สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), อ่าข่า, ชาวเขา,โครงการพัฒนา,ผลกระทบ,เศรษฐกิจ,สังคมและการเมือง,แม่ฮ่องสอน
Author ชัยวัฒน์ ดิเรกวัฒนา
Title ผลกระทบของการดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันต่อชุมชนชาวเขา : ศึกษาเฉพาะกรณีพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Total Pages 154 Year 2538
Source รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองและการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ผลกระทบของการดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันต่อชุมชนชาวเขา : ศึกษาเฉพาะกรณีพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยแบ่งกลุ่มประชากรออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนากับกลุ่มที่ไม่อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนา จากการศึกษาพบว่า 1) การดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนับสำคัญต่อชุมชนชาวเขาในพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวคือ ในด้านเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงในระดับต่ำ เช่นการครอบครองทรัพย์สิน ความรู้การเกษตร รายได้ การถือครองที่ดิน การมีสัตว์เลี้ยง ในด้านสังคม มีผลกระทบต่อการศึกษาอยู่บ้าง ในลักษณะของการเริ่มให้ความสำคัญต่อการศึกษา และด้านการเมือง ไม่พบความแตกต่าง แต่มีเพียงการติดต่อสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น 2) ชุมชนชาวเขาในพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันไม่มีสภาพเศรษฐกิจ, สังคมและการเมืองที่แตกต่างจากชุมชนในพื้นที่ควบคุม ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน กล่าวคือ ในด้านเศรษฐกิจ ไม่มีความแตกต่างอย่างเด่นชัดในด้านรายได้ การใช้ความรู้ทางเกษตร การมีสัตว์เลี้ยง การครอบครองทรัพย์สิน ซึ่งชุมชนควบคุมจะมีช่วงรายได้และการครอบครองทรัพย์สินสูงกว่า ในด้านสังคม ระดับการศึกษา วิธีรักษาพยาบาล การวางแผนครอบครัวไม่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน มีเพียงชุมชนที่มีโครงการให้ความสำคัญกับระบบการศึกษามากกว่า และในด้านการเมือง ไม่พบความแตกต่างเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน การนับถือผู้นำมีเพียงประการเดียวที่แตกต่างคือ ชุมชนที่มีโครงการจะพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนมากกว่า (หน้า ข-ค)

 

Focus

ศึกษาผลกระทบการดำเนินการโครงการพัฒนาสูงไทย-เยอรมันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และแนวทางพัฒนาชุมชนพื้นที่สูง โดยเปรียบเทียบ ระหว่าง 2 พื้นที่คือ 1) พื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 4 ตำบล 48 หมู่บ้าน โดยคัดเลือกตำบลละ 2 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 5 ครัวเรือน รวมทั้งหมด 40 ครัวเรือน และ 2) หมู่บ้านควบคุมในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไม่มีโครงการพัฒนาเข้าไปดำเนินการ โดยคัดเลือก 8 หมู่บ้าน ใน 3 ตำบล หมู่บ้านละ 5 ครัวเรือน จำนวน 40 ครัวเรือน (หน้า 33)

 

Theoretical Issues

กล่าวถึงการพิสูจน์สมมุติฐาน 2 ข้อ ได้แก่ 1) โครงการพัฒนาตามรูปแบบที่เน้นการเพิ่มผลผลิตและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวเขาให้เหมือนคนพื้นราบ ซึ่งดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อชุมชนชาวเขาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง จากผลการศึกษาพบว่า ไม่เป็นไปตามสมมุติฐานนี้ ผลการดำเนินงานพัฒนาไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มประชากรตัวอย่าง ทั้งก่อนและหลังจากมีโครงการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบในทางเศรษฐกิจ กลับพบว่ามีผลการเปลี่ยนแปลงที่มีผลจาการพัฒนาน้อยกว่าก่อนมีโครงการ ส่วนในด้านสังคมมีผลกระทบในด้านการศึกษาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผกระทบอย่างกว้างขวางต่อกลุ่มตัวอย่าง ส่วนในด้านการเมืองและการปกครอง ยังมีการดำเนินตามปกติทั้งก่อนมีโครงการและหลังมีโครงการ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การพัฒนาตามรูปแบบที่เน้นการเพิ่มผลผลิตไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชุมชนชาวเขาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง สมมุติฐานข้อที่ 2) ชุมชนชาวเขาที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนามีสภาพเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแตกต่างกว่าชุมชนชาวเขาซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา จากการศึกษาพบว่าไม่เป็นไปตามสมมุติฐาน ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ กลุ่มประชากรทั้ง 2 กลุ่มระหว่างกลุ่มที่มีโครงการและกลุ่มที่ไม่มีโครงการไม่แตกต่างกัน จึงกล่าวได้ว่า โครงการพัฒนาไม่ได้มีผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงแตกต่างระหว่างประชากรทั้ง 2 กลุ่มแต่อย่างใด (หน้า 112-113)

 

Ethnic Group in the Focus

ชุมชนทั้ง 2 กลุ่มทั้งกลุ่มพื้นที่ที่มีโครงการและไม่มีโครงการ ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ใกล้เคียงกันทั้งหมด 6 เผ่าคือ เย้า ม้ง อีก้อ มูเซอ กะเหรี่ยง และลีซอ โดยมีมูเซอมากที่สุด และลีซอรองลงมา (หน้า 45)

 

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ได้ระบุ

 

Study Period (Data Collection)

ช่วงเวลาที่ศึกษาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2537 ถึง เมษายน พ.ศ. 2538 (หน้า 25, 33)

 

History of the Group and Community

ไม่ได้ระบุ

 

Settlement Pattern

ไม่ได้ระบุ

 

Demography

ประชากรกลุ่มตัวอย่างพื้นที่โครงการมีเพศชายร้อยละ 67.5 มีสถานภาพเป็นหัวหน้าครัวเรือนร้อยละ 55 และมีสถานภาพเป็นผู้อยู่อาศัยร้อยละ 37.5 มีประชากรอยู่ในช่วงระหว่าง 31.40-41.50 ปีมากที่สุด คือร้อยละ 35 และร้อยละ 35 ตามลำดับ ในพื้นที่ไม่มีโครงการมีเพศชายร้อยละ 72.5 และมีสภาพเป็นหัวหน้าครัวเรือนร้อยละ 95 ส่วนประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการมีอายุระหว่าง 31.40 ปี และ 41.50 ปี ร้อยละ 35 และ 30 ตามลำดับ (หน้า 46-48)

 

Economy

รายได้ของประชากรกลุ่มเป้าหมายในเขตพื้นที่โครงการ ทั้งก่อนและหลังมีโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน พบว่ารายได้หลังมีโครงการเฉลี่ยสูงขึ้น มากกว่าก่อนมีโครงการ อย่างไรก็ตามพบว่า กลุ่มระดับรายได้สูงหลังมีโครงการกลับมีจำนวนลดลงจากเดิม (หน้า 51) ส่วนการเปรียบเทียบรายได้ระหว่างกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่โครงการกับไม่มีโครงการ พบว่า ประชากรในพื้นที่โครงการที่มีรายได้ไม่เกิน 6,000 บาท มีจำนวนมากกว่าประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ ในขณะที่ประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการที่มีรายได้ 24,012 ถึง 31,200 มีจำนวนมากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการที่มีรายได้ระดับเดียวกัน (หน้า 90) ทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ควบคุมที่ไม่มีโครงการอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าพื้นที่โครงการซึ่งอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะอำเภอแม่แตงห่างจากตัวอำเภอเชียงใหม่ประมาณ 50 ก.ม. และมีศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ เข้าไปดำเนินการพัฒนาชาวเขาในพื้นที่ควบคุมปกติ แม้ว่าจะไม่มีโครงการความช่วยเหลือจากต่างประเทศ (หน้า 91) ส่วนการถือครองที่ดินพบว่า การถือครองที่ดินก่อนและหลังมีโครงการแตกต่างกัน กล่าวคือ การถือครองที่ดินก่อนมีโครงการระหว่าง 1-5 ไร่ และ 6-10 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 37.5 และ 45 ตามลำดับ ซึ่งภายหลังการถือครองที่ดินหลังมีโครงการกลับลดลง กล่าวคือ ผู้ถือครองที่ดินระหว่าง 1-5 ไร่ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 65 ขณะที่ผู้ถือครองที่ดิน 6-10 ไร่ ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 25 (หน้า 52) การมีสัตว์เลี้ยง พบว่าภายหลังมีโครงการกลุ่มเป้าหมายมีสัตว์เลี้ยง ได้แก่ เป็ด, ไก่, หมู, วัว, ควายลดลง กล่าวคือ ผู้ที่มีจำนวนสัตว์เลี้ยงระหว่าง 16-20 ตัว และ 21 ตัวขึ้นไป ก่อนมีโครงการมี ร้อยละ 35 และ 17.5 ตามลำดับ แต่ภายหลังมีโครงการลดเหลือเพียงร้อยละ 7.5 และ 10 ตามลำดับ ส่วนผู้ที่มีจำนวนสัตว์เลี้ยงระหว่าง 6-10 ตัว มีร้อยละ 50 เพิ่มขึ้นจากเดิมเพียง ร้อยละ 17.5 (หน้า 55) ส่วนการครอบครองสัตว์เลี้ยงระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการกับประชากรในพื้นที่ควบคุมที่ไม่มีโครงการ พบว่า ประชากรในพื้นที่โครงการมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากกว่าประชากรในพื้นที่ควบคุมที่ไม่มีโครงการ (หน้า 95) การครอบครองทรัพย์สินเช่น รถยนต์ รถจักรยายนต์ และวิทยุของกลุ่มประชากรหลังมีโครงการมีจำนวนมากกว่ากลุ่มก่อนมีโครงการ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ เช่น จักรยาน จักรเย็บผ้า โทรทัศน์ และปืน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (หน้า 56) ส่วนการครอบครอบทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงเช่นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ของประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการมีจำนวนมากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการ (หน้า 96) การบริโภคข้าวในครอบครัวก่อนมีโครงการลดลง กล่าวคือ มีจำนวนครอบครัวที่มีข้าวบริโภคเพียงพอมากกว่าจำนวนครอบครัวที่มีข้าวบริโภคเพียงพอ และมีจำนวนครอบครัวที่มีข้าวบริโภคไม่เพียงพอเพิ่มขึ้นหลังมีโครงการ (หน้า 60) ก่อนมีโครงการชาวบ้านแก้ปัญหาขาดแคลนข้าวด้วยการญาติ, เพื่อนบ้านหรือขายฝิ่น ส่วนหลังจากมีโครงการชาวบ้านแก้ปัญหาข้าวบริโภคไม่เพียงพอโดยการขอยืมธนาคาร สหกรณ์ หรือขายผลผลิตทางการเกษตรเพื่อนำเงินไปซื้อข้าว (หน้า 61) การมีรายได้เพียงพอต่อการใช้จ่าย พบว่าหลังโครงการชาวบ้านมีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายมากกว่าเดิมก่อนมีโครงการ (หน้า 64) ส่วนการออมภายหลังมีโครงการมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมออมเงินในบ้านมาสู่การออมเงินโดยฝากธนาคารมากขึ้น (หน้า 66) มีการกู้ยืมเงินจากคนเมืองเพิ่มขึ้น ซึ่งจากเดิมก่อนหน้ามีโครงการ มีการกู้ยืมเงินจากเพื่อนบ้านหรือญาติมากกว่า ทั้งนี้เพราะมีคนพื้นราบขึ้นมาประกอบอาชีพบนพื้นที่สูงมากขึ้น ชาวบ้านจึงมีทางเลือกกู้ยืมเงินดอกเบี้ยต่ำมากกว่า (หน้า 65) ส่วนพฤติกรรมการออมระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการกับไม่มีโครงการพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ นิยมฝากธนาคารมากว่าเก็บไว้ที่บ้าน อย่างไรก็ตามประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ มีการออมด้วยการซื้อเครื่องประดับมากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการ (หน้า 97)

 

Social Organization

การให้ความนับถือกับคนในชุมชน ก่อนมีโครงการประชากรกลุ่มตัวอย่างให้ความนับถือบุคคลสำคัญในชุมชนได้แก่ผู้อาวุโส และผู้ใหญ่บ้านรองลงมา และในขณะที่หลังมีโครงการ ผู้ใหญ่บ้านมีความสำคัญในฐานะเป็นตัวแทนของรัฐในหมู่บ้านจึงได้รับความนิยมนับถือเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้อาวุโส (หน้า 88) เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรในพื้นที่มีโครงการและไม่มีโครงการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน เว้นแต่ประชากรในพื้นที่โครงการมีการให้ความนับถือหมอสอนศาสนาด้วย (หน้า 109) ก่อนมีโครงการ การแก้ไขปัญหาเมื่อมีกรณีพิพาทในชุมชนโดยให้ผู้อาวุโสในหมู่บ้านเป็นผู้ตัดสิน มากกว่าผู้ใหญ่บ้าน แต่หลังมีโครงการ มีการเลือกผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดำเนินการมากกว่าผู้อาวุโส (หน้า 89) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการกับประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน และยังพบว่าทั้ง 2 กลุ่มไม่นิยมแก้ไขปัญหาด้วยการฟ้องร้องตำรวจหรือปลัดอำเภอ (หน้า 110)

 

Political Organization

การติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ พบว่าประชากรกลุ่มตัวอย่างหลังมีโครงการ มีการติดต่อกับหน่วยงานราชการและเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาให้คำแนะนำช่วยเหลือ มากกว่ากลุ่มตัวอย่างก่อนมีโครงการ (หน้า 84-85) นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างหลังมีโครงการยังมีความพอใจในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเลือกเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ช่วยแก้ไขปัญหามากกว่ากลุ่มตัวอย่างก่อนมีโครงการ (หน้า 86-87) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการกับประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน (หน้า 106-108)

 

Belief System

ไม่มีการกล่าวถึง

 

Education and Socialization

กลุ่มตัวอย่างหลังมีโครงการมีการสนับสนุนให้บุตรเรียนหนังสือมากกว่ากลุ่มก่อนมีโครงการ (หน้า 77) ส่วนการเปรียบเทียบระดับการศึกษาระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการและประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ พบว่ากลุ่มประชากรในพื้นที่โครงการมีระดับการศึกษาต่ำกว่า แต่มีการกระจายของระดับการศึกษามากกว่าประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ (หน้า 98)

 

Health and Medicine

วิธีการรักษาโรคของกลุ่มเป้าหมายหลังมีโครงการไม่แตกต่างกัน คือไม่ใช้วิธีการรักษาโรคแบบดั้งเดิม เช่น ใช้หมอผี ยาป่า และฝิ่น แต่ประชากรกลุ่มหลังโครงการมีการรักษาโรคแผนใหม่มากกว่า และรักษาแบบดั้งเดิมลดลง (หน้า 68) ส่วนการรักษาพยาบาลในพื้นที่ไม่มีโครงการมีการรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่มากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการ (หน้า 99) การรักษาสุขอนามัยบุคคล หลังมีโครงการมีการรักษาสุขภาพอนามัยดีกว่ากลุ่มประชากรก่อนมีโครงการ เช่น มีการอาบน้ำ แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า การใช้สบู่และผงซักฟอก ในขณะที่กลุ่มเป้าหมายก่อนมีโครงการมีการรักษาอนามัย 2-3 วัน ต่อครั้ง (หน้า 69) ส่วนการเปรียบเทียบการรักษาอนามัยบุคคลระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการและไม่มีโครงการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน กล่าวคือมีการใส่ใจเรื่องความสะอาดเหมือนกัน (หน้า 100) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว พบว่ากลุ่มตัวอย่างหลังมีโครงการมความรู้ความเข้าใจมากกว่า และมีทัศนคติที่ดีต่อการวางแผนครอบครัวกลุ่มตัวอย่างก่อนมีโครงการ (หน้า 70, 72) แต่เมื่อเทียบกับประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ พบว่าประชากรในพื้นที่โครงการมีความรู้น้อยกว่าประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ (หน้า 101) นอกจากนี้กลุ่มเป้าหมายหลังมีโครงการยังมีการใช้ยาจากกองทุนยา และมีโอกาสเข้าถึงการรับบริการจากหน่วยสาธารณสุขเคลื่อนที่มากกว่ากลุ่มเป้าหมายก่อนมีโครงการ (หน้า 73-76) เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ พบว่าประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการมีการเข้าถึงการรับบริการจากสาธารณสุขและการใช้ยาจากกองทุนยามากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการ (หน้า 105)

 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ได้ระบุ

 

Folklore

ไม่ได้ระบุ

 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ได้ระบุ

 

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การส่งเสริมการปลูกพืชเพื่อการยังชีพ ทำให้ชาวเขามีผลผลิตจากพืชเพื่อการยังชีพมากขึ้น หลายหมู่บ้านเพียงพอต่อการบริโภคทั้งปี การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเป็นรายได้ เพื่อลดการปลูกฝิ่น เช่น กาแฟ ถั่วแดง เสาวรส ละหุ่ง มันฝรั่ง และพืชผักอื่นๆ ทำให้ชาวเขามีทักษะความสามารถในการปลูกพืชหลายอย่าง อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาเรื่องการตลาด และการขายผลผลิตในราคาที่ไม่เป็นธรรม เรื่องการออม แต่เดิมการออมอยู่ในรูปเงินรูปีหรือของป่า มาสู่การออมเงิน และการลงทุนสำหรับพัฒนาอาชีพและการผลิต การปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ ซึ่งเดิมมีลักษณะทำไร่เลื่อนลอย0 มาสู่การปลูกพืชแบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และลดพื้นที่ปลูกฝิ่น (หน้า 114-115) การเปลี่ยนแปลงในด้านสังคม ได้แก่การส่งเสริมการศึกษาของโครงการทำให้กระตุ้นความสนใจต่อระบบการศึกษามากขึ้น การพัฒนาสาธารณะสุข ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาจากวิธีดั้งเดิมได้แก่การใช้หมอผีลดลง และหันมาใช้บริการสาธารณะสุขมากขึ้น และการพัฒนาชุมชน ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มการพัฒนาหมู่บ้านของตนเอง การพึ่งพาซึ่งกันและกัน ร่วมกันตัดสินใจและแก้ปัญหาร่วมกัน (หน้า 115-116) การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง ได้แก่ การจัดระบบการปกครอง ซึ่งเดิมให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน แต่โครงการพัฒนาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปกครองแบบคณะกรรมการ เช่นคณะกรรมการสภาตำบล คณะกรรมการหมู่บ้าน มากขึ้น การติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐ มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปในหมู่บ้านมากขึ้น เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ รับแนวคิดการพัฒนาจากรัฐและมีการพัฒนาหมู่บ้านรับบริการจากรัฐมากขึ้น มีการแก้ไขปัญหาตามระบบมากขึ้น จากเดิมเป็นการแก้ไขปัญหากันเองภายในชุมชนหมู่บ้าน หรือชาวบ้านด้วยกันเอง มาสู่การแก้ไขปัญหาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมด้วย และการสำนึกต่อส่วนรวมและโลกภายนอก มากขึ้น (หน้า 116-117)

 

Text Analyst ชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิช Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), อ่าข่า, ชาวเขา, โครงการพัฒนา, ผลกระทบ, เศรษฐกิจ, สังคมและการเมือง, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง