษะความชำนาญที่มีอยู่เดิมเมื่อครั้งอาศัยอยู่บนที่สูง แต่ก็นำมาใช้ได้น้อย อาชีพรับจ้างทั่วไปจึงเป็นอาชีพแรกๆ ของอาข่าที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง บางรายสามารถเป็นเจ้าของกิจการได้เอง แต่บางรายก็ขาดทุนมีหนี้สิน เมื่อกลับไปอยู่หมู่บ้านก็ไม่สามารถปรับตัวกลับไปทำการเกษตรแบบเดิมได้อีก ก็ต้องเข้ามาในเมืองเพื่อทำงานรับจ้างอีกครั้ง นอกจากนี้วิถีชีวิตของอาข่าในเมืองมีการรวมกลุ่มกันหนาแน่น ทั้งการอาศัยกันเป็นชุมชน และการพบปะกันตามโอกาสวันหยุดต่างๆ เช่น ชุมชนของอาข่าที่โบสถ์อาข่าคริสต์ เป็นต้น

Focus

เสนอข้อมูลพื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า สภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนบนที่สูง ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับกลุ่มอาข่าที่อพยพลงมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเชียงใหม่โดยนำเสนอกรณีตัวอย่าง 6 กรณี (หน้า ง)

Theoretical Issues

ไม่ปรากฏ

Ethnic Group in the Focus

ศึกษาอาข่าด้านข้อมูลพื้นฐานทั่วไป สภาพความเปลี่ยนแปลงในชุมชน และข้อมูลของกลุ่มอาข่าที่อพยพมาอาศัยในเมืองเชียงใหม่ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างอาข่าจำนวน 1,020 คน (หน้า ง, 45)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาอาข่าจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) สาขาธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) มีแต่ภาษาพูด ไม่มีตัวอักษรเขียนของตัวเอง ภายหลังกลุ่มมิชชันนารีนำเอาอักษรโรมันมาสร้างเป็นภาษาเขียนอาข่า ซึ่งอาข่าที่อาศัยอยู่ในแต่ละประเทศก็ใช้ภาษาอาข่าแบบโรมันต่างกัน แต่ปัจจุบันมีความพยายามที่จะปรับให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน (หน้า 18-19)

Study Period (Data Collection)

ข้อมูลที่นำเสนอในบทที่ 3 รวบรวมมาจากการสำรวจเชิงปริมาณระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายน 2546 (หน้า 43)

History of the Group and Community

อาข่าอพยพลงมาจากตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองต้าหลี่ โดยมาตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ลุ่มแม่น้ำ ภายหลังจึงถูกไตลื้อแย่งชิงที่นาริมน้ำของอาข่าไปหมด อาข่าจึงต้องอพยพขึ้นไปอยู่ตามป่าเขา เวลาผ่านมาเป็นพันๆ ปีจึงคุ้นชินกับสภาพอากาศ เมื่อลงมาอยู่ที่ราบลุ่มก็ผิดอากาศ เจ็บไข้ตลอด จึงละทิ้งความคิดที่จะช่วงชิงที่ลุ่มคืนจากไตลื้อ โดยก่อนที่สาธารณรัฐประชาชนจีนจะสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2492 อาข่ายังมีกษัตริย์ของตนอยู่บนยอดเขาหนานลุ่ง อำเภอหนานเจี้ยว มณฑลยูนนาน เวลานั้นอาข่ายังส่งส่วยรายปีกันอยู่ (หน้า 1) ในประเทศจีนมีอาข่า 4 กลุ่มย่อย ส่วนในประเทศพม่าแบ่งได้เป็น 7 กลุ่มย่อย สำหรับในประเทศไทยแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มย่อย คือ (1) อาข่าอู่โล้ หรืออาข่าไทย (2) อาข่าโลมี้ หรืออาข่าพม่า (3) หล่าบืออาข่า (อาข่าจีน) นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์ในการจำแนกอาข่าได้อีก คือ จำแนกตามเกณฑ์ภาษาถิ่นที่อยู่ ชื่อคน ชื่อตระกูล ลักษณะหมวกของผู้หญิง เป็นต้น (หน้า 18-19) สันนิษฐานว่าอาข่าอพยพเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา โดยอพยพเข้ามาจากประเทศพม่า บริเวณดอยตุง จ.เชียงราย บางกลุ่มอพยพมาจากประเทศลาวและอาศัยอยู่บริเวณแนวตะเข็บ จ.เชียงราย และมีการอพยพเข้ามาเรื่อยๆ และกระจายกันไปตามจ.เชียงใหม่ ลำปาง ตาก กำแพงเพชร และแพร่ โดยผู้นำการอพยพรุ่นแรกมีชื่อว่า "แสนอุ่นเรือน" มาสร้างหมู่บ้านบริเวณ จ.เชียงราย แต่หากเปรียบเทียบชาวเขาเผ่าอื่นแล้ว เชื่อว่าอาข่าเข้าสู่ประเทศไทยเป็นกลุ่มหลังๆ การอพยพของอาข่าเข้าสู่ประเทศไทยมีหลายสาเหตุ ทั้งอพยพหนีภัยการเมืองจากพม่าช่วงประมาณ 90 ปีก่อนหน้านี้ บางส่วนอพยพหนีภัยคอมมิวนิสต์จากตอนใต้ของประเทศจีน บ้างก็ขาดแคลนที่ดินทำกิน (หน้า 6 - 8) อาข่าเริ่มออกจากหมู่บ้านเข้ามาในเมืองช่วงทศวรรษ 2510 จากการแนะนำและติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนภายนอกและเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปทำงานในชุมชน เช่น เจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ ตำรวจตระเวนชายแดน โดยแนะนำให้เด็กผู้ชายมาบวชเป็นสามเณรและนำชาวบ้านไปแสดงในงานกาชาดที่กรุงเทพฯ ทำให้ชาวบ้านเรียนรู้วิถีชีวิตในเมืองมากขึ้น ต่อมาในทศวรรษ 2520 ศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขาส่งเสริมให้เด็กหญิงในหมู่บ้านไปฝึกเรียนเย็บผ้าในตัวจังหวัดต่างๆ เด็กและเยาวชนก็เริ่มออกมาเรียนหนังสือในระดับที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในตัวจังหวัดเชียงราย ต่อมาก็เริ่มมีชาวบ้านมารับจ้างทำงานในเมืองมากขึ้นจนกระทั่งปัจจุบัน (หน้า 33-39)

Settlement Pattern

กลุ่มตัวอย่างอาข่าที่อยู่ในเมืองในงานวิจัยชิ้นนี้มักอาศัยอยู่รวมกันมากกว่าที่จะอยู่ตามลำพัง โดยอาข่าจะอาศัยอยู่ตามบ้านเช่าหรือหอพักมากที่สุด (ร้อยละ 70) รองลงมาอาศัยตามบ้านพักหรือห้องที่ไม่เสียค่าเช่า เช่น บ้านนายจ้าง (ร้อยละ 15) รองลงมามีบ้านเป็นของตนเองแต่ไม่มีโฉนด (ร้อยละ 14) และอาข่าที่มีที่ดินเป็นของตนเองถูกต้องตามกฏหมายมีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น โดยนอกจากจะอาศัยอยู่ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่แล้ว บางส่วนยังอาศัยอยู่ตามอำเภอรอบนอก เช่น อ.สันทราย (82 คน) อ.แม่ริม (31 คน) อ.สันกำแพง (10 คน) (หน้า 51-52, 56)

Demography

"อาข่า" หรือ "ฮานี" มีจำนวนประชากรรวมทั้งหมดประมาณ 2.5 ล้านคน ในแคว้นยูนนานตอนใต้มีประชากรอาข่าหรือฮานีประมาณ 300,000 คน (คิดเป็น 2 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งเมือง) และในประเทศจีนมีจำนวนประชากรอาข่า/ฮานีประมาณ 600,000-700,000 คน ส่วนในประเทศพม่ามีจำนวนประชากรอาข่าประมาณ 150,000 คน ในประเทศลาวมีประชากรอาข่าประมาณ 92,000-100,000 คน ส่วนในประเทศเวียดนามมีจำนวนประชากรอาข่าประมาณ 2,000- 3,000 คน ในประเทศไทยคาดกันว่าน่าจะมีจำนวนประชากรอาข่าไม่น้อยกว่า 75,000 คน โดยตัวเลขของทางราชการเมื่อปีพ.ศ.2543 ระบุว่ามีประชากรอาข่าในประเทศไทยประมาณ 58,000 คน อาศัยอยู่ใน 282 หมู่บ้าน 9,516 หลังคาเรือน คิดเป็นร้อยละ 7.46 ของจำนวนประชากรชาวเขาทั้งหมด (หน้า 5-6) จำนวนประชากรกลุ่มตัวอย่างอาข่าที่งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษามีจำนวนทั้งหมด 1,020 คน เป็นชาย 489 คน หญิง 531 คน โดยช่วงอายุระหว่าง 11-20 ปีมีจำนวนมากที่สุด (348 คน) รองลงมาคือกลุ่มอายุระหว่าง 21-30 ปี (305 คน) ส่วนที่น้อยที่สุดคือกลุ่มที่อายุ 51 ปีขึ้นไป (40 คน) (หน้า 45)

Economy

โดยทั่วไปอาข่ามีป่าใช้สอยของหมู่บ้าน เป็นแหล่งทรัพยากรร่วมกันในการหาฟืน เป็นแหล่งอาหารใกล้บ้าน โดยแบ่งพื้นที่ที่อยู่อาศัยและพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 3 ระบบ คือ เขตบ้านที่อยู่อาศัย เขตหมู่บ้านและเขตรอบนอกหมู่บ้าน (แบ่งเป็นพื้นที่ทำกินและพื้นที่ป่าเขา) (หน้า 10, 22) อาข่าปลูกข้าวเป็นอาหารหลัก จะปลูกข้าวเหนียวไว้บ้างเพื่อทำเป็นขนม โดยปลูกเพื่อให้เพียงพอแก่การยังชีพเท่านั้น สินค้าที่ต้องการจากตลาดมีเพียง 2 อย่าง คือ เกลือและตะกั่วที่ใช้ล่าสัตว์ ผู้นำและผู้อาวุโสของหมู่บ้านจะได้สิทธิเลือกพื้นที่สำหรับเพาะปลูกก่อน หลังจากนั้นลูกบ้านจึงจัดสรรกันเอง เมื่อได้พื้นที่มาแล้วต้องกำจัดวัชพืชและเผาไปพร้อมๆ กัน เมื่อฝนเริ่มตกสม่ำเสมอจึงเริ่มหยอดเมล็ดข้าว อาจจะปลูกพืชผักสวนครัวเสริมไว้บ้าง อาข่าเลี้ยงสัตว์ 3 ชนิด คือ หมู แพะ และไก่เพื่อประกอบพิธีกรรมและม้าเพื่อบรรทุกระยะทางไกล แรงงานผู้หญิงเป็นแรงงานหลักของสังคม ปัจจุบันอาข่าปลูกพืชเศรษฐกิจตามฤดูกาลมากขึ้น เพื่อเป็นรายได้เสริมของครอบครัว นอกจากนี้อาข่าบางส่วนยังนำสินค้าของอาข่าลงมาขายให้กับคนพื้นราบ (ในตัวเมืองเชียงใหม่ย่านตลาดไนท์บาร์ซาร์ บางคนก็ลงมาขายที่ตลาดนัดสวนจตุจักร กทม. ในช่วงสุดสัปดาห์ บ้างก็มาขายตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น พัทยา หัวหิน ภูเก็ต ดูตัวอย่างเพิ่มเติมได้ในกรณีของ "หมี่ออ : แม่ค้าขายสินค้าหัตถกรรมชาวเขา" ได้ที่หน้า 158 - 171) โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเครื่องจักสาน เสื้อผ้า เครื่องใช้ของเก่า เครื่องเงิน โดยสินค้าเหล่านี้มีทั้งที่อาข่าผลิตขึ้นเองหรือไปซื้อเพื่อมาขายต่อ สาเหตุที่อาข่าต้องมาขายของในเมืองเป็นจำนวนมาก เพราะสถานการณ์บนดอยที่เปลี่ยนแปลงไป การทำมาหากินลำบาก ชาวบ้านถูกบีบบังคับมากขึ้น (หน้า 22-24, 28-29, 36, 77-79, 94-96, 121-124) กลุ่มตัวอย่างอาข่าในงานวิจัยชิ้นนี้มีอาชีพค้าขาย ทำงานบริการและเป็นแม่บ้านมากที่สุด (305 คน-ร้อยละ 45) รองลงมาเป็นลูกจ้างภาคเอกชน (268 คน) รองลงมาทำงานควบคู่ไปกับการเรียน (100 คน) ส่วนกลุ่มที่เป็นข้าราชการและลูกจ้างภาครัฐมีเพียง 2 คน (ร้อยละ 0.2) (หน้า 48-49)

Social Organization

ในสังคมอาข่า สมาชิกครอบครัวสัมพันธ์กันแบบเครือญาติ ความเป็นญาติเกิดขึ้นทางสายบรรพบุรุษ อาข่าถือการสืบสกุลสายบิดาเป็นหลัก บุตรชายคนโตถือว่าเป็นผู้สืบสกุลและเป็นผู้รักษาสืบทอดประเพณี บุตรชายเมื่อแต่งงานแล้วต้องนำภรรยามาอยู่กับบิดามารดาของตน หญิงอาข่าที่เป็นหม้ายจากการเสียชีวิตของสามีจะแต่งงานใหม่หรือไม่แต่งก็ได้ ส่วนหญิงหม้ายที่หย่ากับสามี ต้องแต่งงานให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอาข่าจะถือว่าหญิงคนนั้นจะนำพาความชั่วร้ายมาให้กับครอบครัวและหมู่บ้าน ลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวขยาย ผู้ชายทุกคนสามารถท่องชื่อบรรพบุรุษตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงชื่อบิดาตัวเองได้ มีคำกล่าวว่าอาข่าทุกคนเป็นญาติพี่น้องกันหมด (หน้า 20, 84) สังคมอาข่าถือว่าผู้หญิงเป็นแรงงานหลักของสังคมต้องรับผิดชอบงานในไร่ตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนผู้ชายในวัยเด็กอาจมีภาระเลี้ยงน้องบ้างแต่เวลาจะหมดไปกับการเล่นสนุกสนานและหัดล่าสัตว์ จะเป็นแรงงานเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นจนถึงแต่งงานจนลูกๆ แบ่งเบาภาระได้ เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปจะอยู่บ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน อยู่บ้านดูแลสัตว์เลี้ยง ผู้ชายเมื่อจะเลือกผู้หญิงมาเป็นภรรยาไม่ได้เลือกที่ความสวยงาม แต่จะเลือกคนที่ขยันทำงานมาจากตระกูลที่ดี (หน้า 23 - 24) ชุมชนอาข่ามีผู้นำที่ชุมชนยอมรับนับถือดังนี้ (1) โจ่วมะ เป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้าน มีอำนาจและจารีตสูงสุดในหมู่บ้าน มีผู้ช่วยเรียกว่า "โจ่วหย่า" (2) พิมา เป็นผู้ประกอบศาสนพิธี เช่น พิธีสวดศพ มีผู้ช่วยคือ "พิหย่า" (3) บาจี่ เป็นทำเครื่องมือการเกษตรและอาวุธที่ทำด้วยเหล็กให้กับทุกคนในหมู่บ้าน โดยไม่คิดค่าบริการ แต่ชาวบ้านจะตอบแทนด้วยการเป็นแรงงานให้ (4) หมอยา เป็นหมอยาสมุนไพร เชี่ยวชาญรักษาโรคเฉพาะด้าน (5) อาบอซ้อหม่อ ผู้อาวุโสหรือกลุ่มผู้อาวุโสรอบรู้จารีตประเพณี ดูแลกิจกรรมชุมชนด้านการปกครอง พิธีกรรรม ตัดสินคดีความ ข้อพิพาทในชุมชน (6) หัวหน้าหมู่บ้าน เป็นผู้นำในการอพยพไปตั้งหมู่บ้านในที่แห่งใหม่ (หน้า 25-26, 104-105, 107-109) จำนวนประชากรกลุ่มตัวอย่างอาข่าในงานวิจัยชิ้นนี้พบว่าส่วนใหญ่ยังเป็นโสดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย แต่ผู้หญิงจะเป็นหม้ายหรือหย่าร้างมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า (หน้า 45-46, 58-59) แต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคม

Political Organization

หัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ควบคุมดูแลชุมชนให้อยู่ในกฎระเบียบของสังคม และร่วมกับคณะผู้อาวุโส คณะกรรมการหมู่บ้านที่ชุมชนตั้งขึ้นตัดสินข้อพิพาทในชุมชน ตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน สมาชิกในหมู่บ้านมีสิทธิ์โต้แย้งแสดงความคิดเห็นได้ การลงโทษขึ้นอยู่กับความผิดที่ได้ทำ ในระดับเบาอาจจะถูกปรับ หากความผิดร้ายแรงอาจถูกขับออกจากหมู่บ้าน การลงโทษจะอาศัยอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นข้ออ้างด้วย ทำให้กฎศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านไม่กล้าล่วงละเมิด (หน้า 27) แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้นำในเมืองไม่ปรากฏชัด

Belief System

แม้ว่าปัจจุบันอาข่านับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น แต่เมื่อครั้งอดีตอาข่านับถือผี (Animism) หรือบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่าทุกแห่งมีผีสิงสถิตอยู่ จึงต้องบูชาเซ่นไหว้หากจะทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นั้นๆ สถานที่ที่อาข่าไม่เข้าไปทำลายต้นไม้มีอยู่ 5 แหล่งคือ ที่ตั้งศาลประจำหมู่บ้าน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ประตูหมู่บ้าน ป่าช้า ป่าชุมชนของหมู่บ้าน ทุกครัวเรือนจะมีหิ้งบูชาผีบรรพบุรุษ อาข่าเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะคุ้มครองสมาชิกในครอบครัวและหมู่บ้านให้สงบสุข มีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษปีละ 9 ครั้ง อาข่าเชื่อว่าเทพเจ้า (อาเผ่วหมี่แย้) เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งและจุดกำเนิดของอาข่าทุกคน เป็นแหล่งอำนาจประเภทความรู้สำหรับการดำรงชีวิต เป็นที่มาของจารีตที่ทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตดำเนินอย่างเป็นปกติสุข (เรียกว่า "อาข่าย้อง") จารีตเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านทางวัฒนธรรม การประกอบพิธีกรรม เพลง คำพังเพย นิทาน ข้อห้าม ข้อนิยม และในระบบคุณค่าต่างๆ โดยมีผู้นำ ผู้อาวุโส ผู้ที่เคยเรียนรู้และมีประสบการณ์มาก่อนเป็นผู้รู้ในเรื่องจารีต การประกอบพิธีกรรมสำคัญมาก ห้ามทำผิดแม้แต่ขั้นตอนเดียว พลังอำนาจที่จะให้มนุษย์พบกับสิ่งดีส่งร้ายมี 3 ประเภทคือ พระเจ้าและเทพที่เป็นบริวาร บรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว ผีที่มีอยู่ทั่วๆไป นอกจากนี้อาข่ายังนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของหมู่บ้าน คือ (1) ประตูหมู่บ้าน (ล้อข่อง) ตั้งอยู่ 2 แห่ง คือกลางทางหัวหมู่บ้านและท้ายหมู่บ้านห่างจากหมู่บ้านประมาณ 30 เมตร อาข่าเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของผีประจำหมู่บ้านที่ให้ความปลอดภัยแก่อาข่าที่อาศัยในหมู่บ้านนั้น (2) ไม้แกะสลักรูปมนุษย์ชายหญิง จะทำไว้ข้างประตูหมู่บ้านทุกหมู่บ้าน ห้ามบุคคลใดแตะต้องทำลาย เพราะอาจทำให้คนในหมู่บ้านเจ็บป่วย (3) ศาลเจ้าที่ (แมซ้อล้อดู่) เป็นศาลเจ้าที่สร้างให้แก่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ เพราะอาข่าเชื่อว่าคนที่เสียชีวิต ดวงวิญญาณจะยังคงล่องลอยไปตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะตามหลุมฝังศพและบ้านของตนเพื่อมาปกป้องคนในครอบครัว ดังนั้นจึงต้องสร้างศาลเจ้าที่ให้ และสุดท้ายจะมีพิธีส่งวิญญาณสู่สรวงสวรรค์เพราะวิญญาณอาจจะหาความสุขไม่ได้ (หน้า 8-14, 21-22, 32, 86, 90) พิธีกรรมสำคัญประจำปี มี 12 พิธีกรรมคือ (1) กาท้องพะ (พิธีปีใหม่ลูกข่าง) มักทำกันเดือนธันวาคม พิธีมี 4 วัน (2) (พิธีปีใหม่ไข่แดง) ทำในเดือนเมษายนมีกำหนด 4 วัน เป็นพิธีฉลองความอุดมสมบูรณ์ (3)ล้อข่องดู่ (พิธีสร้างประตูหมู่บ้าน) เป็นการสร้างประตูหมู่บ้านใหม่แทนประตูเก่า โดยไม่ต้องรื้อประตูเก่าออก โดยสร้างเรียงต่อๆกันไป จัดขึ้นราวกลางเดือนเมษายน (4) แมซ้อล้อ เป็นพิธีเลี้ยงเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา (5) แช้คาอาเผ่วโล้ พิธีเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าว ทำในวันเริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูกของทุกปี (6) อีซ้อล้อเขาะ เป็นพิธีเลี้ยงผีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ โดยจะทำพิธีพร้อมกับพิธีเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวของหมู่บ้าน (7) เยียะขู่จ่า พิธีโล้ชิงช้า จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงเทพเจ้าผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์แก่ผลผลิตในไร่ โดยจัดงานเป็นเวลา 4 วัน ประมาณปลายเดือนสิงหาคม - ต้นเดือนกันยายน (8) ยอลาลา พิธีเลี้ยงที่บ้านโจ่วหย่า (9) ยาจิจิ พิธีถอนขนไก่ โดยจะถอนขนไก่ติดไว้ที่ประตูทั้ง 2 ด้านและฝากั้นห้องชาย - หญิงก่อนนำไก่ไปเลี้ยงผีบรรพบุรุษ (10) คะแหยะแหยะ เป็นพิธีไล่ผีร้ายออกจากหมู่บ้าน (11) แชนึ้มจิ พิธีกินข้าวใหม่ จะเริ่มที่บ้านของโจ่วมะก่อนหลังจากนั้นชาวบ้านจะประกอบพิธีที่บ้านของตนเองจนครบทุกบ้าน (12) ชียี้ชีเออะ พิธีทำเหล้าจากข้าวใหม่โดยทำในเดือนสุดท้ายของปี (หน้า 16-17) นอกจากนี้ยังมี "พิธีเซเรนเต" ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส จะมีการร้องเพลงอวยพรให้กับพี่น้องอาข่าทุกบ้านไม่จำกัดว่าจะนับถือศาสนาใด โดยจะทำในตอนกลางคืน (หน้า 116) จำนวนประชากรกลุ่มตัวอย่างอาข่าในงานวิจัยชิ้นนี้นับถือศาสนาคริสต์มากที่สุด (658 คน - ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง) ส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ นับถือบรรพบุรุษ ศาสนาดั้งเดิม มีจำนวน 362 คน ซึ่งเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง (หน้า 46, 56-57)

Education and Socialization

ตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 - 2519 อาข่าเริ่มออกมาเรียนหนังสือต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยเข้ามาศึกษาในโรงเรียนประจำจังหวัดทั้งของรัฐและเอกชน โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์และอาศัยอยู่ประจำที่โรงเรียน บ้างก็บวชเรียนและอยู่ประจำที่วัด ปัจจุบันนี้มีอาข่าหลายคนที่จบการศึกษาในระบบการศึกษาในระดับที่สูง และมีโอกาสศึกษาเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง โดยเปลี่ยนไปจากเดิมในอดีตที่อาข่าไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ เพราะผู้หญิงต้องทำงานหลักให้กับครอบครัว (หน้า 33-34, 39, 72, 85-86) จำนวนประชากรกลุ่มตัวอย่างอาข่าในงานวิจัยชิ้นนี้ทั้งชายและหญิงมีโอกาสการศึกษาเท่าเทียมกัน โดยกลุ่มตัวอย่างกำลังศึกษาอยู่ 390 คน ไม่เคยเรียนหนังสือมีจำนวน 266 คน โดย 191 คน กำลังศึกษาระดับประถมฯ (ร้อยละ 48) 137 คน กำลังศึกษาในระดับมัธยม (ร้อยละ 35) ส่วนผู้ที่กำลังศึกษาในระดับปวช. - ปวส.มี 10 คน (ร้อยละ 2) และระดับปริญญา มีเพียง 3 คน (ร้อยละ 1) ส่วนกลุ่มที่เรียนในระดับก่อนประถมมี 49 คน (ร้อยละ 12) ส่วนผู้ที่จบการศึกษาแล้วนั้นในระดับประถม มี 201 คน (ร้อยละ 34) ระดับมัธยมมี 97 คน (ร้อยละ 16) ระดับปวช. - ปวส.มี 9 คน (ร้อยละ 2) และมี 6 คน (ร้อยละ 1) ที่จบการศึกษามากกว่าระดับปริญญาตรีขึ้นไป โดยสถานศึกษาที่เป็นขององค์กรทางศาสนาจะมีอาข่าเข้าไปศึกษามากที่สุด (ร้อยละ 46) รองลงมาคือสถานศึกษาของรัฐบาล (ร้อยละ 45) และสถานศึกษาของเอกชน (ร้อยละ 9) (หน้า 46-48, 53-54)

Health and Medicine

ในอดีตอาข่าใช้ยาสมนุนไพรในการรักษาโรค หากไม่หายต้องพึ่งฝิ่นเพื่อบรรเทาอาการปวด (หน้า 124)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชิงช้าหมู่บ้าน (หละเฉ่อ) ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญประจำหมู่บ้าน โดยชิงช้ามี 2 แบบ แบบแรกคล้ายกับชิงช้าสวรรค์ของคนไทย นั่งได้ 4 คน โดยใช้แรงคนหมุน อีกรูปแบบหนึ่งคล้ายปั้นจั่นขึ้นซุง ใช้เถาวัลย์เส้นใหญ่ผูกตรงกลางข้างบนห้อยลงมาเป็นเชือกสำหรับโล้ โดยการโล้ชิงช้าเป็นประเพณีปีใหม่ประจำของหมู่บ้านที่สนุกสนาน อาข่าทุกเพศทุกวัยจะร้องเพลงเต้นรำอย่างสนุกสนาน ลานละเล่น (แดข่อง หรือลานสาวกอด) เป็นลานดินตั้งอยู่ใกล้กับประตูหมู่บ้าน มีขอนไม้ 3-4 ท่อนวางไว้เป็นที่นั่ง เป็นสถานที่ที่อาข่าร้องเพลงเต้นรำตามประเพณี หลังจากเสร็จการงานที่บ้านแล้ว โดยหญิงอาข่าจะแต่งกายสวยงามเพื่อมาร้องรำทำเพลงที่ลานละเล่นแห่งนี้ ส่วนชายหนุ่มโสดจะร่วมร้องเพลงตอบโต้กับหญิงสาวอย่างไพเราะสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีหญิง - ชายอาข่าที่แต่งงานไปแล้วมาร่วมร้องเพลงเพื่อสอนแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีให้แก่หนุ่มสาวที่ยังโสดอีกด้วย (หน้า 14-15) การแต่งกาย หมวกของผู้หญิงจะตกแต่งด้วยเหรียญเงิน ลูกเดือย ลูกปัดแซมด้วยขนนก ขนไก่ ขนกระรอก หมวกของหญิงอาข่าในประเทศไทยมี 3 แบบ คือ แบบทรงสูง รูปกรวยคว่ำหรือหมวกแหลม ใช้ในกลุ่มหญิงอาข่าอู่โล้ ส่วนอาข่าโลมีใส่หมวกทรงสูงมีแผนเงินตั้งขึ้นด้านหลัง ส่วนอาข่าหล่าบือใช้หมวกแบน บริเวณรอบคอของผู้หญิงอาข่ายังใส่แผ่นเงิน สร้อยเงินหลายๆ วง สวมกระโปรงจีบสีดำสั้นพอดีเข่า สวมเสื้อแขนยาวสีดำถึงเอว สวมถุงน่องเป็นผ้าสีดำ สำหรับผู้ชายนิยมไว้จุกตรงกลางปล่อยยาวลงมาแล้วผูกปลาย สวมเสื้อทรงกระบอกสีดำและกางเกงขายาวสีดำ ประดับด้วยเครื่องเงินเล็กน้อย (หน้า 19 - 20)

Folklore

ไม่ปรากฏ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

"อีก้อ" เป็นคำที่ใช้เรียกชาวเขาเผ่า "อาข่า" โดยอดีตในยุคที่อาข่ายังตั้งถิ่นฐานอยู่ในสิบสองปันนา อาข่าจะเรียกตัวเองว่าก้อ โดยไตลื้อนำไปเรียกว่า "ข่าก้อ" คำว่า "ข่า" แปลว่า เชลยหรือทาส เพราะอาข่าพ่ายแพ้แก่ไตลื้อและตกเป็นผู้ถูกปกครองโดยตลอด (หน้า 1-2) จะเห็นได้ว่าไตมีอำนาจอิทธิพลเหนือกว่าอาข่าโดยตลอด อาข่ารับเอาคำของไตที่บ่งบอกสถานะที่ด้อยกว่าคือการเป็นข้าทาสไปเป็นชื่อเรียกกลุ่มตนอย่างเหนียวแน่น หรือการที่ก้อเรียกตัวเองว่า "อาข่า" อาจจะมาจากการสร้างบ้านแบบกระต๊อบติดดินเหมือนชาวจีน บางทีก็สร้างเป็นเรือนมีเสายกพื้น การอยู่ในระหว่าง 2 สิ่งหรือเป็นกลางๆ นี้ ภาษาก้อเรียก "อาข่า" (A - Kha) จึงเรียกตัวเองว่า "อาข่า" หรือข้อสันนิษฐานของจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ได้เสนอข้อมูลไว้ว่า "...การที่ชาวก้อเรียกตัวเองว่าอาข่านั้น น่าจะเรียกตามภาษาจีน และจีนก็เรียกตามภาษาไทลื้ออีกทอดหนึ่ง ตัวอย่างที่ยังพอมีให้เห็นอยู่คือ พวกละว้าซึ่งไตลื้อเรียก ข่าวะ ชาวจีนนำไปเรียกว่า ข่าหว่า หรือ คาหว่า พวกข่าหมุที่ชาวไตลื้อเรียก ข่ามุ ชาวจีนก็เรียกตามว่า ข่าหมอ เห็นมีแต่พวกก้อซึ่งมีชื่อดั้งเดิมของตนเองว่า ก้อ อยู่แล้ว แต่หันไปรับเอาคำว่า อาข่า ไปจากจีน ทำนองเดียวกับพวกกวย ในไทยรับเอาคำว่า ส่วย ในภาษาไทยไปใช้ด้วยอีกชื่อหนึ่ง..." ส่วนในประเทศจีน รัฐบาลเรียกชนกลุ่มนี้ว่า "ฮานี" ในยุคสมัยของเหมาเรียกว่า "อาญี" (A - nyi) ส่วนสาเหตุที่อาข่าในประเทศไทยถูกเรียกว่า "อีก้อ" เพราะคนไทยทางภาคเหนือเติมคำว่า "อี่" ที่หมายถึง "แมลงหรือสัตว์ตัวเล็กๆ" อาจจะเรียกว่า "แมงอี่ก้อ" แล้วจึงกลายมาเป็นคำที่เรียกว่า "อีก้อ" ในภายหลัง โดยอาข่าในไทยมักไม่พอใจเมื่อถูกเรียกว่า "อีก้อ" เพราะรู้สึกว่ามีทัศนะที่ดูถูกเหยียดหยามทางชาติพันธุ์ ส่วนในวรรณกรรมล้านนามักเขียนชื่อชนกลุ่มนี้ว่า "ค้อ" หรือ "ข่าค้อ" ส่วนในประเทศเมียนมาร์เรียกว่า "ก้อ" (หน้า 1-5) บทเพลง คำสวด นิทาน คำพังเพย ของอาข่าจะเปรียบเทียบอาข่ากับไทใหญ่มากที่สุด ส่วนใหญ่อาข่าจะติดต่อกับตลาดพื้นราบที่ไทใหญ่อาศัยอยู่ อาข่าเชื่อว่าหากให้ลูกสาวแต่งงานกับจีนฮ่อจะดีกว่าแต่งงานกับหนุ่มไทใหญ่ เพราะจะมีความสุข อาหารการกินสมบูรณ์ ไม่ต้องทำงานหนัก (หน้า 24-25)

Social Cultural and Identity Change

หน่วยงานของรัฐและโครงการพัฒนาต่างๆ เริ่มเข้ามาปฏิบัติงานในหมู่บ้านชาวเขาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2496 ทั้งการแก้ปัญหายาเสพติด ส่งเสริมการศึกษา แนะนำปัญหาด้านสุขภาพ สำหรับหมู่บ้านอาข่าก็มีโครงการพัฒนาต่างๆเข้ามาในหมู่บ้านทั้งการแก้ปัญหายาเสพติด ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ มีศูนย์การศึกษาเกิดขึ้นในหมู่บ้านต่างๆ โครงการพัฒนาเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งบวกและลบ ด้านบวกคือชาวบ้านมีอาชีพใหม่ มีรายได้เสริม คนในหมู่บ้านมีการศึกษา รับรู้ข้อมูลจากราชการมากขึ้น ส่วนผลกระทบด้านลบ เช่น ผลผลิตส่วนใหญ่ราคาตกต่ำเพราะไม่มีตลาดรองรับ ชาวบ้านมีค่าครองชีพสูง และออกไปขายแรงงานนอกชุมชนกันมากขึ้น (โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 2510) ทำให้ลืมวัฒนธรรมที่เคยปฏิบัติกันมาช้านาน พิธีกรรมของอาข่าหลายด้านมีการเปลี่ยนแปลง ผู้รู้เรื่องวัฒนธรรมเริ่มตายจากไปจากหมู่บ้าน ทำให้อาข่าเริ่มสนใจศาสนาใหม่ที่เข้ามาโดยเฉพาะศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก (ดูกรณีตัวอย่างการเปลี่ยนศาสนาของ "อาฉ่า" ได้ที่หน้า 107-113) ปัจจุบันอาข่านิยมทำสวนผลไม้เพิ่มมากขึ้น (สวนลิ้นจี่) เพื่อเป็นรายได้เสริม บางพื้นที่จะปลูกกาแฟและพืชเศรษฐกิจตามฤดูกาล นอกจากนี้ชาวบ้านยังหาของป่า ทำไม้กวาดหลังฤดูเก็บเกี่ยว เป็นรายได้เสริมอีกด้วย นอกจากนี้ชาวบ้านยังเลี้ยงสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีกรรมน้อยลง เช่น หมู ไก่ แพะ เพราะพิธีกรรมบางอย่างเริ่มหายไป และพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์เริ่มไม่มี นอกจากนี้ในช่วงทศวรรษ 2510 เป็นต้นมา อาข่าเริ่มอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อเข้ามาในเมืองมากขึ้น ทั้งจากการติดต่อกับคนภายนอกชุมชนและการแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปทำงานในชุมชน (ดูตัวอย่างกรณีของคุณสมศรีในประเด็นการเข้ามาในเมืองในระยะแรกของอาข่าได้ที่หน้า 61-72, 96-97 และการหนีเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ของ "แซะ วาวี" ได้ที่หน้า 146-149) และในปี พ.ศ.2525 เริ่มมีชาวบ้านมารับจ้างทำงานในเมืองเป็นรุ่นแรกๆ และเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งปัจจุบัน ชาวบ้านส่วนใหญ่เมื่อลงมาทำงานในเมืองแล้วมักจะอยู่ต่อเนื่องนานหลายปี บางคนอาจจะอยู่อย่างถาวร อาจจะกลับไปเยี่ยมหมู่บ้านในช่วงเทศกาลสำคัญๆ ของหมู่บ้าน (หน้า 28-42, 90)

Map/Illustration

รายงานการวิจัยเล่มนี้มีตารางและภาพประกอบที่ช่วยสร้างความเข้าใจในแง่มุมต่างๆ ของงานวิจัยมากขึ้น เช่น ตารางแสดงจำนวนประชากรอาข่าในเมืองโดยจำแนกตามศาสนาและสถานภาพการสมรส (ตารางที่ 17 หน้า 56) ตารางแสดงจำนวนประชากรอาข่าในเมืองโดยจำแนกตามสถานภาพการสมรสและประเภทที่พักอาศัย (ตารางที่ 19 หน้า 58) ภาพแสดงหญิงอาข่ากับร้านค้าแบบวางกับพื้นที่ศูนย์อาหารกาแลไนท์บาซาร์ (ภาพที่ 9 หน้า 172)

Text Analyst สิทธิพร จรดล Date of Report 27 ธ.ค. 2549
TAG อาข่า, วิถีชีวิตเมือง, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง