|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ชุมชน,ศาสนาคริสต์,การเปลี่ยนแปลง,ปัญหาการเผยแพร่คริสต์ศาสนา,ตาก |
Author |
Nancy Ashcraft |
Title |
At the Scent of Water |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
233 |
Year |
2529 |
Source |
Christian Literature Crusade, United States of America, |
Abstract |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงปัญหาหลักๆ ในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นความเชื่อใหม่เข้าไปในหมู่บ้านกะเหรี่ยงเหมาต้า ในเขตชายแดน อ.แม่สอด จังหวัดตาก คือ 1. การนับถือผีอันเนื่องมาจากความกลัวต่อปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะอาการป่วยไข้ของสมาชิกในชุมชน(หน้า 57) 2. วัฒนธรรมประเพณีความเชื่อแต่โบราณ เช่น การถือว่าผู้หญิงนั้นเกิดมาพร้อมกับอัปมงคล การดำเนินการทางพิธีกรรม หรือบทบาทต่างๆ ในสังคมชนเผ่าจะต้องมีผู้ชายเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อหมอสอนศาสนาที่เป็นเพศหญิงกระทั่งมีผู้ที่หันมานับถือศาสนาคริสต์มากขึ้นในหมู่บ้านแต่การให้ผู้หญิงเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในบรรดาคนสูงอายุ(หน้า 29, 44, 210) 3. อำนาจเก่า หรือการได้รับความยอมรับนับถิอของผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงต่อความเชื่อของภูตผี อาจถือเป็นวาระการเมืองที่คานต่อความเชื่อใหม่ที่จะมาลิดรอนอำนาจที่เคยมีอยู่ของตนไป จึงได้รับปฏิกิริยาต่อต้านทันที(หน้า 18) 4. ความเป็นอยู่อันห่างไกลความเจริญ และยากแค้น การเดินทางไม่สะดวก เป็นสิ่งที่ปกป้องชนเผ่าจากการควบคุมของรัฐและแรงปะทะภายนอกของวัฒนธรรมหลักของประเทศไทย(หน้า 23, 24, 53, 73) |
|
Focus |
สภาพการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง"Maw Dta" อ.แม่สอด จ.ตาก |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงพูดภาษากะเหรี่ยงเป็นหลัก มีจำนวนน้อยที่สามารถพูดภาษาไทยได้(หน้า 11-12, 25, 26, 28) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้าน"Maw Dta" เป็นกลุ่มกะเหรี่ยงที่ย้ายมาจากฝั่งพม่ากว่า 40 ปีก่อนที่ผู้เขียนจะเข้าไปเผยแพร่ศาสนา(หน้า 12) แต่ตามที่ผู้เขียนได้อ้างตำนานเล่าขานของชนเผ่ากะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยในบริเวณที่ผู้เขียนไปเผยแพร่ศาสนา เดิมทีชาวกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่อาศัยในแถบนี้มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในหุบเขาของธิเบต ในเวลาต่อมาชาวกะเหรี่ยงกว่าร้อยครอบครัวก็ได้แยกตัวและอพยพลงมาทางจีน(ไม่ปรากฏเหตุผลในหนังสือว่าเหตุใดจึงอพยพ) และเดินทางต่อมาเรื่อยๆ จนมาถึง ภูเขาที่อยู่ในพื้นที่สองฟากระหว่างชายแดนประเทศพม่า กับชายแดนประเทศไทย จึงได้ตั้งรกราก ก่อตั้งหมู่บ้านกระจายไปในพื้นที่ต่างๆ ในหุบเขาทั้งสองฝั่งประเทศ ส่วนใหญ่จะไม่ใช่ชุมชนหรือหมู่บ้านแบบถาวร แต่จะอพยพเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ ตามลักษณะระบบการเพาะปลูกแบบทำไร่หมุนเวียน คือเมื่อดินเพาะปลูกบริเวณนั้นไม่สามารถให้พืชผลที่ดีได้อีก ก็จะเผาและหักร้างถางพงไปในพื้นที่อื่น เพื่อทำไร่ต่อไป ส่วนชุมชุมชน "Maw Dta" ที่ผู้เขียนได้ไปใช้ชีวิตอยู่เพื่อเผยแพร่ศาสนานั้น ตั้งอยู่บริเวณชายแดนเขตประเทศไทย อ.แม่สอด จ.ตาก แต่อยู่ลึกเข้าไปในป่า ในช่วงเวลานั้นไม่มีทางรถสัญจร มีแต่ทางเกวียน เป็นชุมชนริเริ่มการสร้างหมู่บ้านถาวร โดยไม่ได้เคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่ทำๆ กันมา คาดว่าผู้ริเริ่มคือ นาย "Maw Dta" ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้นำหมู่บ้าน และมีชื่อเดียวกับหมู่บ้าน (หน้า 42) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้าน"Maw Dta" เป็นชุมชนพื้นที่สูง ตั้งอยู่ในเขต อ.แม่สอด จ.ตาก ห่างจากตัวอำเภอโดยใช้ทางเกวียนประมาณ 2 วัน ชุมชนประกอบด้วยบ้านประมาณ 50 หลังคาเรือน บ้านสร้างด้วยไม้ไผ่ รูปทรงเหมือนกันหมดคือ เป็นห้องโถงห้องเดียว ใช้เอนกประสงค์เป็นทั้งครัว ห้องกินข้าว และห้องนอน ผู้เขียนเชื่อว่ารูปแบบของบ้านนั้นได้รับอิทธิพลมาจากการนับถือผีด้วย ครอบครัวและชุมชนจะมีการขยายเมื่อลูกชายของบ้านมีภรรยา (หน้า 17,30,45, 99) |
|
Demography |
ในช่วงที่ผู้เขียนเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้าน ยาแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขสมัยใหม่ยังเข้าไปไม่ถึง อัตราการรอดชีวิตของเด็กแรกเกิด เกินกว่าครึ่งหนึ่งเสียชีวิตไปในสองสัปดาห์แรก และมากกว่าครึ่งหนึ่งของเด็กที่มีชีวิตรอดผ่านสองสัปดาห์แรกจะเสียชีวิตไปก่อนวัยที่สามารถจะเข้าโรงเรียนได้ (หน้า 55) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงในหมู่บ้านในช่วงของการบันทึก ยังมีระบบเศรษฐกิจแบบการพึ่งพิงธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือ อาหารได้มาจากการเก็บของป่า และล่าสัตว์ มีการปลูกข้าวแบบหมุนเวียนพื้นที่ นอกจากนั้นยังมีการปลูกฝิ่นอีกด้วย กระทั่งต่อมาหมู่บ้าน "Maw Dta" เริ่มก่อตั้งชุมชนถาวรในบรรดาหมู่บ้านกะเหรี่ยงในและแวกนั้น และเริ่มปลูกพืชสวนยืนต้นไว้เก็บกินผล มีการเลี้ยงควายไว้ใช้งาน เลี้ยงช้าง เพื่อนำไปรับจ้างลากซุงให้กับนายทุนที่ได้สัมปทานการตัดไม้เป็นฤดูกาล และเลี้ยงหมูตามธรรมชาติไว้กินเนื้อ (หน้า 5, 6,17,151,186,187) |
|
Social Organization |
หน่วยการปกครองที่ใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตก็คือ การปกครองของชุมชนหรือหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ โดยระบบของความเชื่อและจารีตมากกว่าที่จะเป็นรูปแบบการปกครองของรัฐซึ่งยังอยู่ห่างไกล จะมีการตั้งผู้ใหญ่บ้านหรือผู้นำหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ แต่ทั้งนี้ ผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดความเชื่อมักจะเป็นหมอผี และผู้สูงอายุจะได้รับการเคารพความคิดเห็นและเชื่อฟังจากคนในหมู่บ้าน การตัดสินการกระทำใดๆ ก็ตามที่ขัดต่อความเชื่อประเพณี จะไม่ถูกตัดสินโทษอย่างเป็นทางการ แต่จะได้รับการดูหมิ่นและไม่ให้เกียรติเท่าเทียมกับสมาชิกคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เช่น ผู้หญิงกะเหรี่ยงที่ไปแต่งงานกับคนนอกชนเผ่าจะได้รับการดูหมิ่นอย่างโจ่งแจ้ง เช่น ความคิดเห็นต่างๆ จะได้รับการเพิกเฉย ไม่ได้รับการดูแลแบ่งปัน หรือสุงสิงเสวนา(หน้า 19) แต่ถ้าหากความผิดนั้นเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศีลธรรม เช่น กรณีที่มีผู้ชายที่ล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กผู้หญิงหลายๆ คนอยู่เป็นนิจเกิดขึ้น บรรดาผู้นำในหมู่บ้านก็จะเสนอและลงความเห็นในบทลงโทษนั้นๆ ในกรณีนี้เมื่อแนวโน้มการกระทำของผู้ทำผิดไม่มีทีท่าว่าจะยุติหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ บทลงโทษผสมกับความเชื่อในเรื่องของความชั่วร้ายที่สิงสู่ก็ถึงขั้นต้องเอาชีวิต (หน้า 31) หน่วยของสถาบันที่รองลงมาก็คือ สถาบันครอบครัว ซึ่งจะมีพ่อเป็นผู้นำครอบครัว และได้รับความคาดหวังจากชุมชนให้ทำหน้าที่ดูแลหาเลี้ยงครอบครัว (หน้า 16, 74, 103, 104) |
|
Political Organization |
ในระหว่างช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้ใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ ผู้ใหญ่บ้านถูกแต่งตั้งจากรัฐบาล เป็นผู้ดูแลหมู่บ้านแต่ผู้นำทางความคิดและมีอิทธิพลแท้จริงมักเป็นผู้ดำรงค์ตำแหน่งหมอผีที่มาจากความเห็นชอบของคนในหมู่บ้านในมิติของวัฒนธรรม ความเชื่อ จารีตประเพณี มากกว่าอิทธิพลของรัฐ (หน้า 5, 18) |
|
Belief System |
ชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านนับถือภูตผีแต่ดั้งเดิม ตามทัศนะของผู้เขียนซึ่งเป็นมิชชันนารีเชื่อว่า ความเชื่อของชาวบ้านดั้งเดิมเกิดจากความกลัวในปรากฏการณ์ต่างๆ ที่อธิบายไม่ได้ มากกว่าความศรัทธา กล่าวคือ โดยทั่วไปคนกะเหรี่ยงมักเชื่อว่าโลกที่มองไม่เห็นที่ดำรงอยู่รอบตัวเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย คนกะเหรี่ยงมีความเชื่อในพระผู้สร้างเช่นกัน แต่แนวความคิดต่อพระผู้สร้างนั้นแตกต่างจากคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์โดยสิ้นเชิง เพราะโดยทั่วไปคนกะเหรี่ยงมักเชื่อกันว่ามนุษย์มีความชั่วร้ายอยู่ในตัวเป็นพื้นฐาน ดังนั้น จึงไม่มีใครสามารถเข้าถึงพระเจ้าองค์นี้ได้ อันเนื่องมาจากความชั่วร้ายในตัวเองนั่นเอง ขณะเดียวกันคนเราก็เกิดจากการสร้างแบบไม่ได้ใส่ใจ พระองค์จึงไม่ประสงค์ที่จะข้องแวะหรือได้ยินแม้เพียงเสียงร้องไห้ของเรา ในขณะเดียวกันพวกมนุษย์ก็ถูกห้อมล้อมด้วยวิญญาณอันชั่วร้าย และมันก็สามารถที่จะบันดาลความหายนะ ความโชคร้าย โรคภัยไข้เจ็บให้คนได้อยู่เสมอ(หน้า 61, 62, 74, 93) |
|
Education and Socialization |
ก่อนการเข้ามาของศาสนาคริสต์ กะเหรี่ยงในหมู่บ้านไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ แม้กระทั่งภาษาไทย เพราะยังไม่มีการศึกษาในระบบโรงเรียน แต่วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อจะเป็นกระบวนการถ่ายทอดด้วยการปฏิบัติและสั่งสอน บอกเล่าต่อๆ กันมามากกว่า ส่วนพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของหมอผีนั้น หากผู้สนใจก็จะได้รับการถ่ายทอดบทสวดมนตร์ การทำพิธีกรรมมาจากหมอผีคนเก่า ซึ่งผู้ที่ได้รับการยกย่องและยอมรับว่าเป็นหมอผีนั้น จะดำรงตำแหน่งผู้ปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่เกิดขึ้นของลูกบ้าน(ตำแหน่งหมอ) ขณะเดียวกันก็ดำรงตำแหน่งผู้นำในพิธีกรรมต่างๆ ด้วย (ตำแหน่งผู้นำศาสนา) (หน้า 6, 7, 8,195) นับแต่ศาสนาคริสต์เริ่มเผยแผ่เข้ามาทางชุมชนกะเหรี่ยงในเขตชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ในหมู่บ้านที่หันไปนับถือศาสนาคริสต์จะมีการก่อตั้งโรงเรียนสอนให้อ่านออกเขียนได้ (เพื่อที่จะใช้อ่านและศึกษาคัมภีร์ทางศาสนา) กะเหรี่ยงที่สนใจนับถือศาสนาคริสต์ถึงแม้ตนเองอ่านไม่ออก ก็นิยมให้ลูกหลานเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนสอนศาสนาคริสต์ หลังจากได้รับการศึกษาจนอ่านออกเขียนได้แล้ว คนรุ่นใหม่ก็เริ่มเป็นผู้ริเริ่มการค้าขายกับคนภายนอกเปลี่ยนรูปแบบการผลิตแบบยังชีพเป็นการพานิชมากขึ้น มีการติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น (หน้า 7,226) |
|
Health and Medicine |
ก่อนการเข้าไปถึงของแพทย์แผนปัจจุบัน การป่วยไข้ทั่วไปจะอาศัยสมุนไพรและหากอาการอยู่ในขั้นหนักก็จะถูกเชื่อว่าเป็นการกระทำของภูตผี และจะเป็นบทบาทของหมอผีในหมู่บ้านกระทำการรักษาโดยพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ และยาฝรั่งที่หมอสอนศาสนานำเข้าไปนั้นยังไม่ได้รับความเชื่อถือและการยอมรับ แต่กับการป่วยไข้เล็กๆ น้อยๆ ของเด็กๆ เช่น แผลสดที่เกิดจากอุบัติเหตุการเล่นซุกซน หรือโรคระบาดเช่นตาแดง จะไม่ได้รับความใส่ใจจากหมอผี ดังนั้นยาปัจจุบันจึงจะได้เข้าไปมีบทบาทในการรักษา ต่อมาเมื่อมีผู้ยอมรับนับถือศาสนาคริสต์เป็นที่พึ่งมากขึ้นก็มีการยอมใช้การรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันจากมิชชันนารีมากขึ้น มีการรักษาสุขภาพอนามัย เปลี่ยนพฤติกรรมการอาบน้ำมาอาบน้ำทุกวัน และทำความสะอาดเสื้อผ้าที่สวมใส่(หน้า 55, 56,187) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้บรรยายรูปแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในสไตล์ดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง (ในฝั่งพม่า) เชื่อมโยงกับอิทธิพลสีสันของธรรมชาติ และความเชื่อในเรื่องภูตผี ผู้หญิงจะใส่ชุดยาวและมีลายสีสันฉูดฉาดรอบๆ ชุด ส่วนผู้ชายชุดในพิธีกรรมก็จะสวมกระโปรงเช่นกัน โดยสีสันคล้ายจะเลียนแบบมาจากธรรมชาติเช่นสีฟ้าสดของท้องฟ้า หรือสีเขียวครึ้มของป่า(หน้า 1) ส่วนฝั่งไทยชุดในพิธีกรรมชาย จะใส่ชุดคลุมยาวสีแดง มีการผสมสไตล์ไทยและตะวันตกเข้าไปด้วย แต่ส่วนใหญ่กระบวนการทอผ้าจะเป็นไปตามพิธีกรรม ส่วนพิธีศพจะใส่ชุดสีขาว มีการร้อยลูกปัดห้อยคอ เพื่อเป็นเครื่องรางของขลังไว้กันภูตผีมากกว่าจะเป็นครื่องประดับ(หน้า 100) |
|
Folklore |
นอกจากเรื่องเล่าตำนานการเล่าขานการอพยพชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมาจากธิเบต ซึ่งบ่งชี้ประวัติศาสตร์หรืออธิบายที่มาที่ไปของชาติพันธุ์ของตัวเอง เรื่องเล่าที่ปรากฏในงานเขียน ผู้เขียนจะนำเสมอเรื่องเล่าต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงความเชื่อการนับถือผี ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเล่าของภูตผีวิญญาณที่มาส่งเสริมฐานความเชื่อที่มีอยู่เดิม (หน้า 43, 44) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ว่ากันตั้งแต่ตำนานการอพยพก็จะบ่งชี้ให้เห็นว่า กะเหรี่ยงค่อนข้างจะแยกตัวโดดเดี่ยว ไม่ประสงค์จะปะทะสังสรรค์กับวัฒนธรรมใดๆ กล่าวคือขณะที่เดินทางอพยพมายังที่ตั้งถิ่นฐาน ณ ปัจจุบัน กลุ่มผู้อพยพต้องผ่านคนพื้นเมืองที่มีชาติพันธุ์และภาษาแตกต่าง กะเหรี่ยงมักจะแยกตัวออกห่าง ต่อเมื่อมาอยู่ในไทย ก็ยังไม่ประสงค์ที่จะผสมกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมของไทย หรือของชนเผ่าอื่นๆ แต่กรณีสถานการณ์กะเหรี่ยงในพม่านั้นต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับประเทศพม่าและความเป็นชาติ พวกเขาถูกบังคับให้ต้องทำสงครามสู้รบ กระเหรี่ยงฝั่งไทยก็มองว่าคนพวกนี้กลายพันธุ์ไปแล้ว และเป็นจุดเริ่มต้นให้ไปนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 14, 42) |
|
Social Cultural and Identity Change |
1. จากการเข้ามาของศาสนาคริสต์ โดยมิชชันนารี หรือ หมอสอนศาสนา ทำให้ยาแผนปัจจุบันเริ่มเข้าไปมีบทบาทในการรักษาพยาบาลโรคต่างๆ โดยแซกซึมเข้าไปกับการค่อยๆ ยอมรับของคนรุ่นใหม่ ถึงแม้จะยังมีการผสมผสานระหว่างพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ (หน้า 55, 56) 2. การค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปของศาสนาคริสต์ก็มีผลไปสั่นคลอนความเชื่อต่างๆ เช่น โลกหลังความตาย วิญญาณร้าย แต่รากของความเชื่อดั้งเดิมนั้นยังอยู่ ศาสนาคริสต์จึงดำเนินไปด้วยการผสมผสานสองความเชื่อ ระหว่างการนับถือพระเจ้า กับผี 3. โบสถ์และโรงเรียนคริสต์ มีผลให้อัตราการอ่านออกเขียนได้ของคนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านเพิ่มขึ้น 4. การศึกษาทำให้กะเหรี่ยงในหมู่บ้านเหมาต้าเปลี่ยนจากการผลิตแบบยังชีพมาค้าขายและติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น(หน้า 226) |
|
Other Issues |
ปัญหาสังคม เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชุมชนกะเหรี่ยงคือการสูบฝิ่น ผู้เขียนได้อ้างว่า มีการซื้อฝิ่นจากพ่อค้าเผ่าแม้วที่นำมาขาย(หน้า 7) และสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ชายในหมู่บ้านหันไปสูบฝิ่นคือความล้มเหลวต่อความคาดหวังของสังคม(ในชุมชน) (หน้า 16) |
|
Map/Illustration |
1. บ้านและยุ้งฉางของคนกะเหรี่ยง (หน้า 22) 2. ซื้อเนื้อในตลาดแม่สอด (หน้า 22) 3. แมซซี่มักจะหาอะไรมาให้เรากินได้เสมอถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงใบไม้ เปลือกไม้หรือรากเท่านั้น (หน้า 39) 4. เหมาต้าดูแลภรรยาตอนป่วย (หน้า 59) 5. เด็กๆ มองมาจากชานหน้าบ้านเรา (หน้า 59) 6. โบสถ์ไม้ไผ่หลังแรกของหมู่บ้านเหมาต้า (หน้า 109) 7. พิธีศิลมหาสนิทในแม่น้ำของหมู่บ้าน (หน้า 109) 8. แนนซี่ กาย และเพื่อน (หน้า 149) 9. หว่า เป้า ผู้ซึ่งพ่อแม่ของเธอคิดว่าเธอปัญญาอ่อน (หน้า 149) 10. ครัวของกะเหรี่ยง (หน้า 149) 11. วิธีเดินทางที่น่าตื่นเต้น (หน้า 205) |
|
|