|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อิวเมี่ยน,เย้า,ผู้หญิง,เครือข่ายทางสังคม,ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ,เชียงใหม่ |
Author |
วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ |
Title |
การสร้างความหมายว่าด้วยเครือญาติและครอบครัวในเครือข่ายทางสังคมของผู้หญิงอิวเมี่ยน(เย้า)ภายใต้วิถีการผลิตเชิงพาณิชย์และระบบสังคมที่ให้อำนาจผู้ชายเป็นใหญ่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ห้องสมุดคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ห้องสมุดศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
152 |
Year |
2544 |
Source |
เชียงใหม่ : ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผู้เขียนได้สรุปว่าสังคมอิวเมี่ยนในโลกประสบการณ์ของผู้หญิงอิวเมี่ยนมีความซับซ้อนมากเกินกว่าที่นักสังคมศาสตร์และนักสตรีนิยมจะประทับตราลงไปได้ว่ามันเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงปัจจัยการผลิต การบริโภคเพราะระบบสังคมที่ให้อำนาจชายเป็นใหญ่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในลักษณะวิภาษวิธี (dialetic) ทั้งในเชิงรูปธรรม และนามธรรมโดยการต่อรองอำนาจของผู้หญิงเหล่านี้มักปรากฏในรูปของความอะลุ่มอะล่วยการถนอมน้ำใจ การนิ่งเฉย ร้องไห้ หรือเสียดสีแล้วแต่กรณีและเป็นการต่อสู้ที่ไม่ได้เพื่อการมีชีวิตรอดของพวกเธอคนเดียวแต่สู้เพื่อความอยู่รอดของสมาชิกในครอบครัวของพวกเธออีกหลายชีวิตให้สามารถอยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่าที่พวกเธอจะกระทำได้(หน้า 150-151) |
|
Focus |
ผู้เขียนได้นำเสนอความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้หญิงอิวเมี่ยนกับกลุ่มคนอื่น ๆ ในรูปแบบเครือข่ายทางสังคมในหลายมิติทั้งต่างเพศและต่างกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งช่วยทำให้เห็นภาพของการดิ้นรนต่อสู้ของผู้หญิงอิวเมี่ยนเพื่อการมีชีวิตรอดของครอบครัวคนจนและเพื่อความมีศักดิ์ศรีภายใต้รูปแบบสังคมและวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เข้าสู่ระบบทุนนิยมที่มีลักษณะโครงสร้างเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม ที่ให้อำนาจผู้ชายเป็นใหญ่โดยผู้หญิงอิวเมี่ยนเหล่านี้ ได้พยายามใช้สร้าง และช่วงชิงความหมายทางสังคม วัฒนธรรมอย่างซับซ้อนเพื่อให้เข้าถึงปัจจัยการผลิตและมีอำนาจต่อรองในการบริโภค ในลักษณะต่าง ๆ และการต่อรองอำนาจของพวกเธอนั้นเป็นไปอย่างซับซ้อนและมักไม่ได้แสดงออกมาในรูปของการก้าวร้าวแตกหักหรือแบ่งแยกเป็นคู่ตรงข้าม เป็นฝักฝ่ายแต่มักจะปรากฏในรูปของความ อะลุ้มอล่วย การถนอมน้ำใจนิ่งเฉย ร้องไห้ หรือพูดจาเสียดสี แล้วแต่กรณี (หน้า ค ซ และ ฌ) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้สร้างกรอบคิดเชิงทฤษฎีซึ่งประกอบไปด้วยแนวคิด 4 ประการ คือ 1. แนวคิดเรื่องผลกระทบจากการพัฒนาต่อผู้หญิงชาวเขา 2. แนวคิดเรื่องเครือข่ายทางสังคม 3.แนวคิดเรื่องการปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตกับการจัดการทางเพศที่มีต่อผู้หญิงหรือลูกสาว และ 4. แนวคิดเรื่องผู้หญิงกับการบริโภค(หน้า 14-36) ประเด็นโต้แย้งคือ เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างทางสังคมกลุ่มชาติพันธุ์อิวเมี่ยนจะเป็นโครงสร้างที่ให้อำนาจผู้ชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) แต่ในทางปฎิบัติแล้ว สังคมเมี่ยน หรือ อิวเมี่ยนไม่ได้เป็นระบบสังคมที่ให้อำนาจชายเป็นใหญ่ตามแบบที่นักสตรีนิยมชาวตะวันตกเข้าใจ แต่ภายใต้โครงสร้างสังคมตามจารีต ประเพณีดังกล่าวนั้นมีการใช้อำนาจของชาย และหญิงอย่างยืดหยุ่น และยังมีกลไกหรือ แนวทางที่ผู้หญิงสามารถตอบโต้การใช้อำนาจของผู้ชายอยู่บ้าง แม้ไม่เต็มรูปแบบหรือปรากฏชัดนักก็ตาม (หน้า 146) ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าเราควรต้องมีความระมัดระวังในการจะระบุว่าสภาพเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรมที่ผู้หญิงอิวเมี่ยนเผชิญอยู่เป็นระบบที่ให้ผู้ชายเป็นใหญ่สิ่งที่ต้องพิจารณา คือ ระบบสังคมที่ให้อำนาจชายเป็นใหญ่นั้นมีระดับและความหลากหลายในตัวเอง กล่าวคือ ในแต่ละช่วงเวลา/ช่วงวัย และแต่ละพื้นที่ผู้หญิงอิวเมี่ยนแต่ละคนก็ประสบพบเจอกับระบบสังคมที่ให้อำนาจชายเป็นใหญ่ในระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันมากบ้าง น้อยบ้างพวกเธอมีอำนาจต่อรองมากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่กรณีซึ่งเงื่อนไขสำคัญที่เกี่ยวข้องคือความสัมพันธ์เชิงอำนาจในวิถีการผลิต ซึ่งมีความซับซ้อนและแปรเปลี่ยนไปตามพื้นที่และเวลา (หน้า146) นอกจากนี้แล้ว ผู้เขียนได้เสนอว่า สังคมอิวเมี่ยนในโลกแห่งประสบการณ์ และในมุมมองของพวกเธอมีความสลับ ซับซ้อนมากเกินกว่าที่นักสังคมศาสตร์ และนักสตรีนิยม (Feminist) จะประทับตราลงไปได้ว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นจะกล่าวแบบเหมารวมว่าพวกเธอถูกกดขี่อย่างเป็นกฎเกณฑ์สากล(generalization) ไม่ได้ แต่สิ่งที่ต้องค้นคว้าศึกษาต่อไปก็คือ มันมีเงื่อนไข และบริบททางสังคมวัฒนธรรม โดยเฉพาะความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางด้านการผลิตและการบริโภคอย่างไรที่ทำให้โครงสร้าง กลไก และกฎเกณฑ์อำนาจชายเป็นใหญ่ดังกล่าวไม่สามารถแสดงอำนาจกดขี่ได้ (หน้า 150) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกตัวเองว่า อิวเมี่ยน หรือภาษาราชการเรียกว่า "เย้า" ในตลาดสดแห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 41) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
อิวเมี่ยนในตลาดแห่งนี้อพยพลงมาประกอบกิจการน้ำเต้าหู้ในตลาดนับตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา เป็นส่วนหนึ่งของอิวเมี่ยนที่ลงมาอยู่ในชุมชนในตัวเมืองเชียงใหม่และในชุมชนเมืองในเขตอำเภอรอบนอกใกล้เคียงพัฒนาการทางความสัมพันธ์ของผู้หญิงอิวเมี่ยนในเครือข่ายทางสังคมนี้ไม่ได้เริ่มที่พื้นราบ แต่เริ่มจากบนดอย ณ ถิ่นฐานบ้านเกิดก่อนที่พวกเธอจะเคลื่อนย้ายแทบทั้งสิ้นจะมีบ้างไม่กี่รายที่มาทำความรู้จักกันในภายหลังอย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ในเครือข่ายจะเกี่ยวข้องด้วยความเป็นเครือญาติแบบใกล้ชิดบ้าง แบบญาติห่างๆ บ้างแต่พวกเธอก็เดินทางมาจากหลายพื้นที่โดยมากจะมาจากเชียงรายกำแพงเพชร และพะเยา รองลงไปจะเป็น น่าน ลำปาง (หน้า 141) วัยผู้ใหญ่เป็นกลุ่มที่เคลื่อนย้ายลงมาจากที่สูงลงสู่พื้นราบเป็นกลุ่มแรกเพราะได้รับผลกระทบจากการประกาศปิดป่าและขับไล่ชาวเขาออกจากที่ดินทำกินเป็นสำคัญส่วนวัยรุ่นหรือหนุ่มสาวที่ยังสดเป็นกลุ่มที่ทยอยกันลงมาเนื่องจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและความต้องการได้รับการศึกษาเป็นปัจจัยหลัก (หน้า 138-139) |
|
Settlement Pattern |
แม่ค้าชาวอิวเมี่ยนเข้ามาประกอบกิจการในตลาดแห่งนี้ประมาณ 7- 8 ปีที่ผ่านมา (นับจากปี 2543 ลงไป) |
|
Demography |
ยากที่จะทราบได้เพราะการอพยพเคลื่อนย้ายมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลเสมอไป (หน้า 138) |
|
Economy |
ส่วนการจัดสรรรายได้จากการค้าขายแม้ผู้หญิงอิวเมี่ยนจะมีรายได้แต่รายได้ก็มักเป็นไปเพื่อให้สามี ลูก พ่อแม่มีความสุขสบายมากกว่าจะใช้จ่ายเพื่อตนเอง (หน้า 143) แต่ก็เป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน วิถีการผลิตของผู้หญิงอิวเมี่ยนในเมืองเป็นแบบทุนนิยมอาจจะเป็นผู้ประกอบการแรงงานรับจ้างหรือแรงงานรับจ้างกึ่งตอบแทนแล้วแต่วัยและกรณี (หน้า 109) ด้านการบริโภคเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจากอดีตถึงปัจจุบันผู้หญิงอิวเมี่ยนภายใต้ผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐและระบบทุนนิยมที่เอื้อต่อการให้ผู้ชายและผู้ที่มีความรู้สูงมีสิทธิอำนาจมากกว่าได้มากีดกันสิทธิในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตของพวกเธอซึ่งเป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อยและเป็นชาวเขาทำให้พวกเธอสะสมรายได้ไม่มาก และยังยากจนลักษณะการบริโภคของผู้หญิงอิวเมี่ยนในพื้นที่ศึกษามีอยู่ 3 ลักษณะ คือ 1. การบริโภคสินค้าและบริการเพื่อความจำเป็นใช้ 2. การบริโภคสินค้าและบริการเพื่อความหรูหรา 3. การบริโภคที่ผสมผสานและมีลักษณะก้ำกึ่ง ระหว่างแบบที่1 กับแบบที่ 2 โดยผู้หญิงอิวเมี่ยนแต่ละวัยก็มีพลวัตในการบริโภคแตกต่างกันไป (หน้า 144) |
|
Social Organization |
โครงสร้างและรูปแบบของเครือข่ายนอกจากจะอาศัยฐานความเป็นเครือญาติทางสายเลือด(consauguineal kin) และญาติจากการแต่งงาน (affine kins) ความเป็นชาติพันธุ์ ความเป็นคนถิ่นฐานบ้านเดียวกันและความที่เคยมีประสบการณ์ชีวิตร่วมกันมาก่อนแล้วยังค่อยๆ ขยายความสัมพันธ์ไปยังคนชาติพันธุ์เป็นรายๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นคนเมือง คนลีซู สำหรับปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาฐานเครือข่ายนอกจากจะพิจารณาจากผลกระทบของการพัฒนาจากภาครัฐที่ทำให้พวกเธอต้องเคลื่อนย้าย........ต่อสู้ดิ้นรนในเมืองใหญ่ จนเกิดความใกล้ชิดที่ต้องอยู่อาศัยและค้าขายในทำเลใกล้เดียวกันรวมทั้งมีความสัมพันธ์เชิงอุปถัมป์และเชิงแลกเปลี่ยนแล้วยังต้องพิจารณาลักษณะนิสัยเฉพาะของผู้หญิงอิวเมี่ยนในเครือข่ายเป็นรายๆ ไป อย่างไรก็ดีเครือข่ายนี้ก็ยังยึดอยู่กับฐานความสัมพันธ์ในโครงสร้างและรูปแบบเดิมมากกว่าจะพัฒนาไปในทิศทางอื่น เครือข่ายทางสังคมที่ศึกษานี้มีปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงผู้คน(ไม่เฉพาะแต่ผู้หญิงอิวเมี่ยน) ไว้ในเครือข่าย ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่ 1. อายุ 2. เพศและเพศสภาพ 3. ชาติพันธ์ 4. ฐานทางเศรษฐกิจ 5. ความเป็นเครือญาติและ 6. ปัจจัยที่ผสมผสานข้ามโยงกันไปมาระหว่าง ข้อ1-2-3-4-5 (หน้า 142) การแบ่งงานกันทำตามเพศในอิวเมี่ยนกลุ่มที่เป็นกรณีศึกษานี้ ทั้งก่อนและหลังอพยพเข้ามาในเมืองไม่ได้มีการแบ่งงานกันทำในครัวเรือนอย่างชัดเจนแต่มักจะเป็นการช่วยกันทำมากกว่า แต่ในพื้นที่นอกครัวเรือนผู้ชายจะเป็นผู้นำทางพิธีกรรมตามจารีตแต่ก็มีผู้หญิงเป็นแรงงานร่วมและเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินการใช้แรงงานเด็กในชุมชนถือเป็นเรื่องปกติมีการจ้างงานเด็กชายหญิงในชุมชน ส่วนผู้สูงอายุโดยทั่วไป จะเป็นผู้นำทางพิธีกรรมบ้างอยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือบ้างก็สูบฝิ่นโดยลูกชายจะเป็นผู้เลี้ยงดู อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจะถูกควบคุมทางเพศมากกว่าชายและถูกคาดหวังให้อุทิศตัวแก่สามีและครอบครัวมากกว่าชายเมื่อพวกเธออพยพมาสู่เมืองผู้หญิงอิวเมี่ยนจึงรู้สึกพอใจกับอิสระจากการควบคุมทางเพศที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไรก็ตามรายได้จากการทำงานของพวกเธอยังคงจัดสรรไปให้แก่สมาชิกภายในบ้านมากกว่าจะใช้จ่ายเพื่อตัวเอง (หน้า 142-145) |
|
Belief System |
ในเครือข่ายทางสังคมของผู้หญิงอิวเมี่ยน (เย้า) ในพื้นที่ศึกษาก็มีพลวัตของการสร้างและช่วงชีวิตความหมายอยู่เสมอโดยอาศัยชุดความคิดต่าง ๆ ทั้งที่ได้เรียนรู้มาจากอดีต เช่น ชุดความคิดเรื่องผี และสิ่งเหนือธรรมชาติชุดความคิดเรื่องความเป็นหญิงชาย และบทบาทหน้าที่ตามเพศสภาพตามจารีต และชุดใหม่ ๆ ที่ได้เรียนรู้มาจากอารยธรรมเมืองไม่ว่าจะเป็นชุดความคิดเรื่องความเป็นเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์หรือชุดความคิดเรื่อง กลยุทธ์ชั้นเชิงทาการค้าโดยทั้งหมดใช้ผสมผสานกันกับชุดความคิดเรื่องอารมณ์ความรู้สึกอย่างไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว(หน้า 148) |
|
Education and Socialization |
อิวเมี่ยนทั้งหญิงและชาย ทั้งผูใหญ่และเด็กในตลาดแห่งนี้ต่างมาจากพื้นฐานชาวนาชาวไร่ที่ยากจนเกือบทุกคนขาดกรรมสทธิ์ในที่ทำกิน ขาดเงินทุนและความรู้อันเป็นเสมือนใบเบิกทางสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในเมืองใหญ่ที่ผู้คนถูกปลูกฝังให้มีอคติต่อคนด้วย (หน้า 49) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนได้ระบุว่า ความเป็นชาติพันธุ์ (ethnicity) เป็นองค์ประกอบสำคัญองค์หนึ่งในโครงสร้างและรูปแบบเครือข่ายทางสังคมของผู้หญิงอิวเมี่ยน (เย้า) ในชุมชนเมืองเป็นความสัมพันธ์ที่มีลักษณะร่วมมือกันสู้กับความอยู่รอดมากกว่าจะแข่งขัน ซึ่งปรากฏอยู่ในรูปของความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่เป็นทางการเมื่อพิจารณาความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในตลาดแห่งนี้พบว่าคนเมืองเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดมีจำนวนคนและมีอำนาจต่อรองมากที่สุดรองลงมาคือกลุ่มอิวเมี่ยน ถัดลงไปเป็นกลุ่มม้ง ลีซูและปาเกอะญอ ตามลำดับ (หน้า 139) คนเมืองเป็นกลุ่มที่อิวเมี่ยนไปสัมพันธ์ด้วยมากที่สุดรองลงไปคือ ม้ง รูปแบบของความสัมพันธ์ที่ต้องพึ่งพาอาศัยเช่น การให้คำปรึกษาปลอบประโลมใจ การให้เครดิตทางการค้าการมาช่วยอุดหนุนร้านและแย่งชิงการจัดสรรอำนาจในเรื่องต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความสัมพันธุ์เชิงแลกเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นระหว่างอิวเมี่ยน - คนเมือง, อิวเมี่ยน - ม้ง, อิวเมี่ยน - คนเมือง, อิวเมี่ยน - ม้ง หรือแม้แต่ในกลุ่ม อิวเมี่ยน - อิวเมี่ยน(ทั้งเพศชายและหญิง) เพียงแต่มีความยืดหยุ่นมากน้อยแล้วแต่ความเป็นเครือญาติใกล้ชิดและบุญคุณที่เคยมีให้กัน ส่วนอคติทางชาติพันธุ์ที่คนเมืองพื้นราบมีต่อผู้หญิงอิวเมี่ยนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่เป็นประเด็นสำคัญอะไรในการดำเนินชีวิตของพวกเธอส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะพวกเธอสามารถปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนเมืองได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษา การแต่งกาย (หน้า 140) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ทั้งช่วงก่อนและหลังที่ผู้หญิงอิวเมี่ยนเข้ามาอยู่ในเมืองต่างก็มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการผลิตที่ซ้อนทับอย่างซับซ้อนในมิติเพศสภาพ ชนชั้น อายุ แตกต่างกันซึ่งแสดงออกในสองรูปแบบใหญ่ ๆ คือ เชิงรูปธรรม หรือรูปแบบในการผลิต การประกอบอาชีพ กับรูปแบบเชิงนามนามธรรมซึ่งก็คือการสร้างและช่วงชิงความหมายต่าง ๆ สองรูปแบบนี้ไม่ได้แยกออกจากกันชัดเจนแต่มักสอดประสานกันอย่างซับซ้อนลักษณะเช่นเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการบริโภคของพวกเธอเช่นกันการบริโภคของผู้หญิงเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการตัดสินใจที่มีพื้นฐานอยู่กับการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับตัวเองในความสัมพันธ์ทางการผลิตในแต่ละช่วงเท่านั้นแต่ยังเป็นความพยายามสร้างอักลักษณ์ (identity) ใหม่ให้กับตัวเองเพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเองเข้าถึงความใฝ่ฝันที่ต้องการซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลนอกจากนี้ยังเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นการต่อรองอำนาจหรือการตอบโต้ของพวกเธอให้มีชีวิตที่สามารถอยู่ได้อย่างสมดุลทั้งชีวิตสังคมในเมืองและกับสังคมเครือญาติบนดอยอย่างมีศักดิ์ศรีอีกด้วย (หน้า 147-149) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตารางต่าง ๆ ดังนี้- ตารางที่ 1 แสดงสังคมที่ผู้หญิงที่เป็นกรณีศึกษามีปฏิสัมพันธ์ก่อนและหลังการเข้ามาประกอบอาชีพในเมืองแยกตามวัย (หน้า 94) ตารางที่ 2 แสดงต้นทุนและวิถีการผลิตของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยผู้ใหญ่ ในช่วงก่อนและหลังจากมีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า 100) ตารางที่ 3 แสดงลักษณะความสัมพันธ์ทางการผลิตของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยผู้ใหญ่ในช่วงก่อนและหลังจากมีวิถีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า 103) ตารางที่ 4 แสดงปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยผู้ใหญ่ในความสัมพันธ์ทางการผลิตทั้งก่อนและหลังจากที่เข้ามามีวิถีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า 105) ตารางที่ 5 แสดงประเด็นความขัดแย้งหลักในเครือข่ายทางสังคมและการผลิตและการจัดการปัญหาของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยผู้ใหญ่ (หน้า 106) ตารางที่ 6 แสดงแสดงต้นทุนและวิถีการผลิตของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยรุ่นในช่วงก่อนและหลังจากมีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า 109) ตารางที่ 7 แสดงลักษณะความสัมพันธ์ทางการผลิตของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยรุ่นในช่วงก่อนและหลังจากมีวิถีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า 109) ตารางที่ 8 แสดงประเด็นความขัดแย้งหลักในเครือข่ายทางสังคมและการผลิตและการจัดการปัญหาของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยรุ่น (หน้า 113) ตารางที่ 9 แสดงปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยรุ่น ในความสัมพันธ์ทางการผลิตทั้งก่อนและหลังจากที่เข้ามามีวิถีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า 115) ตารางที่ 10 แสดงสัดส่วนค่าใช้จ่ายและการบริโภคของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยผู้ใหญ่ในช่วงก่อนที่จะเข้ามามีวิถีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า 118) ตารางที่ 11แสดงสัดส่วนค่าใช้จ่ายและการบริโภคของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยผู้ใหญ่ในช่วงหลังจากเข้ามามีวิถีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า120) ตารางที่ 12 แสดงสัดส่วนค่าใช้จ่ายและการบริโภคของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยรุ่นในช่วงก่อนที่จะเข้ามามีวิถีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า124) ตารางที่ 13 แสดงสัดส่วนค่าใช้จ่ายและการบริโภคของผู้หญิงอิวเมี่ยนวัยรุ่นในช่วงหลังจากเข้ามามีวิถีชีวิตหลักอยู่ในเมือง (หน้า125) |
|
|