|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,การมีส่วนร่วม,ชุมชน,เกษตรยั่งยืน,ตาก |
Author |
บุญส่ง ธารศรีทอง |
Title |
การวิเคราะห์แบบมีส่วนร่วมถึงความยั่งยืนของระบบเกษตรในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
234 |
Year |
2544 |
Source |
หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร์) สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ศึกษาสภาพการทำการเกษตร ความยั่งยืนของระบบเกษตร อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการทำเกษตรแบบยั่งยืนในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยศึกษาการทำไร่หมุนเวียน การทำนาดำ การเลี้ยงโค การเลี้ยงกระบือ การเลี้ยงสุกร การขุดหาหน่อไม้ การขุดหาเฮาะโคะโซ การขุดหาบุก ผลวิจัยพบว่าผลผลิตจากการทำไร่และทำนาลดลงในปีที่ปริมาณน้ำฝนน้อย การทำไร่หมุนเวียนจะมีการปลูกพืชชนิดอื่นเสริมเพื่อให้ข้าวได้รับสารอาหารอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การเลี้ยงโค กระบือ สุกร ของชาวบ้านยังเป็นรายได้เสริมในยามที่ผลผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภค รวมไปถึงการหาของป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของชาวบ้าน ในภาพรวมของหมู่บ้านพบว่าระบบเกษตรมีความยั่งยืนโดยอาศัยความหลากหลายในการทำการเกษตร แม้ผลผลิตข้าวไม่เพียงพอแต่ได้รับการชดเชยจากการเลี้ยงสัตว์และการหาของป่า (ดูบทคัดย่อและหน้า 230-231) |
|
Focus |
ศึกษาสภาพการทำการเกษตร ความยั่งยืนของระบบเกษตร อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการทำเกษตรแบบยั่งยืนในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน (หน้า ง, 3, 213) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สอง ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดกะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลธิเบต - พม่า หรือกลุ่มภาษาย่อย "คะเร้นนิค" (หน้า 10) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยเข้าไปในหมู่บ้านพื้นที่ก่อนการวิจัยและระหว่างดำเนินการวิจัยเดือนละ 1 ครั้ง จำนวน 14 เดือน ระหว่างวันที่ 1 พ.ค. 2543 - 30 มิ.ย. 2544 (หน้า 213) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาหรือกลุ่มชนเผ่าหนึ่งจัดอยู่ในตระกูลหลักคือจีน - ธิเบต กะเหรี่ยงยังแบ่งออกได้อีก 4 เผ่าย่อยคือ โปว์ สะกอ คะยาและตองสู (หน้า 10 , 12) บ้านแม่สองไม่สามารถบ่งชี้ได้ชัดว่าก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่ แต่มีการบอกเล่ากันว่ามีพี่น้องคู่หนึ่งอพยพมาจากพม่า แล้วมาตั้งถิ่นฐานสมทบกับผู้ที่อาศัยมาอยู่ก่อนแล้ว โดย 60 ปีที่ผ่านมามีการอพยพย้ายถิ่นขึ้นๆ ลงๆ ตามลุ่มน้ำทั้งหมด 7 ครั้ง จากการเกิดโรคระบาด โดยประวัติของบ้านแม่สองสามารถแบ่งได้เป็นยุคดังนี้ 1) ยุคต้น (ก่อนปี พ.ศ. 2517 - ปี พ.ศ.2517) หมู่บ้านแม่สองอุดมไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่า อาหารจากธรรมชาติ เริ่มมีการสัมปทานป่าไม้ ชาวบ้านที่ทำไร่หมุนเวียนประสบปัญหาข้าวไม่พอเพียงสำหรับการบริโภคตลอดทั้งปี มีการเลี้ยงโค กระบือไว้ทำนา การเรียนรู้ของชุมชนเป็นไปอย่างเรียบง่าย ใช้วิธีสังเกตและจดจำพร้อมทั้งปฏิบัติจริง ยุคนี้ไม่มีการค้าขายเกิดขึ้น สินค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันมากที่สุดคือเกลือ 2) ยุคกลาง (ปี พ.ศ.2517 - พ.ศ.2542) ธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์ ระยะเวลาการหมุนเวียนทำไร่ลดลงไม่เกิน 8 ปี เด็กในหมู่บ้านมีโอกาสเข้าไปศึกษาต่อในตัวจังหวัดตาก และเริ่มมีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ทั้งนิกายคาทอลิคและโปรแตสแตนท์ เริ่มมีการสร้างประปาในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีการสร้างศูนย์อพยพรองรับผู้อพยพกะเหรี่ยงจากพม่าอีกด้วย 3) ยุคปัจจุบัน (พ.ศ.2543 เป็นต้นมา) ธรรมชาติเริ่มคืนสภาพ เกิดการจ้างแรงงาน ชาวบ้านเลี้ยงโคและกระบือกันมากขึ้น มีการจัดตั้งโรงเรียนประถมและศูนย์เด็กเล็กในหมู่บ้าน คนหนุ่มสาวในหมู่บ้านมีโอกาสเรียนหนังสือกันมากขึ้น สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ คนในหมู่บ้านสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธและนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 53-58, 214-215) |
|
Settlement Pattern |
บ้านแม่สองประกอบด้วยหมู่บ้าน 3 หย่อมย่อย คือ บ้านแม่สองเชียงแก้ว บ้านกลูแจทะและ และบ้านทีโมโกทะ โดยหมู่บ้านแม่สองเชียงแก้วตั้งอยู่เหนือสุดของทั้ง 3 หมู่บ้าน คือบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแม่สอง ระหว่างหัว - ท้ายหมู่บ้านมีลำธาร 2 สาย ไหลลงสู่แม่น้ำแม่สอง เหนือหมู่บ้านขึ้นไป 2 กม. เป็นที่ทำนาของชาวบ้าน ส่วนบริเวณรอบหมู่บ้านเป็นที่ทำไร่หมุนเวียน ส่วนหมู่บ้านกลูแจทะอยู่ถัดลงมาทางปลายน้ำแม่สอง โดยอยู่ระหว่างหมู่บ้านแม่สองเชียงแก้วและหมู่บ้านทีโมโกทะ ทิศเหนือเป็นภูเขาและมีลำธาร "กลูแจโกล" ไหลผ่าน ชาวบ้านจะผันน้ำจากลำธารนี้เพื่อใช้ในการทำนา ส่วนพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนของชาวบ้านอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย ทิศใต้ - ตะวันออก - ตะวันตก ของหมู่บ้านติดกับแม่น้ำแม่สอง สำหรับหมู่บ้านทีโมโกทะอยู่ทางตอนล่างสุดของหมู่บ้าน ทิศเหนือติดกับเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย ทิศใต้ติดกับแม่น้ำแม่สองซึ่งฝั่งตรงข้ามของหมู่บ้าน ชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนและทำสวน ทิศตะวันออกก็ติดกับลำน้ำแม่สองเช่นเดียวกัน ส่วนทิศตะวันตกติดกับลำธาร "ทีโมโกโกล" เป็นที่ราบลุ่มที่สามารถผันน้ำได้ (หน้า 58-63) |
|
Demography |
บ้านแม่สองมีครัวเรือนทั้งหมด 164 ครัวเรือน 185 ครอบครัว มีสำเนาทะเบียนบ้าน 102 ครัวเรือน ไม่มี 83 ครัวเรือน มีประชากร 867 คน เป็นชาย 376 คน หญิง 491 คน โดยบ้านแม่สองเชียงแก้วมีประชากรมากที่สุด รองลงมาคือบ้านกลู - แจ - ทะ และบ้านทีโมโกะทะ (หน้า 1, 67-68, 215) |
|
Economy |
จากปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้หน่วยงานต่างๆ พยายามส่งเสริมการเกษตรเชิงอนุรักษ์ให้กะเหรี่ยงทำเกษตรแบบผสมผสาน เปลี่ยนแปลงระบบปลูกข้าวไร่โดยปลูกไม้ผลและพืชตระกูลถั่ว พืชอาหารแทนการปลูกข้าวไร่อย่างเดียว (หน้า 13) ชาวบ้านแม่สองประกอบอาชีพเกษตรเป็นหลักทั้งทำไร่และทำนา เลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นรายได้เสริม ปลูกข้าวไว้บริโภคในครัวเรือน พืชอื่นก็มี งา ข้าวโพด ถั่วต่าง ๆ (หน้า 1, 48) การทำไร่หมุนเวียนของชาวบ้านแม่สอง : ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มชาวบ้านที่ทำนาออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลางและกลุ่มเก่งน้อย พบว่าผลผลิตข้าวเฉลี่ย 5 ปี/ถัง/ไร่ ของแต่ละกลุ่มเป็น ดังนี้ กลุ่มเก่งได้ 39.14 ถัง กลุ่มปานกลางได้ 33 ถัง กลุ่มเก่งน้อยได้ 29.6 ถัง โดยองค์ประกอบของการทำไร่หมุนเวียนประกอบไปด้วย 1) คนที่เป็นแรงงาน 2) พื้นที่ป่าที่มีความลาดชันระหว่าง 30-60 เปอร์เซ็นต์ 3) วัสดุอุปกรณ์ เช่น ขวาน พันธุ์ข้าว ไม้กระทุ้งหลุมเพื่อหยอดพันธุ์ข้าว ภาชนะบรรจุเมล็ดพันธุ์ข้าว 4) กระท่อมที่พัก 5) พิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อประกอบด้วย "แซะ ขึ" หรือการเลี้ยงผีในไร่มี 2 รอบ คือ ก่อนลงมือทำไร่เพื่อให้เจ้าที่ช่วยให้ได้ผลผลิตมากๆ การเลี้ยงครั้งที่ 2 ทำหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว เพื่อขอบคุณเจ้าที่ที่คุ้มครองขณะทำไร่และขอบคุณที่ผลผลิตไม่เสียหาย วิธีการทำไร่หมุนเวียนของบ้านแม่สอง 1) มกราคม - กุมภาพันธ์ เลือกพื้นที่ที่จะทำไร่ใหม่ โดยเลือกพื้นที่ที่เป็นไร่ซาก 5 - 8 ปี และมีข้อปฏิบัติอีกว่าภูเขาลูกเดียวกัน หากปีที่แล้วมีการทำไร่ตอนบน ปีนี้ห้ามถางไร่ ในลำห้วยเดียวกัน ถ้าปีที่แล้วมีการถางไร่อีกฟากหนึ่ง ปีนี้ก็ห้ามถางไร่อีกฟากหนึ่ง เป็นการแสวงหาที่ดินอันสมบูรณ์ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 2) มีนาคม จะเป็นช่วงการถางไร่ จะไม่มีการตัดต้นไม้ใหญ่ แต่จะตัดเฉพาะกิ่งให้เหลือลำต้นเพื่อให้ป่าได้ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว 3) เมษายน เป็นเวลาตากไร่ให้แห้งและรอการเผา จะทำแนวกันไฟรอบๆ เพื่อป้องกันไฟป่า 4) พฤษภาคม เป็นช่วงเวลาแห่งการเผาต้นไม้ต้นไผ่ในไร่ที่แห้งสนิท นิยมเผาตอนบ่ายแก่ ๆ แดดจัด ๆ 5) มิถุนายน เตรียมพันธุ์พืช เช่น ข้าวโพด ฟักทอง ถั่ว ไปปลูกในไร่ เพราะพืชเหล่านี้ขึ้นได้ดีในขณะที่ดินยังอุ่น หากไร่ยังเผาไม่หมดต้องเก็บกวาดไว้และเตรียมเผาอีกครั้ง เศษไม้ที่เผาไม่หมดจะนำมาทำเป็นรั้วเพื่อป้องกันสัตว์ป่า 6) กรกฎาคม เป็นช่วงเวลาหยอดข้าวและหว่านเมล็ดพันธุ์ ชาวบ้านจะร่วมลงแขกด้วยกัน โดยจะให้หนุ่มสาวที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ให้หญิงสาวเป็นผู้หยอดเมล็ดพันธุ์ ส่วนฝ่ายชายเป็นผู้กระทุ้งหลุม พร้อมมีการอธิษฐานให้มีความอุดมสมบูรณ์ ฝนตกต้องตามฤดูกาล 7) สิงหาคม ข้าวจะเริ่มเติบโตพร้อมมีการกำจัดวัชพืชไปเป็นปุ๋ยสดให้กับข้าวและพรวนดินไปด้วย 8) กันยายน จะเป็นช่วงที่ต้นข้าวขึ้นมาอย่างเขียวขจีและทำพิธีเลี้ยงไร่ 4 พิธี คือ พิธีเลี้ยงไฟ (ขอขมาธรรมชาติ จากการที่เผาไร่) พิธีปัดรังควานไร่ (การขับไล่ศัตรูข้าวให้ออกไปจากไร่) พิธีเรียกขวัญข้าว (เรียกขวัญข้าวที่อาจจะไปอยู่ที่อื่น ให้กลับมาอยู่กับต้นข้าวในไร่) พิธีป้องกันไร่ (ป้องกันศัตรูข้าวไม่ให้มาทำลายข้าว) 9) ตุลาคม มีการทำพิธีระดับหมู่บ้านอีกครั้งเรียกว่า "กี้จือลาขุ" หลังจากงานในไร่ได้ผ่านพ้นไปเกือบหมดเพื่อขอบคุณสิ่งสูงสุด และขอพรสำหรับการเก็บเกี่ยวที่กำลังจะมาถึง ชาวบ้านจะเตรียมสร้างยุ้งข้าวไว้ด้วย 10) พฤศจิกายน เป็นช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวโดยชาวบ้านจะร่วมลงแขกร่วมกัน จะมีพิธีทานหัวข้าวหรือทานข้าวใหม่ หลังจากเกี่ยวข้าวแล้วจะมีการนวดข้าวและนำข้าวไปเก็บไว้ในยุ้งข้าว จะมีพิธีขอบคุณสิ่งสูงสุดที่ประทานข้าวมาให้ 11) ธันวาคม เป็นช่วงเวลาหมดหน้าไร่ และเก็บเกี่ยวพืชผักจำพวกฟักทอง ข้าวโพด ถั่ว นำมาเป็นกับข้าว และเตรียมทำไร่ในปีต่อๆไป การทำไร่หมุนเวียนให้ได้ผลดี 1) ให้พื้นที่ป่าได้พักฟื้นตัว 5 ปี 2) ควรตากไร่ประมาณ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย 3) ควรฟันไม้ให้ล้มทับกันอย่างสม่ำเสมอเพราะเป็นผลดีต่อการเผา 4) ควรทำแนวป้องกันไฟป่า และสัตว์ป่าที่อาจจะเข้ามาในไร่ 5) ควรปลูกถั่วและพืชเสริมร่วม เพื่อเป็นอาหารให้ข้าวและสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ 6) ควรจำกัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 88 - 113 , 216 - 218) การทำนาดำของชาวบ้านแม่สอง ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มชาวบ้านที่ทำนาดำออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลางและกลุ่มเก่งน้อย พบว่าผลผลิตข้าวเฉลี่ย 5 ปี/ถัง/ไร่ ของแต่ละกลุ่มเป็นดังนี้ กลุ่มเก่งได้ 41.5 ถัง กลุ่มปานกลางได้ 30.3 ถัง กลุ่มเก่งน้อยได้ 26.52 ถัง พื้นที่ที่ทำนาดำใช้พื้นที่ราบหรือลาดชันไม่เกิน 30% ต้องทำฝายกั้นน้ำและขุดคลองส่งน้ำ ใช้แรงงานจากโคและกระบือ และมีอุปกรณ์สำหรับเตรียมการอื่นๆ อีกเช่น เชือก คันไถและคราด มีด จอบ เมล็ดพันธุ์ โดยกะเหรี่ยงมีพิธีกรรมประกอบมากมายระหว่างการเตรียมการจนถึงขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงทำนายผลผลิตที่จะได้จากการทำนา การทำนาดำให้ได้ผลดี 1) ทุกคนควรมีเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับทำนาเตรียมพร้อม เพราะไม่มีใครเตรียมไว้ให้ผู้อื่น 2) หญ้าแม้จะเป็นศัตรู แต่ก็เป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับการทำนาแบบไถกลบ หญ้าสามารถใช้เป็นปุ๋ยหมักได้เป็นอย่างดี 3) สภาพพื้นที่กับการรองรับน้ำควรสมดุลกัน 4) การมีโค - กระบือเป็นของตนเอง 5) อายุกล้าข้าวยิ่งน้อยการแตกกอยิ่งดี 6) ระยะปลูก 1 ศอกเป็นระยะที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของข้าว 7) การกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ 8) การกระจายน้ำขุ่นที่ประกอบด้วยธาตุอาหารอย่างทั่วถึงทำให้ข้าวได้รับอาหารอย่างทั่วถึง (หน้า 113-134, 218-219) การเลี้ยงโคของชาวบ้านแม่สอง : ชาวบ้านจะซื้อโคมาเลี้ยงเพื่อขายเป็นรายได้เสริม โดยปกติโคจะให้ลูกปีละ 1 ตัว ชาวบ้านจะเลี้ยงโค 2 รูปแบบ คือ ปล่อยให้หากินอยู่ในป่าและไปสังเกตเป็นระยะๆ และการเลี้ยงแบบไปกลับ คือตอนเช้าต้อนเข้าป่า ตอนเย็นก็ต้อนกลับมานอนที่บ้าน การเลี้ยงโคที่ดีมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1) การคัดเลือกพันธุ์ที่ดี ควรจะเป็นแม่โคเพื่อให้ได้ลูกโคนำมาเลี้ยงต่อไป 2) ประวัติโคในเรื่องประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ 3) เมื่อซื้อโคมาแล้วควรกักพื้นที่ไว้ 15 วัน 4) ควรสังเกตโคเป็นระยะๆ ไม่ควรปล่อยไว้ในป่านานเกินไป (หน้า 135-153, 219-221) การเลี้ยงกระบือของชาวบ้านแม่สอง : การเลี้ยงกระบือที่ดีมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1) การคัดเลือกพันธุ์ที่ดี ควรจะเป็นแม่กระบือเพื่อให้ได้ลูกกระบือนำมาเลี้ยงต่อไป 2) ประวัติกระบือในเรื่องประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ 3) เมื่อซื้อกระบือมาแล้วควรกักพื้นที่ไว้ 15 วัน 4) ควรหมั่นสังเกตกระบือเป็นระยะๆ อย่างใกล้ชิด ไม่ควรปล่อยไว้ในป่านานเกินไป (หน้า 153-169, 221-223) การเลี้ยงสุกรของชาวบ้านแม่สอง : ชาวบ้านเลี้ยงสุกรพันธุ์พื้นเมืองมี 2 พันธุ์คือ เถาะ-แหล้-หน้า (พันธุ์หูกว้าง) และเถาะ-กะ-ฮี (พันธุ์หูไม่กว้าง) โดยสุกรทั้ง 2 พันธุ์จะให้ลูกประมาณ 8 - 12 ตัว ชาวบ้านจะตอนสุกรตัวผู้เมื่ออายุได้ประมาณ 1 เดือนกว่าเพราะตัวเล็กและตอนง่าย และหากปล่อยไว้นานกว่านั้นสุกรจะมีกลิ่นเหม็นและเนื้อไม่อร่อย อาหารที่เลี้ยงสุกรมีรำข้าว น้ำซาวข้าว เศษอาหาร หยวกกล้วย ผักขม บอน วิธีเลี้ยงสุกรที่ดีมีดังนี้ 1) การคัดเลือกพันธุ์ควรเป็นพันธุ์แม่เพราะสามารถนำมาเพาะพันธุ์ต่อได้ 2) คอกสุกรควรแน่นหนา ยกพื้นคอกให้ระบายกลิ่นเหม็น 3) ควรจุดไฟเพื่อไล่แมลงบริเวณคอก 4) อาหารที่ใช้เลี้ยงสุกรควรมาจากธรรมชาติ (หน้า 169-181, 223-225) การขุดหาหน่อไม้ของชาวบ้านแม่สอง : การหาของป่าเพื่อนำมาเป็นรายได้เสริมเนื่องจากข้าวที่ผลิตได้ในแต่ละปี ไม่เพียงพอต่อการบริโภค การขุดหน่อไม้ควรมีการวางแผนก่อนออกจากบ้านว่าจะไปขุดที่ไหนที่ยังไม่มีคนไปหรือมีก็นานมาแล้ว โดยชาวบ้านจะเข้าไปนอนในป่าและเริ่มขุดในเวลาประมาณ 11.00 น. แบกมาขายที่ถนนเวลา 15.00 น. และจะมีผู้มารับซื้อโดยให้ราคากิโลกรัมละ 2 บาท จากนั้นชาวบ้านจึงวางแผนเพื่อจะขุดหน่อไม้ในวันต่อๆ ไป (หน้า 182-193, 225-227) การขุดหาเฮาะโคะโซ : ชาวบ้านต้องทราบว่าเฮาะโคะโซชอบขึ้นบริเวณใดและทุกๆ ปีก็จะขึ้นที่นั่นสม่ำเสมอ สามารถขุดได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคม โดยใช้มีดเป็นอุปกรณ์ โดยชาวบ้านจะหาในยามที่ไปหาหน่อไม้หรือเวลาที่ไปเลี้ยงโค - กระบือ โดยจะมีผู้รวบรวมเฮาะโคะโซไปขายที่ประเทศพม่า (หน้า 193-202, 227-228) การขุดหาบุก : บุก มี 2 ชนิดคือชนิดที่ผิวลำต้นเรียบและผิวลำต้นหยาบ โดยชาวบ้านจะนำไปขายและแกงเป็นกับข้าว ชาวบ้านจะขุดบุกเดือนสิงหาคม - กันยายน เพราะเป็นช่วงที่ดินอ่อนนุ่มและขุดง่าย ใช้อุปกรณ์คือจอบ มีดและเสียม การขุดบุกควรต้องสำรวจพื้นที่ไว้ก่อนเพื่อเตรียมการล่วงหน้า (หน้า 202-210, 229-230) |
|
Social Organization |
โครงสร้างระดับชุมชนบ้านแม่สอง 1) "ซุเกซะป้า" เป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้านและเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น โหราศาสตร์ ภูมิปัญญา พิธีกรรมทางศาสนา การรักษาโรค มีอำนาจมากที่สุดในหมู่บ้านและเป็นที่ปรึกษาของผู้ใหญ่บ้าน 2) "ซะป้า" หรือผู้ใหญ่บ้าน ที่มาจากการเลือกตั้งของคนในชุมชน มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 2 คน ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานทางราชการ ออกกฎเกณฑ์ของหมู่บ้านจากการมีส่วนร่วมของทุกคน ดูแลทุกข์สุขของลูกบ้าน ควบคุมจารีตประเพณีของชุมชน เป็นผู้ตัดสินคดีความในชุมชน 3) ผู้รักษาความสงบ เนื่องจากหมู่บ้านแม่สองอยู่บริเวณชายแดนไทย - พม่า ทางราชการจึงให้หมู่บ้านที่อยู่บริเวณชายแดนมีผู้รักษาความปลอดภัยหมู่บ้านละ 1 คน เพื่อแบ่งเบาภาระทางราชการ 4) หมอตำแย มีบทบาทในการทำคลอด เพราะหมู่บ้านแม่สองอยู่ไกลความเจริญ ประชาชนไม่มีการฝากท้องที่โรงพยาบาล ผู้ชายเป็นหมอตำแยไม่ได้เด็ดขาด หมอตำแยคนปัจจุบันจะเป็นผู้คัดเลือกคนสืบทอดตำแหน่งหมอตำแยด้วยตนเอง โครงสร้างชุมชนระดับเครือญาติและครอบครัว มีพิธี "เอาะแข่" หรือพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษของเครือญาติและครอบครัวเป็นตัวกำหนดหลัก พิธีนี้ถูกกำหนดโดยเชื้อสายฝ่ายหญิงหรือตระกูลแม่ที่มีอำนาจ บทบาทสูงสุดคือ ยาย ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดพิธีและให้ลูกหลานเครือญาติทางตระกูลแม่มาร่วมพิธีทั้งหมด ผู้ที่เป็นเขยเข้าร่วมพิธีไม่ได้ ต้องกลับไปร่วมพิธีของแม่และยายของตนเอง พิธีนี้ช่วยในการจัดระบบเครือญาติ โดยห้ามลูกหลานที่ร่วมพิธี "เอาะแข่" ด้วยกัน แต่งงานกันโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นต้องถูกตัดขาดจากเครือญาติโดยทันที โครงสร้างระดับครอบครัว มีทั้งครอบครัวขยายและครอบครัวเดี่ยว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวขยายมากกว่า ใน 1 ครัวเรือนต้องประกอบด้วย 2 ครอบครัวเป็นอย่างน้อยเพราะลูกต้องดูแลพ่อแม่ ผู้ชายที่แต่งงานกับหญิงคนใดต้องไปอาศัยอยู่บ้านผู้หญิงคนนั้น ถ้ายังไม่มีลูกจะไม่สามารถแยกครอบครัวได้ หัวหน้าครอบครัวคือพ่อหรือปู่ (หน้า 64-67, 215) |
|
Political Organization |
บ้านแม่สองแบ่งการปกครองออกเป็น 2 รูปแบบคือแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แบบเป็นทางการคือการปกครองที่ทางราชการกำหนดขึ้น มี อบต. ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแลหมู่บ้าน ส่วนการปกครองแบบไม่เป็นทางการประกอบด้วยผู้เฒ่า และมีรูปแบบของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง (หน้า 79-81, 215) กฎระเบียบของหมู่บ้านแม่สอง มีดังนี้ 1) ห้ามเผาป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด 2) ห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาปลูกบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต 3) ห้ามทิ้งขยะในที่สาธารณะ 4) ห้ามยิงปืนช่วงเวลาระหว่าง 18.00-06.00 น. ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 500 บาท 5) ห้ามปล่อยหมูออกมาหากินในหมู่บ้าน 6) ห้ามตัดไม้ทำลายป่าในเขตอุทยานโดยเด็ดขาด 7) ห้ามเล่นการพนันในหมู่บ้าน 8) ห้ามออกนอกบ้านหลังเวลา 22.00 น. 9) ห้ามจับปลาโดยวิธีชาวบ้านต้องห้าม 10) ห้ามนำสิ่งเสพติดเข้ามาในหมู่บ้าน 11) ห้ามอาละวาดเวลาดื่มสุรา 12) ห้ามซื้อสิทธิ์ขายเสียงในเวลาเลือกตั้ง 13) ห้ามคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักเข้ามาอาศัยในหมู่บ้าน 14) ห้ามขโมยของผู้อื่นโดยเด็ดขาด 15) หากสัตว์เลี้ยงของใครไปทำร้ายผู้อื่น เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องรับผิดชอบตามความเหมาะสม (หน้า 64) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระเจ้าหรือ "เก่อจ่าซวา" เป็นผู้สร้างขึ้นเหนือการรับรู้ของมนุษย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นแหล่งกำเนิดทุกสิ่งทุกอย่างและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยรักษา เช่น เจ้าป่า เจ้าดิน เจ้าน้ำ หากปฏิบัติตามความเชื่อ เกรงกลัวต่อบาปบุญคุณโทษ วิญญาณบรรพบุรุษก็จะคอยคุ้มครอง (หน้า 10) ในหมู่บ้านแม่สองมีทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ แต่ศาสนาพุทธจะมีมากกว่า ในหมู่บ้านมี "วัดบ้านแม่สอง" เป็นศูนย์รวมด้านศาสนาพุทธและยังสอนหนังสือให้กับเด็กในชุมชนอีกด้วย (หน้า 82) ประเพณีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำการเกษตร 1) การขึ้นปีใหม่ หมายถึง ฤดูแห่งการเกษตรในป่าเขาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จะมีพิธีกรรมปีใหม่ในวันข้างขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี 2) ประเพณีแต่งงาน บ้านฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นเจ้าภาพต้อนรับแขก 3) งานศพ จะมีการเดินรอบกองไฟบนลานดินหน้าบ้านของผู้ตาย (หน้า 85-87, 216) |
|
Education and Socialization |
ผู้ที่มีอายุ 14 ปีลงไปมีแนวโน้มได้รับการศึกษาทุกคน ส่วนผู้ที่มีอายุ 15-19 ปี ได้รับการศึกษาทั้งหมด 76 คน จากทั้งหมด 172 คน ผู้ที่มีอายุ 20-45 ปี ได้รับการศึกษาทั้งหมด 24 คน จากทั้งหมด 271 คน ส่วนผู้ที่มีอายุ 46 ปีขึ้นไป ไม่มีผู้ใดได้รับการศึกษา การศึกษาระดับประถมฯ มี 219 คน ระดับมัธยมฯต้นมี 15 คน ระดับปวช. ไม่มี ระดับมัธยมปลาย 5 คน ระดับปวส. 1 คน และระดับปริญญาตรี 2 คน (หน้า 83-84, 216) |
|
Health and Medicine |
ชาวบ้านแม่สองส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคมาลาเรีย ส่วนเด็กป่วยเป็นโรคพยาธิ ขณะที่สถานรักษาพยาบาลอยู่ห่างไกล และการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะฤดูฝนต้องเดินเท้าแบกหามคนไข้ออกมารับการรักษา (หน้า 85, 216) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กะเหรี่ยงสะกอ ผู้ชายใส่เสื้อแขนสั้นสีแดง โพกผ้าด้วยสีต่างๆกัน ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะสวมกะโปรงสีขาว ปักลวดลายบ้างเล็กน้อย ส่วนหญิงกลุ่มที่แต่งงานแล้วจะใส่เสื้อแขนสั้นสีดำและสีน้ำเงิน ประดับด้วยลูกปัดสีแดง กระโปรงสีแดงมีลวดลายพร้อมกับโพกผ้าสีแดงหรือสีขาว (หน้า 10) เช่นเดียวกับการแต่งกายของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่สองก็เหมือนกับกะเหรี่ยงทั่วไปกล่าวคือ เพศชาย ช่วงที่เป็นเด็กจะใส่เสื้อคลุมสีแดงสลับขาว สีแดงกว้างประมาณ 1 นิ้ว มีสีขาวกั้นตรงกลาง เวลาใส่จะคลุมยาวไปถึงหัวเข่า ส่วนผู้ใหญ่เครื่องแต่งกายจะแยกเป็น 2 ส่วน คือเสื้อและโสร่ง ทั้ง 2 ส่วนเน้นโทนสีแดง เสื้อมีลายเหมือนเสื้อเด็กแต่จะยาวลงมาถึงแค่เอว จากนั้นจึงใส่โสร่งปกคลุมร่างกายท่อนล่างอีกทีหนึ่ง สำหรับผู้หญิงที่ยังเป็นโสดและแต่งงานแล้วแต่งตัวไม่เหมือนกัน โดยหญิงที่เป็นโสดจะใส่เสื้อคลุมสีขาวทั้งชุดมีลายสีแดงคาดตามยาวและตามขวาง 2 จุด บริเวณที่สะโพก การแต่งกายของหญิงโสดมิดชิดตั้งแต่หัวไหล่ยาวลงมาถึงฝ่าเท้า ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะเน้นไปที่โทนสีดำปนแดง กะเหรี่ยงมีความเชื่อว่าเมื่อลูกอายุครบ 1 ปี ต้องทอเสื้อให้ลูกและต้องทอให้เสร็จภายใน 1 วัน หากไม่เสร็จใน 1 วันก็เลื่อนออกไปเป็น 3 วัน จะให้เสร็จวันที่ 2 ไม่ได้โดยเด็ดขาด (หน้า 75-78, 215) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงเรียกตนเองว่ากะเหรี่ยงเผ่าสะกอหรือปกาเก่อญอ คนต่างเผ่าจะเรียกกะเหรี่ยงว่า "ยางกะเลอ" คนเมืองพื้นราบเรียกว่า "ยาง" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Karen สำหรับกะเหรี่ยงเผ่าสะกอจะเรียกตนเองว่า "คานยอ" คนไทยเรียกว่า "ยางขาว" (หน้า 10) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เมื่อก่อนหากมีแขกมาเยี่ยมที่หมู่บ้าน เพื่อนบ้านจะเชิญแขกที่มาเยี่ยมไปร่วมรับประทานอาหาร แต่ปัจจุบันแทบไม่เห็นภาพเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะการผลิตข้าวที่ไม่เพียงพอต่อการบริโภค โดยเฉพาะครัวเรือนที่ทำไร่หมุนเวียน (หน้า 1-2) นอกจากนี้ปัญหาที่เกิดจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชก็กำลังเกิดขึ้นรุนแรงเช่นกัน (หน้า 13) ปัจจุบันเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐและชุมชนในสิทธิการเข้าถึงทรัพยากร โดยฝ่ายรัฐมักอ้างนโยบายการอนุรักษ์ กฎหมายและระบบกรรมสิทธิ์ ฝ่ายชุมชนชาวบ้านจึงต้องปรับตัว สำหรับปกาเกอะญอ มีการปรับตัว 3 รูปแบบคือ 1) การทำไร่หมุนเวียนแบบพึ่งพาและไม่ยั่งยืน คือ ระบบการทำไร่หมุนเวียนที่ไม่สามารถประกันความมั่นคงในการยังชีพของชาวบ้านได้อีกต่อไป 2) การทำไร่แบบเปลี่ยนผ่านและไม่ยั่งยืน คือ ระบบการทำไร่หมุนเวียนที่ไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่นคงในการยังชีพของชาวบ้าน แต่ชาวบ้านในระบบนี้ก็พยายามปรับตัวเพื่อแสวงหาทางเลือกใหม่เพื่อความยั่งยืนในอนาคต 3) การทำไร่แบบยั่งยืน คือระบบการทำไร่หมุนเวียนที่มีศักยภาพในการปรับตัวกับทางเลือกใหม่ของการจัดการไร่แบบผสมผสานได้อย่างมีพลวัต (หน้า 33-34) |
|
Map/Illustration |
งานวิจัยชิ้นนี้มีตาราง แผนภูมิ แผนที่ และภาพประกอบเพื่อนำเสนอข้อมูลค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงการได้รับการศึกษาของชุมชนบ้านแม่สอง (ตารางที่ 3 หน้า 84) แผนภูมิแสดงผลผลิตข้าวนาขั้นบันไดบ้านแม่สองโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2539 - 2543 (แผนภูมิที่ 6 หน้า 127) รูปภาพแสดงการตากไร่ (ภาพที่ 12 หน้า 92) แผนที่แสดงหมู่บ้านแม่สองและหมู่บ้านใกล้เคียง (แผนที่ที่ 4 หน้า 63) |
|
|