สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ผู้หญิง,การสร้างความเป็นหญิงชายทางสังคม,เชียงราย
Author ชลดา มนตรีวัต
Title การสร้างความเป็นหญิงชายทางสังคมและจริยธรรมในชุมชนลาหู่ : กรณีศึกษาหญิงลาหู่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 195 Year 2541
Source ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

สภาพสังคมในหมู่บ้านลาหู่ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดปัญหาต่างขึ้นมามากมาย เช่นการค้าประเวณี การถูกล่อลวง ซึ่งเดิมมีการวิเคราะห์ว่ามาจากปัญหาการศึกษา หรือวัฒนธรรมที่เอื้ออำนวยให้ผู้หญิงถูกล่อลวง หรือสมัครใจไปค้าประเวณี แต่เมื่อศึกษาดูแล้ว สาเหตุดังกล่าวเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ สังคมไม่ได้ตระเตรียมให้ผู้หญิงมีบทบาทที่ต้องเผชิญกับโลกภายนอก ไม่ได้เตรียมกระบวนการสร้างความเป็นหญิงชายและการแบ่งงานกันทำ กล่าวคือ สังคมลาหู่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ผู้หญิงไม่สามารถอยู่บ้านและทำงานบ้านเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงหลายคนต้องออกจากบ้านเพื่อไปหารายได้ให้ครอบครัว ต้องไปใช้ชีวิตกับคนนอกเผ่า ซึ่งระบบสังคมลาหู่ไม่เคยตระเตรียมให้ผู้หญิงเหล่านี้ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ ทำให้ถูกล่อลวงได้ง่าย นอกจากนี้จริยธรรมของเผ่าลาหู่ใช้ตัดสินผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกัน เมื่อผู้หญิงถูกบังคับให้ออกจากชุมชนที่เคยใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิด และไม่เคยไปสัมผัสกับคนภายนอก สิ่งที่ตามมาคือความล้มเหลวในชีวิต ผู้หญิงที่แต่งงานกับคนนอกเผ่า จะต้องออกจากหมู่บ้านถึงแม้ว่าจะไม่มีความพร้อมก็ตาม ขณะที่ผู้ชายสามารถไปแต่งานกับใครที่ไหนก็ได้ แล้วพากลับมาอยู่ในหมู่บ้านได้ และถือเป็นเรื่องปกติ (หน้า ง-ฉ)

Focus

ศึกษาชาวลาหู่บ้านขาแหย่งพัฒนา ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอ แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยเน้นศึกษา บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงในชุมชนลาหู่ และศึกษาประวัติชีวิตผู้หญิงชาวลาหู่ 2 คนที่ย้ายมาจากหมู่บ้านเดียวกันมาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งคนหนึ่งจบลงที่ขายตัว แต่อีกคนหนึ่งประสบความสำเร็จในชีวิตตามแนวทางที่สังคมให้คุณค่า (หน้า 36)

Theoretical Issues

เมื่อกระบวนการพัฒนากลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสังคมลาหู่ เช่น ทำให้เกิดการสูญเสียที่ดินและเกิดความยากจน ทำให้ผู้หญิงต้องเพิ่มภาระหน้าที่ในการหาเลี้ยงครอบครัวมากขึ้นและอาจต้องไปทำงานรับจ้างนอกชุมชน จึงจำเป็นต้องจัดระเบียบความสัมพันธ์ของหญิงชายใหม่ ซึ่งเป็นไปอย่างช้าไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของบริบท อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างเพศ (หน้า 181) จากการศึกษาพบว่า 1) สังคมลาหู่มีกระบวนการผลิตซ้ำอุดมการณ์และจริยธรรมชายเป็นใหญ่ สังคมลาหู่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าลูกสาว หากครอบครัวได้ลูกชายจะมีงานเลี้ยงฉลองและพิธีกรรมยิ่งใหญ่ หากได้ลูกสาวครอบครัวจะไม่ทำพิธีฉลอง 2) เรื่องความสัมพันธ์หญิงชายในครอบครัว พบว่าฝ่ายชายลดบทบาทในครอบครัวลง โดยมีฝ่ายหญิงมาทำหน้าที่มากขึ้น รับผิดชอบทั้งงานในบ้านและการทำมาหาเลี้ยงครอบครัว และ 3) เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านกับสังคมภายนอก พบว่าผู้ชายจะได้รับโอกาสการศึกษาและการฝึกอบรม การได้งานมากกว่าผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงจะมีความเสี่ยงจากงานมากกว่า (หน้า 181-188)

Ethnic Group in the Focus

เมื่อกระบวนการพัฒนากลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสังคมลาหู่ เช่น ทำให้เกิดการสูญเสียที่ดินและเกิดความยากจน ทำให้ผู้หญิงต้องเพิ่มภาระหน้าที่ในการหาเลี้ยงครอบครัวมากขึ้นและอาจต้องไปทำงานรับจ้างนอกชุมชน จึงจำเป็นต้องจัดระเบียบความสัมพันธ์ของหญิงชายใหม่ ซึ่งเป็นไปอย่างช้าไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของบริบท อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างเพศ (หน้า 181) จากการศึกษาพบว่า 1) สังคมลาหู่มีกระบวนการผลิตซ้ำอุดมการณ์และจริยธรรมชายเป็นใหญ่ สังคมลาหู่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าลูกสาว หากครอบครัวได้ลูกชายจะมีงานเลี้ยงฉลองและพิธีกรรมยิ่งใหญ่ หากได้ลูกสาวครอบครัวจะไม่ทำพิธีฉลอง 2) เรื่องความสัมพันธ์หญิงชายในครอบครัว พบว่าฝ่ายชายลดบทบาทในครอบครัวลง โดยมีฝ่ายหญิงมาทำหน้าที่มากขึ้น รับผิดชอบทั้งงานในบ้านและการทำมาหาเลี้ยงครอบครัว 3) เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านกับสังคมภายนอก พบว่าผู้ชายจะได้รับโอกาสการศึกษาและการฝึกอบรม การได้งานมากกว่าผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงจะมีความเสี่ยงจากงานมากกว่า (หน้า 181-188)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ได้กล่าวถึง

