สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,การมีส่วนร่วม,ชุมชน,เกษตรยั่งยืน,ตาก
Author บุญส่ง ธารศรีทอง
Title การวิเคราะห์แบบมีส่วนร่วมถึงความยั่งยืนของระบบเกษตรในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร  Total Pages 234 Year 2544
Source หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร์) สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

          ศึกษาสภาพการทำการเกษตร ความยั่งยืนของระบบเกษตร อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการทำเกษตรแบบยั่งยืนในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยศึกษาการทำไร่หมุนเวียน การทำนาดำ การเลี้ยงโค การเลี้ยงกระบือ การเลี้ยงสุกร การขุดหาหน่อไม้ การขุดหาเฮาะโคะโซ การขุดหาบุก ผลวิจัยพบว่าผลผลิตจากการทำไร่และทำนาลดลงในปีที่ปริมาณน้ำฝนน้อย การทำไร่หมุนเวียนจะมีการปลูกพืชชนิดอื่นเสริมเพื่อให้ข้าวได้รับสารอาหารอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การเลี้ยงโค กระบือ สุกร ของชาวบ้านยังเป็นรายได้เสริมในยามที่ผลผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภค รวมไปถึงการหาของป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของชาวบ้าน ในภาพรวมของหมู่บ้านพบว่าระบบเกษตรมีความยั่งยืนโดยอาศัยความหลากหลายในการทำการเกษตร แม้ผลผลิตข้าวไม่เพียงพอแต่ได้รับการชดเชยจากการเลี้ยงสัตว์และการหาของป่า (ดูบทคัดย่อและหน้า 230-231)

Focus

          ศึกษาสภาพการทำการเกษตร ความยั่งยืนของระบบเกษตร อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการทำเกษตรแบบยั่งยืนในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน (หน้า ง, 3, 213)

Theoretical Issues

          ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

          ศึกษาชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก

Language and Linguistic Affiliations

          ภาษาพูดกะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลธิเบต - พม่า หรือกลุ่มภาษาย่อย "คะเร้นนิค" (หน้า 10)

Study Period (Data Collection)

          ผู้วิจัยเข้าไปในหมู่บ้านพื้นที่ก่อนการวิจัยและระหว่างดำเนินการวิจัยเดือนละ 1 ครั้ง จำนวน 14 เดือน ระหว่างวันที่ 1 พ.ค. 2543 - 30 มิ.ย. 2544 (หน้า 213)

History of the Group and Community

          กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาหรือกลุ่มชนเผ่าหนึ่งจัดอยู่ในตระกูลหลักคือจีน - ธิเบต กะเหรี่ยงยังแบ่งออกได้อีก 4 เผ่าย่อยคือ โปว์ สะกอ คะยาและตองสู (หน้า 10 , 12) บ้านแม่สองไม่สามารถบ่งชี้ได้ชัดว่าก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่ แต่มีการบอกเล่ากันว่ามีพี่น้องคู่หนึ่งอพยพมาจากพม่า แล้วมาตั้งถิ่นฐานสมทบกับผู้ที่อาศัยมาอยู่ก่อนแล้ว โดย 60 ปีที่ผ่านมามีการอพยพย้ายถิ่นขึ้นๆ ลงๆ ตามลุ่มน้ำทั้งหมด 7 ครั้ง จากการเกิดโรคระบาด โดยประวัติของบ้านแม่สองสามารถแบ่งได้เป็นยุคดังนี้ 1) ยุคต้น (ก่อนปี พ.ศ. 2517 - ปี พ.ศ.2517) หมู่บ้านแม่สองอุดมไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่า อาหารจากธรรมชาติ เริ่มมีการสัมปทานป่าไม้ ชาวบ้านที่ทำไร่หมุนเวียนประสบปัญหาข้าวไม่พอเพียงสำหรับการบริโภคตลอดทั้งปี มีการเลี้ยงโค กระบือไว้ทำนา การเรียนรู้ของชุมชนเป็นไปอย่างเรียบง่าย ใช้วิธีสังเกตและจดจำพร้อมทั้งปฏิบัติจริง ยุคนี้ไม่มีการค้าขายเกิดขึ้น สินค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันมากที่สุดคือเกลือ 2) ยุคกลาง (ปี พ.ศ.2517 - พ.ศ.2542) ธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์ ระยะเวลาการหมุนเวียนทำไร่ลดลงไม่เกิน 8 ปี เด็กในหมู่บ้านมีโอกาสเข้าไปศึกษาต่อในตัวจังหวัดตาก และเริ่มมีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ทั้งนิกายคาทอลิคและโปรแตสแตนท์ เริ่มมีการสร้างประปาในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีการสร้างศูนย์อพยพรองรับผู้อพยพกะเหรี่ยงจากพม่าอีกด้วย 3) ยุคปัจจุบัน (พ.ศ.2543 เป็นต้นมา) ธรรมชาติเริ่มคืนสภาพ เกิดการจ้างแรงงาน ชาวบ้านเลี้ยงโคและกระบือกันมากขึ้น มีการจัดตั้งโรงเรียนประถมและศูนย์เด็กเล็กในหมู่บ้าน คนหนุ่มสาวในหมู่บ้านมีโอกาสเรียนหนังสือกันมากขึ้น สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ คนในหมู่บ้านสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธและนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 53-58, 214-215)

Settlement Pattern

          บ้านแม่สองประกอบด้วยหมู่บ้าน 3 หย่อมย่อย คือ บ้านแม่สองเชียงแก้ว บ้านกลูแจทะและ และบ้านทีโมโกทะ โดยหมู่บ้านแม่สองเชียงแก้วตั้งอยู่เหนือสุดของทั้ง 3 หมู่บ้าน คือบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแม่สอง ระหว่างหัว - ท้ายหมู่บ้านมีลำธาร 2 สาย ไหลลงสู่แม่น้ำแม่สอง เหนือหมู่บ้านขึ้นไป 2 กม. เป็นที่ทำนาของชาวบ้าน ส่วนบริเวณรอบหมู่บ้านเป็นที่ทำไร่หมุนเวียน ส่วนหมู่บ้านกลูแจทะอยู่ถัดลงมาทางปลายน้ำแม่สอง โดยอยู่ระหว่างหมู่บ้านแม่สองเชียงแก้วและหมู่บ้านทีโมโกทะ ทิศเหนือเป็นภูเขาและมีลำธาร "กลูแจโกล" ไหลผ่าน ชาวบ้านจะผันน้ำจากลำธารนี้เพื่อใช้ในการทำนา ส่วนพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนของชาวบ้านอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย ทิศใต้ - ตะวันออก - ตะวันตก ของหมู่บ้านติดกับแม่น้ำแม่สอง สำหรับหมู่บ้านทีโมโกทะอยู่ทางตอนล่างสุดของหมู่บ้าน ทิศเหนือติดกับเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย ทิศใต้ติดกับแม่น้ำแม่สองซึ่งฝั่งตรงข้ามของหมู่บ้าน ชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนและทำสวน ทิศตะวันออกก็ติดกับลำน้ำแม่สองเช่นเดียวกัน ส่วนทิศตะวันตกติดกับลำธาร "ทีโมโกโกล" เป็นที่ราบลุ่มที่สามารถผันน้ำได้ (หน้า 58-63)

Demography

          บ้านแม่สองมีครัวเรือนทั้งหมด 164 ครัวเรือน 185 ครอบครัว มีสำเนาทะเบียนบ้าน 102 ครัวเรือน ไม่มี 83 ครัวเรือน มีประชากร 867 คน เป็นชาย 376 คน หญิง 491 คน โดยบ้านแม่สองเชียงแก้วมีประชากรมากที่สุด รองลงมาคือบ้านกลู - แจ - ทะ และบ้านทีโมโกะทะ (หน้า 1, 67-68, 215)

Economy

         จากปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้หน่วยงานต่างๆ พยายามส่งเสริมการเกษตรเชิงอนุรักษ์ให้กะเหรี่ยงทำเกษตรแบบผสมผสาน เปลี่ยนแปลงระบบปลูกข้าวไร่โดยปลูกไม้ผลและพืชตระกูลถั่ว พืชอาหารแทนการปลูกข้าวไร่อย่างเดียว (หน้า 13) ชาวบ้านแม่สองประกอบอาชีพเกษตรเป็นหลักทั้งทำไร่และทำนา เลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นรายได้เสริม ปลูกข้าวไว้บริโภคในครัวเรือน พืชอื่นก็มี งา ข้าวโพด ถั่วต่าง ๆ (หน้า 1, 48) การทำไร่หมุนเวียนของชาวบ้านแม่สอง : ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มชาวบ้านที่ทำนาออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลางและกลุ่มเก่งน้อย พบว่าผลผลิตข้าวเฉลี่ย 5 ปี/ถัง/ไร่ ของแต่ละกลุ่มเป็น ดังนี้ กลุ่มเก่งได้ 39.14 ถัง กลุ่มปานกลางได้ 33 ถัง กลุ่มเก่งน้อยได้ 29.6 ถัง โดยองค์ประกอบของการทำไร่หมุนเวียนประกอบไปด้วย 1) คนที่เป็นแรงงาน 2) พื้นที่ป่าที่มีความลาดชันระหว่าง 30-60 เปอร์เซ็นต์ 3) วัสดุอุปกรณ์ เช่น ขวาน พันธุ์ข้าว ไม้กระทุ้งหลุมเพื่อหยอดพันธุ์ข้าว ภาชนะบรรจุเมล็ดพันธุ์ข้าว 4) กระท่อมที่พัก 5) พิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อประกอบด้วย "แซะ ขึ" หรือการเลี้ยงผีในไร่มี 2 รอบ คือ ก่อนลงมือทำไร่เพื่อให้เจ้าที่ช่วยให้ได้ผลผลิตมากๆ การเลี้ยงครั้งที่ 2 ทำหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว เพื่อขอบคุณเจ้าที่ที่คุ้มครองขณะทำไร่และขอบคุณที่ผลผลิตไม่เสียหาย วิธีการทำไร่หมุนเวียนของบ้านแม่สอง 1) มกราคม - กุมภาพันธ์ เลือกพื้นที่ที่จะทำไร่ใหม่ โดยเลือกพื้นที่ที่เป็นไร่ซาก 5 - 8 ปี และมีข้อปฏิบัติอีกว่าภูเขาลูกเดียวกัน หากปีที่แล้วมีการทำไร่ตอนบน ปีนี้ห้ามถางไร่ ในลำห้วยเดียวกัน ถ้าปีที่แล้วมีการถางไร่อีกฟากหนึ่ง ปีนี้ก็ห้ามถางไร่อีกฟากหนึ่ง เป็นการแสวงหาที่ดินอันสมบูรณ์ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 2) มีนาคม จะเป็นช่วงการถางไร่ จะไม่มีการตัดต้นไม้ใหญ่ แต่จะตัดเฉพาะกิ่งให้เหลือลำต้นเพื่อให้ป่าได้ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว 3) เมษายน เป็นเวลาตากไร่ให้แห้งและรอการเผา จะทำแนวกันไฟรอบๆ เพื่อป้องกันไฟป่า 4) พฤษภาคม เป็นช่วงเวลาแห่งการเผาต้นไม้ต้นไผ่ในไร่ที่แห้งสนิท นิยมเผาตอนบ่ายแก่ ๆ แดดจัด ๆ 5) มิถุนายน เตรียมพันธุ์พืช เช่น ข้าวโพด ฟักทอง ถั่ว ไปปลูกในไร่ เพราะพืชเหล่านี้ขึ้นได้ดีในขณะที่ดินยังอุ่น หากไร่ยังเผาไม่หมดต้องเก็บกวาดไว้และเตรียมเผาอีกครั้ง เศษไม้ที่เผาไม่หมดจะนำมาทำเป็นรั้วเพื่อป้องกันสัตว์ป่า 6) กรกฎาคม เป็นช่วงเวลาหยอดข้าวและหว่านเมล็ดพันธุ์ ชาวบ้านจะร่วมลงแขกด้วยกัน โดยจะให้หนุ่มสาวที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ให้หญิงสาวเป็นผู้หยอดเมล็ดพันธุ์ ส่วนฝ่ายชายเป็นผู้กระทุ้งหลุม พร้อมมีการอธิษฐานให้มีความอุดมสมบูรณ์ ฝนตกต้องตามฤดูกาล 7) สิงหาคม ข้าวจะเริ่มเติบโตพร้อมมีการกำจัดวัชพืชไปเป็นปุ๋ยสดให้กับข้าวและพรวนดินไปด้วย 8) กันยายน จะเป็นช่วงที่ต้นข้าวขึ้นมาอย่างเขียวขจีและทำพิธีเลี้ยงไร่ 4 พิธี คือ พิธีเลี้ยงไฟ (ขอขมาธรรมชาติ จากการที่เผาไร่) พิธีปัดรังควานไร่ (การขับไล่ศัตรูข้าวให้ออกไปจากไร่) พิธีเรียกขวัญข้าว (เรียกขวัญข้าวที่อาจจะไปอยู่ที่อื่น ให้กลับมาอยู่กับต้นข้าวในไร่) พิธีป้องกันไร่ (ป้องกันศัตรูข้าวไม่ให้มาทำลายข้าว) 9) ตุลาคม มีการทำพิธีระดับหมู่บ้านอีกครั้งเรียกว่า "กี้จือลาขุ" หลังจากงานในไร่ได้ผ่านพ้นไปเกือบหมดเพื่อขอบคุณสิ่งสูงสุด และขอพรสำหรับการเก็บเกี่ยวที่กำลังจะมาถึง ชาวบ้านจะเตรียมสร้างยุ้งข้าวไว้ด้วย 10) พฤศจิกายน เป็นช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวโดยชาวบ้านจะร่วมลงแขกร่วมกัน จะมีพิธีทานหัวข้าวหรือทานข้าวใหม่ หลังจากเกี่ยวข้าวแล้วจะมีการนวดข้าวและนำข้าวไปเก็บไว้ในยุ้งข้าว จะมีพิธีขอบคุณสิ่งสูงสุดที่ประทานข้าวมาให้ 11) ธันวาคม เป็นช่วงเวลาหมดหน้าไร่ และเก็บเกี่ยวพืชผักจำพวกฟักทอง ข้าวโพด ถั่ว นำมาเป็นกับข้าว และเตรียมทำไร่ในปีต่อๆไป การทำไร่หมุนเวียนให้ได้ผลดี 1) ให้พื้นที่ป่าได้พักฟื้นตัว 5 ปี 2) ควรตากไร่ประมาณ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย 3) ควรฟันไม้ให้ล้มทับกันอย่างสม่ำเสมอเพราะเป็นผลดีต่อการเผา 4) ควรทำแนวป้องกันไฟป่า และสัตว์ป่าที่อาจจะเข้ามาในไร่ 5) ควรปลูกถั่วและพืชเสริมร่วม เพื่อเป็นอาหารให้ข้าวและสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ 6) ควรจำกัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 88 - 113 , 216 - 218) การทำนาดำของชาวบ้านแม่สอง ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มชาวบ้านที่ทำนาดำออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลางและกลุ่มเก่งน้อย พบว่าผลผลิตข้าวเฉลี่ย 5 ปี/ถัง/ไร่ ของแต่ละกลุ่มเป็นดังนี้ กลุ่มเก่งได้ 41.5 ถัง กลุ่มปานกลางได้ 30.3 ถัง กลุ่มเก่งน้อยได้ 26.52 ถัง พื้นที่ที่ทำนาดำใช้พื้นที่ราบหรือลาดชันไม่เกิน 30% ต้องทำฝายกั้นน้ำและขุดคลองส่งน้ำ ใช้แรงงานจากโคและกระบือ และมีอุปกรณ์สำหรับเตรียมการอื่นๆ อีกเช่น เชือก คันไถและคราด มีด จอบ เมล็ดพันธุ์ โดยกะเหรี่ยงมีพิธีกรรมประกอบมากมายระหว่างการเตรียมการจนถึงขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงทำนายผลผลิตที่จะได้จากการทำนา การทำนาดำให้ได้ผลดี 1) ทุกคนควรมีเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับทำนาเตรียมพร้อม เพราะไม่มีใครเตรียมไว้ให้ผู้อื่น 2) หญ้าแม้จะเป็นศัตรู แต่ก็เป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับการทำนาแบบไถกลบ หญ้าสามารถใช้เป็นปุ๋ยหมักได้เป็นอย่างดี 3) สภาพพื้นที่กับการรองรับน้ำควรสมดุลกัน 4) การมีโค - กระบือเป็นของตนเอง 5) อายุกล้าข้าวยิ่งน้อยการแตกกอยิ่งดี 6) ระยะปลูก 1 ศอกเป็นระยะที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของข้าว 7) การกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ 8) การกระจายน้ำขุ่นที่ประกอบด้วยธาตุอาหารอย่างทั่วถึงทำให้ข้าวได้รับอาหารอย่างทั่วถึง (หน้า 113-134, 218-219) การเลี้ยงโคของชาวบ้านแม่สอง : ชาวบ้านจะซื้อโคมาเลี้ยงเพื่อขายเป็นรายได้เสริม โดยปกติโคจะให้ลูกปีละ 1 ตัว ชาวบ้านจะเลี้ยงโค 2 รูปแบบ คือ ปล่อยให้หากินอยู่ในป่าและไปสังเกตเป็นระยะๆ และการเลี้ยงแบบไปกลับ คือตอนเช้าต้อนเข้าป่า ตอนเย็นก็ต้อนกลับมานอนที่บ้าน การเลี้ยงโคที่ดีมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1) การคัดเลือกพันธุ์ที่ดี ควรจะเป็นแม่โคเพื่อให้ได้ลูกโคนำมาเลี้ยงต่อไป 2) ประวัติโคในเรื่องประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ 3) เมื่อซื้อโคมาแล้วควรกักพื้นที่ไว้ 15 วัน 4) ควรสังเกตโคเป็นระยะๆ ไม่ควรปล่อยไว้ในป่านานเกินไป (หน้า 135-153, 219-221) การเลี้ยงกระบือของชาวบ้านแม่สอง : การเลี้ยงกระบือที่ดีมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1) การคัดเลือกพันธุ์ที่ดี ควรจะเป็นแม่กระบือเพื่อให้ได้ลูกกระบือนำมาเลี้ยงต่อไป 2) ประวัติกระบือในเรื่องประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ 3) เมื่อซื้อกระบือมาแล้วควรกักพื้นที่ไว้ 15 วัน 4) ควรหมั่นสังเกตกระบือเป็นระยะๆ อย่างใกล้ชิด ไม่ควรปล่อยไว้ในป่านานเกินไป (หน้า 153-169, 221-223) การเลี้ยงสุกรของชาวบ้านแม่สอง : ชาวบ้านเลี้ยงสุกรพันธุ์พื้นเมืองมี 2 พันธุ์คือ เถาะ-แหล้-หน้า (พันธุ์หูกว้าง) และเถาะ-กะ-ฮี (พันธุ์หูไม่กว้าง) โดยสุกรทั้ง 2 พันธุ์จะให้ลูกประมาณ 8 - 12 ตัว ชาวบ้านจะตอนสุกรตัวผู้เมื่ออายุได้ประมาณ 1 เดือนกว่าเพราะตัวเล็กและตอนง่าย และหากปล่อยไว้นานกว่านั้นสุกรจะมีกลิ่นเหม็นและเนื้อไม่อร่อย อาหารที่เลี้ยงสุกรมีรำข้าว น้ำซาวข้าว เศษอาหาร หยวกกล้วย ผักขม บอน วิธีเลี้ยงสุกรที่ดีมีดังนี้ 1) การคัดเลือกพันธุ์ควรเป็นพันธุ์แม่เพราะสามารถนำมาเพาะพันธุ์ต่อได้ 2) คอกสุกรควรแน่นหนา ยกพื้นคอกให้ระบายกลิ่นเหม็น 3) ควรจุดไฟเพื่อไล่แมลงบริเวณคอก 4) อาหารที่ใช้เลี้ยงสุกรควรมาจากธรรมชาติ (หน้า 169-181, 223-225) การขุดหาหน่อไม้ของชาวบ้านแม่สอง : การหาของป่าเพื่อนำมาเป็นรายได้เสริมเนื่องจากข้าวที่ผลิตได้ในแต่ละปี ไม่เพียงพอต่อการบริโภค การขุดหน่อไม้ควรมีการวางแผนก่อนออกจากบ้านว่าจะไปขุดที่ไหนที่ยังไม่มีคนไปหรือมีก็นานมาแล้ว โดยชาวบ้านจะเข้าไปนอนในป่าและเริ่มขุดในเวลาประมาณ 11.00 น. แบกมาขายที่ถนนเวลา 15.00 น. และจะมีผู้มารับซื้อโดยให้ราคากิโลกรัมละ 2 บาท จากนั้นชาวบ้านจึงวางแผนเพื่อจะขุดหน่อไม้ในวันต่อๆ ไป (หน้า 182-193, 225-227) การขุดหาเฮาะโคะโซ : ชาวบ้านต้องทราบว่าเฮาะโคะโซชอบขึ้นบริเวณใดและทุกๆ ปีก็จะขึ้นที่นั่นสม่ำเสมอ สามารถขุดได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคม โดยใช้มีดเป็นอุปกรณ์ โดยชาวบ้านจะหาในยามที่ไปหาหน่อไม้หรือเวลาที่ไปเลี้ยงโค - กระบือ โดยจะมีผู้รวบรวมเฮาะโคะโซไปขายที่ประเทศพม่า (หน้า 193-202, 227-228) การขุดหาบุก : บุก มี 2 ชนิดคือชนิดที่ผิวลำต้นเรียบและผิวลำต้นหยาบ โดยชาวบ้านจะนำไปขายและแกงเป็นกับข้าว ชาวบ้านจะขุดบุกเดือนสิงหาคม - กันยายน เพราะเป็นช่วงที่ดินอ่อนนุ่มและขุดง่าย ใช้อุปกรณ์คือจอบ มีดและเสียม การขุดบุกควรต้องสำรวจพื้นที่ไว้ก่อนเพื่อเตรียมการล่วงหน้า (หน้า 202-210, 229-230)

Social Organization

          โครงสร้างระดับชุมชนบ้านแม่สอง 1) "ซุเกซะป้า" เป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้านและเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น โหราศาสตร์ ภูมิปัญญา พิธีกรรมทางศาสนา การรักษาโรค มีอำนาจมากที่สุดในหมู่บ้านและเป็นที่ปรึกษาของผู้ใหญ่บ้าน 2) "ซะป้า" หรือผู้ใหญ่บ้าน ที่มาจากการเลือกตั้งของคนในชุมชน มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 2 คน ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานทางราชการ ออกกฎเกณฑ์ของหมู่บ้านจากการมีส่วนร่วมของทุกคน ดูแลทุกข์สุขของลูกบ้าน ควบคุมจารีตประเพณีของชุมชน เป็นผู้ตัดสินคดีความในชุมชน 3) ผู้รักษาความสงบ เนื่องจากหมู่บ้านแม่สองอยู่บริเวณชายแดนไทย - พม่า ทางราชการจึงให้หมู่บ้านที่อยู่บริเวณชายแดนมีผู้รักษาความปลอดภัยหมู่บ้านละ 1 คน เพื่อแบ่งเบาภาระทางราชการ 4) หมอตำแย มีบทบาทในการทำคลอด เพราะหมู่บ้านแม่สองอยู่ไกลความเจริญ ประชาชนไม่มีการฝากท้องที่โรงพยาบาล ผู้ชายเป็นหมอตำแยไม่ได้เด็ดขาด หมอตำแยคนปัจจุบันจะเป็นผู้คัดเลือกคนสืบทอดตำแหน่งหมอตำแยด้วยตนเอง โครงสร้างชุมชนระดับเครือญาติและครอบครัว มีพิธี "เอาะแข่" หรือพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษของเครือญาติและครอบครัวเป็นตัวกำหนดหลัก พิธีนี้ถูกกำหนดโดยเชื้อสายฝ่ายหญิงหรือตระกูลแม่ที่มีอำนาจ บทบาทสูงสุดคือ ยาย ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดพิธีและให้ลูกหลานเครือญาติทางตระกูลแม่มาร่วมพิธีทั้งหมด ผู้ที่เป็นเขยเข้าร่วมพิธีไม่ได้ ต้องกลับไปร่วมพิธีของแม่และยายของตนเอง พิธีนี้ช่วยในการจัดระบบเครือญาติ โดยห้ามลูกหลานที่ร่วมพิธี "เอาะแข่" ด้วยกัน แต่งงานกันโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นต้องถูกตัดขาดจากเครือญาติโดยทันที โครงสร้างระดับครอบครัว มีทั้งครอบครัวขยายและครอบครัวเดี่ยว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวขยายมากกว่า ใน 1 ครัวเรือนต้องประกอบด้วย 2 ครอบครัวเป็นอย่างน้อยเพราะลูกต้องดูแลพ่อแม่ ผู้ชายที่แต่งงานกับหญิงคนใดต้องไปอาศัยอยู่บ้านผู้หญิงคนนั้น ถ้ายังไม่มีลูกจะไม่สามารถแยกครอบครัวได้ หัวหน้าครอบครัวคือพ่อหรือปู่ (หน้า 64-67, 215)

Political Organization

          บ้านแม่สองแบ่งการปกครองออกเป็น 2 รูปแบบคือแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แบบเป็นทางการคือการปกครองที่ทางราชการกำหนดขึ้น มี อบต. ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแลหมู่บ้าน ส่วนการปกครองแบบไม่เป็นทางการประกอบด้วยผู้เฒ่า และมีรูปแบบของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง (หน้า 79-81, 215) กฎระเบียบของหมู่บ้านแม่สอง มีดังนี้ 1) ห้ามเผาป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด 2) ห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาปลูกบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต 3) ห้ามทิ้งขยะในที่สาธารณะ 4) ห้ามยิงปืนช่วงเวลาระหว่าง 18.00-06.00 น. ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 500 บาท 5) ห้ามปล่อยหมูออกมาหากินในหมู่บ้าน 6) ห้ามตัดไม้ทำลายป่าในเขตอุทยานโดยเด็ดขาด 7) ห้ามเล่นการพนันในหมู่บ้าน 8) ห้ามออกนอกบ้านหลังเวลา 22.00 น. 9) ห้ามจับปลาโดยวิธีชาวบ้านต้องห้าม 10) ห้ามนำสิ่งเสพติดเข้ามาในหมู่บ้าน 11) ห้ามอาละวาดเวลาดื่มสุรา 12) ห้ามซื้อสิทธิ์ขายเสียงในเวลาเลือกตั้ง 13) ห้ามคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักเข้ามาอาศัยในหมู่บ้าน 14) ห้ามขโมยของผู้อื่นโดยเด็ดขาด 15) หากสัตว์เลี้ยงของใครไปทำร้ายผู้อื่น เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องรับผิดชอบตามความเหมาะสม (หน้า 64)

Belief System

          กะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระเจ้าหรือ "เก่อจ่าซวา" เป็นผู้สร้างขึ้นเหนือการรับรู้ของมนุษย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นแหล่งกำเนิดทุกสิ่งทุกอย่างและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยรักษา เช่น เจ้าป่า เจ้าดิน เจ้าน้ำ หากปฏิบัติตามความเชื่อ เกรงกลัวต่อบาปบุญคุณโทษ วิญญาณบรรพบุรุษก็จะคอยคุ้มครอง (หน้า 10) ในหมู่บ้านแม่สองมีทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ แต่ศาสนาพุทธจะมีมากกว่า ในหมู่บ้านมี "วัดบ้านแม่สอง" เป็นศูนย์รวมด้านศาสนาพุทธและยังสอนหนังสือให้กับเด็กในชุมชนอีกด้วย (หน้า 82) ประเพณีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำการเกษตร 1) การขึ้นปีใหม่ หมายถึง ฤดูแห่งการเกษตรในป่าเขาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จะมีพิธีกรรมปีใหม่ในวันข้างขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี 2) ประเพณีแต่งงาน บ้านฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นเจ้าภาพต้อนรับแขก 3) งานศพ จะมีการเดินรอบกองไฟบนลานดินหน้าบ้านของผู้ตาย (หน้า 85-87, 216)

Education and Socialization

          ผู้ที่มีอายุ 14 ปีลงไปมีแนวโน้มได้รับการศึกษาทุกคน ส่วนผู้ที่มีอายุ 15-19 ปี ได้รับการศึกษาทั้งหมด 76 คน จากทั้งหมด 172 คน ผู้ที่มีอายุ 20-45 ปี ได้รับการศึกษาทั้งหมด 24 คน จากทั้งหมด 271 คน ส่วนผู้ที่มีอายุ 46 ปีขึ้นไป ไม่มีผู้ใดได้รับการศึกษา การศึกษาระดับประถมฯ มี 219 คน ระดับมัธยมฯต้นมี 15 คน ระดับปวช. ไม่มี ระดับมัธยมปลาย 5 คน ระดับปวส. 1 คน และระดับปริญญาตรี 2 คน (หน้า 83-84, 216)

Health and Medicine

          ชาวบ้านแม่สองส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคมาลาเรีย ส่วนเด็กป่วยเป็นโรคพยาธิ ขณะที่สถานรักษาพยาบาลอยู่ห่างไกล และการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะฤดูฝนต้องเดินเท้าแบกหามคนไข้ออกมารับการรักษา (หน้า 85, 216)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          กะเหรี่ยงสะกอ ผู้ชายใส่เสื้อแขนสั้นสีแดง โพกผ้าด้วยสีต่างๆกัน ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะสวมกะโปรงสีขาว ปักลวดลายบ้างเล็กน้อย ส่วนหญิงกลุ่มที่แต่งงานแล้วจะใส่เสื้อแขนสั้นสีดำและสีน้ำเงิน ประดับด้วยลูกปัดสีแดง กระโปรงสีแดงมีลวดลายพร้อมกับโพกผ้าสีแดงหรือสีขาว (หน้า 10) เช่นเดียวกับการแต่งกายของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สองก็เหมือนกับกะเหรี่ยงทั่วไปกล่าวคือ เพศชาย ช่วงที่เป็นเด็กจะใส่เสื้อคลุมสีแดงสลับขาว สีแดงกว้างประมาณ 1 นิ้ว มีสีขาวกั้นตรงกลาง เวลาใส่จะคลุมยาวไปถึงหัวเข่า ส่วนผู้ใหญ่เครื่องแต่งกายจะแยกเป็น 2 ส่วน คือเสื้อและโสร่ง ทั้ง 2 ส่วนเน้นโทนสีแดง เสื้อมีลายเหมือนเสื้อเด็กแต่จะยาวลงมาถึงแค่เอว จากนั้นจึงใส่โสร่งปกคลุมร่างกายท่อนล่างอีกทีหนึ่ง สำหรับผู้หญิงที่ยังเป็นโสดและแต่งงานแล้วแต่งตัวไม่เหมือนกัน โดยหญิงที่เป็นโสดจะใส่เสื้อคลุมสีขาวทั้งชุดมีลายสีแดงคาดตามยาวและตามขวาง 2 จุด บริเวณที่สะโพก การแต่งกายของหญิงโสดมิดชิดตั้งแต่หัวไหล่ยาวลงมาถึงฝ่าเท้า ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะเน้นไปที่โทนสีดำปนแดง กะเหรี่ยงมีความเชื่อว่าเมื่อลูกอายุครบ 1 ปี ต้องทอเสื้อให้ลูกและต้องทอให้เสร็จภายใน 1 วัน หากไม่เสร็จใน 1 วันก็เลื่อนออกไปเป็น 3 วัน จะให้เสร็จวันที่ 2 ไม่ได้โดยเด็ดขาด (หน้า 75-78, 215)

Folklore

          ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          กะเหรี่ยงเรียกตนเองว่ากะเหรี่ยงเผ่าสะกอหรือปกาเก่อญอ คนต่างเผ่าจะเรียกกะเหรี่ยงว่า "ยางกะเลอ" คนเมืองพื้นราบเรียกว่า "ยาง" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Karen สำหรับกะเหรี่ยงเผ่าสะกอจะเรียกตนเองว่า "คานยอ" คนไทยเรียกว่า "ยางขาว" (หน้า 10)

Social Cultural and Identity Change

          เมื่อก่อนหากมีแขกมาเยี่ยมที่หมู่บ้าน เพื่อนบ้านจะเชิญแขกที่มาเยี่ยมไปร่วมรับประทานอาหาร แต่ปัจจุบันแทบไม่เห็นภาพเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะการผลิตข้าวที่ไม่เพียงพอต่อการบริโภค โดยเฉพาะครัวเรือนที่ทำไร่หมุนเวียน (หน้า 1-2) นอกจากนี้ปัญหาที่เกิดจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชก็กำลังเกิดขึ้นรุนแรงเช่นกัน (หน้า 13) ปัจจุบันเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐและชุมชนในสิทธิการเข้าถึงทรัพยากร โดยฝ่ายรัฐมักอ้างนโยบายการอนุรักษ์ กฎหมายและระบบกรรมสิทธิ์ ฝ่ายชุมชนชาวบ้านจึงต้องปรับตัว สำหรับปกาเกอะญอ มีการปรับตัว 3 รูปแบบคือ 1) การทำไร่หมุนเวียนแบบพึ่งพาและไม่ยั่งยืน คือ ระบบการทำไร่หมุนเวียนที่ไม่สามารถประกันความมั่นคงในการยังชีพของชาวบ้านได้อีกต่อไป 2) การทำไร่แบบเปลี่ยนผ่านและไม่ยั่งยืน คือ ระบบการทำไร่หมุนเวียนที่ไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่นคงในการยังชีพของชาวบ้าน แต่ชาวบ้านในระบบนี้ก็พยายามปรับตัวเพื่อแสวงหาทางเลือกใหม่เพื่อความยั่งยืนในอนาคต 3) การทำไร่แบบยั่งยืน คือระบบการทำไร่หมุนเวียนที่มีศักยภาพในการปรับตัวกับทางเลือกใหม่ของการจัดการไร่แบบผสมผสานได้อย่างมีพลวัต (หน้า 33-34)

Critic Issues

          ไม่มีข้อมูล

Other Issues

          ไม่มี

Map/Illustration

          งานวิจัยชิ้นนี้มีตาราง แผนภูมิ แผนที่ และภาพประกอบเพื่อนำเสนอข้อมูลค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงการได้รับการศึกษาของชุมชนบ้านแม่สอง (ตารางที่ 3 หน้า 84) แผนภูมิแสดงผลผลิตข้าวนาขั้นบันไดบ้านแม่สองโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2539 - 2543 (แผนภูมิที่ 6 หน้า 127) รูปภาพแสดงการตากไร่ (ภาพที่ 12 หน้า 92) แผนที่แสดงหมู่บ้านแม่สองและหมู่บ้านใกล้เคียง (แผนที่ที่ 4 หน้า 63)

Text Analyst สิทธิพร จรดล Date of Report 30 ม.ค. 2560
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), , การมีส่วนร่วม, ชุมชน, เกษตรยั่งยืน, ตาก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง