|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), อ่าข่า, ชาวเขา,โครงการพัฒนา,ผลกระทบ,เศรษฐกิจ,สังคมและการเมือง,แม่ฮ่องสอน |
Author |
ชัยวัฒน์ ดิเรกวัฒนา |
Title |
ผลกระทบของการดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันต่อชุมชนชาวเขา : ศึกษาเฉพาะกรณีพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า, ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
|
Total Pages |
154 |
Year |
2538 |
Source |
รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองและการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผลกระทบของการดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันต่อชุมชนชาวเขา : ศึกษาเฉพาะกรณีพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยแบ่งกลุ่มประชากรออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนากับกลุ่มที่ไม่อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนา จากการศึกษาพบว่า 1) การดำเนินงานโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนับสำคัญต่อชุมชนชาวเขาในพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวคือ ในด้านเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงในระดับต่ำ เช่นการครอบครองทรัพย์สิน ความรู้การเกษตร รายได้ การถือครองที่ดิน การมีสัตว์เลี้ยง ในด้านสังคม มีผลกระทบต่อการศึกษาอยู่บ้าง ในลักษณะของการเริ่มให้ความสำคัญต่อการศึกษา และด้านการเมือง ไม่พบความแตกต่าง แต่มีเพียงการติดต่อสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น 2) ชุมชนชาวเขาในพื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมันไม่มีสภาพเศรษฐกิจ, สังคมและการเมืองที่แตกต่างจากชุมชนในพื้นที่ควบคุม ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน กล่าวคือ ในด้านเศรษฐกิจ ไม่มีความแตกต่างอย่างเด่นชัดในด้านรายได้ การใช้ความรู้ทางเกษตร การมีสัตว์เลี้ยง การครอบครองทรัพย์สิน ซึ่งชุมชนควบคุมจะมีช่วงรายได้และการครอบครองทรัพย์สินสูงกว่า ในด้านสังคม ระดับการศึกษา วิธีรักษาพยาบาล การวางแผนครอบครัวไม่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน มีเพียงชุมชนที่มีโครงการให้ความสำคัญกับระบบการศึกษามากกว่า และในด้านการเมือง ไม่พบความแตกต่างเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน การนับถือผู้นำมีเพียงประการเดียวที่แตกต่างคือ ชุมชนที่มีโครงการจะพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนมากกว่า (หน้า ข-ค)
|
|
Focus |
ศึกษาผลกระทบการดำเนินการโครงการพัฒนาสูงไทย-เยอรมันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และแนวทางพัฒนาชุมชนพื้นที่สูง โดยเปรียบเทียบ ระหว่าง 2 พื้นที่คือ 1) พื้นที่ลุ่มน้ำลาง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 4 ตำบล 48 หมู่บ้าน โดยคัดเลือกตำบลละ 2 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 5 ครัวเรือน รวมทั้งหมด 40 ครัวเรือน และ 2) หมู่บ้านควบคุมในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไม่มีโครงการพัฒนาเข้าไปดำเนินการ โดยคัดเลือก 8 หมู่บ้าน ใน 3 ตำบล หมู่บ้านละ 5 ครัวเรือน จำนวน 40 ครัวเรือน (หน้า 33)
|
|
Theoretical Issues |
กล่าวถึงการพิสูจน์สมมุติฐาน 2 ข้อ ได้แก่ 1) โครงการพัฒนาตามรูปแบบที่เน้นการเพิ่มผลผลิตและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวเขาให้เหมือนคนพื้นราบ ซึ่งดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อชุมชนชาวเขาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง จากผลการศึกษาพบว่า ไม่เป็นไปตามสมมุติฐานนี้ ผลการดำเนินงานพัฒนาไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มประชากรตัวอย่าง ทั้งก่อนและหลังจากมีโครงการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบในทางเศรษฐกิจ กลับพบว่ามีผลการเปลี่ยนแปลงที่มีผลจาการพัฒนาน้อยกว่าก่อนมีโครงการ ส่วนในด้านสังคมมีผลกระทบในด้านการศึกษาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผกระทบอย่างกว้างขวางต่อกลุ่มตัวอย่าง ส่วนในด้านการเมืองและการปกครอง ยังมีการดำเนินตามปกติทั้งก่อนมีโครงการและหลังมีโครงการ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การพัฒนาตามรูปแบบที่เน้นการเพิ่มผลผลิตไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชุมชนชาวเขาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง สมมุติฐานข้อที่ 2) ชุมชนชาวเขาที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนามีสภาพเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแตกต่างกว่าชุมชนชาวเขาซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา จากการศึกษาพบว่าไม่เป็นไปตามสมมุติฐาน ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ กลุ่มประชากรทั้ง 2 กลุ่มระหว่างกลุ่มที่มีโครงการและกลุ่มที่ไม่มีโครงการไม่แตกต่างกัน จึงกล่าวได้ว่า โครงการพัฒนาไม่ได้มีผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงแตกต่างระหว่างประชากรทั้ง 2 กลุ่มแต่อย่างใด (หน้า 112-113)
|
|
Ethnic Group in the Focus |
ชุมชนทั้ง 2 กลุ่มทั้งกลุ่มพื้นที่ที่มีโครงการและไม่มีโครงการ ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ใกล้เคียงกันทั้งหมด 6 เผ่าคือ เย้า ม้ง อีก้อ มูเซอ กะเหรี่ยง และลีซอ โดยมีมูเซอมากที่สุด และลีซอรองลงมา (หน้า 45)
|
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาที่ศึกษาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2537 ถึง เมษายน พ.ศ. 2538 (หน้า 25, 33)
|
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
ประชากรกลุ่มตัวอย่างพื้นที่โครงการมีเพศชายร้อยละ 67.5 มีสถานภาพเป็นหัวหน้าครัวเรือนร้อยละ 55 และมีสถานภาพเป็นผู้อยู่อาศัยร้อยละ 37.5 มีประชากรอยู่ในช่วงระหว่าง 31.40-41.50 ปีมากที่สุด คือร้อยละ 35 และร้อยละ 35 ตามลำดับ ในพื้นที่ไม่มีโครงการมีเพศชายร้อยละ 72.5 และมีสภาพเป็นหัวหน้าครัวเรือนร้อยละ 95 ส่วนประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการมีอายุระหว่าง 31.40 ปี และ 41.50 ปี ร้อยละ 35 และ 30 ตามลำดับ (หน้า 46-48)
|
|
Economy |
รายได้ของประชากรกลุ่มเป้าหมายในเขตพื้นที่โครงการ ทั้งก่อนและหลังมีโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน พบว่ารายได้หลังมีโครงการเฉลี่ยสูงขึ้น มากกว่าก่อนมีโครงการ อย่างไรก็ตามพบว่า กลุ่มระดับรายได้สูงหลังมีโครงการกลับมีจำนวนลดลงจากเดิม (หน้า 51) ส่วนการเปรียบเทียบรายได้ระหว่างกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่โครงการกับไม่มีโครงการ พบว่า ประชากรในพื้นที่โครงการที่มีรายได้ไม่เกิน 6,000 บาท มีจำนวนมากกว่าประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ ในขณะที่ประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการที่มีรายได้ 24,012 ถึง 31,200 มีจำนวนมากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการที่มีรายได้ระดับเดียวกัน (หน้า 90) ทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ควบคุมที่ไม่มีโครงการอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าพื้นที่โครงการซึ่งอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะอำเภอแม่แตงห่างจากตัวอำเภอเชียงใหม่ประมาณ 50 ก.ม. และมีศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ เข้าไปดำเนินการพัฒนาชาวเขาในพื้นที่ควบคุมปกติ แม้ว่าจะไม่มีโครงการความช่วยเหลือจากต่างประเทศ (หน้า 91) ส่วนการถือครองที่ดินพบว่า การถือครองที่ดินก่อนและหลังมีโครงการแตกต่างกัน กล่าวคือ การถือครองที่ดินก่อนมีโครงการระหว่าง 1-5 ไร่ และ 6-10 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 37.5 และ 45 ตามลำดับ ซึ่งภายหลังการถือครองที่ดินหลังมีโครงการกลับลดลง กล่าวคือ ผู้ถือครองที่ดินระหว่าง 1-5 ไร่ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 65 ขณะที่ผู้ถือครองที่ดิน 6-10 ไร่ ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 25 (หน้า 52) การมีสัตว์เลี้ยง พบว่าภายหลังมีโครงการกลุ่มเป้าหมายมีสัตว์เลี้ยง ได้แก่ เป็ด, ไก่, หมู, วัว, ควายลดลง กล่าวคือ ผู้ที่มีจำนวนสัตว์เลี้ยงระหว่าง 16-20 ตัว และ 21 ตัวขึ้นไป ก่อนมีโครงการมี ร้อยละ 35 และ 17.5 ตามลำดับ แต่ภายหลังมีโครงการลดเหลือเพียงร้อยละ 7.5 และ 10 ตามลำดับ ส่วนผู้ที่มีจำนวนสัตว์เลี้ยงระหว่าง 6-10 ตัว มีร้อยละ 50 เพิ่มขึ้นจากเดิมเพียง ร้อยละ 17.5 (หน้า 55) ส่วนการครอบครองสัตว์เลี้ยงระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการกับประชากรในพื้นที่ควบคุมที่ไม่มีโครงการ พบว่า ประชากรในพื้นที่โครงการมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากกว่าประชากรในพื้นที่ควบคุมที่ไม่มีโครงการ (หน้า 95) การครอบครองทรัพย์สินเช่น รถยนต์ รถจักรยายนต์ และวิทยุของกลุ่มประชากรหลังมีโครงการมีจำนวนมากกว่ากลุ่มก่อนมีโครงการ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ เช่น จักรยาน จักรเย็บผ้า โทรทัศน์ และปืน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (หน้า 56) ส่วนการครอบครอบทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงเช่นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ของประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการมีจำนวนมากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการ (หน้า 96) การบริโภคข้าวในครอบครัวก่อนมีโครงการลดลง กล่าวคือ มีจำนวนครอบครัวที่มีข้าวบริโภคเพียงพอมากกว่าจำนวนครอบครัวที่มีข้าวบริโภคเพียงพอ และมีจำนวนครอบครัวที่มีข้าวบริโภคไม่เพียงพอเพิ่มขึ้นหลังมีโครงการ (หน้า 60) ก่อนมีโครงการชาวบ้านแก้ปัญหาขาดแคลนข้าวด้วยการญาติ, เพื่อนบ้านหรือขายฝิ่น ส่วนหลังจากมีโครงการชาวบ้านแก้ปัญหาข้าวบริโภคไม่เพียงพอโดยการขอยืมธนาคาร สหกรณ์ หรือขายผลผลิตทางการเกษตรเพื่อนำเงินไปซื้อข้าว (หน้า 61) การมีรายได้เพียงพอต่อการใช้จ่าย พบว่าหลังโครงการชาวบ้านมีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายมากกว่าเดิมก่อนมีโครงการ (หน้า 64) ส่วนการออมภายหลังมีโครงการมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมออมเงินในบ้านมาสู่การออมเงินโดยฝากธนาคารมากขึ้น (หน้า 66) มีการกู้ยืมเงินจากคนเมืองเพิ่มขึ้น ซึ่งจากเดิมก่อนหน้ามีโครงการ มีการกู้ยืมเงินจากเพื่อนบ้านหรือญาติมากกว่า ทั้งนี้เพราะมีคนพื้นราบขึ้นมาประกอบอาชีพบนพื้นที่สูงมากขึ้น ชาวบ้านจึงมีทางเลือกกู้ยืมเงินดอกเบี้ยต่ำมากกว่า (หน้า 65) ส่วนพฤติกรรมการออมระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการกับไม่มีโครงการพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ นิยมฝากธนาคารมากว่าเก็บไว้ที่บ้าน อย่างไรก็ตามประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ มีการออมด้วยการซื้อเครื่องประดับมากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการ (หน้า 97)
|
|
Social Organization |
การให้ความนับถือกับคนในชุมชน ก่อนมีโครงการประชากรกลุ่มตัวอย่างให้ความนับถือบุคคลสำคัญในชุมชนได้แก่ผู้อาวุโส และผู้ใหญ่บ้านรองลงมา และในขณะที่หลังมีโครงการ ผู้ใหญ่บ้านมีความสำคัญในฐานะเป็นตัวแทนของรัฐในหมู่บ้านจึงได้รับความนิยมนับถือเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้อาวุโส (หน้า 88) เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรในพื้นที่มีโครงการและไม่มีโครงการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน เว้นแต่ประชากรในพื้นที่โครงการมีการให้ความนับถือหมอสอนศาสนาด้วย (หน้า 109) ก่อนมีโครงการ การแก้ไขปัญหาเมื่อมีกรณีพิพาทในชุมชนโดยให้ผู้อาวุโสในหมู่บ้านเป็นผู้ตัดสิน มากกว่าผู้ใหญ่บ้าน แต่หลังมีโครงการ มีการเลือกผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดำเนินการมากกว่าผู้อาวุโส (หน้า 89) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการกับประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน และยังพบว่าทั้ง 2 กลุ่มไม่นิยมแก้ไขปัญหาด้วยการฟ้องร้องตำรวจหรือปลัดอำเภอ (หน้า 110)
|
|
Political Organization |
การติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ พบว่าประชากรกลุ่มตัวอย่างหลังมีโครงการ มีการติดต่อกับหน่วยงานราชการและเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาให้คำแนะนำช่วยเหลือ มากกว่ากลุ่มตัวอย่างก่อนมีโครงการ (หน้า 84-85) นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างหลังมีโครงการยังมีความพอใจในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเลือกเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ช่วยแก้ไขปัญหามากกว่ากลุ่มตัวอย่างก่อนมีโครงการ (หน้า 86-87) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการกับประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน (หน้า 106-108)
|
|
Education and Socialization |
กลุ่มตัวอย่างหลังมีโครงการมีการสนับสนุนให้บุตรเรียนหนังสือมากกว่ากลุ่มก่อนมีโครงการ (หน้า 77) ส่วนการเปรียบเทียบระดับการศึกษาระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการและประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ พบว่ากลุ่มประชากรในพื้นที่โครงการมีระดับการศึกษาต่ำกว่า แต่มีการกระจายของระดับการศึกษามากกว่าประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ (หน้า 98)
|
|
Health and Medicine |
วิธีการรักษาโรคของกลุ่มเป้าหมายหลังมีโครงการไม่แตกต่างกัน คือไม่ใช้วิธีการรักษาโรคแบบดั้งเดิม เช่น ใช้หมอผี ยาป่า และฝิ่น แต่ประชากรกลุ่มหลังโครงการมีการรักษาโรคแผนใหม่มากกว่า และรักษาแบบดั้งเดิมลดลง (หน้า 68) ส่วนการรักษาพยาบาลในพื้นที่ไม่มีโครงการมีการรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่มากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการ (หน้า 99) การรักษาสุขอนามัยบุคคล หลังมีโครงการมีการรักษาสุขภาพอนามัยดีกว่ากลุ่มประชากรก่อนมีโครงการ เช่น มีการอาบน้ำ แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า การใช้สบู่และผงซักฟอก ในขณะที่กลุ่มเป้าหมายก่อนมีโครงการมีการรักษาอนามัย 2-3 วัน ต่อครั้ง (หน้า 69) ส่วนการเปรียบเทียบการรักษาอนามัยบุคคลระหว่างประชากรในพื้นที่โครงการและไม่มีโครงการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน กล่าวคือมีการใส่ใจเรื่องความสะอาดเหมือนกัน (หน้า 100) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว พบว่ากลุ่มตัวอย่างหลังมีโครงการมความรู้ความเข้าใจมากกว่า และมีทัศนคติที่ดีต่อการวางแผนครอบครัวกลุ่มตัวอย่างก่อนมีโครงการ (หน้า 70, 72) แต่เมื่อเทียบกับประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ พบว่าประชากรในพื้นที่โครงการมีความรู้น้อยกว่าประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ (หน้า 101) นอกจากนี้กลุ่มเป้าหมายหลังมีโครงการยังมีการใช้ยาจากกองทุนยา และมีโอกาสเข้าถึงการรับบริการจากหน่วยสาธารณสุขเคลื่อนที่มากกว่ากลุ่มเป้าหมายก่อนมีโครงการ (หน้า 73-76) เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการ พบว่าประชากรในพื้นที่ไม่มีโครงการมีการเข้าถึงการรับบริการจากสาธารณสุขและการใช้ยาจากกองทุนยามากกว่าประชากรในพื้นที่โครงการ (หน้า 105)
|
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การส่งเสริมการปลูกพืชเพื่อการยังชีพ ทำให้ชาวเขามีผลผลิตจากพืชเพื่อการยังชีพมากขึ้น หลายหมู่บ้านเพียงพอต่อการบริโภคทั้งปี การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเป็นรายได้ เพื่อลดการปลูกฝิ่น เช่น กาแฟ ถั่วแดง เสาวรส ละหุ่ง มันฝรั่ง และพืชผักอื่นๆ ทำให้ชาวเขามีทักษะความสามารถในการปลูกพืชหลายอย่าง อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาเรื่องการตลาด และการขายผลผลิตในราคาที่ไม่เป็นธรรม เรื่องการออม แต่เดิมการออมอยู่ในรูปเงินรูปีหรือของป่า มาสู่การออมเงิน และการลงทุนสำหรับพัฒนาอาชีพและการผลิต การปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ ซึ่งเดิมมีลักษณะทำไร่เลื่อนลอย0 มาสู่การปลูกพืชแบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และลดพื้นที่ปลูกฝิ่น (หน้า 114-115) การเปลี่ยนแปลงในด้านสังคม ได้แก่การส่งเสริมการศึกษาของโครงการทำให้กระตุ้นความสนใจต่อระบบการศึกษามากขึ้น การพัฒนาสาธารณะสุข ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาจากวิธีดั้งเดิมได้แก่การใช้หมอผีลดลง และหันมาใช้บริการสาธารณะสุขมากขึ้น และการพัฒนาชุมชน ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มการพัฒนาหมู่บ้านของตนเอง การพึ่งพาซึ่งกันและกัน ร่วมกันตัดสินใจและแก้ปัญหาร่วมกัน (หน้า 115-116) การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง ได้แก่ การจัดระบบการปกครอง ซึ่งเดิมให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน แต่โครงการพัฒนาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปกครองแบบคณะกรรมการ เช่นคณะกรรมการสภาตำบล คณะกรรมการหมู่บ้าน มากขึ้น การติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐ มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปในหมู่บ้านมากขึ้น เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ รับแนวคิดการพัฒนาจากรัฐและมีการพัฒนาหมู่บ้านรับบริการจากรัฐมากขึ้น มีการแก้ไขปัญหาตามระบบมากขึ้น จากเดิมเป็นการแก้ไขปัญหากันเองภายในชุมชนหมู่บ้าน หรือชาวบ้านด้วยกันเอง มาสู่การแก้ไขปัญหาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมด้วย และการสำนึกต่อส่วนรวมและโลกภายนอก มากขึ้น (หน้า 116-117)
|
|
Text Analyst |
ชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิช |
Date of Report |
30 มิ.ย 2560 |
TAG |
ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), อ่าข่า, ชาวเขา, โครงการพัฒนา, ผลกระทบ, เศรษฐกิจ, สังคมและการเมือง, แม่ฮ่องสอน, |
Translator |
- |
|