Study Period (Data Collection)

เริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 และเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 - 2540 (หน้า 36)

History of the Group and Community

ลาหู่กลุ่มหนึ่งอพยพมาจากรัฐว้าประเทศพม่า ในช่วงปี พ.ศ. 2513 ทั้งหมด 14 ครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มเครือญาติกันทั้งหมด เริ่มตั้งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในบริเวณเดิมของหมู่บ้านขาแหย่งของชาวอาข่า ช่วงที่ชาวลาหู่ย้ายเข้ามา บริเวณดังกล่าวเป็นหญ้าคา ป่าไผ่ และไร่เก่าของชาวอาข่า ซึ่งเคยใช้ปลูกข้าวไร่ และข้าวโพด อีกหนึ่งปีต่อมามีชาวบ้านอพยพมาจากที่เดียวกันอีกกลุ่มหนึ่ง ในช่วงปี พ.ศ. 2515 หมู่บ้านมี 35 หลังคาเรือน ประชากรประมาณ 100 คน (หน้า 40) ช่วงแรกของการตั้งหมู่บ้าน ยังไม่มีผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการ จึงอาศัยผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านขาแหย่งอาข่ามาช่วยดูแล จนถึงปี พ.ศ. 2517 นายอาหลู่ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่มาบุกเบิกหมู่บ้าน ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก เป็นคนมีความสามารถหลายอย่าง เช่น สามารถพูดได้หลายภาษา จนชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาก นับแต่นั้นมาจึงตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า "บ้านอาหลู่" (หน้า 39) ในช่วงปี พ.ศ. 2516-2518 มีชาวลาหู่จากเมืองเชียงตุงในประเทศพม่าอพยพเข้ามา และยังทะยอยอพยพเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้หมู่บ้านมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 คน ในปี พ.ศ. 2518 กลายเป็นหมู่บ้านลาหู่ที่นับถือศาสนาคริสต์ใหญ่ที่สุด (หน้า 42) นอกจากชาวลาหู่แล้ว ยังมีชาวจีนฮ่อและชาวอาข่าอพยพเข้ามาบางส่วน ทำให้เกิดปัญหาการใช้ที่ดิน การขยายพื้นที่เพาะปลูกทำได้ยากขึ้น แต่ในปี พ.ศ. 2519 มีชาวบ้านบางส่วนเคลื่อนย้ายออกไปอยู่หมู่บ้านอื่น ทำให้ปัญหาประชากรและการใช้ที่ดินผ่อนคลายลง จากประชากร 135 ครัวเรือน เหลือเพียง 80 ครัวเรือน (หน้า 43) ต่อมาปี พ.ศ. 2520 มิชชั่นนารีเข้ามาส่งเสริมการเกษตร เน้นเรื่องการทำนาขั้นบันไดในไร่ นอกจากนี้ยังนำกาแฟ กิ่งชา และพืชตระกูลถั่วอื่นๆ ต่อมาก็มีการส่งเสริมปศุสัตว์เลี้ยงหมู วัว ควาย ซึ่งชาวบ้านให้ความสนใจอย่างมาก (หน้า 43) ในปี พ.ศ. 2530 มีหน่วยงานรัฐเข้ามาปลูกป่าในไร่เปล่า ทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบ ที่ดินทำกินเริ่มจำกัดมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านที่สูญเสียที่ดินทำกินต้องไปรับจ้างปลูกต้นไม้ให้กรมป่าไม้ รายได้วันละ 35 และ 30 บาท สำหรับผู้ชายและผู้หญิง ส่วนคนที่ยังพอมีที่นา แต่ไม่พอทำกิน จึงต้องดิ้นรนออกไปรับจ้างเหมือนกัน ปี พ.ศ. 2531 มีโครงการพัฒนาดอยตุงเข้ามาส่งเสริมอาชีพ มีการพัฒนาถนน ไฟฟ้า เข้ามาในหมู่บ้าน และมีนักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามามากขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอาข่าบ้านอาหลู่ (หน้า 45-46)

Settlement Pattern

ไม่ได้กล่าวถึง

Demography

หมู่บ้านมีประชากรทั้งสิ้น 462 คน เป็นผู้ชาย 210 คน ผู้หญิง 252 คน (หน้า 42) (ดูโครงสร้างประชากรประกอบ หน้า 62)

Economy

เมื่อแรกตั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านซื้อที่จากชาวอาข่าเจ้าของเดิม และขยายพื้นที่เพาะปลูกทำนาออกไปอีก สำหรับคนที่ไม่มีที่นาจะบุกเบิกไร่ข้าว ปลูกได้ไม่กี่ปีผลผลิตไม่ดีต้องปลูกพืชอื่นเช่น ข้าวโพด ถั่ว พริก สำหรับบริโภคในครัวเรือน แล้วบุกเบิกที่ใหม่เรื่อยไป (หน้า 41-42) เมื่อมีโครงการพัฒนาดอยตุงเข้ามา ในช่วงแรกมีการจ้างงานชาวบ้านบางส่วนทำให้มีฐานะเศรษฐกิจดี งานส่วนใหญ่จะเป็นงานปลูกป่า ปลูกดอกไม้ ปลูกกาแฟ รดน้ำต้นไม้ ดูแลกำจัดวัชพืชในสวน ทำความสะอาดและก่อสร้างในโครงการฯ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับจ้างกลับประสบความลำบาก เนื่องจากไม่มีที่ดินทำกิน อย่างไรก็ตาม ในช่วงต่อมา ทางโครงการฯ เริ่มมีการจ้างงานลดน้อยลง เอาเฉพาะคนที่พอมีฝีมือไปทำงานก่อสร้างถนนเท่านั้น คนที่เหลือจึงเกิดความยากลำบาก ต้องไปรับจ้างทำงานในไร่นา สวนกาแฟหรือสวนชาของชาวบ้านด้วยกัน บางคนออกไปทำงานนอกพื้นที่ ซึ่งบางครั้งออกไปเพียงหนึ่งฤดูกาล แต่บางกลุ่มก็ออกไปทำงานข้างนอกเป็นปี จนกระทั่งสามารถตั้งบ้านเรือนในเมืองเช่นเชียงใหม่ได้ โดยทำงานตัดเย็บผ้าชาวเขาส่งขายตามร้านขายสินค้าหัตถกรรม นอกจากนี้ มีชาวบ้านบางคนไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง สามารถส่งเงินกลับมาที่บ้านได้มาก แต่มีบางส่วนกลับมาอยู่ที่บ้าน เพราะมีปัญหาเรื่องงาน และคิดถึงบ้าน (หน้า 55-56)

Social Organization

เด็กอายุประมาณ 10 ขวบขึ้นไป จะถูกสอนห้ามเกี้ยวพาราสีกับญาติใกล้ชิดของตน ผู้ใหญ่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าใครเกี้ยวพาราสีกันหรือแต่งงานกันได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้เพราะสังคมลาหู่สืบสายตระกูลทางแม่ แต่จะไม่มีแซ่หรือนามสกุลที่บ่งบอกแน่ชัดว่าเป็นญาติกัน (หน้า 84) เด็กผู้ชายอายุประมาณ 15-20 ปี และผู้หญิงอายุประมาณ 13-16 ปี เป็นช่วงที่เด็กจะต้องสร้างจุดเด่นของตัวเองเพื่อให้เพศตรงข้ามสนใจ ผู้ชายจะต้องแสดงความสามารถล่าสัตว์ ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จจะมีชื่อเสียงและได้รับการยกย่อง ส่วนผู้หญิงจะแสดงความขยันขันแข็งต่องานในไร่และงานบ้าน จึงจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหญิงที่มีลักษณะดี อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันค่านิยมเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากงานล่าสัตว์และงานในไร่มีน้อยลง การเลือกคู่ปัจจุบันจึงขึ้นกับความพอใจของญาติผู้ใหญ่ และห้ามเกี้ยวพาราสีกับญาติที่ใกล้ชิดกับตน หากหนุ่มสาวชอบพอกัน จะให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายมาสู่ขอฝ่ายหญิงในเวลากลางคืน ถ้าแต่งงานกันซึ่งมักแต่งกันที่โบสถ์ ฝ่ายชายต้องมาอยู่รับใช้แรงงานที่บ้านฝ่ายหญิงเป็นเวลา 3-4 ปี จึงแยกเรือนได้ (หน้า 84-86) หากใครไม่สามารถหาคู่ได้ หรือแต่งงานช้าจะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี เพราะมาจากตระกูลไม่ดี เช่นมี "ต๊อย" หรือมีผี เคยเป็นโรคเรื้อนหรือเป็นโรคประสาท (หน้า 88) ในสังคมลาหู่ ระบบเครือญาติมีความสลับซับซ้อน มีการนับถือผูกพันทั้งร่วมสายบิดามารดาและตระกูลของลูกเขยและสะใภ้ คนที่ไม่มีเครือญาติจะถูกมองด้วยความสงสาร ไม่มีอำนาจต่อรอง เครือญาติจึงเป็นหลักประกันความมั่นคงของชีวิต ในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหา (หน้า 114-115) (ดูภาพประกอบหน้า 115) สังคมลาหู่นิยมการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว การแต่งงานระหว่างเครือญาติสามารถทำได้เฉพาะคู่ที่เกี่ยวดองเป็นลูกพี่ลูกน้อง ของน้องสาวหรือของพี่สาวของพ่อกับลูกของน้องชาย หรือพี่ชายของแม่เป็นการแต่งงานระหว่างลูกพี่ลูกน้องแบบขวาง (Cross Cousin Marriage) อายุที่เหมาะสมกับการแต่งงานคือฝ่ายชาย 16 ปีขึ้นไป และฝ่ายหญิง 14 ปีขึ้นไป (หน้า 101 ดูรูปที่ 1, 2 หน้า 101 ประกอบ) ลาหู่มีข้อห้ามคนที่สืบตระกูลสายตรงสามรุ่นแต่งงานกัน แต่ฝ่ายชายอาจแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องในรุ่นที่สามได้ และฝ่ายชายชายไม่สามารถแต่งงานกับน้องสาวของภรรยาที่ตาย เว้นแต่จะมีการหย่ากัน แต่ปัจจุบันข้อห้ามนี้ไม่เข้มงวดนัก ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าญาติที่เกิดจากการแต่งงาน ไม่ได้มีความสำคัญเหมือนกับญาติพี่น้องตามสายโลหิต ข้อห้ามอีกประการหนึ่ง คือห้ามแต่งงานระหว่างพี่น้องฝ่ายสามีกับพี่น้องฝ่ายภรรยา แต่ปัจจุบันความเชื่อต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ถูกมองว่ากฎเกณฑ์ดั้งเดิมล้าหลังไม่ทันสมัย (หน้า 103) ครอบครัวชาวลาหู่มีอัตราการเกิดสูงมาก จึงเกิดการแบ่งหรือแลกลูกไปให้ญาติพี่น้อง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างจำนวนลูกชายและลูกสาว การแลกลูกจะนิยมทำกันในวัยเด็กเล็กก่อนที่เด็กจะจำความได้ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจะปกปิดเป็นความลับ เมื่อได้เด็กมาเลี้ยงแล้ว จะต้องแสดงความขอบคุณโดยให้ของตอบแทนเล็กน้อย จำพวกพืชอาหาร ตลอดจนม้า วัว ควาย เป็นต้น บางครั้งการให้ลูกเกิดจากพ่อแม่ติดฝิ่น หรือยากจน มีลูกมากเลี้ยงไม่ไหว หากไม่สามารถหาในหมู่บ้านได้ ต้องไปขอลูกจากหมู่บ้านลาหู่บ้านอื่น โดยมีค่าตอบแทนให้ แต่จะไม่นิยมให้ลูกแก่คนที่ไม่รู้จัก ระยะต่อมาพบว่าการแบ่งหรือให้ลูกมีความสลับซับซ้อนขึ้น เนื่องจากการติดต่อสัมพันธ์กับเผ่าอื่น เกิดการให้ลูกแก่เผ่าอื่นไปเลี้ยง แต่ยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทและพูดภาษาลาหู่ได้ เผ่าที่นิยมยกให้มากที่สุดคือจีนฮ่อ เพราะใกล้ชิดกับลาหู่มากที่สุด (หน้า 99) การแต่งงานระหว่างเผ่าต้องปรับตัวเรื่องวิถีชีวิตเป็นอย่างมาก และส่วนใหญ่จะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย ซึ่งต่างกับการแต่งงานในเผ่าเดียวกัน เมื่อแต่งงานแล้วแต่งยังอยู่ในความดูแลของญาติฝ่ายหญิง (หน้า 99-100) หากชีวิตคู่ไม่ประสบความสำเร็จ เกิดการหย่าร้างกัน ฝ่ายหญิงจะได้ลูกสาวไปเลี้ยง ส่วนฝ่ายชายจะได้ลูกชายไปดูแล ลูกสาวจากครอบครัวหย่าร้างจะถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกของคนไม่ดี ดังนั้นจะถูกบังคับให้แต่งงานเร็วขึ้น เพื่อจะได้พ้นสถานภาพลูกสาวแม่หม้าย แต่ผลที่ตามมาคือเด็กมักแต่งงานในขณะที่ตัวเองยังไม่พร้อม ส่งผลให้ชีวิตคู่แต่งงานล้มเหลว (หน้า 100)

Political Organization

ในหมู่บ้านจะมีคณะกรรมการ ซึ่งมี 6 ฝ่าย คือ 1) ฝ่ายปกครอง (ผู้ใหญ่บ้านกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน) 2) ฝ่ายการเงิน 3) ฝ่ายวัฒนธรรม 4) ฝ่ายสตรี 5) ฝ่ายเด็กวัยรุ่น และ 6) ฝ่ายการศึกษา กรรมการทำหน้าที่ตั้งกฎหมู่บ้าน หากมีการกระทำผิด เช่น เรื่องยาเสพติด ฝ่ายปกครองจะทำหน้าที่ตักเตือน หากยังมีการละเมิดจะถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ของโครงการฯ ซึ่งเป็นกรรมการร่วม แล้วจึงส่งตัวไปดำเนินคดี ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญต่อคณะกรรมการหมู่บ้าน มากกว่ากรรมการตัวแทนโครงการฯ ทั้งนี้เพราะชาวบ้านต้องการจัดการเรื่องที่เกิดในหมู่บ้านด้วยตัวเอง ซึ่งยังต้องใช้มิติทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (หน้า 59) เรื่องการได้สัญชาติ ชาวบ้านที่เข้ามาอยู่กลุ่มแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 จะได้รับสัญชาติไทยในช่วง พ.ศ. 2531-2352 เพราะมีเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์เข้ามาสำรวจจัดทำบัญชีรายชื่อไว้ ส่วนชาวบ้านที่ย้ายมาทีหลัง บางคนยังไม่ได้รับการโอนสัญชาติ เพราะความยุ่งยากในการติดต่อราชการ (หน้า 59)

Belief System

ลาหู่บ้านอาหลู่มีความเชื่อในเรื่องบทบาทและการแบ่งแรงงานระหว่างหญิงชาย โดยถือว่าเพศชายเป็นเพศที่แข็งแรงและธรรมชาติสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นผู้นำ ต้องมีความกล้าหาญ เฉลียวฉลาด สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ และแก้ไขสถานการณ์ได้ ขณะเดียวกัน เพศหญิง ต้องช่วยงานผู้ชาย ทำงานในบ้านเช่น ให้กำเนิดลูก รับผิดชอบงานในบ้านและในไร่ ต้องเป็นผู้มีความอ่อนน้อม เรียบร้อย และเป็นผู้ตามเสมอ (หน้า 68) (หน้า 88-91) ครอบครัวลาหู่จะมีความคาดหวังต่อบุตรต่างกัน หากเป็นผู้ชายจะต้องการความปลอดภัยและชื่อเสียงมาให้ครอบครัว และยังแสดงถึงอำนาจ ความยิ่งใหญ่ของครอบครัว หากเป็นลูกสาว จะมีความคาดหวังว่าจะนำพาครอบครัวไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย เพราะลูกสาวจะนำแรงงาน (ลูกเขย) มาสู่ครอบครัว ลูกเขยจะต้องทำงานหนักเพื่อให้ครอบครัวของภรรยามีความมั่งคั่ง ตามประเพณีแล้ว ผู้ชายจะต้องไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง อย่างน้อย 6-9 ปี (หน้า 68-69) การเลือกคู่ เดิมจะเป็นการตัดสินใจจากผู้ใหญ่ และมีการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว ซึ่งจะต้องไม่ให้เห็นหน้ากัน นอกจากร้องเพลง เป่าใบไม้และเป่าขลุ่ยตอบโต้กัน และต้องเป็นที่รับรู้ของผู้ใหญ่ (หน้า 91-92) การแต่งงานจะกระทำกันในโบสถ์ได้ ต้องเป็นคู่ที่แต่งงานครั้งแรก เจ้าสาวต้องสาบานว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ หากใครโกหกจะประสบความโชคร้ายและชาวบ้านไม่ให้การยอมรับ หรือถ้ามีการท้องโดยไม่ได้แต่งงานจะถูกสังคมประณาม หากไม่บริสุทธิ์จะต้องไปแต่งงานที่อื่น เช่นหอประชุม บ้านผู้ใหญ่บ้าน หรือบ้านเจ้าสาว (หน้า 92-94) ลาหู่จะมีประเพณีพิธีกรรมที่ปฏิบัติกันมาในเรื่องการฝังรก และการให้มื้อแรกและให้อาหารมื้อแรก การฝังรก ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย พ่อของเด็กจะเป็นคนเอารกไปฝังไว้ที่บริเวณบ้าน ด้วยความเชื่อว่าให้เด็กดูแลบริเวณบ้าน ตลอดจนชีวิตทรัพย์สิน ให้ได้รับความปลอดภัย หากเป็นเด็กผู้หญิง รกจะถูกฝังไว้ที่ใต้บันได เพื่อให้ดูแลกิจกรรมต่างๆ ภายในบ้าน และดูแลความเรียบร้อยของบ้าน การฝังจะขุดหลุมลึกพอประมาณแล้วถมดินให้แน่น หลังจากนั้นใช้ท่อนไม้หรือก้อนหินมาปิดทับปากหลุมอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผีกะหรือสัตว์เลี้ยงมาขุดคุ้ยเอาไปได้ จะต้องมาตรวจดูอยู่เสมอว่ารกจะไม่ถูกรบกวน ทั้งนี้เชื่อว่ารกกับทารกจะมีความผูกพันกันตลอดชีวิตหากทารกมีอาการเจ็บป่วย แสดงว่ารกที่ฝังไว้ถูกรบกวน (หน้า 73) ประเพณีให้นมมื้อแรก ทารกเกิดใหม่ จะไม่นิยมให้นมของแม่ หากเป็นผู้ชายจะหาแม่ของเด็กที่ผู้ชายที่มีความเก่ง กล้าหาญมาให้นม หากหาไม่ได้จะเคี้ยวข้าวสารให้ละเอียดแล้วป้อนเด็ก จะเรียกผู้ให้นมมื้อแรกว่า "แม่นม" ซึ่งจะเกิดความผูกพันช่วยเหลือกันระหว่าง "แน่นม" กับลูกชายจนโต หากเป็นเด็กผู้หญิง จะไม่มีพิธีกรรมมาก มีเพียงการให้คำอวยพรจากผู้ใหญ่ (หน้า 73-74) ประเพณีอาหารมื้อแรก ชาวลาหู่จะให้เด็กฝึกกินอาหาร เมื่อเด็กมีอายุครบ 12 วัน อาหารมื้อแรกจะมีความสำคัญมาก เชื่อว่าจะเป็นการสร้างนิสัยของเด็กเมื่อโตขึ้น เด็กผู้ชายจะถูกป้อนด้วยเนื้อปลาไหล เพราะเชื่อว่าปลาไหลมีนิสัยแคล่วคล่องว่องไว ส่วนเด็กผู้หญิงจะถูกป้อนด้วยตัวอ่อนผึ้ง เพราะเชื่อว่าเป็นสัตว์รักพรรคพวก สามัคคีและมีความขยัน จะไม่นิยมป้อนอาหารเด็กด้วยเนื้อหมู เพราะเชื่อว่าโตขึ้นจะเป็นเด็กเกียจคร้าน (หน้า 75) นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดด้วยว่า เมื่อเด็กมีอายุได้ 3 วัน แม่จะสวมเสื้อให้กับเด็ก เพราะเกรงว่าภูติผีจะมาใส่ให้แทน กลายเป็นลูกผี โตขึ้นจะไม่เชื่อฟังพ่อแม่ (หน้า 75) เรื่องศาสนาไม่ได้กล่าวถึงชัดเจน บอกเพียงว่าชาวลาหู่บ้านอาหลู่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และมีพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล

Education and Socialization

ลาหู่จะมีเพลงกล่อมลูกและสอนให้ลูกร้องเพลง เด็กจะได้รับความรักใคร่จากผู้ใหญ่ ปู่ย่าตายายจะช่วยกันเลี้ยงดูหลาน คอยอบรมบ่มเพาะลูกให้รู้จักบทบาทและหน้าที่ทางครอบครัวและสังคม ดังนั้นผู้หญิงที่เป็นแม่หรือย่ายายจะสามารถร้องเพลงกล่อมเด็ก เนื้อหาจะเป็นการสั่งสอนบทบาทหน้าที่ของผู้หญิงต่อครอบครัว (หน้า 106-109) ในครอบครัวจะไม่มีการสอนเรื่องเพศ เพราะถือว่าเป็นเรื่องน่าละอายพ่อแม่จะปล่อยให้เรียนรู้จากเพื่อนฝูงหรือคนในหมู่บ้านหรือได้รับรู้จากผู้อาวุโสกว่า เช่นผู้หญิงจะไปหาแม่หม้าย ส่วนผู้ชายจะไปหาพ่อหม้าย (หน้า 85) เมื่อโครงการพัฒนาดอยตุงเข้ามา ได้มีการปรับปรุงโรงเรียนให้ดีขึ้น มีครูสอนถึงชั้นประถม 6 แต่การเรียนการสอนยังไม่ได้มาตรฐาน เพราะครูไม่ได้อยู่ประจำ รวมถึง เด็กต้องขาดเรียนไปช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่นา ในช่วงฤดูทำไร่นา แต่ปัจจุบันไม่มีไร่นา เด็กต้องรับภาระหารายได้ให้กับครอบครัว ฉะนั้นเด็กที่โตแล้วจะไม่ยอมเรียนหนังสือ มีบางครอบครัวคิดว่าคนที่เรียนหนังสือคือคนเกียจคร้าน ไม่สู้งาน (หน้า 57)

Health and Medicine

การตั้งครรภ์และการคลอด เมื่อทราบว่าตัวเองเริ่มตั้งครรภ์ จะปฏิบัติตนให้แตกต่างจากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่นไม่กล่าวร้ายนินทาผู้อื่น เพราะจะทำให้ลูกออกมาผิดปรกติ ส่วนการเตรียมตัวก่อนคลอด จะต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับคลอดเช่น เส้นด้ายใช้ผูกสะดือเด็ก กรรไกรหรือผิวไม้ไผ่ ผ้าอ้อม และของใช้เด็ก ในช่วงอยู่เดือน (หรืออยู่ไฟตามธรรมเนียมไทยภาคกลาง) อุปกรณ์ที่ใช้เช่น จาน ชาม มีด ฟืน จะถูกจัดแยกไว้ต่างหาก หากบ้านใดไม่พอ ต้องไปยืมของเพื่อนบ้านมาใช้ ลาหู่จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับไม้ฟืนใช้ติดไฟ เนื่องจากให้ความร้อนแล้ว ยังช่วยป้องกันผีได้ด้วย โดยจะต้องตากไม้ฟืนให้แห้งแล้วผ่าจากในป่าแล้วค่อยขนกลับบ้าน ไม่ให้ขนกลับมาผ่าในบ้าน และฟืนต้องแห้งจริงเพื่อไม่ให้เกิดควันไฟมาก กลิ่นควันไฟจะทำให้คนอยู่เดือนมีน้ำนมแห้ง ไม่สบายและผอมแห้งได้ ทำให้เกิดเป็นโรค "นาป๊ะกู" ซึ่งเป็นโรคจากการกินอาหารผิดจารีต การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 3 เดือนหลังคลอด หรือเกิดจากการสาบแช่งของผู้มีอายุมากกว่า เชื่อว่าไม่มีทางรักษา อาหารของผู้หญิงอยู่เดือนคือ ข้าว ไก่ พริกไทย และเกลือ ข้าวจะต้องไม่ใช่ข้าวเก่าข้ามปี ไม่ขึ้นรา ไม่มีกลิ่นชื้น กินแต่ข้าวจ้าวเท่านั้น ห้ามกินข้าวเหนียว หุงพอกินสำหรับมื้อและหุงด้วยวิธีไม่แช่น้ำ ไก่ จะกินในช่วงอยู่เดือน 12 วันหลังคลอด ไม่เช่นนั้นจะเป็นโรค "นาป๊ะกู" ส่วนเกลือจะใช้เกลือก้อน ไม่ใช้เกลือป่นเพราะเชื่อว่ามีเชื้อโรค การปรุงอาหารสำหรับผู้หญิงอยู่เดือน จะฆ่าไก่วันละ 1 ตัว ใส่เกลือก้อน และพริกไทยแห้ง ให้กินหมดในหนึ่งวัน แม่เด็กจะกินเฉพาะน่องและปีก ที่เหลือจะแบ่งให้คนในครอบครัว หากไก่มีไม่พอก็ต้องหามาเพิ่ม ต้องปรุงอาหารด้วยการแกงเท่านั้น ห้ามนำไปผัดหรือปิ้งย่าง และห้ามกินผัก ผลไม้ทุกชนิด ส่วนน้ำดื่ม ให้ดื่มเฉพาะน้ำร้อนเท่านั้น ห้ามดื่มน้ำเย็น (หน้า 70-71) ลาหู่มีการอาบน้ำสมุนไพรให้กับลูกเพื่อรักษาไข้หวัด อักเสบ ปวดท้องหรือท้องเสีย และมีวิธีการรักษาด้วยการใช้นิ้วหยิกดึงบริเวณที่ปวดจนมีรอยช้ำแดงออกมา เช่นถ้าปวดหัวก็จะดึงระหว่างคิ้ว ถ้าปวดคอ จะดึงบริเวณต้นคอให้เป็นเส้นยาวลงมา หรือเป็นไข้จะดึงทั้งหน้าผาก คอ หลัง และอก เชื่อว่าเป็นการดึงโรคออกมา หากใช้นิ้วหยิกดึงไม่สะดวก จะใช้เหรียญ 5 บาทขูดให้เป็นรอยช้ำเลือด แล้วใช้ยาหม่องทา ยังมีการดึงกระชากเส้นผมเวลาปวดหัว ถ้ายิ่งมีเสียงดังมากเท่าไร หมายความว่ามีอาการปวดหัวหนักมากเท่านั้น และในระหว่างเจ็บป่วย จะกินข้าวต้มกับเกลือเท่านั้น งดเว้นเนื้อสัตว์สีขาวเพราะถือว่าเป็นของแสลง อาจถึงแก่ความตายได้ (หน้า 109-110)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เสื้อผ้าของเด็กผู้หญิง จะทำจากผ้าสีสดมีลายดอกไม้ หรือเย็บด้วยผ้าถุงเก่าของแม่ ส่วนเด็กผู้ชายจะใช้ผ้าพื้นสีน้ำเงิน สีดำหรือสีเขียว ไม่นิยมใช้ผ้าลายดอกเพราะเชื่อว่าโตขึ้นจะเป็นเด็กผู้ชายอ่อนแอ และที่สำคัญ เสื้อของเด็กชายจะไม่ใช้ผ้าจากผ้าถุงเก่าของแม่ เพราะจะทำให้เป็นข้าทาสหรืออยู่ภายใต้ผู้หญิง หมวกจะมีความแตกต่างชัดเจนจากแบบ สี และลายปัก เช่นลายฟันหมา หมายถึงความฉลาดหลักแหลม ลายดอกธนูหมายถึงความชำนาญในการล่าสัตว์ ลายตาสองตา หมายถึงการมองไกล ลายเหล่านี้จะถูกปักในหมวกของผู้ชาย แต่อาจใช้ปักในชุดของผู้หญิง ซึ่งหมวกของผู้หญิงจะนิยมปักเป็นลายดอกไม้ หรือใช้ผ้าหายสีมาต่อกันให้ดูสวยงาม (หน้า 75-76) ผู้หญิงจะไม่สวมกางเกงขายาวเหมือนเด็กผู้ชาย แต่จะนุ่งผ้าถุงตั้งแต่เลิกใส่ผ้าอ้อม ผ้าถุงผืนแรกของเด็กจะไม่นิยมใช้ผ้าผืนใหม่ แต่จะให้ผ้าถุงเก่าของแม่หรือพี่สาวมาตัดเย็บ จนกระทั่งมีเทศกาลปีใหม่จึงจะซื้อผืนใหม่ให้ ด้วยความเชื่อว่าถ้าใครไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ในช่วงนี้ จะทำให้ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ตลอดชีวิต และถ้าเด็กผู้หญิงแต่งตัวเหมือนผู้ชาย จะถือว่าไม่สุภาพมาก (หน้า 77)

Folklore

มีนิยายปรำปราเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์คนแรกที่มาจากน้ำเต้า เริ่มต้นจากมีพระเจ้าองค์หนึ่งทรงปลูกน้ำเต้าเครือไว้ เมื่อน้ำเต้าออกผลจึงเสกวิญญาณของมนุษย์ให้เข้าไปอยู่ในน้ำเต้า แต่ผลน้ำเต้ายังไม่แก่ มีสัตว์มาเตะผลน้ำเต้าตกลงไปในทะเลสาบ พระะเจ้าจึงสั่งให้สัตว์ทั้งหลายช่วยกันเอาผลน้ำเต้าขุนมาจากน้ำให้ได้ จนในที่สุดปูก็สามารถดันผลน้ำเต้าขึ้นมาได้ จากนั้นจึงให้สัตว์ช่วยกันเจาะรูผลน้ำเต้าเพื่อให้มนุษย์สามารถออกมาได้ จนกระทั่งหนูสามารถกัดแทะผลน้ำเต้าได้ ปรากฏว่ามีมนุษย์ยักษ์ผู้ชายคนแรกชื่อ "จะตี่" ทำให้พระเจ้าพอใจมาก จึงให้หนูเป็นสัตว์ที่กินข้าวจากยุ้งฉางมนุษย์ได้ พระเจ้าให้มนุษย์ที่ออกมาจากน้ำเต้าดูแลสรรพสิ่งในโลก ทำให้เกิดความเหน็ดเหนื่อย จึงแอบหนีเข้าไปอยู่ในน้ำเต้า พระเจ้าจึงเสกมนุษย์ผู้หญิงชื่อ "นาตี่" ในที่สุดทั้งคู่จึงออกมาจากผลน้ำเต้าและเป็นต้นตระกูลของมนุษย์ทุกชาติ นิทานเก่าแก่อีกเรื่องเกี่ยวกับ "กำเนิดมนุษย์" เล่ากันว่าเทพเจ้าผู้สร้างโลกได้สร้างผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาให้อยู่กับสัตว์ต่างๆ ซึ่งสามารถพูดภาษาคนได้ แต่ชายคนนี้รู้สึกเหงาและเป่าเปลี่ยวมาก จึงไปอยู่กับปลาตัวเมียตัวหนึ่ง ต่อมาปลาตัวนี้ต่อมาในที่สุดกลายเป็นผู้หญิง ไม่นานเกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้มนุษย์และสัตว์ต้องหลบเข้าไปอยู่ในผลฟักทอง แล้วปล่อยให้ลอยไปตามน้ำ ผู้หญิงจึงตั้งท้องคลอดลูกออกมาหลายคนคล้ายกับปลา (หน้า 67-68) การละเล่นของเด็กแต่เดิมจะแยกชัดระหว่างเด็กชายและเด็กหญิง เด็กผู้หญิงจะนำใบไม้มาเล่น โดยเอามาฉีกหรือเย็บต่อกันเป็นเสื้อผ้า หมวก บางครั้งจะม้วนใบไม้เล็กเป็นตัวตุ๊กตา หรือเอาเถาต่างๆ มาทอถักเป็นกระเป๋า การละเล่นที่เด็กผู้หญิงชอบมากคือ เล่นบทบาทเป็นพ่อแม่ และเล่นทำอาหาร เป็นการเตรียมให้ผู้หญิงมีความรู้เรื่องงานบ้าน ส่วนเด็กผู้ชายการละเล่นที่นิยมคือ เล่นลูกก๋ง เป็นการฝึกนับเลข นอกจากนี้ยังเอาท่อนไม้ทำเป็นปืน หรือเอากิ่งไม้มาทำเป็นหนังสติ๊ก และเล่นขี่ม้า เดินทางไกล การละเล่นดังกล่าวเป็นการแสดงการเตรียมพร้อมให้เด็กผู้ชายมีความรู้ด้านการค้าขาย ทำมาหากิน (หน้า 81-82)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ในหมู่บ้านลาหู่ปกติจะมีเฉพาะคนในเผ่าเดียวกัน แต่ถ้ามีคนนอกเผ่าจะเข้ามาอยู่จะต้องอยู่ในเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง คือ 1) เข้ามาแต่งงานกับคนลาหู่ 2) คนเผ่าอื่นที่สามารถพูดภาษาลาหู่ได้เป็นอย่างดี และชาวลาหู่ยอมรับว่าเขาเปลี่ยนมาเป็นคนลาหู่แล้ว 3) รับมาอยู่ด้วยเพราะความสงสาร ซึ่งครอบครัวที่รับคนเข้ามาจะต้องรับรองความประพฤติว่าสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ เช่นรับเลี้ยงคนจากเผ่าอาข่าที่มีปัญหาในวัฒนธรรมของตนเอง (เชิงอรรถหน้าที่ 123) ความคิดเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของชาวลาหู่ที่มาจากแต่ละประเทศ มีฐานะความเป็นอยู่และวิถีชีวิตแตกต่างกัน เช่นลาหู่ที่มาจากจีนเป็นคนขยัน อดทน และฉลาด ส่วนลาหู่ที่มาจากประเทศพม่า เป็นคนเกียจคร้าน ชอบเป็นขี้ข้า และลาหู่จากประเทศลาวเป็นคนสกปรกเป็นต้น นอกจากนี้ยังบอกนิสัยผู้หญิงลาหู่ที่แตกต่างกันแต่ละกลุ่มย่อย เช่นลาหู่แดงใจง่าย (ชอบขายตัว) ลาหู่เหลืองเกียจคร้าน ชอบรอกินจากสามี ส่วนลาหู่ดำดุและขยัน (เชิงอรรถหน้า 129-130)

Social Cultural and Identity Change

หมู่บ้านขาแหย่งพัฒนาหรือ บ้านอาหลู่ อยู่ในบริเวณพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของครอบครัวและชุมชนชาวลาหู่ เช่นการสูญเสียที่ดินทำกิน ไม่สามารถทำไร่หมุนเวียน ขาดแคลนทรัพยากรเนื่องจากป่าเริ่มหมดลง และต้องเปลี่ยนวิถีการผลิตจากบริโภคในครัวเรือนมาเป็นผลิตเพื่อขาย ตลอดจนความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนที่ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมเริ่มหมดลง คนรุ่นใหม่มีความเชื่อตามประเพณีน้อยลง ต่างต้องให้ความสำคัญกับการทำมาหากินเพื่อปากท้อง จนไม่มีเวลาแบ่งปันเอาใจใส่ระหว่างกัน (หน้า 142-150) โครงการพัฒนาดอยตุง ทำให้หมู่บ้านมีความทันสมัยได้รับความสะดวกสบายขึ้น เช่นมีอาคารเรียน มีศูนย์เด็กเล็ก สถานีอนามัย สถานีตำรวจ และที่ว่าการอำเภอ มีความสะดวกจากไฟฟ้า โทรศัพท์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่โครงการฯ นำเข้ามา ขณะเดียวกัน การดำเนินวิถีชีวิตที่ต้องทำงานหาเงิน ไปรับจ้างในโครงการ ทำให้ไม่มีเวลามาสนใจหรือช่วยเหลือกันเหมือนเดิม จริยธรรมของชาวบ้านก็เริ่มเสื่อมลง การแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันมีน้อยลง การซื้อและจ้างเข้ามาแทน ชาวบ้านบางส่วนมีเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ เทป โทรศัพท์ รถยนต์ เด็กผู้หญิงวัยรุ่นบางคนยอมแต่งงานกับคนพื้นราบ เพื่อยกฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวให้ดีขึ้น ซึ่งมีทั้งประสบความสำเร็จและเหลว (หน้า 58) ผู้หญิงที่เคยแต่งงานกับคนพื้นราบ จะเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน สุดท้ายก็ต้องออกจากชุมชนไปหางานทำในเมือง เช่นเป็นคนใช้ตามบ้าน ทำงานในร้านอาหาร รวมถึงการค้าประเวณี บางคนยอมไปทำงานหนักต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับมาบ้าน (หน้า 54-55) ชาวบ้านรู้สึกสูญเสียวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมานาน เช่น การหาของป่า การล่าสัตว์เริ่มสูญหายไป ไม่สามารถปลูกพืชไร่ได้อีก หรือวัฒนธรรมการมอบพืชผลไม้ใหม่ให้แก่ครอบครัวที่พวกเขาเคารพนับถือ เพื่อแสดงการให้เกียรติและไม่ลืมบุญคุณ หากไม่มามอบเชื่อว่าจะทำให้เป็นโรคคอหอยพอก (หน้า 46-47) ผู้หญิงในหมู่บ้านมีภาระต้องหารายได้เหมือนกับผู้ชาย ผู้หญิงบางคนเริ่มหวงแหนวิชา ไม่อยากถ่ายทอดให้เพื่อนบ้าน เช่นการทอผ้า ตัดเย็บ เพราะเกรงว่าตัวเองจะขาดรายได้ นอกจากนี้ยังไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูลูก ทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักและเข้าใจวัฒนธรรมของชาวลาหู่ (หน้า 48-49)

Other Issues

ลาหู่จะมีการขอลูกของญาติพี่น้องมาเลี้ยงโดยไม่มีการซื้อ แต่ถ้าเป็นลูกของคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องจะต้องจ่ายค่าอุ้มท้อง ประมาณ 300-600 บาท หรือในกรณีพ่อแม่ยากจนไม่สามารถเลี้ยงลูกได้อาจมีการยกลูกให้โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้ โดยทั่วไปแล้วมีความต้องการลูกเลี้ยงเด็กผู้หญิงมากกว่าเพราะเมื่อถึงเวลาแต่งงานไม่ต้องเสียเงิน และจะได้เลี้ยงตัวเองเมื่อแก่ตัวลง ส่วนความต้องการเด็กผู้ชายเพราะต้องการแรงงานครอบครัว (หน้า 146) สถานภาพของลูกเลี้ยง ลูกเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนลาหู่ คนที่ไม่มีลูกจะถือว่าเป็นคนบาป ลูกเปรียบเสมือนทรัพย์สินของครอบครัว และเป็นแรงงานให้กับครอบครัว แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน แรงงานในครอบครัวเพื่อการเกษตรเริ่มหมดความสำคัญลง และวิถีชีวิตที่ถูกบีบรัดมากขึ้น ทำให้ลูกเลี้ยงกลายเป็นส่วนเกินของครอบครัว จากการศึกษาพบว่ามีปรากฏการณ์ "ขายลูกสาว" โดยผู้ขายสถานภาพเป็นผู้นำชุมชน ซึ่งลูกสาวที่ขายมีสถานภาพเป็นเพียงลูกเลี้ยงหรือลูกที่ติดมากับภรรยา หรือเกิดกรณีพี่สาวพาน้องสาวที่เป็นลูกเลี้ยงไปขาย ก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา (หน้า 147-148)

Map/Illustration

จำนวนประชากรหมู่บ้านขาแหย่งพัฒนา (หน้า 62) แผนที่สังเขปหมู่บ้านขาแหย่งพัฒนา (หน้า 63) แผนที่แสดงบริเวณต่างๆ ของพื้นที่ดอยตุง (หน้า 64) แผนที่เส้นทางคมนาคม (หน้า 65)

Text Analyst ชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิช Date of Report 10 ก.ย. 2561
TAG ลาหู่, ผู้หญิง, การสร้างความเป็นหญิงชายทางสังคม, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง