|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
บทบาทผู้นำ,หลวงพ่ออุตตมะ,มอญพลัดถิ่น,การเมือง,วัฒนธรรม,กาญจนบุรี |
Author |
อรวรรณ ทับสกุล |
Title |
หลวงพ่ออุตตมะ : ผู้นำทางวัฒนธรรม กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรม ของหมู่บ้านมอญพลัดถิ่น ที่สังขละบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
219 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชามานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
เนื้อหาระบุถึงบทบาทของหลวงพ่ออุตตมะ พระมอญ ต่อมาได้รับสัญชาติไทย เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชุมชนมอญพลัดถิ่นวัดวังก์วิเวการาม ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ทั้งในด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนา และประเพณี วัฒนธรรม หมู่บ้านแห่งนี้เป็นชุมชนมอญที่ย้ายมาจากหมู่บ้านเดิมที่ถูกน้ำท่วม หลังจากมีการสร้างเขื่อนเขาแหลม เมื่อ พ.ศ.2527 ความเป็นมาของการรวบรวมชุมชนมอญพลัดถิ่นใน อ.สังขละบุรี ได้กล่าวถึงความเป็นอยู่ก่อนการสร้างเขื่อน และหลังการสร้างเขื่อน บทบาทของหลวงพ่ออุตตมะ ที่เป็นผู้นำทางศาสนาของมอญ ซึ่งมีศรัทธาต่อศาสนาพุทธ และบทบาททางโลกของหลวงพ่อที่เป็นผู้ประสานกับทางการไทยในการจัดสรรที่อยู่ และดูแลเรื่องสิทธิต่างๆ ของมอญพลัดถิ่นในชุมชนวัดวังก์วิเวการาม |
|
Focus |
ศึกษาบทบาทความเป็นผู้นำของหลวงพ่ออุตตมะ ที่มีต่อการเกิดการคงอยู่ และการเปลี่ยนแปลงสังคม วัฒนธรรม และวิธีการธำรงชาติพันธุ์ของมอญ ที่อยู่หมู่บ้านมอญพลัดถิ่น ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี (หน้า 6) จุดมุ่งหมายเพื่อทราบบทบาทความเป็นผู้นำ เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรมของมอญ และวิธีการที่หลวงพ่ออุตตมะใช้ต่อการธำรงชาติพันธุ์มอญพลัดถิ่น (หน้า 7) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มอญ ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในประเทศพม่าและประเทศไทย มอญ เรียกตนเองว่ามอญ (Mon) พม่าเรียกมอญว่า ตะเลง (Talaing ) ส่วนไทยเรียกมอญว่า มอญ หรือ ตะเลง ในอดีตชาติตะวันตะวันตก เรียกมอญว่า เพกวน (Peguan) สำหรับชื่ออื่นของมอญที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ คำว่า รามัญ (Raman) (หน้า 19) สำหรับมอญพลัดถิ่น มาจากคำว่า "คนพลัดถิ่น" (diaspora) คือ ชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้าไปอยู่ในต่างถิ่น แต่ยังรักษาความรู้สึก หรือความสัมพันธ์กับถิ่นกำเนิดเดิม (หน้า 9) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มอญในหมู่บ้านเวลาพูดกันจะพูดภาษามอญ คนที่มีอายุ 50 ปี ขึ้นไป ฟังภาษาไทยรู้เรื่องเพราะว่าอยู่ในไทยมากว่า 50 ปี แต่พูดได้ไม่คล่อง ส่วนมอญที่อยู่ในไทยอายุ 30-50 ปี สามารถพูด และฟังภาษาไทยได้ดี แต่เขียนไม่เป็น สำหรับเยาวชนมอญเขียน อ่านภาษาไทยได้ เพราะเมื่อเข้าโรงเรียนจะได้เรียนภาษาไทย สำหรับเด็กมอญจะได้เรียนรู้ภาษาไทยครั้งแรกที่ศูนย์เด็กเล็กวังก์วิเวการาม (หน้า 74) สำหรับการสอนภาษามอญ วัดวังก์วิเวการราม จะเปิดสอนให้แก่เด็กวัดที่อาศัยอยู่ที่วัด (หน้า 104) |
|
Study Period (Data Collection) |
ลงพื้นที่ภาคสนาม พ.ศ. 2545-2546 (หน้า 65) สัมภาษณ์มอญพลัดถิ่น หลายครั้ง ระหว่าง 17 กุมภาพันธ์, 21 มีนาคม, 16 -17 เมษายน24 กรกฎาคม 2545 (หน้า 146-148) สังเกตการณ์ในชุมชนมอญพลัดถิ่น 16-18 กุมภาพันธ์ 2545, 13-18 เมษายน, 24 กรกฎาคม 2545, 12-18 เมษายน 2546 (หน้า 149) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติหลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่ออุตตมะ (พระมหาอุตตะรัมโภภิกขุ ) หรือ พระราชอุดมมงคล พหลนราทร มหาคณิสร บวรสังฆารามคามวาสี เคยเป็นเจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี หลวงพ่อเป็นพระมอญสัญชาติพม่า ต่อมาได้รับสัญชาติไทย โดยมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2526 (หน้า 3,132) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2453 และเรียนหนังสือ ที่บ้านโมกกะเนียง ตำบลมะละแหม่ง เมืองเย ประเทศพม่า (หน้า 3,117,118) หลวงพ่อเป็นคนขยัน โดยบวชตั้งแต่เด็กจนสอบได้เปรียญธรรมชั้นสูง และเป็นผู้ที่เคร่งครัดต่อหลักคำสอนทางศาสนา และเคยเดินธุดงค์ไป มา ระหว่างไทยกับพม่า เป็นผู้ที่มีความสามารถพูดได้หลายภาษา อาทิ ภาษามอญ พม่า อังกฤษ ไทย (หน้า 3) รอบรู้เรื่องสมุนไพร การรักษาคนเจ็บป่วย ความรู้เรื่องการก่อสร้าง และเชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ (หน้า 4, 153) จนกระทั่งขบวนการกู้ชาติทำการต่อสู้กับทางการพม่า ใน พ.ศ. 2492 หลวงพ่อจึงเดินทางมาประเทศไทย และจำพรรษาตามวัดหลายแห่งใน จ.กาญจนบุรี เมื่อไปจำวัดที่ใดก็ทำการพัฒนา ซ่อมแซมวัดนั้น จน พ.ศ.2492 เมื่อรู้ว่ามีมอญพลัดถิ่นเข้ามาอยู่ อ.สังขละบุรี เป็นจำนวนมาก ดังนั้นหลวงพ่อจึงอาสาเป็นตัวแทนเจรจากับทางการไทยเพื่อขออนุญาต จัดสรรที่ดินตั้งที่อยู่ให้มอญพลัดถิ่นอยู่รวมกัน (หน้า 4) อาณาจักรมอญ รายงานระบุว่า อาณาจักรมอญเคยเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่มอญไม่ชำนาญการทำศึกสงคราม มอญเสียเอกราชให้พม่าครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.1600 ดังนั้นมอญจึงต่อสู้กับพม่าเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 700 ปี กระทั่ง พ.ศ.2300 พม่าจึงรวมอาณาจักรมอญเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร (หน้า 20) ประวัติมอญอพยพมาไทย การอพยพที่สำคัญ เริ่มจากสมัยอยุธยา ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการอพยพ 7 ครั้ง สมัยอยุธยา อพยพ 5 ครั้ง ได้แก่ สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2112 -2133) อพยพใน พ.ศ.2127 หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศ อิสรภาพ ที่เมืองแครง ซึ่งเป็นการอพยพครั้งแรก, สมัยสมเด็จพระนเรศวร (พ.ศ. 2133-2148) มีการอพยพ 2 ครั้ง ได้แก่ พ.ศ.2136 มอญหนีการถูกรบกวนจากพม่า และ พ.ศ.2138 เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีหงสาวดี เมื่อกลับก็ได้กวาดต้อนมอญกลับด้วย (หน้า 21, 22) สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2173-2198) เมื่อมอญก่อการกบฏจึงถูกพม่าปราบ, สมัยสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. 2199-2231) อพยพเพราะมอญไม่พอใจพม่า เนื่องจากถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยพม่าป้องกันเมืองอังวะขณะทำสงครามกับจีน เมื่อ พ.ศ.2203 ดังนั้นมอญจึงพอกันหนีการลงโทษจากพม่า สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. 2275-2301) เกิดการต่อสู้ระหว่างพม่ากับมอญบ่อยครั้ง หลังจากหมดราชวงศ์ตองอู พม่าจึงมีแนวคิดที่จะปราบปรามมอญ การอพยพหลักๆ เช่น พ.ศ.2298 - 2299 และ พ.ศ.2301 (หน้า 21, 22) ในสมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ. 2317) เกิดจากพม่าจะยกทัพมาตีกรุงธนบุรี ดังนั้นพม่าจึงเกณฑ์มอญมาสร้างยุ้งฉางและสร้างทาง เมื่อมอญไม่พอใจจึงหลบหนี พม่าจึงปราบปราม (หน้า 21,22) หัวหน้ามอญจึงร่วมกับมอญจากเมืองต่างๆ ก่อการกบฏ แต่ประสบความล้มเหลวสู้พม่าไม่ได้ จึงพากันหนีเข้ามาอยู่ในไทย โดยเข้ามาทาง จ.ตาก ใน พ.ศ.2317 และมอญอีกกลุ่มมาทางด่านเจดีย์สามองค์ (หน้า 23) สมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. 2352- 2367) เกิดการอพยพเนื่องจากพระเจ้าปดุงเกณฑ์มอญและเชื้อชาติอื่นๆ ไปสร้างมหาธาตุที่เมืองเมกุน ทำให้ประชาชนพากันเดือดร้อน และพม่าที่ไปปกครองเมืองเมาะตะมะ ข่มเหงประชาชน ดังนั้นสมิงสอดจึงนำมอญก่อการกบฏที่เมืองมะตะมะ และหนีเข้าไทย เมื่อ พ.ศ. 2358 ในครั้งนั้นได้เข้ามาทางเมืองตาก อุทัยธานี และด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี (หน้า 21, 23) นอกจากนี้ยังมีการอพยพช่วงต้นสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ.2367 เนื่องจากพม่าสู้รบกับอังกฤษจึงทำให้มอญเดือดร้อน ดังนั้นมอญที่เป็นญาติที่อยู่เมืองไทยจึงร้องเรียนทางการไทยให้ไปช่วยรับญาติให้เข้ามาอยู่เมืองไทย ดังนั้นทางการไทยจึงให้เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) คุมกองทัพมอญให้ไปรับมอญที่ได้รับความเดือดร้อนที่เมืองมอญ ในครั้งนั้นทางการไทยได้ให้มอญมาอยู่ที่นครเขื่อนขันธ์ หรือพระประแดง (หน้า 24) รามัญ 7 เมือง สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับมอญที่อพยพหนีปัญหาทางการเมืองกับพม่า โดยทางการไทยในสมัยนั้นได้ให้มอญอยู่ที่เมืองหน้าด่าน โดยให้มอญเป็นรัฐกันชนบริเวณชายแดน ไทย-พม่า โดยให้อยู่รวมกัน ชื่อ "รามัญ 7 เมือง" ให้ ขึ้นกับเมืองกาญจนบุรี และแต่งตั้งให้คนมอญเป็นปกครองทั้ง 7 หัวเมือง ได้แก่ สังขละบุรี ลุ่มสุ่ม ท่าตะกั่ว ท่าขนุน ท่ากระดาน ไทรโยค และ ทองผาภูมิ (หน้า 27) ส่วนการอพยพของมอญ พ.ศ. 2491 - 2492 เกิดจากพม่ามีนโยบายปราบปรามชนกลุ่มน้อย แต่ไทยถือว่าการอพยพของมอญเป็นการเข้าเมืองผิดกฎหมาย และกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับพม่า เพราะพม่าถือว่ามอญที่อพยพเข้าไทยนั้นเป็นกบฏต่อรัฐบาลพม่า (หน้า 27) ประวัติ อ.สังขละบุรี ในอดีตเป็นเมืองหน้าด่าน เมื่อพม่ามีนโยบายปราบชนกลุ่มน้อย เช่น มอญ กะเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อยจากพม่าก็จะเข้ามาไทยทางด่านเจดีย์สามองค์แล้วผ่านมาทาง อ.สังขละบุรี ( หน้า 32) ในสมัยรัตนโกสินทร์ ทางการได้ยกเมืองสังขละบุรี เป็นเมืองหน้าด่าน โดยได้ตั้งมอญกับกะเหรี่ยง เป็นเจ้าเมือง (หน้า 33) กระทั่ง พ.ศ.2369 สมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทางการได้ยกสังขละบุรีขึ้นเป็นเมือง และได้แต่งตั้งเจ้านายกะเหรี่ยงเป็นเจ้าเมืองพร้อมทั้งพระราชทานนามว่า "พระศรีสุวรรณคีรี " และมีผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อมาภายหลังอีก 5 คน จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดการปกครองใหม่ และได้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการปกครองหลายครั้ง เช่น พ.ศ. 2438 ได้ตั้งอำเภอวังกะ ที่บ้านวังกะ พ.ศ.2444 ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอวังกะเป็น อำเภอสังขละบุรี และในปีนั้นได้ยุบอำเภอสังขละบุรี เป็นกิ่งอำเภอวังกะ ขึ้นกับอำเภอท่าขนุน (ทุกวันนี้ขึ้นกับ อ.ทองผาภูมิ ) (หน้า 34) พ.ศ.2477 ยกกิ่งอำเภอวังกะเป็นอำเภอวังกะอีกครั้ง และได้ยุบอำเภอท่าขนุนเป็นกิ่งอำเภอท่าขนุน ขึ้นกับอำเภอวังกะ (หน้า 34) กระทั่ง พ.ศ.2482 ได้ยุบอำเภอวังกะเป็นกิ่งอำเภอวังกะ ต่อมาเปลี่ยนชื่อกิ่งอำเภอวังกะ เป็นกิ่งอำเภอสังขละบุรี จน พ.ศ.2508 ได้ยกกิ่งอำเภอสังขละบุรี เป็นอำเภอสังขละบุรี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า 35) ประวัติหมู่บ้านมอญ หมู่บ้านมอญพลัดถิ่น ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในไทย เพราะเกิดปัญหาทางการเมืองกับพม่า เมื่อ พ.ศ. 2492 (หน้า 31) สำหรับมอญใน อ.สังขละบุรี เริ่มย้ายเข้ามาอยู่ตั้งแต่ พ.ศ.2450 (หน้า 35) ในเริ่มแรกได้ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านนิเถะ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยง กระทั่งหลวงพ่ออุตตมะได้รวบรวมมอญมาอยู่ที่บ้านวังกะล่าง ที่อยู่ห่างจากบ้านนิเถะ และที่ว่าการอำเภอไปทางทิศใต้ ราว 2 กิโลเมตร เมื่อ พ.ศ.2494 (หน้า 36) จนใน พ.ศ.2496 หลวงพ่ออุตตมะจึงปรึกษากับทางการเพื่อจัดสรรที่ดินสร้างหมู่บ้านมอญพลัดถิ่น ที่บริเวณตรงข้ามที่ว่าการอำเภอ โดยมีแม่น้ำแควน้อยกั้น และเป็นบริเวณที่แม่น้ำ 3 สายไหลมารวมกัน ได้แก่ แม่น้ำบีคลี่ รันตี ซองกาเลีย ที่ตรงนี้เรียกว่า "สามประสบ" (หน้า 37,123,125) กระทั่ง พ.ศ 2527 ได้มีการสร้างเขื่อนเขาแหลม มอญจึงย้ายจากบ้านวังกะล่างขึ้นมาอยู่ที่สูงกว่าพื้นที่เดิม ที่บริเวณวัดวังก์วิเวการาม ซึ่งเป็นที่ดินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่มอบให้หลวงพ่ออุตตมะสร้างวัดและจัดสรรที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่แก่มอญ (หน้า 38 ภาพหน้า 130) |
|
Settlement Pattern |
บ้าน มอญรุ่นแรกที่มาอยู่ในหมู่บ้านจะมีฐานะร่ำรวย ส่วนใหญ่จะเป็นญาติหลวงพ่ออุตตมะ ที่ใช้นามสกุล เช่น "สิทธิวงษา" "โมกกะเนียง" "ปุณณะการรี" "หงษา" ที่เข้ามาอยู่ในไทย ราว พ.ศ. 2493 เมื่อปลูกบ้านจะสร้างเป็นบ้านไม้ขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่อยู่ที่ซอย 2, 4, 5 และ 6 (หน้า 56) ในภายหลังมอญจะสร้างบ้านเหมือนกับคนไทย โดยสร้างด้วยคอนกรีต และจะสร้างช่องเหมือนหน้าต่างยื่นมาตัวบ้าน เป็นที่สำหรับจัดหิ้งพระ (เรื่องและภาพ หน้า 57) สำหรับมอญที่อยู่ริมเขื่อนเขาแหลม มาอยู่ในไทยภายหลัง จะสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงแฝก โดยจะอยู่ริมฝั่งเพื่ออยู่ปลูกผัก หากน้ำหลากก็จะไปอยู่บนเรือนแพ บ้านญาติ โรงหนังร้าง หรือกลับไปทำงานที่พม่า ซึ่งในแต่ละปีน้ำจะท่วมบ้านที่อยู่ริมฝั่ง 2-3 เดือนต่อปี เมื่อน้ำลดก็จะกลับมาสร้างบ้านอีก (หน้า 57) ส่วนอีกกลุ่มที่สร้างบ้านชั่วคราวและอยู่เรือนแพจะสร้างบ้านเรือนอยู่ที่เชิงเขาริมแม่น้ำกับดงสัก ทางทิศตะวันออกของวัดวังก์วิเวการาม (หน้า 57) เพราะเป็นท่าน้ำติดต่อกับหมู่บ้านอื่นได้ง่าย และกลุ่มที่มาใหม่จะสร้างบ้านอยู่ที่พื้นที่ต้นน้ำบีคลี่ โดยสร้างบ้านตามป่า พื้นที่บ้านประตูเมือง เวียคะดี้ ห้วยมาลัย บ้านใหม่พัฒนา กระทั่ง พ.ศ.2540 มีปัญหาเรื่องบุกรุกที่ดินกรมป่าไม้ จึงย้ายมาอยู่บริเวณที่ว่างพื้นที่ป่าดงสัก (เรื่องและภาพหน้า 58) ส่วนใหญ่จะสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่ (หน้า 59) |
|
Demography |
ประชากรในพื้นที่ อ.สังขละบุรี มีจำนวน 2,819 ครอบครัว ประชากร 12,616 คน ประชากรแบ่งเป็น กะเหรี่ยง จำนวน 80%, คนไทย จำนวน 15% และมอญพลัดถิ่นมีจำนวน 5% (หน้า 47) ประชากรผู้พลัดถิ่น กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ถือบัตรต่างด้าว แยกได้ดังนี้ ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า (บัตรสีชมพู) ตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2535 ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า คือผู้ที่อพยพหนีการสู้รบจากพม่าเข้ามาในไทย ก่อนวันที่ 9 มีนาคม 2519 (หน้า 47) ส่วนมากได้แก่ คนมอญ จากที่ทางการทำประวัติไว้เมื่อ พ.ศ. 2539 มีประชากร 5,594 คน โดยมากจะสร้างบ้านอยู่พื้นที่บ้านวังกะ หมู่ 2 ต.หนองลู (หน้า 48) บุคคลพื้นที่สูง (บัตรสีฟ้า) ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยง ที่ยังไม่ได้ถือสัญชาติไทยที่อยู่ในเขต อ.สังขละบุรี ทางการจัดทำทะเบียนประวัติไว้เมื่อ พ.ศ.2539 มีประชากร 8,557 คน (หน้า 48) ผู้หลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า (บัตรสีส้ม) เป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ใน อ.สังขละบุรี เป็นมอญ 70% และอื่นๆ ได้แก่ พม่า แขก กะเหรี่ยง ลาวพม่า ที่เข้ามาในไทยหลังวันที่ 9 มีนาคม 2519 ทางการได้ทำบัตรและทะเบียนประวัติ เมื่อ พ.ศ. 2539 มีจำนวน 10,737 คน (หน้า 48) ชุมชนบนพื้นที่สูง (บัตรสีเขียวขอบแดง) เช่น กะเหรี่ยงและชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ทางการสำรวจเมื่อ สิงหาคม พ.ศ.2542 มีประชากรทั้งหมด 6,734 คน (หน้า 48) |
|
Economy |
อาชีพก่อนสร้างเขื่อนเขาแหลม อาชีพที่ทำที่ทำเมื่ออยู่หมู่บ้านเดิม ได้แก่ เพาะปลูก เช่น ปลูกผักเนื่องจากอยู่ใกล้ริมน้ำ คือ แม่น้ำแควน้อย แม่น้ำบิคลี แม่น้ำซองกาเลีย พืชที่ปลูกได้แก่ ถั่วลิสง โดยจะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ สำหรับการปลูกข้าวไร่จะปลูกที่เชิงเขา ส่วนใหญ่จะเก็บไว้กินในครอบครัว ถ้าเหลือจากกินในครัวเรือนแล้วจึงจะนำไปขาย นอกจากนี้ยังทำอาชีพประมงเพราะอยู่ใกล้แม่น้ำ (หน้า 65) ค้าขาย ในหมู่บ้านจะขายส่วนมากจะขายของกินของใช้ เช่น กะปิ น้ำปลา เกลือ ผักและผลไม้ กับการค้าขายที่ชายแดนกับคนพม่า โดยจะมีมอญบางส่วนติดต่อค้าขายกับพม่า โดยจะเข้ามาซื้อของในกรุงเทพฯ แล้วไปขายต่อให้กับพม่า (หน้า 65) หาของป่า มาขายเช่น ผักกูด ผักหนาม ลูกระเนียง ลูกมะตาด นอกจากนี้จะล่าสัตว์ เช่น ล่าหมูป่า เก้ง กวาง ไก่ป่า (หน้า 66) รับจ้าง เช่น รับจ้างขับเรือ แบกของขุดดิน ทำไร่ ดายหญ้า ตักน้ำ ซักผ้า และอื่นๆ (หน้า 66) อาชีพหลังสร้างเขื่อนเขาแหลม เมื่อมีการเริ่มสร้างเขื่อน เขาแหลม ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ใน พ.ศ.2524 ทำให้เกิดน้ำท่วมหมู่บ้าน และป่า สำหรับมอญพลัดถิ่นจะได้รับค่าชดเชยเพียงค่ารื้อถอนบ้าน เพราะที่ดินเป็นเพียงที่จับจอง เมื่อปี พ.ศ.2527 เมื่อเริ่มกักเก็บน้ำ มอญพลัดถิ่น จึงได้ย้ายไปอยู่ที่ชุมชนวัดวังก์วิเวการาม เป็นบริเวณที่อยู่ทุกวันนี้ (หน้า 66) อาชีพใหม่คือ การค้าขายในหมู่บ้าน มีตลาดกลางของหมู่บ้าน หรือ "ตลาดเช้ามอญ" ที่หลวงพ่ออุตตมะจัดเอาไว้ให้ คนที่เข้ามาขายจะเสียเงินตอนแรก 500 บาท และเมื่อมาขายของจะเสียค่าเช่าแผงวันละ 9 บาท ของที่นำมาขายจำพวกของกินของใช้ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก ผลไม้ เนื้อ ปลา ขนม อาหาร ของใช้ จำพวกเสื้อผ้า หากบ้านอยู่ติดถนนจะเปิดร้านที่บ้าน เช่น ร้านขายของชำ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านตัดผม(หน้า 67) นอกจากนี้มีเปิดร้านขายของที่ระลึกบริเวณพุทธคยาจำลอง (หน้า 67) ได้แก่ เครื่องไม้ อัญมณี เสื้อผ้า และของใช้อื่นๆ (หน้า 68) การค้าชายแดนที่บริเวณจุดผ่อนปรนทางการค้า ไทย พม่า ที่บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ สำหรับสินค้านำเข้าจากพม่า ได้แก่ โค กระบือ เฟอร์นิเจอร์ไม้ หวาย สำหรับสินค้าส่งออกได้แก่ วัสดุก่อสร้าง น้ำมัน (หน้า 68) อาชีพอื่น เช่น เย็บผ้าโหลที่โรงงานที่นายทุนมาตั้งในหมู่บ้าน และฝั่งอำเภอสังขละบุรี ส่วนใหญ่จะเป็นงานของผู้หญิง เฉลี่ยรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 2,000 - 3,000 บาท/เดือน หรือ 40-60 บาท/วัน ขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เป็นคนงานปลูกป่า จับปลาไปขาย (หน้า 68 ภาพหน้า 69) รับจ้างขับเรือ พานักท่องเที่ยวชมอ่างเก็บน้ำและบริเวณวัดเดิมที่ถูกน้ำท่วม (หน้า 70) ส่วนการเพาะปลูก จะเช่าที่ของคนไทยหรือกะเหรี่ยง เพราะมอญไม่มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหลังจากสร้างเขื่อน หาของป่า เช่น ผักกูด ผักหนาม หน่อไม้ และผักอื่นๆ เพื่อนำมาขายที่ตลาดสดในตอนเช้า รับจ้างขุดดิน ก่อสร้าง และดายหญ้า และงานอื่นๆ ซึ่งจะได้ค่าจ้างประมาณวันละ 60 - 70 บาทต่อวัน หากทำงานก่อสร้างหรือเป็นช่างไม้ก็จะได้ค่าแรง เฉลี่ยวันละ 80 -120 บาทต่อวัน (หน้า 70) หลวงพ่ออุตตมะกับเศรษฐกิจ หลังจากน้ำท่วมหมู่บ้านเดิม มอญไม่มีพื้นที่เพาะปลูก หลวงพ่อจึงสร้างตลาดให้มอญค้าขาย นอกจากนี้ยังยกศาลาที่อยู่ข้างพุทธคยาจำลอง แต่เดิมต้องการสร้างเพื่อเป็นที่พักของคนต่างถิ่นหรือนักท่องเที่ยวให้มอญเป็นที่ขายของที่ระลึก (หน้า 158) อาหาร ส่วนใหญ่จะบริโภคอาหารที่หาได้ในท้องถิ่น (หน้า 74) เช่น ผักที่เก็บตามแม่น้ำ ผักหวานป่า ลูกระเนียง ยอดหวาย เห็ดโคน ผักกูด กระเจี๊ยบ และผักอื่นๆ ผักที่หามาได้จะกินจิ้มน้ำพริก กับแกงกระเจี๊ยบ หากมีงานมงคลหรืองานบุญ อาทิ ทำบุญบ้าน งานบวช หรือแต่งงาน มอญจะทำแกงฮังเล และแกงป่าใส่เนื้อ สำหรับอาหารสำเร็จรูปจะชอบกินขนมจีนน้ำพริกหยวกกล้วย ซึ่งน้ำพริกหยวกกล้วยจะทำจากปลากระมัง (เรื่องและภาพ หน้า 75) |
|
Social Organization |
สังคมมอญพลัดถิ่น มอญอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มเครือญาติ หลังจากแต่งงานแล้วจะไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง หรือฝ่ายชายก็ได้แล้วแต่ความสมัครใจ ในทางประเพณีความเชื่อผู้หญิงจะไปอยู่บ้านฝ่ายชาย เพราะการนับถือผีจะถือตามบ้านฝ่ายชาย เพราะถ้าผู้ชายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงจะไม่ถูกกับผีของพ่อภรรยาที่แต่งงาน วิธีแก้ไขทำโดยไม่ต้องนำผีไปด้วย หรือแยกบ้านไปอยู่หลังอื่น ในอดีตหากลูกแต่งงาน พ่อกับแม่ก็จะแบ่งที่ดินให้เพื่อเอาไว้เพาะปลูกทำกิน (หน้า 74) แต่ในทางปฏิบัติผู้ชายมักไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง (หน้า 92, 93) บ้านจะยกให้ลูกคนสุดท้องเพราะต้องทำหน้าที่ดูแลพ่อกับแม่ หรือถ้าลูกคนใด ดูแลพ่อกับแม่ก็จะยกบ้านให้เป็นการตอบแทน (หน้า 74) การแต่งงาน คนมอญไม่บังคับให้เลือกคู่ครอง หากชอบพอกันก็จะจัดงานแต่งงาน และไม่มีค่าสินสอด หากมีก็จะยกให้คู่บ่าวสาวทั้งหมด การจัดงานฝ่ายชายจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยจะจัดพิธีที่บ้านผู้หญิง มีการส่งตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาวเข้าเรือนหอ จากนั้นก็จะทำพิธีไหว้ผีประจำหมู่บ้าน เพื่อให้รู้ว่าแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วและขอให้อยู่อย่างมีความสุข (หน้า 93) สังคมมอญก่อนการสร้างเขื่อน เมื่อเริ่มตั้งหมู่บ้านมอญพลัดถิ่นที่ อ.สังขละบุรี มอญที่มาอยู่เริ่มแรก ราว พ.ศ.2492 จะทำไร่กับกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ละแวกนี้มาแต่เดิม ตอนนั้นประชากรยังมีน้อย จึงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีอะไรก็แบ่งกันกิน ทั้งมอญ กะเหรี่ยงและคนไทย ที่อยู่ในพื้นที่นี้โดยมีสภาพความเป็นอยู่แบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน กระทั่งมีมอญมาอยู่มากขึ้นหลวงพ่ออุตตมะจึงรวมชาวมอญให้มาอยู่ด้วยกันที่บ้านวังกะล่าง (หน้า 112) ต่อมาหลวงพ่อได้เจรจากับปลัดอำเภอ เพื่อใช้ใช้พื้นที่ตรงข้ามแม่น้ำกับอำเภอเป็นที่ตั้งหมู่บ้านมอญพลัดถิ่น โดยหลวงพ่อได้ตั้งกฎการอยู่ร่วมกันโดยให้มอญมาฟังต่อหน้าปลัดอำเภอ โดยมีข้อที่ต้องปฏิบัติดังนี้ 1) ห้ามกินเหล้า 2) ห้ามเล่นการพนัน 3) ห้ามลักขโมย และไม่ให้ผิดลูกผิดเมียใคร หากใครทำผิดจะถูกไล่ออกนอกหมู่บ้าน (หน้า 112) กฎที่ตั้งไว้ตอนนั้นได้ผลดีเพราะคนมีน้อย และมอญเชื่อฟังผู้เฒ่าผู้แก่ หากว่ากล่าวตักเตือนก็รับฟังเหตุผล (หน้า 113,159) สังคมมอญหลังการสร้างเขื่อน หลังจากสร้างเขื่อนเขาแหลม เมื่อ พ.ศ.2527 เมื่อมาอยู่ที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ซึ่งเป็นที่ดินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตให้สร้างวัดวังก์วิเวการาม ซึ่งที่อยู่ใหม่มอญไม่มีที่ทำกินมีเฉพาะที่อยู่เท่านั้น (หน้า 113) คนในหมู่บ้านมีประชากรมากขึ้น การปกครองจะปกครองโดยระบบคุ้ม โดยมีหัวหน้าคุ้ม ที่ได้รับการเลือกตั้งจากคนในคุ้ม และหลวงพ่ออุตตมะเห็นดีด้วย ทำหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของคนในคุ้ม หากมอญพลัดถิ่นมีเรื่องทะเลาะกัน แต่ถ้าตัดสินไม่ได้ก็จะให้ทางการตัดสิน (หน้า 114) มอญพลัดถิ่นแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ คนที่ร่ำรวยกับคนที่ยากจน สำหรับคนร่ำรวยจะมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย ติดต่อทั้งคนในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน ญาติพี่น้องอยู่ในเมือง ได้รับการศึกษาที่ดีและได้รับสัญชาติไทย คนกลุ่มนี้จะค้าขายที่ชายแดน สำหรับกลุ่มคนที่ยากจนจะมีความเป็นอยู่ ที่ไม่ทัดเทียมกับผู้ที่ร่ำรวย (หน้า 115) กลุ่มทางสังคม แบ่งเป็นกลุ่มที่เป็นทางการ กับกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ สำหรับกลุ่มที่เป็นทางการ เช่น คุ้มบ้าน 27 คุ้ม กลุ่มกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มกรรมการวัด กลุ่มอาชีพ แต่ละกลุ่มจะมีหน้าที่ทางสังคมแตกต่างกันไป อาทิ กลุ่มคุ้มบ้าน จะช่วยเหลือเวลามีงานบุญในหมู่บ้าน เช่น การตั้งกองกฐินในคุ้มบ้านของตัวเอง (หน้า 115) กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น กลุ่มการตั้งหมู่บ้าน กลุ่มญาติพี่น้อง กลุ่มเพื่อน กลุ่มคนที่ค้าขายด้วยกัน ทั้งสองกลุ่มไม่อาจนับจำนวนสมาชิกในกลุ่ม เพราะมอญพลัดถิ่นบางคนอาจจะอยู่หลายกลุ่ม อย่างไรก็ดี การทำกิจกรรมของมอญพลัดถิ่น ทั้งกลุ่มที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ จะมาใช้พื้นที่ของวัดวังก์วิเวการามร่วมกันเช่นเดิม (หน้า 116) |
|
Political Organization |
การปกครองของ อ.สังขละบุรี แบ่งการปกครองเป็น 3 ตำบล 1 เทศบาลตำบล ได้แก่ ตำบลหนองลู ตำบลปรังเผล ตำบลไล่โว่ และเทศบาลวังกะ (หน้า 47) การปกครองดูแลคนต่างด้าว อ.สังขละบุรี ได้จัดทำบัตรเพื่อควบคุมดูแลคนต่างด้าวกลุ่มต่างๆ สัญชาติพม่าที่อยู่ในเขตอำเภอ ซึ่งมีหลายเชื้อชาติ ได้แก่ มุสลิม กะเหรี่ยง พม่า มอญ โดยได้ออกบัตรให้ แยกได้ดังนี้ 1 ) ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า เป็นบัตรสีชมพู คือกลุ่มที่เข้ามาในไทยก่อนวันที่ 9 มีนาคม 2539 กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นมอญ (หน้า 47,48 ตัวอย่างบัตรหน้า 192) สำหรับมอญพลัดถิ่นที่ถือบัตรสีชมพูจำกัดให้อยู่เฉพาะในพื้นที่ อ.สังขละบุรีเท่านั้น หากต้องไปต่างอำเภอหรือไปจังหวัดอื่น จะต้องไปเดินเรื่องกับทางอำเภอสังขละบุรีเพื่อขออนุญาตในการเดินทาง แต่ถ้าจะไปพม่าจะต้องติดต่อกับหัวหน้าคุ้มบ้าน แล้วจึงไปติดต่อกับทางอำเภอสังขละบุรีต่อไป (หน้า 64) หากจะทำบัตรแรงงานก็จะนำบัตรสีชมพูไปทำเรื่องขอทำบัตรแรงงานต่างด้าว หรือให้นานจ้างเดินเรื่องทำบัตรแรงงานต่างด้าวให้ (หน้า 64) 2) บุคคลพื้นที่ราบสูง เป็นบัตรสีฟ้า ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงที่ยังไม่มีสัญชาติไทย ทางการได้ทำบัตรและทะเบียนประวัติไว้เมื่อ พ.ศ. 2539 (หน้า 48 ตัวอย่างบัตร หน้า 195) 3) ผู้หลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่าเป็นบัตรสีส้ม คือกลุ่มคนที่เข้ามาในไทยหลังจากวันที่ 9 มีนาคม 2519 ทางการทำบัตรและทะเบียนประวัติเมื่อ พ.ศ. 2539 (หน้า 48 ตัวอย่างบัตรหน้า 193,194) 4) ชุมชนบนพื้นที่สูง เป็นบัตรสีเขียวขอบแดง คือกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เข้ามาในไทย ที่ทำการสำรวจเมื่อ พ.ศ 2542 (หน้า 48 ตัวอย่างบัตรหน้า 197 ภาพทะเบียนประวัติหน้า 200, 201) การปกครองในหมู่บ้าน มอญในหมู่บ้านไม่มีสัญชาติไทย โดยมากเป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าถือบัตรประจำตัวสีชมพูกับมอญที่ถือบัตรสีส้มคือคนที่หลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ที่เข้ามาหลังปี พ.ศ. 2519 คนกลุ่มนี้ไม่สามารถมีที่ดินทำกินและทางการไทยให้อยู่ในพื้นที่หมู่ 2 ตำบลหนองลู หรือฝั่งมอญ มีพื้นที่ 614 ไร่ (หน้า 61) หมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านปกครองเป็นคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ใน หมู่บ้านมอญพลัดถิ่น และมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3 คน ที่ทางการแต่งตั้งและหลวงพ่ออุตตมะเห็นดีด้วย เป็นมอญพลัดถิ่นที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ทำหน้าที่คอยประสานงานกับผู้ใหญ่บ้าน (หน้า 62, 63) สำหรับการปกครองหมู่บ้านจะแบ่งเป็น ระบบคุ้ม โดยแต่ละคุ้มจะมีหัวหน้าคอยดูแล คนที่เป็นหัวหน้าคุ้มจะทำหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่และปกครองลูกบ้านที่อยู่ในคุ้มประสานงานกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและผู้ใหญ่บ้าน สำหรับการเลือกหัวหน้าคุ้มบ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้านนั้น คนในคุ้มจะเป็นผู้เลือก โดยผ่านความเห็นชอบจากหลวงพ่ออุตตมะ (หน้า 62, 63,114,158) หมู่บ้านมอญมีจำนวน 27 คุ้ม มีหัวหน้าคุ้มทั้งหมดจำนวน 27 คน (หน้า 62) การได้รับสัญชาติไทย กล่าวถึงมอญที่มีบัตรประชาชน คือ คนที่แต่งงานกับคนไทยลูกจึงได้รับสิทธิดังกล่าว แต่พ่อหรือแม่ยังไม้ได้สัญชาติไทย (หน้า 64) รายงานระบุว่ามอญที่ร่ำรวยบางรายก็จะจ่ายเงิน 2 ถึง 3 หมื่นบาทเป็นค่าสวมบัตรแทนคนตายที่มีอายุไร่เรี่ยกัน ถ้ามีบัตรก็จะมีโอกาสได้เรียนสูงๆ และมีงานที่ดีทำ (หน้า 65) |
|
Belief System |
ความเชื่อทางศาสนาและเรื่องผี มอญนับถือศาสนาพุทธและมีความเชื่อเรื่องผี ผีที่นับถือ ได้แก่ ผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษ ทั้งนี้จะนับถือผีฝ่ายพ่อ ใน 1 ปีจะทำพิธีไหว้ผี 2 ครั้ง และถือว่าเป็นวันรวมญาติเพราะคนในบ้านจะมาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา (หน้า 98) ผีโมโทนเลีย มอญนับถือเพราะเป็นเจ้าแห่งทะเล หากลงทะเลมอญกับพม่าจะนับถือผีนี้อย่างมาก พิธีทำกันที่ด้านล่างของบ้าน และจะเชิญผีบ้านและผีที่อยู่แถวนั้นด้วย การไหว้จะทำพิธี 2 ครั้งต่อปี (หน้า 98, 99) เจ้าพ่อหลังเจดีย์พุทธคยา คือศาลผีของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่หลังเจดีย์พุทธคยา มอญเรียกปะโนก หมายถึงพ่อใหญ่ หรือผีปู่ มอญเชื่อว่าเจ้าพ่อจะช่วยคุ้มครองคนในหมู่บ้านให้อยู่อย่างมีความสุข มอญจะประกอบพิธีไหว้ประจำปี ในช่วงกลางปี (หน้า 99) เจ้าพ่อเขาใหญ่ เป็นละว้า ศาลอยู่ที่ทิโคร่งก่อนถึงถ้ำลิเจีย (หน้า 99) ศาสนา มอญนับถือศาสนาพุทธและมีความเชื่อเชื่อว่าหากทำบุญมาก เกิดชาติหน้าก็จะทำให้มีชีวิตมีความสุข (หน้า 99) คนมอญในหมู่บ้านมอญพลัดถิ่นจึงสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติดีทั้งกายวาจา ใจและหมั่นทำบุญตักบาตร นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออื่นๆ เช่น ห้ามเอาของที่วัดเพราะจะทำมาหากินไม่ขึ้น ไม่ให้ผู้หญิงเข้าในโบสถ์เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเคยมีผู้หญิงเข้าไปแต่ถูกฟ้าผ่าเสียชีวิต เพื่อพระเดินผ่านต้องนั่งและแสดงความเคารพ (เรื่องและภาพหน้า 100) วัดวังก์วิเวการาม (วัดหลวงพ่ออุตตมะ) เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านมอญพลัดถิ่น เนื่องจากเป็นที่จัดกิจกรรมต่างๆ พื้นที่ของวัดมี 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนบนมี โบสถ์ ศาลา วิหาร และกุฏิ ส่วนนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขา สำหรับส่วนล่าง มีเจดีย์พุทธคยาจำลอง หอระฆัง และศาลาขายของที่ระลึก มอญจะใช้บริเวณวัดทั้งสองส่วนจัดกิจกรรมประเพณีในท้องถิ่น และวัดเป็นบริเวณที่นักท่องเที่ยวมาชมบริเวณสามประสบ กับที่ตั้งของวัดเก่าที่จมน้ำ นมัสการหลวงพ่ออุตตมะ และไหว้พระธาตุพุทธคยาจำลอง (หน้า 59) สำหรับลานวัด จะเป็นที่จัดกิจกรรมของโรงเรียนวัดก์วังวิเวการาม และเป็นที่เลี้ยงเด็กเล็กก่อนวัยเรียน รวมทั้งเป็นที่จัดกิจกรรมต่างๆ (หน้า 59) สิ่งก่อสร้างที่สำคัญภายในวัดได้แก่ 1) ศาลาการเปรียญ ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา และเป็นที่พักค้างคืนของคนต่างถิ่น 2) โบสถ์ ใช้เป็นที่ปลุกเสกวัตถุมงคลและประกอบพิธีบวช 3) วิหารพระหินอ่อน เสาเป็นไม้แดงขนาดใหญ่ พระประธานเป็นหินอ่อนสีขาว หนัก 9 ตัน ที่หลวงพ่อ มอญ ไทย และกะเหรี่ยง อัญเชิญมาจากพม่า เรียกว่า หลวงพ่อขาว(หน้า 102) 4) เจดีย์พุทธคยาจำลอง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2526 โดยหลวงพ่อได้นำแบบองค์พระเจดีย์มาจากอินเดีย หลังจากที่เดินทางได้เดินทางไปเผยแพร่ศาสนากับพระธรรมทูตในอินเดีย ใน พ.ศ. 2525 (เรื่องและภาพหน้า 103) ศิลปะเป็นแบบอินเดียผสมมอญ ทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่า กว้าง ยาว และสูง 20 วา และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นนิ้วหัวแม่มือขวา ขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าว จำนวน 2 องค์เอาไว้ที่ยอดเจดีย์ และส่วนของยอดฉัตรทองคำหนัก 400 บาท (หน้า 104) 5) หอระฆัง เป็นศิลปะแบบมอญ สร้างอยู่บริเวณริมทะเลสาบ ตรงจุดนี้จะเป็นที่ชมวิวบริเวณสามสบ และพื้นที่วัดเก่าที่จมอยู่ใต้น้ำ (หน้า 104) สำหรับจำนวนพระเณร ในวัด เมื่อ พ.ศ.2545 มีพระจำนวน 73 รูป สามเณร 39 รูป ในช่วงเข้าพรรษาจะมีพระมาจำพรรษาประมาณ 200 รูป เนื่องจากในทุกปีจะมีการอุปสมบทหมู่ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่ออุตตมะ รวมทั้งพระจากพม่าที่มีบัตรสิทธิเข้ามาอยู่ช่วงเวลาสั้นๆ (หน้า 104) ประเพณีในรอบ 1 ปี เดือนอ้าย หรือ เดือน 1 วัดวังก์วิเวการาม จะจัดสอบนักธรรมโดยสอบภาษาบาลีและพระที่มาสอบจะพักอยู่ที่วัด มอญก็จะนำอาหารมาทำบุญที่วัด (หน้า 75, 76) เดือนยี่ หรือ เดือน 2 หลวงพ่ออุตตมะจะจัดท่องจำสอบท่องจำภาษาบาลีพระจะมาจากจังหวัดต่างๆ ในไทยและจากพม่า ชาวบ้านก็จะมาทำบุญที่วัด (หน้า 76) วันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันนี้จะทำขนมนมสาว(ขนมเทียน) มอบให้ญาติๆ และคนที่เคารพ และทำบุญที่วัด (หน้า 76) เดือน 4 วันคล้ายวันเกิดหลวงพ่ออุตตมะ ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำเดือน 4 ชาวบ้านและกรรมการวัดจะจัดพิธีหลายอย่าง เช่น พระสงฆ์วัดวังก์วิเวการามจะสวดมนต์ที่พุทธคยาจำลองก่อนวันเกิดหลวงพ่อ 9 วัน, พระสงฆ์ในจังหวัดกาญจนบุรี ต่างจังหวัดและพม่าจะมาร่วมทำบุญประมาณ 200 ถึง 300 รูป, มีงานฉลองอย่างน้อย 5 วัน 5 คืน (หน้า 76) จัดเตรียมสถานที่รดน้ำอวยพรแก่หลวงพ่ออุตตมะ (หน้า 77) จัดเตรียมอาหารเพื่อทำบุญ ในวันเกิดช่วงเช้าจะประกอบพิธีทางศาสนา หลวงพ่อจะถวายภัตตาหารแก่พระผู้ใหญ่ บริจาคทุนการศึกษา และเงินสำหรับสร้างวัด (ภาพและเรื่อง หน้า 78) วันสงกรานต์ ตรงกับวันปีใหม่มอญ มอญจะจัดงานดังนี้ ก่อนวันสงกรานต์จะทำ ข้าวแช่ เพื่อถวายพระและญาติผู้ใหญ่ และกินในวันงาน นอกจากนี้มีการเตรียม หม้อมงคล (มอญ เรียก "เนิงมะเงอ") บางบ้านจะใช้ขวดแก้วแทนหม้อและสิ่งของ เช่น ใบมะพร้าว 3 ใบ ใบชมพูป่า ด้าย 1 หลอด เทียน ไม้ขีดไฟ กรวดห่อผ้า ถุงใส่ทราย ข้าวสาร บ้านหลังหนึ่งจะเตรียมหม้อมงคล 1 ชุด โดยจะนำหม้อมงคลไปสวดที่วัดก่อนวันสงกรานต์ 1 วัน หลังจากสวดเสร็จ จะนำหม้อมงคล หรือขวดแก้ว เอาไปวางไว้ที่หิ้งมงคลที่ทำเอาไว้ที่หน้าบ้าน จากนั้นก็จะจุดเทียนด้วยเชื่อว่าคือทางลงของเทวดา สำหรับข้าวสาร กรวด ทราย จะนำไปสาดในบ้านและพื้นที่รอบบริเวณบ้านเพื่อให้เกิดความเป็นศิริมงคลและจะเก็บหม้อมงคลเมื่อจบงานวันสงกรานต์ (หน้า 80) เตรียมอาหารคาวหวานไปทำบุญ ทำความสะอาดบ้านเรือนและบริเวณบ้าน,ทำความสะอาดโกฏิของญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว (หน้า 80) วันสงกรานต์วันแรกจะนำอาหารไปทำบุญที่วัด (หน้า 81) ในวันสงกรานต์มอญจะเล่นสะบ้า เล่นสาดน้ำให้กัน จัดพิธีค้ำต้นโพธิ์เพื่อต่ออายุ ก่อเจดีย์ทราย ขนทรายเข้าวัดและกรวดน้ำให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้วในวันที่ 15-16 เมษายน ก็จะทำพิธีสรงน้ำพระในช่วงเย็นจะนำไม้ไผ่ลำขนาดใหญ่ผ่าครึ่ง นำ 2 ลำ มาทำเป็นรูปตัววีเป็นรางน้ำ (หน้า 83) ตรงกลางจะทำเป็นที่นั่งสำหรับพระ แล้วผู้ชายก็จะนอนเรียงกัน เพื่อเป็นทางเดินแก่หลวงพ่ออุตตมะให้เดินไปถึงที่นั่งที่จัดเป็นที่สรงน้ำ การเดินบนร่างกายของผู้มีจิตศรัทธานี้ เชื่อว่าทำเพื่อความศิริมงคลและให้หายจากป่วยไข้ (หน้า 83 ภาพ หน้า 84) วันฉลองมหาสงกรานต์จะทำหลังวันสรงน้ำพระ วันนี้จะตั้งกองผ้าป่า นำจานชามและช้อน ดอกไม้ธูปเทียน ไปถวายพระ (หน้า 84)กรวดน้ำให้ญาติที่เสียชีวิตไปแล้ว (หน้า 85) วันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตอนเช้าจะทำบุญตักบาตร ตอนเย็นจะไปที่วัดพระจะสวดมนต์และรดน้ำต้นโพธิ์ที่หลวงพ่อนำมาจากประเทศศรีลังกา พร้อมกับพระบรมสารีริกธาตุ คนที่มาวัดจะนำน้ำหอมรดน้ำต้นโพธิ์ บางรายก็จะนำไม้ไผ่ที่ตัดมาสูง เท่ากับตัวเองไปค้ำต้นโพธิ์ ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญ กระทั่ง 6 โมงเย็น ชาวบ้านจะนำขนม และผลไม้มาวางขายบริเวณด้านหน้าพุทธคยาจำลอง (เรื่องและภาพ หน้า 85) วันอาสาฬหบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ในคืนขึ้น 14 ค่ำ ก่อนวันอาสาฬหบูชา ชาวบ้านจะนำแจกันดอกไม้ไปที่วัด เพื่อเข้าร่วมในการประกอบพิธีสวดที่ศาลาวัด จากนั้นก็จะนำแจกันมาบ้านเพื่อบูชา ตอนเช้าวันขึ้น 15 ค่ำจะนำอาหาร ดอกไม้ธูปเทียน ไปทำบุญที่วัด ช่วงบ่ายจะใส่บาตรดอกไม้ธูปเทียน (หน้า 86, 87) วันเข้าพรรษา แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ตอนเช้าจะไปทำบุญ โดยนำต้นเทียน ผ้าอาบน้ำฝน ไปทำบุญที่วัดในตอนบ่ายจะไปเก็บเฟิร์นหิน มอญเรียก "เกาวเมาว์" ที่ขึ้นบริเวณหน้าผา นำมาจักแจกันหรือจะใช้ดอกไม้ที่ทำจากกระดาษสีต่างๆ ตอนกลางคืนประมาณ 1ทุ่มถึง 2 ทุ่มก็จะนำแจกัน ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อทำพิธีเข้าพรรษา (เรื่องและภาพหน้า 87) งานหม้อดิน หม้อทอง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 เมื่อก่อจะใช้หม้อดินแต่ทุกวันนี้จะใช้กะละมังแทนหม้อดิน เพราะหม้อดินไม่ค่อยมี แล้วจะใส่มะพร้าว ผงซักฟอก ข้าวสาร เงิน ทราย กะปิ น้ำปลา และอื่นๆ เพื่อนำไปทำบุญที่วัด เมื่อทำพิธีก็จะถวายหม้อเงิน หม้อทองให้วัด เพราะเชื่อว่าชาติหน้าจะทำให้มีอยู่มีกิน จากนั้นจะนำทรายกับข้าวสารกลับบ้านแล้วสาดในบ้านและบริเวณ ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง (หน้า 88) พิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 พิธีนี้ทำเพื่อสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ชีวิตคลาดแคล้วจากสิ่งอัปมงคลต่างๆ มีการเตรียมงานในวันขึ้น 14 ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมขนม ทำร่มกระดาษ ธงกระดาษ ดอกไม้ ธูปเทียน ส่วนการสร้างเรือจะช่วยกันทำ โดยจะใช้ไม้ไผ่ ทำเป็นเรือยาวขนาด 8 ถึง 10 เมตร กว้างขนาด 2 เมตร ด้านล่างจะทำเป็นล้อหมุนได้ เมื่อสร้างเสร็จจะตั้งไว้ที่ลานวัด (หน้า 88) ช่วงเช้ามืด เวลาประมาณตี 3 ถึงตี 4 ของวันขึ้น 15 ชาวบ้านจะนำสิ่งต่างๆ เช่น ข้าวสุก ข้าวตอก ขนม กล้วย อ้อย หมาก พลู เงิน ร่มกระดาษ ธงตะขาบ (หน้า 88) ตุงผ้า นำไปวางไว้ในเรือ สำหรับธูปเทียนจำนวนเท่าอายุ นำไปวางไว้บริเวณที่คณะกรรมการวัดเตรียมไว้เพื่อสะเดาะเคราะห์ เวลา 6 โมงเช้า พระสงฆ์ทำพิธีสวดที่เรือ ช่วงบ่าย ใส่บาตรดอกไม้ธูปเทียน ตอนกลางคืนผู้สูงอายุจะมาจำศีลที่วัด พระสงฆ์ทำพิธีสวด และเผาธูปเทียน (หน้า 89) วันแรม 1 ค่ำ ราว 7 โมงเช้า ชาวบ้านจะลากเรือไปลงแพในแม่น้ำ แล้วปล่อยเรือให้ลอยไปกลางน้ำเป็นอันจบพิธี (เรื่องและภาพ หน้า 89 ,90) วันออกพรรษา แรม 1 ค่ำ เดือน 11 จะทำพิธีตักบาตรเทโว และหลวงพ่อจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะตักบาตรเทโวที่วัดใด โดยจะทำผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละปี การตักบาตรเทโว จะทำประมาณ 8.00 น.ที่วัด ชาวบ้านจะนำอาหาร ผลไม้ ข้าวสุก ดอกไม้ ธูปเทียนมาใส่บาตร เวลาบ่าย 2 โมง ก็จะตักบาตรดอกไม้ที่วัดวังก์วิเวการาม (หน้า 90) เทศกาลทอดกฐิน เดือน 12 ก่อนถึงวัดกำหนดทอดกฐิน ชาวบ้านจะนำองค์กฐินมาตั้งที่บริเวณพุทธคยาจำลอง แต่ละคุ้มบ้านจะทำผ้าป่ามารวมกันแล้วแห่ไปวัด ในตอนเช้าจะแห่องค์กฐินจากพุทธคยาจำลอง ไปที่ศาลาวัด (เรื่องและภาพ หน้า 91) ลอยกระทง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตอนเช้าจะไปทำบุญตักบาตรที่วัด ตอนกลางคืนจะลอยกระทง ประกวดกระทง นางนพมาศ และมีงานแสดงต่างๆ (หน้า 92) งานบวช หากลูกชายอายุ 7 ถึง 14 ปี ก็จะบวชเณร ถ้าหากอายุ 20 ปี ก็จะบวชพระ ในอดีตการบวชเวลาจะบวช จะจัดพร้อมกันหลายๆ บ้าน และขี่ม้าหรือช้างไปวัด แต่ทุกวันนี้ต้องปรับตามความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากบริเวณหมู่บ้านใหม่มอญไม่มีที่ทำกิน การบวชจะบวชใครบวชมันและแต่ว่าใครจะสะดวกเวลาไหน สำหรับเครื่องอัฐบริขาร ประกอบด้วย สบง จีวร ร่มผ้าเหลือง บาตร สำหรับการทำขวัญนาคจะเหมือนกับพิธีรับขวัญเด็กแรกคลอด (หน้า 95) งานศพ การตายจากชราแก่เฒ่า หรือป่วยตายก็จะนำศพตั้งไว้ที่บ้าน แต่ถ้าตายโหงหรือเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตที่อื่น ก็จะนำศพไปตั้งไว้ที่วัด หากมีการเสียชีวิตที่บ้านใด ชาวบ้านจะมาช่วยกันต่อโลง และเสียค่าฌาปนกิจศพ บ้านละ 30 บาท การทำพิธีจะสวดศพ 3 วันจึงจะนำศพไปเผา และลูกหลานจะบวชหน้าไฟให้เป็นเวลา 7 วัน (เรื่องและภาพ หน้า 96) การเผาศพพระ การเผาจะแยกต่างหากจากคนทั่วไป สำหรับพระผู้ใหญ่จะสร้างปราสาท 9 ยอด การจุดไฟจะไม่จุดด้วยมือ แต่จะจุดด้วยลูกหนู (ไม้กระบอก ด้านหนึ่งยาวหนึ่งศอกกว้าง 1 คืบ ในกระบอกจะใส่ดินไฟ ด้านปลายอีกด้านจะเจาะรูเพื่อให้มีเปลวไฟออกมา เพื่อดันลูกหนูพุ่งไปข้างหน้า ทั้งนี้จะนำกระบอกห้อยกับลวด ครั้นลูกหนูวิ่งสุดลวด ก็จะหลุดจากปลายลวด ลอยไปปะทะกับปราสาทและโลง) การเผาศพพระจะเผาตั้งแต่เที่ยงคืน (หน้า 97) เครื่องรางของขลัง ลูกประคำเป็นเครื่องรางของขลังของหลวงพ่ออุตตมะ ที่มีผู้รู้จักแพร่หลาย หลวงพ่อจะแนะนำให้ผู้ศรัทธาท่าน ไหว้พระสวดมนต์ กับนับลูกประคำทั้ง 108 เม็ด ได้สื่อความหมายเพื่อให้นึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย อันหมายถึง พระพุทธคุณ 56 องค์ คือ อิติปิโสภควา พระธรรมคุณ 38 องค์ คือ สวาขาโต พระสังฆคุณ 14 องค์ คือ สุปฏิปันโน ทั้งนี้ที่ยอดลูกประคำจะใส่ลูกประคำไว้ 3 เม็ดที่หมายถึงพระรัตนตรัย ที่ประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (หน้า 145) |
|
Education and Socialization |
เทศบาลตำบลวังกะ มีโรงเรียนที่สอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมปลาย สังกัดกรมสามัญศึกษา 1 แห่งได้แก่ โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ชั้น ม.1 - ม.6 สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) คือ โรงเรียนอนุบาลสังขละบุรี (บ้านวังกะ) สอนชั้นอนุบาลถึงชั้น ป.6 โรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม สอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้น ม.3 และโรงเรียนสังกัดกรมพัฒนาชุมชน 1 แห่ง คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดการศึกษานอกโรงเรียน (หน้า 71) เด็กมอญจะเข้าโรงเรียนที่โรงเรียนวัดวังก์วิเวการามกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีเด็กเข้าเรียนประมาณปีละ 150 คน ครูพี่เลี้ยงเป็นชาวมอญ มีจำนวน 5 - 6 คน (หน้า 71,72,131) เด็กส่วนใหญ่จะเรียนจนจบการศึกษาชั้นมัธยมต้น และมีเด็กที่มีโอกาสได้เรียนต่อชั้น มัธยมปลายไม่ถึง 5% (หน้า 71) ผู้เขียนระบุว่า เนื่องจากนักเรียนมอญพลัดถิ่นเป็นคนต่างด้าวไม่มีบัตรประชาชน ถึงจะเรียนสูง และมีหลายมหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้ศึกษาต่อ แต่นักศึกษามอญ ไม่สามารถรับราชการในเมืองไทยได้ ดังนั้นจึงต้องทำงานได้ค่าจ้างอัตราที่ต่ำ และทำให้ความเป็นอยู่ไม่ดีขึ้นกว่าเดิมแม้จะได้รับการศึกษา (หน้า 64) การสร้างโรงเรียน หลวงพ่ออุตตมะได้ทำการสร้างโรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม โดยสร้างบริเวณหน้าโบสถ์ เมื่อ พ.ศ. 2512 เพราะว่าเด็กมอญขาดสถานที่เล่าเรียน เนื่องจากโรงเรียนฝั่งอำเภอมีนักเรียนจากหมู่บ้านอื่นไปเรียนเป็นจำนวนมาก การสร้างได้ร่วมกับชาวบ้าน นายทุนในพื้นที่ และกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการก่อสร้าง และหาอุปกรณ์ศึกษาแก่นักเรียน (หน้า 137) โรงเรียนเปิดสอนใน พ.ศ. 2512 เป็นโรงเรียนสาขาของโรงเรียนบ้านวังกะ แต่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อ "โรงเรียนวัดวังกะ" ต่อมาใน พ.ศ.2513 ได้เปิดสอนภาษาบาลีที่นี่ และจัดสนามสอบภาษาบาลีสำหรับพระสงฆ์ (หน้า 138) ส่วนโรงเรียนอุดมสิทธิศึกษาที่ตั้งชื่อตามสมณศักดิ์ของหลวงพ่ออุตตมะว่า พระครูอุดมสิทธาจารย์นั้น เป็นโรงเรียนมัธยมหลวงพ่อได้ดำเนินการสร้างและเปิดสอนเมื่อ พ.ศ.2513 ในบริเวณที่ดินของวัดสมเด็จ รับนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมบ้าน นิถะ ที่เพิ่งปิดตัวไปมาเล่าเรียน เริ่มแรกสร้างอาคารเรียนด้วยไม้ไผ่ ต่อมาจึงได้ปรับมาใช้วัสดุที่คงทนถาวร (หน้า 138) |
|
Health and Medicine |
สถานรักษาพยาบาล เทศบาล ต.วังกะ มีโรงพยาบาล 1 แห่ง หน่วยมาลาเรีย 1 แห่ง สถานีอนามัย 1 แห่ง เมื่อไม่สบายจะเดินไปรักษาที่ฝั่ง อ.สังขละบุรี (หน้า 60) สำหรับการรักษาอื่นๆ จะมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่กระทรวงสาธารณสุข มาฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ชาวบ้าน ปีละ 1 ถึง 2 ครั้ง (หน้า 61) หลวงพ่ออุตตมะกับการรักษาพยาบาล หลวงพ่ออุตตมะได้ก่อสร้างโรงพยาบาลสังขละบุรีแห่งใหม่ หลังจากที่สร้างเขื่อนเขาแหลมเมื่อ พ.ศ 2527 โดยขอให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สร้างโรงพยาบาล ที่บริเวณเขตบ้านห้วยมาลัยกับเวียคะดี้ (หน้า 142) พิธีกรรม เช่น หลวงพ่อไปสวดรักษาที่บ้านวังปะโท่ เพราะคนป่วยบ่อยเพราะเชื่อว่าเป็นเพราะผีทำให้เจ็บป่วย (หน้า 142) การรักษาด้วยสมุนไพร ปี พ.ศ.2501 ได้เกิดน้ำท่วมป่าทำให้ใบไม้เน่าเป็นแหล่งกำเนิดยุง ดังนั้นจึงทำให้ป่วยเป็น "ไข้ขี้นก" หลวงพ่อจึงต้มสมุนไพรที่ได้รับความรู้จากตำราแพทย์แผนโบราณของพ่อ (หน้า 142) พ.ศ.2503 ขณะที่หลวงพ่อ จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ "วัดหลวงพ่ออุตตมะ " ได้ตั้งศาลารักษาผู้ป่วยโดยมีลูกศิษย์เป็นผู้ช่วย 5-6 คน โดยต้มสมุนไพรรักษาไข้จับสั่น ซึ่งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่วยกันมาก นอกจากนี้ยังรักษาเมื่อถูกงูกัด (หน้า 143) แต่ถ้ากระดูกหักจะทาด้วยน้ำมันงาดำ ที่หลวงพ่อได้ทำรักษาตนเอง เมื่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี พ.ศ. 2516 ส่วนผสมน้ำมันงาดำ ประกอบด้วย งาดำนึ่งบดให้ได้น้ำมัน 1 ถ้วย ผสมกับ กระทือ กระชาย ไพล ใบมะงั่ว ใบมะนาว ลูกมะงั่ว ลูกสอดลีมอง (ผลไม้ป่าคล้ายกระท้อน) (หน้า 143,144) การคลอดลูก ขณะตั้งครรภ์จะมีข้อห้ามต่างๆ เช่น ห้ามพิงเสาบ้าน ไม่ให้นั่งที่บันได ไม่ให้ไปงานศพ ห้ามอาบน้ำตอนกลางคืน ห้ามเดินข้ามแม่น้ำลำคลอง เพราะเชื่อว่ามีผีอยู่ในนั้น การคลอดลูกโดยมากจะไปคลอดที่โรงพยาบาล เมื่อคลอดจะเรียกชื่อลูกชายเป็นภาษามอญว่า "โกนปลาย" ถ้าลูกผู้หญิงจะเรียก "โกนวู๊ด" ส่วนชื่อจริงจะตั้งชื่อไทย (หน้า93) หลังจากคลอดได้ 3 วันก็จะทำพิธี "จ่อปู่" รับขวัญแม่กับลูกเพื่อให้อยู่อย่างมีความสุข ญาติๆ ที่มาร่วมพิธีจะนำเงินหรือสิ่งของ จำพวก แป้ง สบู่ ผงซักฟอกมารับขวัญเด็ก สำหรับบ้านงานเมื่อทำพิธีสู่ขวัญลูกที่เกิดแล้ว จะเลี้ยงกาแฟ ชา ขนมปี๊บ และอาหารกับคนที่มาร่วมพิธี (เรื่อง และภาพ หน้า 94) หลังจากคลอด คนที่เป็นแม่เด็กจะอยู่ไฟอาบน้ำและต้มใบซะหยาดดื่ม แล้วนำก้อนหินเผาไฟมาวางไว้บริเวณท้อง (หน้า 94) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย หญิงมอญ จะสวมผู้นุ่ง ใส่เสื้อเข้ารูปเอวลอย แขนกระบอกสามส่วนแล้วใช้ผ้าสไบพาดไหล่ บางครั้งจะใส่เป็นชุดสีเดียวกันเพื่อความสวยงาม ผ้าที่สวมชอบใส่ผ้าลูกไม้ ติดกระดุมทอง ผมไว้ยาวมวยไว้ด้านหลัง ประดับด้วยหวีทอง หรือดอกไม้ สวมสร้อยทอง แหวน และกำไลข้อเท้า หากเป็นช่วงเทศกาลจะนุ่งผ้านุ่งสีแดง สวมเสื้อสีขาวซึ่งเป็นชุดประจำชาติมอญ (หน้า 73, 85, 90, 92,97) ในวันสงกรานต์ถ้าไปวัดจะนุ่งผ้านุ่งสีน้ำตาล สวมเสื้อขาว สไบสีน้ำตาลหรือสีขาว สวมลูกประคำ (หน้า 81) ชายมอญ นุ่งโสร่ง สวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาว งานสงกรานต์สวมผ้านุ่งสีน้ำตาลหรือสีเข้ม (หน้า 81) เวลามีงานจะสวมโสร่งแดง เชิ๊ตขาวอันเป็นชุดประจำชาติมอญ (หน้า 73, 85, 90, 92, 97 ภาพ หน้า 73 ) |
|
Folklore |
ตำนานที่มาการทำพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ ในอดีตขณะที่เจ้าเมืองสะเทิมกษัตริย์พม่า ได้ปกครองเมืองมอญ พระองค์ต้องการเผยแพร่ศาสนาพุทธแก่ชาวพม่า จึงส่งพระมอญชื่อ "พระพุทธโกษา" ออกเดินทางเพื่อไปคัดลอกพระไตรปิฎกที่ศรีลังกา เมื่อไปถึงเทวดาก็ช่วยพระพุทธโกษา คัดลอกพระไตรปิฎกจนเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินทางกลับ ขณะเดินทางกลางทะเลต้องเผชิญกับพายุร้าย จึงทำให้เสียเวลาในการเดินทาง (หน้า 88) เจ้าสะเทิมทรงรู้สึกกังวลจึงสั่งให้ช่างต่อเรือลำใหญ่ขนอาหารจำนวนมากเพื่อไปรอรับพระพุทธโกษา ส่วนประชาชนก็ทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อให้แคล้วคลาดจากอันตราย ต่อมาเรือขนพระไตรปิฎกของพระพุทธโกษา ก็มาถึงพม่าอย่างสวัสดิภาพ นับแต่นั้นจึงเป็นที่มาของพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ของพม่าและมอญมาจนถึงทุกวันนี้ (หน้า 88) ตำนานผีโมโทนเลีย โมโทนเลียเป็นมอญ เป็นลูกคนสุดท้อง เมื่อพ่อตายเหลือเพียงแม่ที่แก่เฒ่า โมโทนเลียเป็นคนตัดไม้ วันหนึ่งได้ไปตัดไม้บนเกาะกลางทะเลกับพี่ชาย กับลุงและคนในหมู่บ้านเพื่อนำไปขาย เวลานั้นโมโทนเลียใกล้จะได้บวชเรียนแล้ว ครั้นเดินทางไปถึงเกาะเมโมโจน ซึ่งเป็นเกาะที่มีแต่ผู้หญิงสวย แต่เป็นผีตายโหงทั้งหมด เมื่อถึงเกาะ โมโทนเลียซึ่งมีอายุน้อยที่สุดจึงได้เฝ้าเรือขณะที่คนอื่นๆ ไปช่วยกันตัดไม้ (หน้า 98) ต่อมามีหญิงสาวเป็นพี่น้องกันได้มาหาเขาที่เรือ ขณะนั้นโมโทนเลียกำลังนั่งดีดพิณ ทั้งสองจึงรู้สึกชอบโมโทนเลียจึงเข้ามาหาและอาสาทำอาหารให้กิน เมื่อพี่ชายกับลุงและเพื่อนบ้านมาถึง ก็อดแปลกใจไม่ได้ สงสัยว่ากลิ่นกับข้าวเหล่านั้น ล่องลอยมาจากที่ใด ดังนั้นโมโนโทนจึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ญาติและเพื่อนบ้านที่มาด้วยกันฟัง ดังนั้นญาติของเขาจึงทราบว่าหญิงทั้งสองเป็นผี จึงรีบออกเรือเพื่อจะกลับบ้าน (หน้า 99) อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดก็ไม่อาจกลับบ้านได้ ถ้าผีไม่อนุญาติ เพราะผีอยากให้มีคนอยู่ด้วย ทั้งหมดจึงจับฉลากเสี่ยงทายปรากฏว่า โมโทนเลียจับฉลากได้ แต่แม่ได้บอกเอาไว้ว่าโมโทนเลียจะต้องบวช ตนเองจะอยู่แทนน้อง แต่ผีไม่ยอมตกลง ดังนั้นลุงจึงทำร้ายโมโทนเลียจนเสียชีวิตและทิ้งร่างลงสู่ทะเล (หน้า 98) เมื่อกลับถึงบ้านพี่จึงเล่าเองราวที่เกิดขึ้นให้แม่ฟังแต่แม่ไม่เชื่อจึงไปดูที่เกาะดังกล่าว ดังนั้นโมโทนเลียจึงมาหาแม่และบอกว่าตนนั้นตายแล้ว จึงบอกแม่ว่าถ้าอยากเห็นลูก ในปีหนึ่งจะเรียกลูกให้มาหาได้ปีละ 2 ครั้ง โดยให้นำยำใบชา น้ำตาลจากต้นตาล กล้วย น้ำและเนื้อมะพร้าว มะพร้าวขูดใส่ข้าวเหนียวน้ำตาลเทียน เมื่อแม่เชิญโมโทนเลียมา ชาวบ้านคนอื่นเห็นก็พากันนับถือยกย่องให้โมโทนเลียเป็นเจ้ามหาสมุทรนับแต่นั้น (หน้า 98) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างมอญกับ พม่า, ไทยและกะเหรี่ยง มอญกับพม่า ส่วนใหญ่จะมีความขัดแย้งต่อกัน เรื่อง การเก็บภาษี หรือการเกณฑ์แรงงานซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นอกจากนี้บางครั้งพม่ายังมีนโยบายปราบปรามอญดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มอญอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเพื่อลี้ภัยทางการเมือง ในหลายยุคหลายสมัย การหนีเข้าไทยมีหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาทางการเมืองกับพม่า (หน้า 24) มอญกับไทย ความสัมพันธ์จะต่างกันไปแล้วแต่สถานการณ์ทางการเมือง ถ้ามอญมีปัญหากับพม่า มอญก็จะมาพึ่งไทยเพื่อขอลี้ภัยทางการเมือง เพื่อความปลอดภัยของชีวิตตนเองและญาติพี่น้อง แต่บางครั้งถ้าไทยไปทำสงครามที่พม่า ไปตีเมืองมอญ ไทยก็จะนำมอญกลับมาไทยในฐานะเชลยสงคราม อาทิเมื่อปี พ.ศ.2138 สมเด็จพระนเรศวร ทรงยกทัพไปตีเมืองหงสาวดีแต่ทว่าล้มเหลว เมื่อเดินทางกลับเมืองไทยก็กวาดต้อนมอญมาเป็นเชลย (หน้า 24) รายงานระบุว่า มอญมีความสัมพันธ์กับไทยดีกว่าพม่า ถ้าไทยมีอำนาจเหนือหัวเมืองมอญ ก็จะแต่งตั้งเจ้าเมืองมอญดูแลปกครองกันเอง (หน้า 24) และรัฐไทยก็ยินดีรับผู้อพยพมอญทุกครั้งเมื่อมีการลี้ภัยทางการเมือง มีแต่งตั้งตัวแทนไปรับผู้อพยพชาวมอญ (หน้า 25) นอกจากนี้มอญเข้ามาอยู่ในไทย ก็ได้รับสิทธิต่างๆ เสมอภาคกับคนไทย เช่น กษัตริย์ไทยจะพระราชทานที่ทำกิน และที่ดินสร้างบ้าน (หน้า 26) มอญกับกะเหรี่ยง กล่าวถึงการทะเลาะกันเรื่องที่ดินทำกินของมอญกับกะเหรี่ยง ที่ภูผาคู้ ช่วง พ.ศ.2516 จนหลวงพ่ออุตตมะต้องเดินทางไปไกล่เกลี่ย ทั้งนี้มอญไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดิน แต่เข้าไปทำกิน ส่วนกะเหรี่ยงได้ปล่อยที่ดินให้รกร้าง แต่อ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของ ดังนั้นหลวงพ่อจึงให้ตกลงกัน จากที่คุยกันกะเหรี่ยงยอมให้มอญทำกินแต่เป็นการเช่าและเก็บผลผลิตเป็นค่าเช่า ถ้าหากมอญปลูกข้าวได้ 100 ปี๊บต้องเสียค่าเช้าแก่กะเหรี่ยง 5 ปี๊บ หากมอญคนใดไม่จ่ายค่าเช่าก็ให้ขับไล่ร่ออกจากที่ดินแห่งนั้น (หน้า 139) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ก่อนสร้างเขื่อนเขาแหลมเมื่อ พ.ศ.2527 ประชากรใน อ.สังขละยังมีจำนวนน้อย ไม่มีปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนได้เกิดปัญหาที่ที่ดินทำกินไม่พอ เนื่องจากมอญต้องมาอยู่ในชุมชนวัดวังก์วิเวการามที่อยู่ตรงข้ามฝั่งอำเภอ ซึ่งเป็นที่ดินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่มอบให้หลวงพ่ออุตตมะสร้างวัด และจัดสรรเป็นที่อยู่ของมอญพลัดถิ่น เมื่อที่ดินทำกินไม่มีดังนั้นมอญจึงไปทำงานอื่น เช่น ค้าขาย รับจ้าง (หน้า 105-111, 161-177) |
|
Map/Illustration |
ภาพ ลำห้วยซองกาเลีย (หน้า 42) สังขละบุรี (หน้า 43) ที่ราบระหว่างหุบเขาที่ทำกินของชาวสังขละบุรี หลังการสร้างเขื่อนเขาแหลม (หน้า 43) ตลาดร้านค้าฝั่งตัวอำเภอสังขละบุรี (หน้า 44) ถนนคอนกรีตเข้าหมู่บ้านมอญ (หน้า 47) สะพานไม้ (หน้า 52) ถนนซอย 3 ขึ้นตรงมาจากสะพานไม้ (หน้า 52) โรงสีข้าว โรงภาพยนตร์ ตลาดเช้า ตลาดนัดยามเย็น (หน้า 54) ลักษณะช่องเหมือนหน้าต่างที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน (หน้า 57) บ้านเรือนริมน้ำแถบดงสัก (หน้า 58) อาชีพคนมอญสังขละบุรี (หน้า 69) ชุดประจำชาติมอญ ชุดผู้สูงอายุนิยมใส่ขึ้นวัด (หน้า 73) อาหารมอญ (หน้า 75) ละครมอญสั่งมาจากพม่า (หน้า 77) วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 วันคล้ายวันเกิดหลวงพ่ออุตตมะ (หน้า 78) ไม้ค้ำโพธิ์ต่ออายุ พิธียกยอดพระเจดีย์ทราย (หน้า 82) ชาวบ้านนอนเป็นสะพานให้หลวงพ่ออุตตมะเดิน รางน้ำสรงน้ำพระของมอญ (หน้า 84) พระนำสวดมนต์ ก่อนเปิดตลาดนิพพาน (หน้า 85) พิธีตักบาตรดอกไม้ (หน้า 86) หนุ่มสาวเตรียมตัวส่งดอกไม้ขึ้นวัด (หน้า 87) อาหารสำหรับสะเดาะเคราะห์ ชาวบ้านนำตุงมาใส่เรือสะเดาะเคราะห์ (หน้า 89, 90) ชาวบ้านแห่กองกฐิน (หน้า 91) พิธีจ่อปู่:รับขวัญแม่และเด็ก (หน้า 94) ศาลาตั้งสวดศพ (หน้า 96) พระสงฆ์เดินผ่านและสนทนาด้วย (หน้า 100) ดอกกรรณิการ์ (หน้า101) โบสถ์วัดวังก์ (หน้า102) เจดีย์พุทธคยาจำลอง (หน้า103) ตักบาตรตอนเช้า (หน้า107) มอญข้ามสะพานมาทำงานฝั่งอำเภอ (หน้า 108) ลูกหลานมอญนำอาหารไปส่งญาติที่จำศีลอยู่วัด (หน้า 109) ผู้เฒ่าผู้แก่ที่จำศีลอยู่วัด (หน้า 110) หลวงพ่ออุตตมะ (หน้า 117) บริเวณสามประสบ (หน้า 125) วัดเก่าจมน้ำ (หน้า 130 ,161) ชาวบ้านรอรับการปลุกเสกเครื่องราง เคาะศีรษะและเป่ามนต์ (หน้า 149,157) บัตรประจำตัวผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า (หน้า 192-195, 197) ตัวอย่างแบบพิมพ์ทะเบียนประวัติพม่าพลัดถิ่น (หน้า 200, 201) แผนที่ แผ่นดินมอญ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (หน้า 30) อ.สังขละบุรี (หน้า 40) พื้นที่ อ.สังขละบุรี หลังสร้างเขื่อนเขาแหลม พ.ศ. 2527 หมู่บ้านมอญ (หน้า 49) เส้นทางชีวิตหลวงพ่ออุตตมะ (หน้า 122) |
|
|