สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ,รามัญ,รำพาข้าวสาร,การตักบาตรพระร้อย,บทร้อง,ประเพณี,การละเล่น,ค่านิยม,ความเชื่อ,ปทุมธานี
Author วงเดือน สุขบาง
Title การศึกษาประเพณีการรำพาข้าวสารและการตักบาตรพระร้อยในอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มอญ รมัน รามัญ, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 94 Year 2546
Source กองวิจัยและวางแผน สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
Abstract

การร้องรำพาข้าวสารของชาวบ้านจังหวัดปทุมธานี เป็นประเพณีเก่าแก่ของจังหวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เรียบง่าย เนื่องจากสภาพสังคมชนบทในอดีตประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก มีความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับชาติภพ นรกสวรรค์ การมีอายุยืน ศรัทธาการอธิษฐานและการสร้างสมผลบุญ รวมถึงค่านิยมในด้านต่างๆ อาทิ ค่านิยมเกี่ยวกับการรับราชการ การนิยมความมั่งคั่งร่ำรวย การมีรูปร่างสวยงาม การทำบุญ ต้องการความสุขสบาย ต้องการของใช้มีราคา การมีภรรยาหลายคน ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับบ้าน ความร่วมมือภายในสังคม และการมีคุณธรรม การใช้ภาษาในบทร้องรำพาข้าวสารมักใช้คำง่าย ๆ ตรงไปตรงมา มีสัมผัสคล้องจอง ซ้ำคำหรือใช้คำเปรียบเทียบเน้นความ รวมถึงการใช้สรรพนามเพื่อให้เกิดความรู้สึกสนิทสนมเป็นกันเอง ยกย่องผู้บริจาคเปรียบเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ การร้องรำพาข้าวสารที่จัดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีการตักบาตรพระร้อยซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่อย่างหนึ่งของชาวจังหวัดปทุมธานี คือจะมีพระภิกษุและสามเณรมารับบิณฑบาตในเรือจากชาวบ้านริมฝั่งน้ำไม่ต่ำกว่า 100 รูปมีการจัดแสดงมหรสพและการละเล่นต่าง ๆ จัดขึ้นหลังวันออกพรรษาไปจนถึงประมาณกลางเดือนสิบสอง

Focus

กองวิจัยและวางแผน สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

คนไทยและคนไทยเชื้อสายรามัญ (มอญ) ตำบลบางปรอก ตำบลบ้านกลาง และตำบลบางพูด จ. ปทุมธานี

Language and Linguistic Affiliations

จากหลักฐานที่ผู้ศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูลมุขปาฐะ บทร้องรำพาข้าวสาร 100 บทเป็นภาษาไทยภาคกลาง แต่ผู้วิจัยให้ข้อมูลว่า วิทยากรบางท่านที่มีเชื้อสายมอญสามารถร้องเพลงรำพาข้าวสารเป็นภาษามอญ (หน้า 5)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

จังหวัดปทุมธานีเดิมชื่อเมืองสามโคก เป็นเมืองที่มอญเมืองเมาะตะมะ อพยพหนีพม่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในราวปี พ.ศ. 2202 ได้เข้ามาสวามิภักดิ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้มาตั้งบ้านเรือนที่ตำบลสามโคก ต่อมาสมัยรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีและสมัยรัชกาลที่ 2 ก็ได้มีมอญอพยพเข้ามาอีก เมื่อครั้งรัชกาลที่ 2 เสด็จประทับริมแม่น้ำฝั่งซ้ายเยื้องเมืองสามโคก ทรงได้รับดอกบัวจากราษฎรบ่อยครั้งได้ทรงยกฐานะให้เป็นหัวเมืองชั้นตรี และพระราชทานนามเมืองสามโคกว่า "ประทุมธานี" เนื่องจากมีดอกบัวอยู่ทั่วไป ในสมัยรัชกาลที่ 6 ประมาณ พ.ศ. 2461 ทรงเปลี่ยนชื่อเป็น "ปทุมธานี" ส่วนอำเภอเมืองปทุมธานีได้ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ.116 โดยย้ายที่ตั้งจากเมืองสามโคก มาอยู่ที่บ้านโคกชะพลูเป็นที่ว่าราชการ นำเอาชื่อตำบลมาตั้งชื่อที่ว่าการอำเภอครั้งแรกว่า อำเภอบางกะดี ต่อมาได้ย้ายที่ตั้งอำเภอไปที่ตำบลบางปรอก บริเวณฝั่งแม่น้ำทางทิศตะวันตกและมีคำสั่งให้เปลี่ยนชื่อจากอำเภอบางกะดี เป็นอำเภอเมืองปทุมธานี (หน้า 22, 24)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

กลุ่มวิทยากรที่ให้ข้อมูลในงานวิจัย อยู่ใน 3 เขตตำบล คือ ตำบลบางปรอก ตำบลบ้านกลาง ตำบลบางพูด อำเภอเมือง จ.ปทุมธานี มีดังนี้คือ วิทยากรเขตตำบลบางปรอก มีจำนวน 3 คน ได้แก่ นางลำดวน ภุมกาญจน์ อายุ 63 ปี เป็นข้าราชการบำนาญเชื้อสายรามัญ สามารถพูดและร้องเพลงเป็นภาษามอญได้ นางจงกล ธูปกระจ่าง อายุ 56 ปี รับราชการครูที่โรงเรียนปทุมวิไล เป็นผู้ฟื้นฟูการรำ พาข้าวสารขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นายทองคำ พันนัทธี อายุ 50 ปี เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนชัยสิทธาวาส ในอำเภอสามโคก สนใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณี โบราณวัตถุเก่าแก่ของจังหวัด วิทยากรเขตตำบลบ้านกลาง จำนวน 3 คน ได้แก่ นางละม่อม องอาจ อายุ 78 ปี เป็นแม่บ้าน นางละม้าย ผูกภู่ อายุ 75 ปี และนางสุดใจ เอี่ยมเข่ง อายุ 70 ปี อาชีพค้าขาย ทั้งสามเป็นพี่น้องกัน ในอดีตเคยเป็นแม่เพลงออกรำพาข้าวสาร ปัจจุบันมีส่วนในการฟื้นฟูประเพณีขึ้นมาใหม่ วิทยากรในเขตตำบลบางพูด ได้แก่ นางสังวาลย์ เจริญนา อายุ 72 ปี และนางชั้น ทองสมัย อายุ 65 ปี อาชีพแม่บ้าน เป็นแม่เพลงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นางทองห่อ ตรีครุชพันธ์ อายุ 52 ปี อาชีพแม่บ้าน เคยเป็นทั้งแม่เพลงและลูกคู่ นางวินัย จันทร์ อำพร อายุ 49 ปี อาชีพค้าขาย เคยเป็นลูกคู่ในการรำพาข้าวสาร นายทองอ่อน ชื่นเงิน อายุ 49 ปี เป็นผู้ใหญ่บ้านตำบลบางพูด ประกอบอาชีพค้าขาย (หน้า 4-6)

Economy

ประชากรของจังหวัดปทุมธานี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม บางส่วนทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม นอกเหนือจากนี้ก็ประกอบอาชีพค้าขาย จักสาน เลี้ยงสัตว์ และทำอิฐมอญ (หน้า 20) ในสังคมชนบทท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี การทำนาถือเป็นอาชีพหลัก ดังที่บ่งเป็นชื่อประเพณี "รำพาข้าวสาร" ซึ่งเป็นผลิตผลสำคัญคือข้าว ปรากฏผ่านการทำบุญด้วยข้าว ดังนี้ " ลูกเป็นเหมือนไก่แก้ว มาร้องแจ้วแจ้วอยู่ใต้ถุน มีข้าวสุกข้าวสาร มาทำทานทำบุญ เหมือนลูกไก่ที่พลัดแม่ มาร้องเซ็งแซ่ที่ใต้ถุน ให้แม่โปรยข้าวสาร นึกว่าทำทานทำบุญ ข้าวสารลูกก็ไม่เลือก ข้าวเปลือกลูกก็ไม่ว่า แม่คุณจะให้ ให้หาใส่ลงมา " (หน้า 70)

Social Organization

ในบทร้องรำพาข้าวสาร ปรากฏค่านิยมของผู้ชายไทยที่นิยมมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน มักยกย่องผู้ชายให้เป็นช้างเท้าหน้า และถือว่าผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง หากผู้นำสามารถเลี้ยงดูและให้ความสุขแก่ภรรยาได้ ก็สามารถมีภรรยาหลายคนโดยที่สังคมไม่เห็นเป็นเรื่องเสียหาย บทร้องที่ว่า " ให้พ่อมีเมียงาม ให้เดินตามเข้ามุ้ง" แสดงให้เห็นว่าชายหรือสามีโดยมากนิยมคนที่เจ้าชู้ มีเสน่ห์จนหญิงต้องวิ่งตามมาถึงในมุ้ง ซึ่งชายเจ้าชู้ก็จะมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน บทให้พรจึงมักแสดงถึงค่านิยมเกี่ยวกับ "เมียหลวง" "เมียน้อย" ดังกล่าว (หน้า 64)

Political Organization

การปกครองของอำเภอเมืองปทุมธานีแบ่งออกเป็น 14 เขตตำบล ดังนี้คือ เขตเทศบาลตำบลบางปรอก ตำบลบ้านใหม่ จำนวน 6 หมู่บ้าน ตำบลบ้านกลางจำนวน 5 หมู่บ้าน ตำบลบ้านฉางจำนวน 4 หมู่บ้าน ตำบลบ้านกระแชงจำนวน 4 หมู่บ้าน ตำบลบางแขยงจำนวน 4 หมู่บ้าน ตำบลบางคูวัดจำนวน 12 หมู่บ้าน ตำบลบางกะดีจำนวน 5 หมู่บ้าน ตำบลบางเดื่อจำนวน 7 หมู่บ้าน ตำบลบางพูนจำนวน 5 หมู่บ้าน ตำบลบางพูดจำนวน 6 หมู่บ้าน ตำบลบางหลวงจำนวน 7 หมู่บ้าน ตำบลสวนพริกไทยจำนวน 8 หมู่บ้าน (หน้า 24 - 25)

Belief System

ความเชื่อที่สะท้อนผ่านบทร้องรำพาข้าวสาร มีดังนี้ 1. ความเชื่อในเรื่องสวรรค์และชาติหน้า คนไทยส่วนใหญ่เชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ อดีตชาติ ชาตินี้และชาติหน้า ปรากฏหลักฐานในไตรภูมิพระร่วง แสดงถึงการได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของศาสนาพุทธและพราหมณ์ ชาวบ้านมีความเชื่อว่าสวรรค์และชาติหน้ามีจริง การทำบุญบริจาคทานจะทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์และหากทำบุญร่วมกันชาตินี้ ชาติหน้าก็อาจได้พบกันอีก ดังเช่นบทร้องที่ว่า " ลูกเอากุศลเข้ามาให้ ลูกเอาด้ายเข้ามาพัน ชาติใดชาติหน้า เราจะได้มาพบกัน?" (หน้า 56) 2. ความเชื่อในเรื่องผลบุญ บทร้องรำพาข้าวสารได้สะท้อนให้เห็นความเชื่อเรื่องผลของการทำบุญทำทาน ว่าเมื่อตายไปแล้วจะช่วยให้ได้ไปอยู่ในวิมาน " ...ทำบุญก็เป็นบุญ ทำทานก็เป็นทาน แม่แพรสีเขียว ขอเชิญมาเหนี่ยววิมาน..." (หน้า 57) 3. ความเชื่อในเรื่องแรงศรัทธาและคำอธิษฐาน ความศรัทธาทำให้เกิดการกระทำ อาทิ การทำบุญทำทานซึ่งเชื่อว่าผลตอบแทนจะเกิดขึ้นจริง ต้องอธิษฐานคำอธิษฐานจะเป็นผล หากทำบุญด้วยจิตศรัทธาซึ่งเกิดขึ้นเอง ไม่ได้ถูกบังคับ ความเชื่อเหล่านี้ปรากฏผ่านการจบเงินอธิษฐานก่อนทำบุญในการรำพาข้าวสาร เมื่อทำบุญแล้วก็อธิษฐานกรวดน้ำให้เกิดผลบุญ ดังบทร้องที่ว่า " บอกบุญมาถึงบ้าน รำพาข้าวสารมาบอกบุญ เชิญตามศรัทธา ทำบุญเถิดหนาแม่คุณ?" (หน้า 57-58) 4. ความเชื่อเรื่องการมีอายุยืน ความเชื่อว่าการมีอายุยืนเป็นเรื่องดี หากสามารถอยู่ได้จนถึงยุคพระศรีอาริย์ได้จะดีมาก คำอวยพรมักขอให้มีอายุยืนจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เมื่อคณะรำพาข้าวสารได้รับบริจาคแล้วมักจะร้องอวยพรให้ผู้บริจาคมีอายุยืน เพื่อแสดงว่าเป็นผู้มีบุญ มีสุขภาพดี " ข้าวขาวราวระลอก มาหอมดอก ดอกจำปี ทำบุญกับหลาน ให้อายุยืนนานไปเกือบล้านปี หอมดอก หอมดอก หอมดอก ดอกตะโกดัด ให้อายุท่านยืนนาน จนพระศรีอาริย์ลงมาผลัด (หน้า 58) ค่านิยมของคนไทย แบ่งได้เป็น ค่านิยมด้านสังคมและจิตวิทยา อาทิ ความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสรภาพและความเป็นไท การเคารพเชื่อฟังอำนาจผู้ใหญ่ ความรู้สึกมักน้อยความสุภาพอ่อนโยน มีน้ำใจกว้างขวาง เห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นต้น ค่านิยมด้านจริยธรรม เช่น ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมตามหลักศาสนา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความเชื่อเรื่องอริยสัจ 4 และค่านิยมด้านการเมือง (หน้า 60) ค่านิยมในบทร้องรำพาข้าวสาร เป็นค่านิยมด้านสังคม จิตวิทยาและจริยธรรม อันได้แก่ ค่านิยมเกี่ยวกับการรับราชการ ค่านิยมเกี่ยวกับความมั่งคั่งร่ำรวย ค่านิยมเกี่ยวกับการมีรูปร่างงาม ค่านิยมเกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคน ค่านิยมเกี่ยวกับการทำบุญทำกุศล ค่านิยมเกี่ยวกับความสุขสบายและการใช้ของมีราคา นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างบุคคลในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับบ้าน รวมถึงคุณธรรมของคนในสังคม (หน้า 60-68) ประเพณีการตักบาตรพระร้อยของจังหวัดปทุมธานี เป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชนจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เริ่มขึ้นภายหลังวันออกพรรษา ตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 วัดที่อยู่ตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะตกลงกำหนดแบ่งวันกันเป็นเจ้าภาพ ไม่ให้จัดตรงกันเพราะจะทำให้จำนวนพระที่ไปรับบาตรไม่ถึง 100 รูป หากวัดอยู่ห่างกันมากหรืออยู่ต่างตำบลก็อาจจัดตรงกันได้ วัดที่เป็นเจ้าภาพจะออกหนังสือแจ้งไปยังวัดต่าง ๆ นิมนต์พระภิกษุและสามเณรซึ่งมีจำนวนตั้งแต่ร้อยรูปขึ้นไปมารับบาตร วัดเจ้าภาพจะเตรียมการจัดรำพาข้าวสาร เตรียมปักเสาและขึงเชือกไปทางทิศเหนือและทิศใต้ของวัด สองฝั่งแม่น้ำลำคลองเพื่อให้ชาวบ้านนำเรือมาจอดต่อกันตามแนวเชือก และให้เรือของพระภิกษุสาวไปตามเชือกเวลารับบิณฑบาต หากเชือกขึงผ่านบ้านริมคลองพุทธศาสนิกชนก็อาจรอตักบาตรที่ชานหรือบันไดบ้านแทนการใช้เรือ ในวันงาน พระภิกษุสามเณรจะเดินทางมายังวัดที่เป็นเจ้าภาพ เพื่อจับฉลากว่าจะเข้าบิณฑบาตเป็นอันดับที่เท่าใด เมื่อได้หมายเลขแล้วเจ้าภาพจะถวายภัตตาหารเช้าเป็นข้าวต้ม พอได้เวลา เรือของพระภิกษุก็จะเริ่มทยอยออกมารับบาตรตามลำดับหมายเลขเรือลำแรกเป็นเรือเจ้าภาพ มีพระพุทธรูปและเจ้าอาวาส อีกทั้งมีดนตรีประกอบด้วย ลูกศิษย์ที่มากับเรือพระจะเป็นผู้สาวเชือกที่ขึงไว้ พุทธศาสนิกชนที่จอดเรือคอยก็จะตักอาหารคาวหวานใส่บาตรพระภิกษุและสามเณรที่มาจากวัดต่าง ๆ เมื่อครบทุกลำแล้วพระภิกษุและสามเณรวัดที่เป็นเจ้าภาพจึงจะเข้ารับบิณฑบาต วัดที่เป็นเจ้าภาพจึงมักได้รับอาหารไม่มาก เพียงแค่พอฉัน พุทธศาสนิกชนที่เตรียมอาหารมาน้อยเมื่ออาหารหมดก็จะถอยเรือกลับไป บางคนก็เตรียมพุ่มผ้าป่าเพื่อนำไปทอดแด่พระภิกษุและสามเณรที่จับฉลากพุ่มผ้าป่าได้ หลังจากเรือของพระบิณฑบาตแล้ว ก็จะมีเรือผู้อนาถาไปขอรับอาหารจากพุทธศาสนิกชนที่มีอาหารเหลืออยู่ เรือลำสุดท้ายจะเป็นเรือมาดของวัดเจ้าภาพบรรทุกข้าวต้มมาแจกผู้ตักบาตร พิธีเสร็จประมาณ 10 นาฬิกา วัดที่เป็นเจ้าภาพจะจัดแสดงมหรสพในตอนกลางวัน ตอนเย็นมีการแข่งเรือ หนุ่มสาวออกลอยเรือพบปะหยอกล้อกัน ครั้งตอนกลางคืน บางวัดก็จัดให้มีมหรสพหรือภาพยนตร์ (หน้า 77-87) ประเพณีส่งข้าวแช่ จัดขึ้นก่อนวันสงกรานต์ประมาณ 1 สัปดาห์ในทุกปี ชาวบ้านจะเตรียมอาหารคาวหวานไว้ทำบุญ มีปลาเค็มแห้ง เนื้อเค็ม ผักกาดเค็มไว้รับประทานกับข้าวแช่ นอกจากนี้ ก็มีข้าวเหนียวแดง กะละแมและขนมอื่น ๆ จะหุงในหม้อดินเผา ลนไฟด้วยกาบมะพร้าวหรือแกลบข้าวเหนียว เพื่อให้ข้าวแช่หอมอร่อย การส่งข้าวแช่หนุ่มสาวจะนำหม้อข้าวแช่พร้อมสำรับไปถวายพระที่วัด และนำไปส่งตามบ้านญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ การส่งข้าวแช่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี (หน้า 29)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

สภาพสุขอนามัยในสังคมชนบทที่ปรากฏในบทรำพาข้าวสาร แสดงให้เห็นความนิยมในการรับประทานหมากและสูบบุหรี่แบบชาวชนบท เชื่อกันว่า การที่ชาวบ้านรับประทานหมากเป็นการรักษาฟันให้ทนทาน ทั้งยังช่วยให้ไม่มีกลิ่นปาก ส่วนการสูบบุหรี่เป็นการ ใช้ยาฉุนมวนด้วยใบตองแห้ง อีกทั้งสาธารณูปโภคยังเข้าไม่ถึง ประชาชนยังไม่มีประปาใช้ ต้องไปตักน้ำจากคลอง และหาฟืนมาเตรียมไว้เพื่อหุงต้มและเพื่อให้แสงสว่าง (หน้า 68-69)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การรำพาข้าวสาร เป็นประเพณีดั้งเดิมของตำบลสามโคก ปทุมธานี มีจุดมุ่งหมายเพื่อเรี่ยไรข้าวสารหรือสิ่งของนำไปถวายวัด นิยมพายเรือกันไปเป็นหมู่คณะ ใช้แม่เพลง 1-2 คนและลูกคู่ แม่เพลงส่วนใหญ่เป็นหญิงสูงอายุ ลูกคู่อาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ แต่มักใช้หนุ่มสาวเพราะต้องพายเรือระยะทางไกลนานถึง 6-10 ชั่วโมง เรือที่ใช้เป็นเรือมาด เรือแจว หรือเรือสำปั้นจุคนได้ 10 - 20 คน การรำพาข้าวสารเริ่มทำในเดือน 11 ใกล้ออกพรรษาหรือในเวลาที่วัดต้องการข้าวสาร มักทำในเวลากลางคืน การแต่ง กายนิยมใส่เสื้อแขนยาวเพื่อกันแมลงกลางคืน และกันความหนาวโดยใช้ผ้าโพกศีรษะกันน้ำค้าง แม่เพลงนั่งกลางลำเรือ ร้องเชิญชวนให้เจ้าบ้านร่วมทำบุญเรื่อยไปหลายบท จนกว่าเจ้าของบ้านจะตื่นมาตักข้าวสารให้คณะ เมื่อได้รับข้าวสารแล้วแม่เพลงจะร้องเพลงให้ศีลให้พรเจ้าของบ้าน แล้วร้องเพลงลาไปยังบ้านอื่น การรำพาอาจทำเพียง 1 คืนหรือหลายคืน คณะรำพาจะไปรำต่างหมู่บ้านต่างตำบล สิ่งของที่ได้รับบริจาคมักเป็นข้าวสาร กล้วย มะพร้าว น้ำตาล ซึ่งทางคณะจะนำไปมอบให้ทางวัด คณะกรรมการจะกันข้าวสารไว้ทำข้าวห่อ หรือหุงข้าวไว้เลี้ยงคนทำบุญ ส่วนที่เหลือนำไปขายมอบเงินให้วัด (หน้า 34-37) บทร้องรำพาข้าวสาร เป็นบทประพันธ์สั้น ๆ ลักษณะคล้ายกาพย์ยานี แต่ละวรรคจะใช้คำ 4 - 6 คำ เนื้อร้องบทรำพาข้าวสารจะมีเนื้อร้องซ้ำกันในวรรคที่ 1 และวรรคที่ 2 วรรคที่ 3 และวรรคที่ 4 จะแตกต่างกัน ทำนองที่ใช้ร้องมีทั้งทำนองธรรมดา และทำนองคล้ายทะแยมอญซึ่งรับด้วยสร้อย "ออ ระ หน่าย...หน่าย เอย" มักใช้คำง่าย ๆ พื้น ๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เป็นคำที่ตรงไปตรงมา เข้าใจได้ทันทีแต่กินความมาก เช่น " แม่บ้านใหญ่" " หัวบันไดแม่ล้อมทอง" แต่ละวรรคมีสัมผัสคล้องจอง ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร ฟังแล้วเกิดความไพเราะ มีการซ้ำคำเพื่อเน้นความ เช่น "ทำบุญก็เป็นบุญ ทำทานก็เป็นทาน แม่แพรสีเขียว ขอเชิญมาเหนี่ยววิมาน..." มีการใช้คำเปรียบเทียบเพื่อเน้นให้เกิดภาพในใจผู้ฟัง ส่วนใหญ่จะเป็นคำอุปลักษณ์และคำอุปมา อาทิ "มีลูกเหมือนดอกบัว ให้มีผัวเหมือนดอกไม้..." บทร้องรำพาข้าวสารมีการใช้คำสรรพนามเป็นคำที่แสดงความยกย่อง เช่น "แม่ขาแม่คุณ" "ลูก" เป็นต้น ผู้ร้องจะให้ความเคารพนับถือผู้บริจาคเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ ให้เกิดความสนิทชิดเชื้อ ทำให้ผู้ฟังไม่ถือสาว่ามารบกวนเวลานอน เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการใช้สรรพนาม "แม่" แทบทุกบท เนื่องจากสังคมชนบทเชื่อว่า สตรีมีความศรัทธาในการทำบุญมากกว่าบุรุษ เมื่อจะบริจาคเพื่อการกุศลก็ทำได้สะดวก อีกทั้งสมัยก่อนสตรีอยู่ติดบ้านมากกว่า เมื่อคณะรำพาข้าวสารร้องเชิญชวนแม่บ้านให้ทำบุญแล้วย่อมไม่ผิดหวัง นอกจากนี้ บทรำพาข้าวสารหลายบทมักใช้คำที่เป็นชื่อของดอกไม้ที่มีอยู่ตามชนบท เช่น ดอกบัวใช้บูชาพระ ดอกพิกุลใช้เป็นยาสมุนไพร ดังนี้ " ...ข้าวขาวราวระลอก มาหอมดอกดอกพิกุล แม่เรือนเครื่องสรรพ เชิญมารับส่วนบุญ..." รูปแบบการร้องรำพาข้าวสาร มักเป็นการด้นสดซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของแม่เพลง หรืออาจใช้วิธีจำสืบต่อกันมา (หน้า 38-39, 70-75) เพลงร่อยพรรษา มีจุดมุ่งหมายคล้ายประเพณีการรำพาข้าวสารของจังหวัดปทุมธานี ร้องเพื่อเรี่ยไรเงินหรือสิ่งของนำไปมอบให้วัด ส่วนใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่จะเป็นคนร้อง มักเล่นก่อนวันออกพรรษา 1 วัน หากเล่นในตำบลพนมทวนจะเล่นตั้งแต่เย็นถึงรุ่งสาง หากเล่นต่างถิ่นมักเล่นในเวลากลางวัน การแต่งกายนิยมแต่งให้ดูมอซอคล้ายขอทาน เนื้อเพลงที่ใช้จะไม่ซ้ำกัน มีทั้งที่จดจำกันมาและแต่งขึ้นใหม่ ลักษณะเป็นคำกลอนง่าย ๆ แบ่งเป็น 2 ตอน มีพ่อเพลงแม่เพลงร้อง 2 คำกลอน ลูกคู่ร้องรับ 1 คำกลอน ทำนองเพลงช้ามาก มีการลากเสียงให้ยาวและแทรกบทเอื้อน ส่วนเนื้อเพลงแบ่งเป็น 3 ตอนคือ เพลงเดิน ใช้ร้องเรียกให้เจ้าของบ้านตื่นเปิดรับประตูรับคณะเพลง เป็นการชมบ้านช่อง บุญวาสนาของเจ้าของบ้าน อาจร้องไปสัก 2-3 เพลงหลังจากที่เจ้าของบ้านให้ข้าวของเงินทองแล้วจะร้องเพลงพร คือ เพลงที่ร้องให้พรหรืออวยพร นิยมร้อง 1-2 เพลง แล้วจึงร้องเพลงลาร้องเมื่อจะลาจากไปบ้านอื่น เนื้อร้องเป็นการกล่าวให้เจ้าของบ้านประสบความสุขสบาย คล้ายกับเพลงพร (หน้า 18-19) รำมอญ เป็นการแสดงอย่างหนึ่งของไทยรามัญ โดยยึดตามแบบแผนเดิมจากการรำในประเทศมอญ เดิมใช้แสดงได้ทุกโอกาส ต่อมาการแสดงรำมอญเริ่มนิยมในงานศพพระผู้ใหญ่ในท้องถิ่น เป็นการแสดงความเคารพสักการะ ระยะหลังจึงแพร่หลายไปยังจังหวัดใกล้เคียง เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการรำคือ วงปี่พาทย์มอญ จังหวะช้าเยือกเย็น ผู้รำเป็นหญิง 5 คนขึ้นไป ยืนเป็นวงกลมหันหน้าเข้าหากัน การรำมอญมีท่ารำประกอบเพลง 12 เพลง หรือ "สิบสองภาษา" ลีลาท่ารำเชื่องช้า เอกลักษณ์ของรำมอญอยู่ที่เท้าและสะโพก ผู้รำเคลื่อนไหวตัวด้วยการเขยิบเท้า ไม่ยกเท้าขึ้นพ้นจากพื้น ไม่มีการเก็บสะโพกเหมือนรำไทย เมื่อรำจบแต่ละเพลงจะหยุดยืน 4 - 5 จังหวะทำเช่นนี้จนครบสิบสองเพลง ลักษณะการแต่งกาย ผู้รำจะสวมเสื้อคอกลมแขนกระบอก นุ่งผ้าถุงทางลงมีสไบผืนเล็กพาดบ่า เกล้าผมมวยล้อมดอกไม้ การรำในงานศพนิยมแต่งกายด้วยสีดำ (หน้า 26-27) การละเล่นประเพณีมอญคั่ง มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับที่บ้านท่าควาย (บ้านม่วง ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี ปัจจุบัน) ไทยรามัญพากันมาเข้าเฝ้าถวายสิ่งของและจัดการละเล่นต่าง ๆ กลางคืนมีการจุดประทีปโคมไฟ ดอกไม้ไฟ ลอยเรือถวายอารักขา เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว เดือน 11 น้ำล้นฝั่ง ไทยรามัญพากันมาลอยเรือเล่นเพลงทะแยมอญ จุดดอกไม้ไฟและตะไลในสถานที่เดิมเป็นประจำทุกปี (หน้า 27) การเล่นโนเน เป็นการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่ง นิยมเล่นในงานต่าง ๆ และนิยมเล่นประกอบการโขลกขนมจีน ผู้ที่โขลกขนมจีนมักเป็นคนหนุ่มสาว มีการหยอกล้อโต้ตอบกันด้วยการด้นกลอน ท่วงทำนองร้องเข้ากับจังหวะการโขลกขนมจีน มีบทร้องเป็นสร้อยว่า "โนเน" ฝ่ายชายมักเป็นฝ่ายร้องนำด้นเป็นกลอนสด เชิญชวนให้ฝ่ายหญิงร้องโต้มีลูกคู่รับสร้อยและร้องรับเมื่อจบบท ผู้เล่นมักมีปฏิภาณไหวพริบดี เนื้อร้องมักเป็นการเกี้ยวพาราสี ต่อว่าต่อขานกันร้องโต้ตอบกันจนกว่าจะโขลกขนมจีนเสร็จ (หน้า 29-30) การเล่นเพลงระบำ เป็นเพลงพื้นเมืองเก่าแก่ของจังหวัดโดยเฉพาะอำเภอฝั่งตะวันตก ได้แก่ ปทุมธานี สามโคก ลาดหลุมแก้ว เพลงที่ใช้มี 3 แบบคือ ระบำบ้านนา ระบำบ้านไร่ เป็นเพลงที่มีเนื้อเพลงยาวแสดงถึงความสามารถของพ่อเพลงแม่เพลงในการประชันฝีปาก ร้องกันอย่างแพร่หลายในหลายจังหวัด และเพลงระบำเป็นเพลงที่ใช้ร้องประกอบการละเล่นในเทศกาลตรุษสงกรานต์ นักขัตฤกษ์ มีเนื้อร้องสั้นๆ คล้ายเพลงพื้นเมืองที่อื่นๆ การร้องจะด้นกลอนสดพร้อมรำไปด้วย บ้างก็นำบทร้องเพลงโนเนมาร้องใส่ทำนองเพลงระบำ ผู้เล่นเพลงระบำจะแต่งกายแบบพื้นบ้าน ชายใส่เสื้อคอกลมมีผ้าคล้องไหล่ นุ่งโจงหรือกางเกงขาก๊วย หญิงนุ่งโจงสวมเสื้อแขนกระบอก (หน้า 30-31) การเล่นสะบ้าดีด เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่นิยมเล่นในหมู่เด็กมอญสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ มีผู้เล่นไม่จำกัดจำนวน อุปกรณ์ที่เล่นสมัยก่อนจะใช้งาช้างหรือใช้ไม้กลึงให้กลมเป็นลูกสะบ้า ผู้เล่นต้องล้อสะบ้าไปข้างหน้าด้วยท่าต่างๆ ตามขั้นตอน ท่าเล่นสะบ้าดีดมี 40 ท่า เรียกแต่ละท่าเป็นภาษามอญ ท่าที่หนึ่งเรียก "อีมายกะมอย" ท่าที่สองเรียก "อีธูป" เป็นต้น แล้วดีดลูกสะบ้าไปให้ถูกลูกฝ่ายตรงข้าม หากยิงถูกก็ชนะ ยิงไม่ล้มหมดถือว่าแพ้ต้องให้อีกฝ่ายเล่น ฝ่ายแพ้ต้องไปตั้งลูก (หน้า 31-32)

Folklore

ประวัติเกี่ยวกับประเพณีรำพาข้าวสาร พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัชรีวงศ์ (พระองค์เจ้าขาว) เป็นผู้ริเริ่มให้มีการรำพาข้าวสารขึ้น เพื่อถวายพระเป็นทุนในการปฏิสังขรณ์วัดแจ้งที่ได้มาบูรณะทุกปี เนื่องจากต้นตระกูลคือเจ้าจอมมารดาน้อยระนาดเจ้าจอมในรัชกาลที่ 2 ทรงเคยล่องเรือหนีภัยพม่ามาแวะพักผ่อนที่ตำบลสามโคก (ตรงกับวัดแจ้ง) เมื่อครั้งสมัยกรุงแตก ต่อมาบุตรสาวของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัชรีวงศ์ (พระองค์เจ้าขาว) คือ ม.ร.ว.หญิงกระแสร์ วัชรีวงศ์ ได้นำกฐินมาทอดและนำการละเล่น "โขนหลวงราชพงษ์" มาแสดงที่วัดแจ้ง หลังจากท่านสิ้นชีวิตโขนดังกล่าวก็หายสาบสูญไป การร้องเพลงรำพาข้าวสาร เริ่มต้นด้วยชื่อของพระองค์เจ้าขาว เพื่อเป็นการแสดงคารวะต่อพระองค์ ผู้ศึกษาประมวลจากคำบอกเล่าได้ความว่า พระองค์เจ้าขาวเป็นผู้ริเริ่มการรำพาข้าวสารขึ้นก่อนแล้วพวกมอญบ้านสามโคกนำมาจัดแสดง บทร้องและทำนองจึงเป็นภาษามอญ ทำนองคล้ายทะแยมอญ ราษฎรตำบลบ้านกระแชง อำเภอสามโคกเล่าว่า แถวปากเกร็ด จ.นนทบุรีนำประเพณีนี้ไปใช้โดยเรียกว่า "รำพาข้าวสารพระองค์เจ้าขาว" (หน้า 34 -35) ประวัติเกี่ยวกับประเพณีการตักบาตร ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้มีนักบวชหรือผู้ออกบวชอื่นกระทำการภิกขาจารอยู่แล้ว เมื่อพระองค์เสด็จไปยังแคว้นมัลละ เสด็จออกบิณฑบาตและมีชาวเมืองเขตแคว้นมคธถวายอาหารเป็นข้าวหุงด้วยน้ำนมหยอดเนยใสตักบาตรเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี ทรงบัญญัติระเบียบไว้ไม่ให้เวียนรับบาตร หรือโลภมากในการรับบิณฑบาต ไม่ยินดีต่ออาหารและให้ถือบาตรไว้ภายในจีวร ในทางวินัย ทรงกำชับให้พระสงฆ์รับบาตรเฉพาะผู้ที่แสดงความคารวะด้วยการถอดรองเท้า เมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ ๆ ได้ประทับอยู่ที่ควงไม้เกด มีพ่อค้าสองคนนำข้าวสัตตูก้อนสัตตูผงเข้าไปถวาย ทรงรับไว้ด้วยบาตร สำหรับประเพณีการตักบาตรเทโว (เทโวโรหนะ) หรือตักบาตรดาวดึงส์ กระทำกันปีละครั้งในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ตามตำนานเล่าว่า พระพุทธองค์เสด็จไปจำพรรษาโปรดพุทธมารดา แล้วเสด็จลงจากดาวดึงส์ในวันออกพรรษา อาหารที่ใช้ตักบาตรมีข้าวต้มมัดและข้ามต้มลูกโยนที่อุทัยธานีทำพิธีเหมือนกับพระพุทธองค์เสด็จจากเทวโลกจริง มีการอัญเชิญพระพุทธรูปลงจากเขา ประชาชนรอตักบาตร วัดที่เชิงเขาคือวัดสังกัส ซึ่งตั้งชื่อใกล้เคียงกับที่พระพุทธองค์เสด็จประทับที่เมืองสังกัสนคร (หน้า 11-13) ประวัติการทำบุญตักบาตรข้าวสาร "ตัณทุลทาน" มักนิยมทำในเทศกาลเข้าพรรษา การทำบุญตักบาตรข้าวสารนี้ บางวัดก็ทำในเดือน 8 เดือน 9 หรือเดือน 10 แล้วแต่ความสะดวก สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว มีพราหมณ์ผู้ใหญ่ชื่อเวรัญชพราหมณ์อาราธนาพระองค์พร้อมภิกษุสงฆ์ 500 รูป ไปประทับจำพรรษา แต่พราหมณ์กลับถูกมารดลใจให้หลงลืม ทำให้พระภิกษุต้องเที่ยวบิณฑบาตไปทั่วเมือง พ่อค้าในเมืองเห็นภิกษุเดือดร้อนก็นำข้าวแดงไปถวายเพื่อให้ฉันประทังชีวิต พระมหาโมคคัลลานเถระเห็นดังนั้น ก็ประสงค์ให้พระภิกษุได้เดินทางไปสู่อุตตรกุรุทวีปเพื่อบิณฑบาตและได้ฉันง้วนดิน แต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้าม พระภิกษุจึงต้องอยู่จำพรรษาในเมืองเวรัญชาอย่างลำบาก จนเมื่อครบกำหนดก็เสด็จจาริกไป ยังเมืองสาวัตถี ประทับ ณ เชตวันวิหาร ชาวเมืองทราบข่าวก็จัด "อาคันตุกภัตตทาน มาถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุ" (หน้า 13 -14)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏให้เห็นผ่านประเพณีพิธีกรรมการรำพาข้าวสาร เป็นตัวอย่างหนึ่งที่บ่งให้เห็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างแต่ละหน่วยของสังคม คือ วัดกับบ้าน เมื่อวัดมีกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับศาสนา ชาวบ้านก็มักจะให้ความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังศรัทธา ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เห็นได้ว่าลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยทางชาติพันธุ์ของคนไทยอาทิ การเสียสละ ความอดทน ความศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนา ความรับผิดชอบต่อการสืบต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งมีความเกี่ยวโยงอย่างแนบแน่นกับวิถีปฏิบัติตามคติความเชื่อในศาสนาพุทธ (หน้า 66 - 68)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ตั้งจังหวัดปทุมธานี (21) เรือของพุทธศาสนิกชนจอดอยู่หลังแนวเชือก/เรือของพระภิกษุสามเณรสาวไปตามแนวเชือก (81) พุทธศาสนิกชนนั่งที่ชานบ้านเพื่อรอใส่บาตร/ใช้บันไดบ้าน (82) พระภิกษุเดินทางมารับบิณฑบาต (83) เรือพระพุทธรูปและเจ้าอาวาส (84) พุทธศาสนิกชนตักบาตรพระร้อย (85) เรือของพุทธศาสนิกชนกับพุ่มผ้าป่า (86)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 11 เม.ย 2556
TAG มอญ, รามัญ, รำพาข้าวสาร, การตักบาตรพระร้อย, บทร้อง, ประเพณี, การละเล่น, ค่านิยม, ความเชื่อ, ปทุมธานี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง