|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เย้าเมี่ยน,เย้ามุน,การอพยพ,ความเชื่อ,พิธีกรรม,เครื่องแต่งกาย,การตั้งถิ่นฐาน,จีน,เวียดนาม,ลาว,ไทย |
Author |
เจสส์ จี. พูเรต์ |
Title |
ชนชาติเย้า: เย้าเมี่ยนและเย้ามุนในจีน เวียดนาม ลาว และไทย |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
99 |
Year |
2545 |
Source |
สำนักพิมพ์ ริเวอร์บุ๊คส์ จำกัด กรุงเทพ |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาเรื่องการอพยพย้ายถิ่น ธรรมเนียม ความเชื่อ พิธีกรรม ที่อยู่อาศัย และการแต่งกายของ เย้าเมี่ยน และ เย้ามุนในจีน เวียดนาม ลาวและไทย เย้าเป็นชนชาติที่มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง ดังเช่นการแสดงออกในเรื่องของการแต่งกาย ได้แก่ การสวมเสื้อผ้าตามจารีตประเพณี และ การสวมเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งเป็นการแสดงความเป็นเย้าที่เด่นชัดที่สุด สำหรับความเชื่อ ประเพณี เช่น การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษนั้น นับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างสูงต่อชีวิตทางวิญญาณของเย้า และศาสนามีการนับถือลัทธิเต๋า นอกจากนี้ เย้ายังมีภาษาพูดเป็นของตนเอง โดยเย้ากลุ่มที่พูดภาษาเมี่ยนเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุด ส่วนเย้ากลุ่มใหญ่อันดับสองคือกลุ่มที่พูดภาษามุน ทว่าเย้าเมี่ยนและเย้ามุนไม่มีภาษาเขียนของตัวเอง ปัจจุบัน แม้ว่าเย้าจะมีการอพยพไปอยู่อาศัยในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในไทย ลาว หรือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและแคนาดา แต่เย้าก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และการแสดงออกถึงความเป็นเย้าไว้ได้ดังเดิม |
|
Focus |
นำเสนอวิถีชีวิต การอพยพ พิธีกรรม คติความเชื่อ การแต่งกายและการตั้งถิ่นฐานของเย้าเมี่ยนและเย้ามุนในจีน ลาว และไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาเฉพาะเย้าที่พูดภาษาเมี่ยนและภาษามุน เย้ากลุ่มที่พูดภาษาเมี่ยนเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุด เย้ากลุ่มใหญ่อันดับสองคือกลุ่มที่พูดภาษามุน (หน้า 5-6) เย้าเมี่ยนมีชื่อเรียกในภาษาของตนว่าอิมเมี่ยน อิ้วเมี่ยน กิมเมี่ยน เกียมเมียน กัมเมี่ยน และ เก็มเมี่ยน สำหรับเย้ามุนมีชื่อเรียกตามภาษาของตนว่า กิมมุน และ กิมเมิน (หน้า 8) ผู้เขียนได้สรุปชื่อที่เย้าเรียกตัวเองและถูกเรียกในประเทศต่างๆ ไว้ดังนี้ (หน้า 15) ประเทศจีน : เมี่ยน ได้แก่ กว๋อซาน เจียนโถว หงโถว ต้าปาน อิ้วเมี่ยน โลกาง กิมเมี่ยน : มุน ได้แก่ หลานเตียนฉา หลานเตียนซานจื้อ : เมิน ได้แก่ ฟางเฉิง (ฮัวโถว) ประเทศไทย : เมี่ยน ได้แก่ อิ้วเมี่ยน ปะเทศเวียดนาม : เมี่ยน ได้แก่ กิมเมี่ยน หงโถว เกียมเมี่ยน จ๋าวโด เย้าแดง กิมเมี่ยน ต้าปาน อิมเมี่ยน เมี่ยนควานเช็ด เมี่ยนโลกาง โอกาง/เมี่ยนทานพ่าน กัมเมี่ยน เซียวปาน (เย้าเตียน) : มุน ได้แก่ หลานเตียนฉา หลานเตียนซานจื้อ : เมิน ได้แก่ ควานซาง : ทานยี ได้แก่ ฟางเฉิง ประเทศโพ้นทะเล : เมี่ยน ได้แก่ อิ้วเมี่ยน ประเทศลาว : เมี่ยน ได้แก่ อิ้วเมี่ยน กิมเมี่ยน เย้าแดง : มุน ได้แก่ หลานเตียน ฉา (หน้า 15) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เย้าเมี่ยนและเย้ามุนสามารถเข้าใจภาษาของกันและกันได้ประมาณร้อยละ 60-70 โดยเฉพาะเย้าที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนและภาคเหนือของประเทศเวียดนาม เย้าเมี่ยนและเย้ามุนไม่มีภาษาเขียนของตัวเอง บันทึกของเย้าที่มีอยู่เขียนเป็นภาษาจีนโดยคนเย้าเองบางฉบับระบุว่าเขียนเมื่อตอนปลายสมัยราชวงศ์ซุง บางฉบับสมัยต้นราชวงศ์หยวน หรือราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง จึงอาจเป็นช่วงเวลาที่เย้าเมี่ยนและเย้ามุนรับเอาคำภาษากวางตุ้งและคำภาษาภาคใต้เข้ามาใช้ในภาษาพูด (หน้า 8-9) นอกจากหนังสือที่เย้าใช้ในพิธีกรรมซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนตอนใต้ โดยการทำให้เป็นภาษาของเย้าเองแล้ว เย้ายังเก็บรักษาหนังสืออื่นๆ ไว้อีกเช่น การแต่งงาน การเพาะปลูก การเดินทาง การตกลงทำธุรกิจ บันทึกประวัติศาสตร์ การอพยพ บทกวี กฎหมาย เรื่องเล่านิทานในรูปแบบภาษาที่ต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ รวมทั้งศาสนาที่นับถือด้วย มีเย้าจำนวนมากที่พูดภาษาอื่นๆ ในประเทศที่ตนไปอาศัยอยู่ได้ นอกจากพูดภาษาเมี่ยนและมุนแล้ว เย้ายังสามารถพูดภาษาของประชากรกลุ่มใหญ่ที่อาศัยบริเวณใกล้กันได้ เช่น ภาษาไทย จ้วง ม้ง มูเซอ แต่เย้าที่อยู่นอกเขตประเทศจีนนั้นพูดภาษาจีนและภาษากวางตุ้งกันน้อยลง ทว่ายังคงมีการเรียนภาษาจีนกันอยู่เนื่องจากต้องใช้ในการประกอบพิธีกรรมลัทธิเต๋า (หน้า 32) |
|
Study Period (Data Collection) |
เริ่มศึกษาข้อมูลตั้งแต่เมื่อใดไม่ระบุข้อมูลชัดเจน แต่ระยะเวลาของการศึกษารวมทั้งสิ้น 15 ปีในพื้นที่หมู่บ้านเย้าในไทย ลาว เวียดนาม และจีน (ปกหลัง) |
|
History of the Group and Community |
เย้า เป็นชนกลุ่มน้อยโบราณที่อาจมีอายุเก่าแก่เท่ากับกลุ่มชาวฮั่นหรือชาวจีน และด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองทำให้เย้าอพยพจากดินแดนตอนกลางของจีนสู่มณฑลใต้สุดของจีน และลงไปทางใต้เข้าสู่ภาคเหนือของเวียดนาม ลาว และไทย และบางส่วนได้ลี้ภัยสงครามไปยังสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและแคนาดา |
|
Settlement Pattern |
บ้านเย้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ สร้างบนพื้นที่ราบหรือหากสร้างบนเนินสูงจะใช้เสาค้ำไว้บางช่วงและไม่มีการต่อชั้นบน วัสดุที่ใช้มีหลายอย่าง ได้แก่ ไม้ ไม้ไผ่ ดินอัดแน่น โคลนแห้ง อิฐ บางครั้งใช้หินและคอนกรีต หลังคาอาจใช้หญ้าคา ไม้ ดินเผา หรือสังกะสี ลักษณะบ้านเรือนของเย้าเมี่ยนและเย้ามุนมีรูปแบบพื้นฐานการออกแบบทั้งภายนอกและภายในที่มีธรรมเนียมแบบเย้าและมีกฏเกณฑ์เชื่อมโยงกับเรื่องภูมิพยากรณ์ของจีน (หน้า 74-75) ตามขนบธรรมเนียมเย้าส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในบ้านที่ใช้พื้นดินแข็งเป็นพื้นบ้าน ด้านหลังของบ้านต้องหันไปทางภูเขา ไม่มีประตูและมีประตูหลักอยู่ด้านหน้าสำหรับพิธีกรรมและศาสนาซึ่งเปิดไปสู่ห้องโถงใหญ่ หิ้งผีของครอบครัวตั้งอยู่ติดด้านหลังของส่วนที่ยาวตลอดของห้องโถงและอยู่เกือบตรงข้ามประตูใหญ่ มีเตาไฟวางอยู่ใกล้ๆ ห้องนอนอยู่ด้านหลังของห้องโถง ด้านซ้ายมือของห้องโถงเป็นห้องครัวที่มีเตาไฟสองเตา เตาหนึ่งใช้ทำอาหารของครอบครัว อีกเตาหนึ่งใช้สำหรับทำอาหารให้สัตว์ เหนือเตาไฟมีชั้นเหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ใช้สำหรับรมควันเนื้อหรืออาหารอื่นๆ (บ้านเย้าไม่มีปล่องไฟ) โดยมีประตูอีกหนึ่งบานสำหรับผู้หญิงใช้และมีประตูทางด้านขวามืออีกบานหนึ่งสำหรับผู้ชายใช้ ห้องครัวนี้อาจเป็นทางไปห้องอาบน้ำหรือห้องส้วม ทางด้านขวามือของห้องโถงเป็นพื้นที่รับแขก ในบริเวณนี้มีห้องเล็กๆ โต๊ะ ม้านั่งและมีบันไดขึ้นไปยังเพดาน ด้านหลังบ้านอาจมีสวนครัวเล็กๆ สำหรับปลูกผักและสมุนไพรและต้นครามเพื่อใช้ย้อมผ้าอยู่หลังบ้าน และด้านหน้าหรือด้านข้างของบ้านมียุ้งข้าว เล้าหมู กระชังใส่ไก่และที่เก็บฟืน ถัดออกไปจากบ้านมีครกกระเดื่องแบบใช้เท้าหรือใช้พลังน้ำ มีการนำน้ำเข้ามาใช้ในบ้านโดยใช้รางท่อไม้ไผ่ต่อกันหลายอันบนเสาไม้เล็กๆ และถ้ามีไม้มากพอก็จะนำมาทำอ่างอาบน้ำ เย้าจะให้ความใส่ใจในเรื่องการทำความสะอาดร่างกายมาก บางพื้นที่เย้ามีการผลิตไฟฟ้าใช้ด้วยการซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากประเทศจีนมาตั้งที่ลำธารใกล้บ้านและวางสายไฟตามต้นไม้มายังบ้าน เย้ามีผังการอยู่อาศัยที่เป็นแบบเฉพาะ แต่ในบางมณฑลของประเทศจีนและทางภาคเหนือของประเทศเวียดนามมีข้อยกเว้นในการใช้ข้อบังคับนี้ ปัจจุบัน เย้ามีแนวโน้มย้ายถิ่นที่อยู่น้อยลงและมีลักษณะการตั้งถิ่นฐานถาวรมากขึ้น (หน้า 33, 75) เย้าเมี่ยนและเย้ามุนเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าว พืชผัก ฝ้าย ข้าวโพดและชา เลี้ยงเป็ด ไก่ หมู และแพะสีน้ำตาลตัวเล็ก (หน้า 21) เย้าเมี่ยนและกิมมุนหลานเตียนบางกลุ่มรวมทั้งฮัวโถวและกิมเมิน "ควานซาง" ยังอาศัยอยู่ในบ้านยกพื้น เย้าทั้งสองกลุ่มที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามและจีนนี้ ยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ บริเวณเดียวกับที่มีเย้ากลุ่มอื่นอาศัยอยู่ สำหรับเย้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในประเทศใด มักจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ความสูงประมาณ 500-1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ดำเนินชีวิตที่ลำบากจากการทำการเกษตรบนภูเขาหรือกึ่งภูเขา ซึ่งมีเย้าจำนวนน้อยที่ค้าขายหรือเป็นช่างเงิน และเป็นช่างผู้มีความชำนาญซึ่งตั้งถิ่นฐานในเมือง (หน้า 24) |
|
Demography |
การอพยพโยกย้ายขนาดใหญ่ของเย้ามุนและเย้าเมี่ยนเกิดขึ้นในช่วง 800 ปีที่แล้วหรือมากกว่านั้น การอพยพเริ่มจากเขตมณฑลฮูหนานและมณฑลกวางตุ้ง แต่ยังคงมีบางส่วนตั้งถิ่นฐานอยู่ตลอดเส้นทางการอพยพในมณฑลกวางสี มณฑลยูนนาน ประเทศเวียดนาม ประเทศลาว ประเทศไทย บางส่วนอพยพไปยังประเทศโพ้นทะเล การอพยพเริ่มต้นจากกลุ่มเล็กๆ แบบทยอยกันมาเมื่อมีสถานการณ์ยุ่งยากในถิ่นเดิมหรือเป็นเพาะมีญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกลมาชักชวนให้อพยพไปอยู่รวมกัน แบบแผนการอพยพของเย้าเมี่ยนและเย้ามุนมีรูปแบบคล้ายๆ กัน แม้ว่าจะอยู่ในระบบนิเวศน์ที่ต่างกัน กล่าวคือ เย้ามุนตั้งถิ่นฐานบนที่ราบสูงแบบค่อนข้างถาวรและทำนาแบบขั้นบันไดจึงมีการอพยพโยกย้ายน้อยกว่า ส่วนเย้าเมี่ยนมีการเคลื่อนย้ายมากกว่า เพราะมีการทำเกษตรแบบตัดฟันโค่นเผา โดยในช่วง 140-150 ปีที่ผ่านมาเย้าได้อพยพโยกย้ายตามเส้นทางหลักๆ ดังนี้ ? มณฑลฮูหนาน/มณฑลกวางสี เข้าสู่มณฑลฮูหนาน/มณฑลกวางตุ้ง ? มณฑลกวางตุ้งเข้าสู่มณฑลกวางสี ? มณฑลกวางตุ้ง มณฑลกวางสีเข้าสู่ประเทศเวียดนาม มณฑลยูนนาน ? มณฑลกวางสี เข้าสู่ประเทศเวียดนาม ? มณฑลกวางตุ้ง เข้าสู่มณฑลยูนนาน ประเทศลาว ประเทศไทย ? ประเทศเวียดนาม เข้าสู่ประเทศลาว ประเทศไทย ? ประเทศเวียดนาม เข้าสู่ประเทศลาว ? ประเทศลาว เข้าสู่ประเทศไทยและประเทศโพ้นทะเล (หน้า 13-14) ทั้งนี้ การอพยพครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงหลังจากปี ค.ศ. 1200 หรือ 1300 (หน้า 16) ปัจจุบัน เย้าไม่มีการอพยพเนื่องมาจากการมีพื้นที่ที่จำกัด จึงมีการตั้งถิ่นฐานอยู่กับที่หรืออย่างน้อยที่สุดมีการย้ายถิ่นอยู่ในขอบเขตประเทศที่ตนอาศัยอยู่ เย้าที่พูดภาษาเมี่ยนมีจำนวนประมาณ 1,600,000 คน ส่วนเย้าที่พูดภาษามุนมีจำนวนประมาณ 400,000 คน (หน้า 6) จากบันทึกของเย้าพบว่าการอพยพเข้าสู่ประเทศไทยของเย้ามีรายละเอียดดังนี้ ? ค.ศ.1859 อิ้วเมี่ยนกลุ่มหนึ่งได้อพยพจากเมืองสิงห์ทางภาคเหนือของประเทศลาวใกล้กับมณฑลยูนนานมาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในประเทศไทยที่อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ? ค.ศ.1900 มีอีกกลุ่มเดินทางจากเมืองสิงห์ทางภาคเหนือของประเทศลาวใกล้กับมณฑลยูนนานมายังจังหวัดน่าน หัวหน้ากลุ่มได้รับชื่อไทย และบรรดาศักดิ์เป็นพระยาคีรีศรีสมบัติและ ที่ทำกินจำนวนหนึ่งจากเจ้าเมืองน่าน ปัจจุบันลูกหลานของเย้ากลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเขตอำเภอปงและจังหวัดเชียงใหม่ ? ค.ศ.1950 เย้ากลุ่มหนึ่งเดินทางมาจากตอนใต้ของมณฑลยูนนานข้ามรัฐฉานของประเทศพม่ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณดอยแม่สะลองและอำเภอฝาง ทางเหนือสุดของประเทศไทย และต่อมาได้อพยพต่อไปยังที่ต่างๆ อีก ? ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีเย้าบางกลุ่มอพยพมาจากชัยบุรีมาทางจังหวัดน่าน และมีเย้ากลุ่มอื่นที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน ? ค.ศ.1970 เย้าบางส่วนที่อยู่ในประเทศไทยได้กระจายกันไปตั้งถิ่นฐานใกล้ๆ อำเภอเชียงคำ และจังหวัดสุโขทัย กำแพงเพชรและลำปาง เย้าอิ้วเมี่ยนมีอยู่ทั่วไปในจังหวัดเชียงราย พะเยา น่านและเชียงใหม่ ปัจจุบันมีประชากรเย้าในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ 40,000 คน (หน้า 23) สำหรับเย้าที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ซึ่งมีส่วนน้อยที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศแคนาดา มีจำนวนประมาณ 15,000 คน และยังมีเย้าจำนวนประมาณ 1,000 คน ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ประชากรส่วนใหญ่เป็นเย้าอิ้วเมี่ยน ส่วนเย้าอิ้วเมี่ยนบางกลุ่มบริเวณน้ำทาทางภาคเหนือของประเทศลาวได้ย้ายไปยังเขตเก็งตุงในรัฐฉานที่อยู่ในประเทศพม่าและได้ตั้งถิ่นฐานเป็นเวลา 2 ชั่วอายุคน จึงได้ย้ายกลับมายังประเทศลาวและอพยพเข้าประเทศไทยในเวลาต่อมา และบางส่วนกลับไปยังสิบสองปันนา ปัจจุบันที่ท่าขี้เหล็กเมืองชายแดนตรงข้ามแม่สายของประเทศไทยมีเย้าอิ้วเมี่ยนอาศัยอยู่ 4-5 ครอบครัวซึ่งแต่งกายเหมือนกับเย้าที่อยู่ในประเทศไทย (หน้า24) |
|
Economy |
ในอดีตเย้าผลิตสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้เกือบทุกอย่างในบ้านในลักษณะกึ่งพึ่งพาตนเอง เช่น การผลิตเสื้อผ้าไปจนถึงเครื่องมือต่างๆ และผลิตกระดาษไปจนถึงหนังสือ (หน้า 5,7) ปัจจุบันทั้งเย้าเมี่ยนและเย้ามุนส่วนใหญ่ยังคงทำการเกษตรบนพื้นที่สูงหรือในพื้นที่ห่างไกล แม้ว่าจะมีเย้าจำนวนมากที่เดินทางไปทำงานยังเมืองเล็กๆ เพื่อเป็นพ่อค้าหรือทำงานในโรงงาน ทั้งนี้ สภาพธรรมชาติของที่อยู่อาศัยบนภูเขา ทำให้เลี้ยงสัตว์ได้เฉพาะหมู ไก่ และแพะสีน้ำตาลตัวเล็ก ในบางพื้นที่ยังมีการใช้ม้าในการขนส่งและมีการเลี้ยงควายเพื่อช่วยในการทำนา เย้ารู้วิธีการรมควันและการถนอมอาหาร ในบางส่วนของประเทศจีนและเวียดนามมีการปลูกข้าวโพดแทนข้าวซึ่งเป็นอาหารหลัก ในบางพื้นที่มีการปลูกข้าวไร่หรือข้าวนาดำเป็นพืชอาหารหลัก นอกจากนี้ อาจปลูกผลไม้ กาแฟ ข้าวโพด ชา พริก ฝ้าย ยาสูบ อบเชย ถั่ว มันสำปะหลัง มัน พืชสมุนไพร เพื่อเป็นทั้งพืชเศรษฐกิจและใช้บริโภค มีการต้มเหล้าโดยใช้ข้าวหรือข้าวโพดด้วย และพบว่า ผู้หญิงเย้าเตียนและกิมเมินนิยมเคี้ยวพลูซึ่งไม่พบในเย้ากลุ่มอื่น พื้นที่ทำการเพาะปลูกส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ใกล้หมู่บ้าน และอาจมีหลายแปลงอยู่ในบริเวณต่างกัน ซึ่งในช่วงที่งานยุ่งต้องสร้างเพิงพักชั่วคราวในไร่ ทุกครอบครัวต้องทำงานในไร่ โดยปู่ย่าเป็นผู้ดูแลเด็กเล็ก ส่วนเด็กโตจะช่วยทำงานบ้านพร้อมกับผู้ใหญ่ที่อยู่ในบ้าน (หน้า 74-76) เครื่องมือการเกษตรทำจากไม้ กระดูกและโลหะ (หน้า 78) ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้น เย้าได้ยอมรับวัฒนธรรมการปลูกฝิ่น แต่ปัจจุบันมีเย้าจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังปลูกฝิ่นอยู่ เพราะไม่มีการอพยพและพื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกฝิ่นมีไม่มากนัก (หน้า14) สำหรับเย้าที่อยู่ในประเทศไทยเป็นกลุ่มที่มีฐานะความเป็นอยู่ดี มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ซึ่งยกเลิกการปลูกฝิ่นและมีการปรับตัวเข้ากับเศรษฐกิจรูปแบบอื่นรวมทั้งได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจในชนบท (หน้า 23) |
|
Social Organization |
การจัดองค์กรสังคมเป็นเพียงระดับหมู่บ้าน แต่ละชุมชนต่างเป็นอิสระต่อกัน แต่ขณะเดียวกันก็มีการติดต่อสัมพันธ์โดยกลไกสังคมต่างๆ เป็นต้นว่าการไปมาหาสู่ระดับบุคคล การเลือกคู่ครอง การประกอบพิธีกรรม การค้า ปัจจุบัน ยังคงมีหัวหน้าบ้านเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างการปกครองในท้องถิ่นกับกฏระเบียบของเย้า (หน้า 24) ในระดับครอบครัวของเย้าจัดว่าเป็นหน่วยที่ค่อนข้างมีอิสระในเชิงเศรษฐกิจ แต่ชุมชนมักเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญและทุกคนต้องยึดถือการตัดสินใจนี้ ซึ่งเป็นการตัดสินใจร่วมกันในระดับหมู่บ้าน โดยเฉพาะการตัดสินใจเรื่องการย้ายไปอยู่ในที่ดีและปลอดภัยกว่า (การตัดสินใจนี้ไม่รวมถึงเย้าที่อาศัยอยู่ในเมืองในประเทศต่างๆ ในเอเชียหรือประเทศตะวันตก) การย้ายหมู่บ้านนี้จะกระทำพร้อมๆ กัน เพื่อสนองตอบต่อความจำเป็นทางวัฒนธรรม จิตวิญญาณและการแต่งงาน เพราะครอบครัวเดี่ยวไม่สามารถอยู่รอดได้โดยลำพัง ทั้งนี้ บางหมู่บ้านจะมีคนเย้าเป็นหัวหน้าแต่ในบางหมู่บ้านอาจมีหัวหน้าบ้านมาจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้ ซึ่งเย้าสามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งสองรูปแบบ เย้าจะแบ่งกลุ่มย่อยตามเขตถิ่นที่อยู่อาศัย แต่เย้าที่อยู่ในประเทศไทยที่มีเพียงสาขาเดียวได้กลืนเข้าเป็นกลุ่มอิ้วเมี่ยน/กลุ่มต้าปาน ส่วนเย้าเมี่ยนและเย้ามุนในประเทศลาวจะแยกกันอยู่แต่ก็จะอยู่ไม่ห่างกันมาก (หน้า 30) การแต่งงาน เครื่องเงินนับว่ามีบทบาทที่สำคัญมากทางสังคมและเศรษฐกิจของเย้า เจ้าบ่าวต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ครอบครัวของเจ้าสาวเพื่อชดเชยแรงงานที่หายไป ก่อนการแต่งงาน ต้องมีคนกลางมาพูดคุยกับครอบครัวทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับจำนวนที่แน่นอนของเงินที่ต้องจ่าย จำนวนเงินนี้ยังเกี่ยวข้องกับความร่ำรวยของครอบครัว บางครั้งแม่ของเจ้าสาวจะให้ห่วงคอ กำไร สร้อยประดับหลัง เครื่องประดับหน้าอก ดอกไม้เงินและเครื่องเงินอื่นๆ แก่เจ้าสาว แต่ผู้หญิงเย้ากิมมุนหลานเตียนเริ่มสวมมงกุฎเงินหลังจากบวชในช่วงวัยรุ่นซึ่งไม่เกี่ยวกับความนิยมในการสวมเครื่องประดับเงินในการแต่งงาน (หน้า 64) สังคมเย้าสืบเชื้อสายสกุลทางฝ่ายบิดา โดยทั่วไปเจ้าสาวจะมาอยู่ในครอบครัวของสามี โดยทั้งคู่จะย้ายไปอยู่บ้านของตนเองได้เมื่อมีความมั่นคงพอสมควร ในกรณีที่เจ้าบ่าวไม่สามารถจ่ายค่าตัวเจ้าสาวได้ จะต้องอาศัยอยู่ในครอบครัวภรรยาจนกว่าจะจ่ายค่าตัวภรรยาครบตามที่ตกลง แล้วจึงตั้งบ้านเรือนของตนเองได้ ทว่ากลุ่มย่อยของเมี่ยนและมุนบางกลุ่มนั้นให้เจ้าบ่าวเข้ามาอยู่ในบ้านฝ่ายหญิงได้ทันทีเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนไปตั้งบ้านเรือนของตน สำหรับลูกที่เกิดมานั้นนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับครอบครัวเย้า เพราะลูกจะให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นในภายหน้า ทำให้ครอบครัวมั่งคั่งและใหญ่โต และลูกเป็นผู้สืบทอดสกุลที่ทำให้เย้าดำรงอยู่ได้ และยังเป็นผู้ช่วยเหลือวิญญาณของพ่อแม่ที่ตายไปแล้วได้อีกด้วย สังคมเย้าเป็นสังคมแบบผัวเดียวเมียเดียว สามารถหย่าได้ หรือมีภรรยาคนที่สองได้ในกรณีที่ภรรยาคนแรกไม่สามารถมีลูกได้ รวมทั้งการรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงยังเป็นการเพิ่มแรงงานให้ครอบครัวได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้หญิงเย้าเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากในครอบครัว เนื่องจากผู้หญิงมีส่วนช่วยงานด้านเกษตรและยังสามารถดำเนินงานธุรกิจในตลาด ผู้หญิงจะออกไปหาพืชสมุนไพรในป่าและหายารักษาโรค ดูแลมรดกครอบครัว เงิน และค่าใช้จ่าย รวมทั้งทำอาหาร แม้ว่าผู้ชายเป็นผู้ทำหน้าที่ฆ่าสัตว์เพื่อทำอาหาร แต่โดยทั่วไปทัศนคติของผู้ชายกับผู้หญิงมีพื้นฐานมาจากการแบ่งปันในชีวิตประจำวันด้วยผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกันและการยอมรับกันและกัน (หน้า 34) |
|
Political Organization |
ในประเทศจีนรัฐบาลจีนกำหนดพื้นที่ที่มีประชากรเย้าอยู่มากให้เป็นเขตปกครองตนเองของประชากรเย้า และมีหลายเขตที่เย้าได้รับผิดชอบในการปกครองท้องถิ่น (หน้า 13) เย้าไม่มีผู้นำทางการเมือง (หน้า 6) การปกครองตามลำดับชั้นคือ หัวหน้าหมู่บ้าน อาจารย์พิธีกรรม และคณะผู้อาวุโส รวมทั้งหัวหน้าครอบครัวที่มีอำนาจตามความต้องการของชุมชนในการติดต่อกับสังคมโลกปัจจุบัน เย้ามีลัทธิเต๋าที่มีรูปแบบการปกครองตามขนบธรรมเนียมที่มีลำดับสูงต่ำ การเซ่นไหว้ผีต่างๆ และผีบรรพบุรุษ (หน้า 24) รูปแบบการปกครองของลัทธิเต๋าคือเป็นที่รวมของการยึดเหนี่ยวทางจิตใจในการดำเนินการต่างๆ กับสังคมอิสระในระดับหมู่บ้าน และมีคติความเชื่อในเรื่องการรวมกับ "โลกอื่น" ตามคติของลัทธิเต๋าที่ว่ามีการแบ่งโลกออกเป็น "โลกแห่งสวรรค์" "โลกใต้พิภพ" และ "โลกมนุษย์" อันเป็นโลกแห่งความจริงในชีวิตประจำวันของเย้า (หน้า 26) |
|
Belief System |
เย้าเมี่ยนและเย้ามุนนับถือศาสนาเต๋ามาตั้งแต่ประมาณหนึ่งพันปีหรือมากกว่า โดยศาสนาเต๋าได้เข้ามาแทนที่ศาสนาประจำเผ่าของเย้า เต๋านับถือเทพยาดาสำคัญ 3 กลุ่มได้แก่ 1. เทพยดาเกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น ภูเขา น้ำ สายฝน ฯลฯ 2.เทพยดาเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต 3. เทพยดาเกี่ยวกับความตาย โดยศาสนาเต๋าได้ค่อยๆ กลายเป็นองค์ประกอบของชีวิตและมีบทบาทมากกว่าการเป็นสิ่งปลอบโยนจิตใจ และยังให้แบบแผนการปกครองที่สำคัญในการปกครองกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตแบบอพยพโยกย้ายด้วย นอกจากนี้ ศาสนาหรือลัทธิเต๋ายังมีอิทธิพลต่อสถานะทางเศรษฐกิจ ด้วยหลักการของลัทธิขงจื๊อเรื่องการทำงานหนักในโลกนี้ย่อมได้รับทรัพย์สมบัติที่มากกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ เย้ายังมีแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายด้วยการเป็นอมตะและความสงบ หากว่าได้ยึดมั่นตามหลักศาสนาและกฏระเบียบ ทั้งนี้ การศึกษาลัทธิเต๋าและพิธีการบวชเป็นสิ่งที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง เย้าจึงมีความพยายามที่จะสะสมเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อใช้จ่ายในพิธีกรรมทางศาสนา แต่ก็ถือว่าประโยชน์ที่จะได้รับจะเป็นของทุกคนในครอบครัว สำหรับอาจารย์พิธีกรรมในลัทธิเต๋าของเย้าเมี่ยนคืออาจารย์แห่งเต๋าที่เรียกว่า "ตาวกง" ที่ผ่านการบวชหลายระดับชั้น โดยมีหน้าที่ติดต่อกับอำนาจที่อยู่สูงกว่าและประกอบพิธีกรรมสำคัญ รวมทั้งสวดมนต์อ้อนวอน ซึ่งพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของเย้าคือพิธีศพ ทั้งนี้ อาจารย์พิธีกรรมในระดับสูงต้องเป็นผู้รู้หนังสือจีนเพื่อที่จะเข้าใจหนังสือทางพิธีกรรม ซึ่งประกอบด้วยพิธีดังต่อไปนี้ 1.พิธีบวช "ตะเกียงสามดวง" หรือ "กว่าฟามทอยตัง" เป็นพิธีกรรมที่สำคัญสำหรับผู้ชายเย้าเพราะผู้ผ่านพิธีบวชจะมีสถานภาพเป็นผีบรรพบุรุษของครอบครัวหลังจากที่ตายไปแล้ว และอาจมีชีวิตที่เป็นอมตะ และยังสามารถช่วยเหลือวิญญาณของสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ได้ผ่านการบวชได้ พิธีกรรมนี้อาจมีอาจารย์พิธีกรรมและผู้ช่วยอาจารย์รวม 8 คน โดยทั่วไปใช้เวลาในการประกอบพิธีหนึ่งวันหนึ่งคืน ผู้เข้าพิธีบวชจะได้รับการตั้งชื่อทางศาสนาว่า "ฝะบั๋ว" และระหว่างพิธีกรรมผู้เข้าบวชต้องกินอาหารมังสวิรัต สำหรับสิ่งที่นำมาใช้ร่วมในพิธีกรรมได้แก่ ภาพวาดที่เป็นรูปเคารพ กลองและฆ้อง และเก้าอี้ของผู้เข้าบวชที่ทำขึ้นใหม่โดยเฉพาะ หากผู้เข้าพิธีบวชต้องการประกอบอาชีพทางศาสนาต่อไปจำเป็นต้องเรียนหนังสือจีน เรียนการประกอบพิธีกรรมจากอาจารย์ จัดหาเสื้อผ้าและอุปกรณ์และภาพวาดที่ใช้ประกอบพิธีชุดเล็ก ภาพวาดนี้เรียกว่า ห้อยฟานตอนหรือหิ้งผีเล็ก และต้องสร้างหิ้งผีขึ้นใหม่แบบมีเสาเดียวที่กลางห้องใหญ่ในบ้าน 2. พิธีกว่าตัง "เจ็ดตะเกียง" หรือ "กว่าเชียดฟินตัง" บางครั้งเรียกว่าพิธีบวชโต่ไซเล็กหรือ "โต่เชียดฟิน" เป็นการบวชระดับต้นของการบวชเป็นอาจารย์พิธีกรรม ใช้อาจารย์พิธีกรรม 8 คนหรือมากกว่า ผู้เข้าพิธีบวชจะได้ชื่อทางศาสนาว่า "ไซเจี๋ย" และสามารถศึกษาต่อเพื่อเลื่อนเป็นระดับ "ต้มไซเจี๋ย" ได้ ผู้เข้าพิธีบวชต้องกินอาหารมังสวิรัตขณะอยู่ในพิธีกรรม 3 วัน 2 คืน ผู้ที่ผ่านการบวชระดับนี้สามารถเป็นเจ้าของภาพวาดพิธีกรรมชุดใหญ่ "เมี้ยนฝัง" จำนวน 17 ภาพกับภาพวาดมงกุฎองค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสามหรือ "ฟามชิง" และสามารถเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมสำคัญต่างๆ ให้แก่ครอบครัวตนเองและครอบครัวอื่นได้ และผู้ที่สำเร็จเป็นอาจารย์มีสิทธิ์สวมหมวกของอาจารย์พิธีกรรมที่ทอด้วยเส้นผม และต้องเปลี่ยนหิ้งผีในบ้านใหม่เป็นหิ้งผีแบบ 4 เสา มีหลังคาคลุมและมีประตูอยู่ด้านหน้า ทั้งนี้ พิธีบวชทั้ง 2 ระดับอาจทำพร้อมกันได้เรียกว่า "พิธีกว่าทอยตัง" 3. พิธีบวช "สิบสองตะเกียง" หรือ "โต่ไซ" เป็นพิธีบวชระดับสูงสุด ใช้เวลาประกอบพิธี 7 วัน โดยมีภรรยาของผู้เข้าบวชร่วมพิธีด้วย และต้องแต่งกายแบบจารีตประเพณี เหมือนกับชุดแต่งงานที่มีผ้าคลุมเต็มชุด ผู้เข้าบวชต้องกินอาหารมังสวิรัติและต้องไต่บันไดดาบสิบสองขั้น ผู้เข้าบวชและภรรยาจะได้รับสิทธิ์ของการเป็นอาจารย์พิธีกรรม และตราประทับของตนเองไว้ใช้ประทับเอกสารส่วนตัว รวมทั้งหนังสือที่ใช้ในพิธีกรรม และจะได้รับทหารผีจำนวนหนึ่งเพื่อคุ้มครองไปจนกระทั่งตาย สำหรับอาจารย์ที่ประกอบพิธีบวชนี้จะต้องผ่านการบวชในระดับสูงสุดมาแล้วจำนวน 12 คน ในการทำพิธีจะใช้ภาพวาดรูปเคารพหลายชุดและหนังสือประกอบพิธีกรรมจำนวนมาก ทั้งนี้ เย้าเมี่ยนผู้ผ่านพิธีบวชมีสิทธิ์สวมมงกุฎเล็กๆ ที่ทำด้วยไม้ส่วนเย้ามุนจะสวมมงกุฎที่ทำด้วยโลหะ และสามารถทำพิธีบวชระดับสูงขึ้นไปที่เรียกว่า "จ๋าเจ๊ะ" ได้ แต่ปัจจุบันเย้าเมี่ยนประกอบพิธีนี้น้อยมาก 4. การเซ่นไหว้ผี มีอาจารย์ซี่กงที่ไม่ได้ผ่านการบวชตามลัทธิเต๋าแต่รู้จักพิธีกรรมดีทำหน้าที่เป็นหมอผีที่เป็นตัวกลางในพิธีเซ่นไหว้ ติดต่อสื่อสารกับเทพยดาและวิญญาณ และร่วมประกอบพิธีกับอาจารย์ตาวกงซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผ่านพิธีบวชและทำหน้าที่เกี่ยวกับลัทธิเต๋า 5. การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ มีบทบาทสำคัญอย่างสูงต่อชีวิตทางวิญญาณของเย้า ซึ่งเย้าทุกคนต้องแน่ใจว่าบรรพบุรุษสายตรงของพวกเขาได้รับการทำพิธีที่ถูกต้องเพื่อให้ไปถึงอีกโลกหนึ่ง การเซ่นไหว้ผีและผีบรรพบุรุษนี้มีมาก่อนที่เย้าจะนับถือลัทธิเต๋า ผีเหล่านี้จะได้รับการดูแลจากบุคคลในครอบครัวและหมู่บ้าน ทว่ามีเย้าในประเทศลาวและไทยจำนวนหนึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ.1970 และ 1980 ซึ่งมีการผสมผสานศาสนาคริสต์เข้ากับลัทธิเต๋า เช่น การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เย้าสามารถคงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เย้าไว้ได้ แม้ว่าไม่มีความเป็นรัฐชาติหรือประเทศของตัวเอง (หน้า 26-29) อาจารย์พิธีกรรมซี่กงของเย้ามุนจะมีความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาจีนตอนใต้ (บางกรณีอาจารย์พิธีกรรมตาวกงทำหน้าที่เป็นอาจารย์ซี่กงได้และสวมใส่เสื้อผ้าประกอบพิธีแตกต่างกันแต่อาจารย์ซี่กงจะทำหน้าที่แทนอาจารย์ตาวกงไม่ได้) (หน้า 91) นอกจากพิธีกรรมและการเซ่นไหว้ผีและผีบรรพบุรุษแล้ว เย้ายังมีขนบธรรมเนียมและการปฏิบัติตนในเรื่องต่างๆ ดังนี้ - เครื่องใช้ในการประกอบพิธีกรรม อาจารย์พิธีกรรมจำเป็นต้องมีหนังสือที่ใช้เฉพาะพิธีกรรม กระถางธูปศักดิ์สิทธิ์ แผ่นป้ายอาญาสิทธิ์ซึ่งเป็นป้ายที่เขียนด้วยอักษรจีนมีชื่ออาจารย์โต่ไซทั้งสิบสองคนที่เป็นผู้ประกอบพิธีบวชให้ และประทับตราของตนเอง (เรียก "เชลี" ในภาษาเมี่ยนหรือ "วา" ในภาษามุน) คฑาไม้ซานหยวน พระขรรค์เหล็กหรือ "กิม" ที่มีที่เขย่าให้เกิดเสียงเพื่อไล่ผีร้าย ไม้คู่เสี่ยงทายหรือ "จ๋าว" แตรเขาควายใช้เรียกหยุดฮุ่งและผีอื่นๆ แท่งไม้สี่เหลี่ยมยาวแกะสลักเป็นรูปม้าบรรทุกของ หรือ "เป็งมา" หรือตราประทับรับรองหนังสือ (เป็นกระดาษเงินทำจากเยื่อไม้ไผ่หรือเปลือกไม้ที่เผาส่งขึ้นไปบนสวรรค์) หิ้งผีใหญ่แบบสี่เสาแบบมีหลังคา มงกุฎไม้โต่ไซแกะสลักของเมี่ยนหรือมงกุฎแบบโลหะของมุน เครื่องดนตรี ได้แก่ กลองแบบเฉพาะของเย้า ปี่เสียงแหลม ฉาบและฆ้องแบบจีนรวมทั้งกระดิ่งที่ใช้ให้จังหวะในพิธี และในพิธีกรรมที่สำคัญต้องมีภาพวาด "เมี้ยนฝัง" ของตนอง ในกรณีของกิมมุนหลานเตียนจะมีหน้ากากไม้ที่ใช้ในพิธีกรรมสำคัญทั้งในบ้านและนอกบ้าน ส่วนในกลุ่มเมี่ยนนั้นมีเครื่องใช้ไม่ต่างกันมาก แต่สำหรับเย้าเตียนจะใช้วัตถุหรือเสื้อผ้าในแบบเฉพาะของตน เช่นเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่และหมวกเฉพาะพิธีกรรมระดับสูง ทว่าด้วยเวลาที่ผ่านมานานการแต่งกายในพิธีกรรมของเย้าบางอย่างได้สูญหายไป ปัจจุบันมีการลดความซับซ้อนของการประกอบพิธีกรรมลัทธิเต๋าลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่วิถีชีวิตถูกแทนที่ด้วยการทำงานและความพยายามอยู่รอดในโลกปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง (หน้า 81-83) ธรรมเนียมของเย้า เมื่อเย้ามีการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญ เย้าจะสอบถามผี และให้ความสำคัญกับการทำสัญญาเมื่อมีการทำข้อตกลงสองฝ่าย เช่น การแต่งงาน และข้อตกลงในเรื่องใหญ่ๆ รวมถึงการซื้อขาย ซึ่งเย้ามีความเชื่อในเรื่องการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และมีทัศนคติในการอยู่อย่างธรรมชาติในชุมชนเล็กๆ เย้าจะมีความพยายามที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศที่ตนอาศัยโดยไม่ให้สูญเสียเอกลักษณ์ของตน ทั้งเย้าเมี่ยนและเย้ามุนต่างเซ่นไหว้พ่านฮุ่งซึ่งเป็นบรรพบุรุษผู้ให้กำเนิดเย้า และพ่านกู่ผู้สร้างโลก รวมทั้งภรรยาจะต้องนับถือผีบรรพบุรุษของสามีด้วย ทั้งนี้ เย้าจะไม่ใช้เนื้อสุนัขทำอาหาร เพราะมีตำนานว่าบรรพบุรุษของเย้าเป็นสุนัขมังกร ตามประเพณีแล้วผู้ชายผู้หญิงและเด็กจะรับประทานอาหารแยกกัน แต่เย้าที่อยู่ในเมืองนั้นรับประทานอาหารร่วมกัน นอกจากนี้เย้ายังรับเอาธรรมเนียมและประเพณีของจีนมาปฏิบัติหลายอย่าง เช่น ลัทธิเต๋า โหราศาสตร์ การนับปีตามจันทรคติ ตัวอักษรจีน และการเฉลิมฉลองวันปีใหม่เป็นเวลา 3 วันในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับวันปีใหม่ของจีนและมีปีปฏิทินสี่ฤดู เป็นต้น พิธีศพ เป็นพิธีกรรมที่สำคัญซึ่งแตกต่างกันตามลักษณะการตาย เช่น การตายแบบธรรมชาติหรือ ตายด้วยความรุนแรง เป็นต้น พิธีศพจะช่วยส่งวิญญาณผู้ตายไปยังที่อยู่ของบรรพบุรุษบนสวรรค์ ซึ่งการเซ่นไหว้บูชาจะมีข้อแตกต่างของธรรมเนียมบางอย่างไปตามกลุ่มย่อยและแซ่สกุล พิธีขอบคุณ เป็นการขอบคุณพ่านฮุ่งผู้ให้กำเนิดบรรพบุรุษเย้าที่ช่วยเหลือคนเย้าระหว่างการเดินทางในทะเลอันยาวนาน พิธีแต่งงาน มี 2แบบขึ้นอยู่กับความร่ำรวยของทั้งสองฝ่าย โดบแบบแรกเป็นงานที่จัดขึ้นในวันเดียว และแบบที่สองเป็นพิธีที่มีรูปแบบสมบูรณ์ใช้เวลา 3 วัน 3 คืน นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมบางอย่าง ซึ่งเย้าได้ใช้สิ่งประกอบพิธีเฉพาะที่เรียกว่าสะพาน ซึ่งเป็นกระดาษแผ่นยาวหรือผ้าฝ้ายสีขาว หรือซุ้มโค้งทำด้วยไม้แทนสะพานเพื่อเป็นการเชื่อมโลกนี้กับยมโลก และเพื่อเป็นการเชื่อมวิญญาณให้ไปถึงถิ่นที่อยู่อื่นได้ (หน้า31-33) โดยพิธีกรรม หรือ "เจี้ยว" นั้นนับว่าเป็นพิธีที่มีความสำคัญของเย้า ไม่ว่าจะเป็นการบวช การเรียกขวัญ หรือพิธีการเปลี่ยนผ่านซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องการรักษาความสามัคคี การรักษาเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และการอยู่รอดของเย้ามาจนปัจจุบัน (หน้า 93-94) |
|
Education and Socialization |
พ่อมีหน้าที่สอนภาษาจีนและเรื่องต่างๆ ให้แก่ลูกชายวัยรุ่น ซึ่งยังมีปฏิบัติอยู่ในประเทศจีน แต่ในที่อื่นๆ มีการปฏิบัติน้อยลงเมื่อลัทธิเต๋ามีความสำคัญลดลง ทว่าก็ยังมีการสอนภาษาจีนกันอยู่ ปัจจุบันเด็กเย้าจำนวนมากเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาในพื้นที่ที่อาศัยอยู่ ซึ่งการไปโรงเรียนทำให้ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายมากขึ้น (หน้า 78) |
|
Health and Medicine |
เย้าจะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายด้วยยาสมุนไพร ได้แก่ เปลือกไม้ รากสมุนไพรและฝิ่น แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ผลก็จะใช้ยาของการแพทย์ตะวันตก รวมทั้งการขอความช่วยเหลือจากผี เย้าเชื่อว่าร่างกายคนเรามีขวัญหลายตัวและขวัญเหล่านี้ก็ต้องการการปฏิบัติอย่างเอาใจใส่ เช่นขวัญที่ปากและที่หน้าอก เมื่อขวัญออกจากร่างกาย ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยและเจ้าของขวัญต้องขอความช่วยเหลือจากอาจารย์พิธีกรรมเพื่อกำจัดผีร้ายและเรียกขวัญกลับสู่ร่างกาย (หน้า 32) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายเป็นเครื่องแสดงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และทางชาติพันธุ์ที่เย้าเมี่ยนและเย้ามุนใช้อย่างกว้างขวาง ทุกวันนี้เย้าส่วนใหญ่ยังคงใช้เครื่องแต่งกายที่มีข้อแตกต่างกันมากมายในการแสดงตน ที่แสดงให้เห็นพื้นฐานทางประเพณีที่เข้มแข็ง การแสดงตัวเป็นเย้าเมี่ยนและเย้ามุนด้วยการสวมเสื้อผ้าตามจารีตประเพณี เป็นการแสดงความเป็นเย้าที่เด่นชัดที่สุด นับตั้งแต่อดีตผู้หญิงเมี่ยนและมุนจะโพกศรีษะด้วยผ้าที่ประดิษฐ์อย่างประณีตทั้งในการประกอบพิธีกรรมและในชีวิตประจำวัน เย้าบางกลุ่มทางภาคเหนือของประเทศเวียดนาม เช่น ควานเช็ดในเขตเอียนไบ๋หรือบางกลุ่มของเย้าเตียนจากฮัวบินห์ ยังคงใช้เครื่องสวมศีรษะทุกวัน กลุ่มเมี่ยนใช้ลายปักที่แสดงสัญลักษณ์สำคัญทางศาสนา เช่น ลายปักร่มของฟามชิงหรือองค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม ส่วนกลุ่มกิมมุนใช้มงกุฎเงินที่แกะสลักแสดงสัญลักษณ์แบบเดียวกัน เครื่องประดับเงินหรือมงกุฎเทพยดานี้อยู่ตรงกลางด้านบนของเครื่องสวมศีรษะ โดยทั่วไปเครื่องสวมศีรษะทั้งชุดมีผ้าสี่เหลี่ยมปิดทับไว้ ผู้หญิงเย้ากิมมุนมักเคยใช้มงกุฎเทพยดาหลังจากที่ได้ผ่านพิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่านแล้ว จนกระทั่งมาถึงช่วงที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เย้าได้เลิกใช้เงินโดยเปลี่ยนมาใช้อลูมิเนียมแทน แม้ว่าทุกวันนี้เย้าจำนวนมากต้องยอมรับ "การแต่งกายตามมาตรฐาน" ทั่วไป แต่เย้ายังคงเก็บเครื่องแต่งกายตามจารีตประเพณีไว้หนึ่งชุดเพื่อใช้ในพิธีกรรมหรือในโอกาสพิเศษ แต่ยังคงมีเย้าจำนวนมากที่สวมเสื้อผ้าเย้าเป็นประจำทุกวัน ผู้หญิงเย้าเป็นผู้ตัดเย็บเสื้อผ้าตามจารีตประเพณีให้แก่สมาชิกทุกคนในครอบครัว ซึ่งต้องตัดเย็บให้ดีที่สุดเพื่อความกลมกลืนของแบบ รูปทรง สีสันและรูปสัญลักษณ์ต่างๆที่ประดับบนชุด นับว่าเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความหมายตามโลกทัศน์ของเย้า ทั้งนี้ มารดาจะสอนลูกสาวให้รู้จักวิธีการปักผ้าลายต่างๆ รวมทั้งความหมายของลายปักนั้น เย้าใช้สีหลักเพียง 5 สีในการปักผ้า คือแดง ขาว เหลือง เขียว และน้ำเงิน (เพื่อระลึกถึงสุนัขมังกร 5 สี) โดยนำลายปักมาใช้กับเสื้อคลุม เสื้อชั้นนอก ผ้าโพกศีรษะ กางเกงและเสื้อผ้าอย่างอื่น ผู้หญิงเย้าเมี่ยนใช้ผ้าโพกศรีษะในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการแสดงจุดกำเนิดของผู้สวมใส่ ผ้าโพกศรีษะบางแบบก็แตกต่างจากส่วนใหญ่มาก รวมทั้งผู้ชายเย้าก็เคยใช้ผ้าโพกศรีษะที่มีลายปัก และเย้ากลุ่มย่อยบางกลุ่มก็ยังคงใช้ผ้าโพกศรีษะกันอยู่ตามขนบธรรมเนียม (หน้า 19-20) เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของผู้หญิงเย้า ได้แก่ เสื้อคลุม กางเกง กระโปรงเย้าเตียน ผ้ารัดหน้าอก ผ้าปิดหน้าอก ผ้าคาดเอว ผ้าสะพาย ผ้าโพกศีรษะ หรือผ้าคลุมศีรษะ เครื่องสวมศีรษะ ผ้าปิดท้องน้อย ผ้าคลุมไหล่ ย่าม กระเป๋าสตางค์แบบถือ ส่วนผู้ชายเย้าโดยทั่วไปเลิกสวมใส่เสื้อผ้าตามประเพณีแล้ว ยกเว้นในพิธีสำคัญ และเย้ากลุ่มต่างๆ มักได้ชื่อเรียกตามลักษณะเด่นของเครื่องแต่งกายที่สวมใส่จากคนนอกวัฒนธรรม เช่น เย้าต้าปาน มีเครื่องประดับศีรษะเป็นแบบดอกไม้ หรือหมวกไม่มีปีก ปักลวดลายสดใส เย้าควานเช็ดสวมกางเกงที่คับรัดรูป เย้าควานซางสวมกางเกงสีขาวในงานพิธีกรรมสำคัญ เย้าหลานเตียนมีเครื่องแต่งกายที่ใช้สีครามเป็นหลัก เย้าเตียนประดับเหรียญบนเสื้อคลุมและส่วนอื่นๆ ของเสื้อผ้าเป็นต้น การแสดงเอกลักษณ์ผ่านเครื่องแต่งกายนี้ เป็นสิ่งสำคัญมากของเย้าเมี่ยนและเย้ามุนที่บ่งบอกถึงความหลากหลายของกลุ่มย่อยต่างๆ โดยเย้าเมี่ยนนิยมการประดิษฐ์ตกแต่งอย่างประณีตมากกว่าเย้ามุน ในปัจจุบันด้วยสภาพอากาศและกิจกรรมการงานที่เปลี่ยนไป ตลอดจนการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม (เช่น จากพื้นที่สูงลงมาสู่พื้นที่ระดับต่ำกว่า) ได้ทำให้การแต่งกายแบบเต็มชุดตามจารีตประเพณีมีน้อยลง อย่างไรก็ตาม การแต่งกายตามประเพณียังคงเป็นรหัสที่เชื่อมโยงเย้าทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน การยึดถือวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สำคัญร่วมกันของเย้าคือ ผู้หญิงเย้าเมี่ยนและเย้ามุนจะสวมเสื้อคลุมสีครามมีคอ ไม่ใช้เสื้อแบบมีแขน สวมกางเกง (ยกเว้นบางกลุ่มย่อย) มีเครื่องสวมศรีษะหรือผ้าโพกที่สวยงามด้วยการปักลายผ้า และใช้ผ้าตัดปะอันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมาย รวมถึงการปักลายด้วยเส้นด้ายหลากสี การประดับแถบผ้าสี เชือกที่ถักด้วยเส้นด้ายหลายสี แถบผ้าชิ้นเล็ก พู่ห้อยและก้อนด้ายกลมสีแดง กระดุม กระดิ่งเล็กๆ เข็มกลัดและเครื่องประดับเงิน การแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเย้านี้เกิดจากสามัญสำนึกของผู้ออกแบบเสื้อผ้าที่สะท้อนมาจากการอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่สัมพันธ์กับรหัสการแต่งซึ่งเน้นถึงความเป็นเย้าเป็นลำดับแรก และคำนึงถึงกลุ่มของตนเองเป็นลำดับสอง และความเป็นปัจเจกบุคคลเป็นลำดับสุดท้าย ทั้งนี้ มีการวิวัฒนาการของการปักลายผ้าแบบใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นกับเย้าเฉพาะที่อยู่ในประเทศไทยและลาว ด้วยการปักลายแบบไขว้ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากกว่าการปักลายแบบจารีต สัญลักษณ์ลายปัก ไม่ว่าเย้าจะอาศัยอยู่ที่ใดต่างก็มีสัญลักษณ์ต่อไปนี้ร่วมกัน ได้แก่ สัญลักษณ์เกี่ยวกับมนุษย์ สัตว์ นก เรื่องราวทางศาสนา ความคิด ดอกไม้เงิน พืช อาหาร ต้นไม้ เรื่องราวในชีวิตประจำวัน ความหมายโคลงกลอน คติสอนใจ ฯลฯ ดังนั้นการเลือกใช้ลายปักจึงเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงเอกลักษณ์ท้องถิ่นของเย้ากลุ่มย่อยที่ใช้ร่วมกับสัญลักษณ์อื่นๆ ที่เป็นของเย้ากลุ่มสาขาหลัก ดังนั้น การประกอบกันของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับแหล่งที่มาของผู้สวมใส่จึงเป็นส่วนสำคัญในงานปักผ้า แม้ว่าการปักลายผ้าจะถูกกำหนดไว้ด้วยจารีตประเพณีที่เคร่งครัด แต่ก็ยังมีการสร้างสรรค์ส่วนตัวผ่านลายปัก และเย้าทุกกลุ่มจะใช้สัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋าผ่านรูปแบบของ "องค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม" ปัจจุบัน เย้าเมี่ยนไม่ได้ทอผ้าเองแต่ซื้อหาจากชนกลุ่มน้อยอื่นๆ หากแต่พวกเขายังคงย้อมผ้าเอง ซึ่งเย้าที่อาศัยในประเทศตะวันตกจะสั่งซื้อเสื้อผ้าจากเย้าในประเทศไทยและลาว สำหรับเย้ามุนยังคงทอผ้าฝ้ายใช้เอง ทั้งนี้ผู้หญิงเย้ามีความสามารถในการปักลายผ้าโดยไม่มีการทำแบบร่างก่อน ไม่มีการทำเครื่องหมายไว้บนผ้า และจะปักลายผ้าจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนซึ่งเป็นวิธีการปักลายผ้าที่ค่อนข้างยาก - เสื้อคลุม เสื้อคลุมเป็นเครื่องปกคลุมร่างกายส่วนบน โดยผู้หญิงเมี่ยนและมุนต่างใช้เสื้อคลุมที่มีรูปแบบพื้นฐานเหมือนกัน เสื้อคลุมทำมาจากผ้าสี่ผืนเย็บติดกันตามแนวตั้ง ติดแขนเสื้อสองข้าง และตรงกลางไม่เย็บติดกัน ที่คอเสื้อลงมาถึงเอวใช้ผ้าปักลายเย็บติดหรือตกแต่งด้วยผ้าตัดปะ โดยทั่วไปใช้ผ้าฝ้ายย้อมสีคราม มีความกว้างตามาตรฐานกี่ทอผ้า ประมาณ 40-48 เซนติเมตร บางกลุ่มย่อยใช้ผ้าต่วนหรือผ้ากำมะหยี่สีดำที่ซื้อจากตลาด สำหรับกลุ่มอิ้วเมี่ยน ต้าปาน เย้าแดง เย้าถงโหว จะใช้ไหมพรมก้อนกลมสีแดงก้อนเล็ก เย็บติดกับด้านนอกของปกเสื้อ และอาจใช้พู่ไหมสีแดงห้อยลงมาจากคอเสื้อด้านหลังและด้านข้างทั้งสองข้างของเสื้อคลุม และใช้ชายผ้าด้านหน้ารวบมัดไว้รอบเอวหรือมัดรวมกันเป็นผ้าคาดเอว การตกแต่งเสื้อคลุมของเย้าเมี่ยนจะใช้ลายปักชิ้นเล็กๆ ที่เป็นแบบเฉพาะที่เรียกว่าเป็นตราสัญลักษณ์ของพ่านฮุ่งไว้ที่ช่วงไหล่ โดยทั่วไปมีเพียงเย้าเมี่ยนที่ให้ความสำคัญกับการตกแต่งเสื้อคลุม ซึ่งเย้าแดงในภาคใต้ของมณฑลยูนนานและภาคเหนือของเวียดนามนิยมตกแต่งเสื้อคลุมมากที่สุด ส่วนกลุ่มที่ตกแต่งเสื้อคลุมน้อยที่สุดคือ กลุ่มโลกางในมณฑลยูนนานและภาคเหนือของประเทศเวียดนาม กลุ่มอิ้วเมี่ยนและเย้าต้าปานไม่มีการตกแต่งเสื้อคลุมนอกจากที่คอเสื้อ ส่วนเย้าเตียนนิยมขลิบชายผ้าของเสื้อคลุมด้วยผ้าสีตัดปะ และที่ด้านหน้าและด้านหลังมีลายปักเป็นจุดๆ รวมทั้งมีตราสัญลักษณ์พ่านฮุ่ง ส่วนเย้ากิมมุนและกลุ่มย่อยหลานเตียน ซานจื้อ ใช้เสื้อคลุมสีครามติดขอบชายผ้าด้วยผ้าสีน้ำเงินหรือสีแดงและติดพู่ไหมสีแดงห้อยลงมาจากเข็มกลัดตรงคอเสื้อคลุม และมีการตกแต่งเครื่องประดับเงิน ส่วนเย้าควานซาง ควานแปะเมินในประเทศจีนและภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ใช้แบบลายปักที่ละเอียดมากคล้ายกับของเมี่ยน ส่วนกิมเมิน ฮัวโถว/ทานยี ไม่นิยมลายปัก ทว่าใช้เครื่องประดับกันมาก - กางเกงขายาวและกระโปรง ผู้หญิงเมี่ยนและมุนทุกคนใส่กางเกงขายาว (ยกเว้นเมี่ยนกลุ่มเย้าเตียนหรือเย้าเซียงปานในภาคเหนือของประเทศเวียดนามและเย้ามุนในไฮหนาน ประเทศจีน) กางเกงเย้าเมี่ยนตกแต่งด้วยลายปักจำนวนมาก เป็นกางเกงขายาว ตัวใหญ่ ส่วนเย้าควานเช็ดและเย้าแดงในภาคเหนือของประเทศเวียดนามใส่กางเกงคับ ขาสั้นแค่เข่า การปักลายนั้นเริ่มจากปลายขากางเกงโดยมี 2-5 แถวเสมอ เป็นลายปักบังคับที่มีรูปแบบเป็นแท่ง นอกเหนือจากลายปักบังคับแล้ว จะมีลายปักอีกหลายแถวซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่ม การออกแบบและสีสันจะแสดงถึงความเกี่ยวพันกับกลุ่ม โดยแถวบนจะบ่งบอกถึงความเป็นกลุ่ม สมัยก่อนจะนำเส้นไหมมาปักลายแต่ปัจจุบันเส้นไหมถูกนำมาใช้เพื่อการปักแบบลายทอเท่านั้น ส่วนการปักลายแบบไขว้และแบบกากบาทต่อกันจะใช้เส้นฝ้ายในการปัก ส่วนเย้ามุนไม่ตกแต่งลายปัก (ยกเว้นกลุ่มย่อยหนึ่งในภาคเหนือประเทศเวียดนาม) สำหรับเย้าเมี่ยนเซียวปานหรือเย้าเตียนเท่านั้นที่ใช้กระโปรงที่ใช้ผ้าฝ้ายยาวแค่เข่าไม่มีจีบ ย้อมสีครามอ่อนและตกแต่งสีขาวโดยวิธีย้อมเขียนเทียน และมีลายปัก - ผ้าปิดหน้าอกผู้หญิง ผ้ารัดหน้าอก สมัยก่อนผู้หญิงเย้าส่วนใหญ่ใช้ผ้าชิ้นหนึ่งปิดหน้าอกไว้ข้างในเสื้อคลุม เรียกว่าผ้าปิดหน้าอกหรือผ้ารัดหน้าอก และพัฒนาขึ้นจนมีหลายรูปแบบมีเครื่องประดับเงินและมีการปักลายตกแต่ง เป็นผ้าฝ้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีคราม ผูกรอบคอและเอวด้วยแถบผ้าฝ้ายสี่เส้น มีการปักลายตรงกลางอยู่ระหว่างปีกเสื้อคลุมที่มองเห็นได้ ปัจจุบันผ้าปิดหน้าอกถูกแทนที่ด้วยเสื้อผ้าตามแบบชาติตะวันตก แต่ยังคงมีใช้อยู่ในบางกลุ่มได้แก่ ? เมินควานซาง ในภาคเหนือของประเทศเวียดนาม รวมทั้งกลุ่มที่อยู่บริเวณเหอโขว่ เมื่อสวมใส่กางเกงขายาวสีขาวก็จะใส่ผ้าปิดหน้าอกสีขาวผืนใหญ่มีลายปักสองชิ้น ชิ้นแรกอยู่ด้านในเสื้อคลุม และอีกชิ้นปิดทับเสื้อคลุมด้านหน้า อาจมีเครื่องประดับเพิ่มได้ ผ้าปิดหน้าอกแบบนี้มีกระเป๋าเล็กซ่อนอยู่ด้านในไว้ใส่เงินทองของมีค่า ? กิมเมิน/เย้าฮัวโถว/เย้าทานยี ใช้ผ้าปิดหน้าอกลักษณะเหมือนกลุ่มเมินควานซาง แต่เล็กกว่าและไม่ใช้ผ้าชิ้นที่สองเมื่อแต่งตัวสำหรับพิธีกรรม ? กิมมุน ใช้ผ้าปิดหน้าอกห้อยลงมาจากห่วงคอเงินเป็นแท่งสี่เหลี่ยม หรือแผ่นเรียบและปลายทั้งสองด้านงอขึ้น ? เย้าแดงในภาคใต้ของมณฑลยูนนานและภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ยังสวมผ้าปิดหน้าอกผืนยาวแคบๆ ผูกรอบคอ ปักลายตามแบบจารีตประเพณี อาจใช้แถบผ้าเย็บติดมาตกแต่ง รอบๆ คอมีเครื่องประดับเงินรูปพระจันทร์ครึ่งดวงและดาวห้อยลงมาหลายแถว บางครั้งใช้รูปพระจันทร์เต็มดวงหรือรูปโค้งคล้ายมงกุฎเทพยดา 5 อัน ? เย้าหงโถวในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลกวางสีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนามใช้ผ้าปิดหน้าอก 2 ชิ้นติดกัน ส่วนใหญ่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำและผ้าขนสัตว์สีแดง ชิ้นด้านหน้าสวมอยู่ใต้ปกคอเสื้อที่ตกแต่งด้วยดาวเงินและแผ่นเงินแกะสลัก ส่วนชิ้นที่อยู่ด้านหลังใช้สวมทับบนเสื้อคลุม ประดับด้วยดาวเงิน ? เย้าโลกาง ทานพ่าน โอกาง ควานเช็ด ดูคัน และก๊อกมุน ใช้ผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีน้ำเงินแก่ ตรงกลางมีผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีอ่อน ด้านบนและล่างมีลายปัก ตรงกลางมีเปียผ้าที่ทำด้วยผ้าผืนเล็กเย็บทับกัน ตรงกลางติดกระดุมเงินอันเล็ก ในส่วนของเย้าโลกาง และโอกางใช้ดาวเงินแปดแฉก ส่วนกลุ่มควานเช็ด ก๊อกมุน ดูคุน และทานพ่านใช้แผ่นเงินรูปพระจันทร์หนึ่งหรือสองอันเพิ่มด้วย - ผ้าคาดเอวผู้หญิงและผ้าสะพาย โดยทั่วไปผู้หญิงเย้าจะใช้ผ้าคาดเอวสองผืน บางผืนทำด้วยผ้าแบบเดียวกับเสื้อคลุมและพันทับกันสี่ครั้ง บางผืนทำด้วยผ้าไหม และบางผืนเป็นผ้าทอลายเส้น ผ้าฝ้ายคาดเอวจะมีลายปักที่ปลายทั้งสองด้าน ส่วนผ้าคาดเอวที่ใช้ในพิธีกรรมจะมีสีต่างกัน เช่น สีแดงหรือสีขาว มาพันทับบนผ้าคาดเอวอีกผืนหนึ่งหรือหลายผืน ? ผู้หญิงกลุ่มอิ้วเมี่ยนและเย้าต้าปานในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนานและประเทศลาว ใช้ผ้าคาดเอวในพิธีกรรมที่เป็นผ้ายาวมากทำจากผ้าฝ้ายสีครามเข้มมีการปักลายที่ปลายทั้งสองด้าน ปล่อยเส้นด้ายเป็นชายครุยยาวและทำเป็นก้อนกลมเล็กๆ การเลือกใช้แตกต่างกันตามธรรมเนียมของสาขาย่อยและการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ? อิ้วเมี่ยน ต้าปาน หงโถว เย้าแดง เย้าก๊อกมุน ใช้ผ้าคาดเอวเพิ่มอีกหนึ่งผืนทับบนผ้าคาดเอวที่ใช้กันทั่วไป ผ้าที่ใช้นี้เป็นผ้าแถบขลิบชายขอบด้วยผ้าสีแดง และปักลายแบบเดียวกับลายปักที่เสื้อคลุม และติดพู่ก้อนกลมสีแดงกับติดกระดิ่งที่ขอบชายผ้าทั้งผืน ? เย้าโลกาง ใช้ผ้าคาดเอวผ้าฝ้ายสีขาว ปักลายสีน้ำเงินแก่ที่ปลายผ้าทั้งสองด้าน ? เย้าควานเช็ดใช้ผ้าคาดเอวไหมเพียงเส้นเดียว ? เย้าเจียนโถว เย้ากว๋อซาน เย้าเตียน และสาขาย่อยมุน ใช้ผ้าฝ้ายคาดเอวยาว 2 เมตรค่อนข้างแคบ ทอมือเป็นลวดลายต่างๆ และมีสีต่างๆ ทั้งเย้าเมี่ยนและเย้ามุนส่วนใหญ่ใช้ผ้าสะพายในพิธีกรรมต่างๆ โดยการพันสี่ส่วนพาดไหล่ เย้าเมี่ยนใช้การปักลายไขว้และกากบาทต่อกันที่ปลายทั้งสองข้าง และในพิธีแต่งงานจะใช้ผ้าฝ้ายคาดเอวสีขาวเพิ่มอีกหนึ่งเส้น ส่วนเย้ามุนปักลายเป็นตัวอักษรจีนที่แสดงความหมายเชิงกวี ปักด้วยสีครามเข้มที่ปลายทั้งสองข้างด้านหลังเสื้อคลุม - ผ้าพันแข้ง ช่วงค.ศ.1960-1970 เย้าเมี่ยนและมุนส่วนใหญ่ใช้ผ้าพันแข้งเพื่อปกปิดน่องให้อบอุ่นและป้องกันการเกี่ยวข่วนของพุ่มไม้เมื่อเดินบนเขา แต่เมื่อมีการย้ายมาอาศัยที่พื้นราบ ธรรมเนียมการสวมผ้าพันแข้งจึงหายไป แต่เย้าบางกลุ่มเก็บรักษาผ้าพันแข้งไว้ใช้ในพิธีกรรมและชีวิตประจำวัน ได้แก่ ? เย้าแดงในมณฑลยูนนานและภาคเหนือของประเทศเวียดนามยังใช้ผ้าพันแข้งในชีวิตประจำวันเป็นแบบผ้าฝ้ายสีขาวผืนยาวปักลายเล็กๆ สีน้ำเงินเข้มตลอดแนวด้านหนึ่ง ส่วนปลายผ้าที่มองเห็น.จะปักลายแบบจารีตประเพณี หากอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นดินโคลนจะใช้ผ้าฝ้ายสีน้ำเงินแก่ ? เย้าเตียนใช้ผ้าพันแข้งที่ปักลายกว้างตลอดทั้งเส้น ? กิมมุนในประเทศลาวและมณฑลยูนนาน ใช้ผ้าพันแข้งผ้าฝ้ายรูปสี่เหลี่ยม ? กลุ่มควานเช็ดทางภาคเหนือของประเทศเวียดนามใช้ผ้าฝ้ายสีขาวรูปสามเหลี่ยมขลิบชายขอบด้วยผ้าสีแดง ? กิมเมิน/ฮัวโถว/ทานยี ใช้ผ้าผืนยาวสีครามพันรอบน่องและมัดให้ติดกันด้วยผ้าแถบทอมือสีต่างๆ - ผ้าโพกศีรษะ เครื่องสวมศีรษะ และเครื่องประกอบ ปัจจุบันผ้าโพกศีรษะที่ใช้ส่วนใหญ่ทำด้วยผ้าผืนยาวสีดำหรือสีน้ำเงินปักลาย ใช้ผ้าตัดปะหรือเป็นผ้าเรียบๆ ในลักษณะต่างกัน และมีเครื่องประกอบต่างๆ ดังนี้ ? สาขาย่อยเย้าเตียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนามใช้ผ้าพันคอผ้าฝ้ายสีขาวยาว 2.40 เมตร ตรงกลางมีลายปักที่มีความหมายทางศาสนา ที่ปลายทั้งสองด้านปักลายสัญลักษณ์ของพ่านฮุ่ง (เย้าแดงใช้วัสดุที่เป็นสีแดง) ? กิมมุนหลานเตียน/กิมมุนฮัวโถว/เย้าทานยี ส่วนใหญ่สวมมงกุฎเทพยดาและปิดทับด้วยผ้าฝ้ายชิ้นหนึ่งที่ปรับให้เข้ารูปด้วยเปียหรือผมปลอม ? อิ้วเมี่ยน/ตาปาน/เย้าหงโถว ใช้ผ้าฝ้ายสีครามพันศรีษะ (บางชิ้นยาว 7เมตร) มีลายปักหรือไม่มีก็ได้ อิ้วเมี่ยนใช้รูปแบบการโพกศีรษะแหลม ส่วนเย้าในประเทศไทยใช้ผ้าพันรอบศรีษะเป็นวงกลม และเย้าหงโถวใช้ผ้าผืนใหญ่โพกศีรษะแบบแบนเรียบ หรือแบบหัวแหลมที่ใช้ผ้าผืนยาวกว่า 8 เมตร และใช้ผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ตรงกลางมีลายปักสัญลักษณ์ร่มของฟามชิง ? เย้าแดง ใช้ผ้าโพกศีรษะผืนใหญ่เป็นผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีแดงสด 5 หรือ 6 ผืนทับกันและประดับพู่ห้อยก้อนกลมสีแดงเข้มและกระดิ่งเงิน ? เย้าโลกางใช้ผ้าโพกศีรษะเป็นผ้าฝ้ายสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินวางทับกันจนหนาแล้วพับเป็นรูปเหมือนหลังคาบ้าน ขลิบชายขอบด้วยผ้าสีแดงและปิดทับด้วยผ้าสีน้ำเงินที่ขลิบชายขอบสีขาว พับซ้อนกัน ใช้สร้อยลูกปัดแก้วสีแดงและสีเหลืองหลายเส้น รัดหมวกให้ติดกับศีรษะ บางกลุ่มใช้ผ้าผืนใหญ่ทับกันหลายชั้นทำเป็นยอดตรงกลางและใช้ผ้าพันคอยึดติดกัน ? เย้าควานเช็ด/โอกัน/ดูคุน/ทานพ่าน บางกลุ่มใช้ผ้าฝ้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นพื้นฐาน พันรอบศีรษะหลวมๆ หรืออาจใช้ไม้ค้ำภายในสำหรับพิธีกรรม จะใช้ผ้าปักลายวางทับกันหลายชั้นรองเครื่องสวมศรีษะที่เหมือนหลังคาบ้าน มีสีน้ำเงิน แดงและขาว และใช้เปียผมกับพู่ขนาดใหญ่ห้อยลงมา ? เย้ากว๋อซาน/เย้าเจียนโถว ใช้เครื่องสวมศีรษะหลายแบบ โดยแบบหนึ่งทำด้วยผ้าฝ้ายสีน้ำเงินปักลายสีสดใส รูปทรงกรวยวางทับกันหลายชั้น และใช้ผ้าโพกศีรษะแบบกลมขนาดเล็กที่มีความซับซ้อนและสีที่ผสมผสานของสีแดง เหลืองและขาวเป็นหลัก ? กิมเมินฮัวโถว/ทานยี ใช้หมวกไม่มีปีก แปดแฉก ปิดทับด้วยผ้าฝ้ายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาว ปักลายติดพู่สีแดงห้อยลงมา ? กิมเมินควานซาง ใช้ผ้าสีน้ำเงินครามสี่เหลี่ยมจัตุรัสประดับด้วยเครื่องหมายร่มฟามชิง ? เย้าซานจื้อใช้ผ้าสีครามสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าประกบด้วยผ้าตัดแปะและใช้สร้อยเงินเส้นเล็กหนึ่งเส้น หรือใช้โลหะรูปผสมสามเหลี่ยมประดับตามชายริ้วผ้าสีแดงที่เย็บอยู่ตามขอบ ? กิมมุนหลานเตียนใช้ผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสปิดทับมงกุฎทำเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น แท่งกลม แบบเรียบ แบบหลวม ขึ้นอยู่กับสมัยนิยมของการสวมมงกุฎ ทั้งนี้ เย้ามุนใช้เครื่องสวมศีรษะเพื่อแสดงว่าผ่านพิธีกรรมการบวชมาแล้ว ส่วนเย้าเมี่ยนบางกลุ่มใช้เพื่อแสดงสถานะภาพการแต่งงาน - เครื่องสวมศีรษะในพิธีกรรมและผ้าคลุมในพิธีแต่งงาน เย้าเมี่ยนทุกสาขายกเว้นเย้าเตียนยังยึดถือประเพณีการสวมใส่เครื่องสวมศีรษะที่ใหญ่และซับซ้อนในพิธีแต่งงานและพิธีกรรมทางศาสนา หากประกอบพิธีกรรมหลายวันจะไม่สามารถถอดเครื่องสวมศีรษะออกได้เพราะหลังจากโกนผมตรงหน้าผากแล้วเส้นผมที่เหลือจะถูกทำเป็นก้อนแข็ง โดยใช้ขี้ผึ้งทาผมทุกเส้น แล้วสอดก้อนเส้นผมลงในรูแผ่นไม้กลมบางๆ หลังจากปล่อยให้ขี้ผึ้งแห้งแล้ว ผมจะติดแน่นกับเครื่องสวมศีรษะ และใช้ไม้ไผ่ยาวบาง 3 อัน ตั้งค้ำบนไม้สำหรับรองรับผ้าคลุมที่ใช้สำหรับงานแต่งงานหลายผืนที่ปิดทับลงมา สำหรับอิ้วเมี่ยนจะใช้โครงเบาๆ ทำด้วยไม้ไผ่อีกชิ้นและใช้ผ้าขนสัตว์สี่เหลี่ยมจัตุรัสผืนใหญ่สีแดง ติดพู่ไหมสีแดงปิดทับแผ่นไม้บางๆ ด้านบนของผ้าคลุมสีแดงมีผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือจัตุรัสปักลายสีเข้มเต็มทั้งผืนวางทับอีกชิ้น และตรงกลางมีเครื่องหมายร่มของฟามชิงเสมอ (เย้ากลุ่มย่อยหลายกลุ่มใช้ผ้าลักษณะดังกล่าวอีกผืนปิดด้านหลังเครื่องสวมศรีษะตามแนวตั้ง) ลักษณะทั้งหมดนี้เป็นผ้าคลุมที่ใช้ในพิธีกรรมหลักที่เย้าเมี่ยนใช้ทั่วไป เรียกว่า "นอมผา" หรือ "ผากุน" ในขั้นตอนสุดท้ายจะใช้สร้อยเงินเส้นยาวกับพู่ไหมสีแดงจำนวนมากที่ประดับด้วยลูกปัดสีต่างๆ และเครื่องประดับเงินชิ้นเล็กติดขอบแผ่นไม้ปิดหน้าผู้สวมใส่ ทั้งนี้ผ้าคลุมในพิธีแต่งงานนี้อาจตกทอดมาจากมารดาหรือยายก็ได้ - ผ้าปิดท้องน้อย ผ้าคลุมไหล่ ผ้าห่อสะพายเด็ก เมี่ยนส่วนใหญ่ใช้ผ้าปิดท้องน้อยเป็นผ้าฝ้ายผืนค่อนข้างใหญ่หรือผ้าไหมที่มีแถบผ้าหน้ากว้างเป็นผ้ามัดเอว ทั้งผ้าปิดท้องน้อยและผ้าคลุมไหล่มีลักษณะเหมือนกันซึ่งจะใช้แบบใดก็ได้ ใช้ทั้งสองอย่างหรืออย่างเดียวก็ได้ โดยใช้ในโอกาสที่มีการแต่งกายแบบครบชุด สำหรับผ้าคลุมไหล่ใช้เฉพาะในกลุ่มอิ้วเมี่ยน/ต้าปาน/เย้าแดงที่อยู่ในมณฑลยูนนาน ในภาคเหนือประเทศเวียดนาม ส่วนประเทศลาวและประเทศไทย มีการใช้ผ้าตัดปะ ปักลายและเครื่องเงินมากกว่าประเทศอื่นๆ ผ้าคลุมไหล่แบบนี้ใช้ในโอกาสพิเศษ ส่วนอีกแบบที่เป็นแบบเรียบๆ ไม่มีเครื่องเงินตกแต่งแต่มีการปักลาย จะใช้สำหรับห่อเด็กสะพายไว้ข้างหลัง - ย่ามสะพายและกระเป๋าใส่เงิน ทั้งเย้าเมี่ยนและเย้ามุนใช้ย่ามสะพายและกระเป๋าใส่เงิน เพราะเสื้อผ้าของเย้าไม่มีกระเป๋า แต่สิ่งของชิ้นเล็กๆ อาจเก็บไว้ในผ้าโพกศรีษะได้หรือเก็บไว้ในผ้าปิดหน้าอกที่มีกระเป๋า หรือในผ้าคาดเอว มีการใช้กระดุมเงินมาติดและใช้ผ้าตัดปะผสมการปักลาย สำหรับเมี่ยนควานเช็ด โลกาง กิมมุนหลานเตียน ฉาและซานจื้อ ใช้ย่ามที่คล้ายตาข่ายทำจากใยกัญชงย้อมสีคราม เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส บางครั้งผู้ชายอาจใช้ย่ามผ้าฝ้ายตกแต่งด้วยเขากวางเล็กๆ เป็นย่ามนายพราน - เสื้อผ้าผู้ชายและเด็ก ผู้ชายสวมกางเกงขายาวธรรมดาสีคราม สวมเสื้อคลุม อิ้วเมี้ยนเด็กผู้ชายในประเทศลาวใช้ผ้าปิดหน้าอกผืนเล็กสองผืนทำจากผ้าฝ้ายสีคราม ผ้าสีตัดปะตามแนวขอบ มีสัญลักษณ์ที่ใช้ผ้าสีขาว แดง ผ้าตัดปะกับกระดุมเงิน 2-3 เม็ด และแขวนเครื่องรางเป็นเขี้ยวหมูป่าสองอันร้อยติดกันด้วยด้ายถักหลากสี เด็กเล็กๆ จะเริ่มต้นจากการใส่หมวกไม่มีปีกมีลายปักและผ้าตัดปะ และเครื่องประดับเงินเท่าที่หาได้ และมีปุยไหมกลมสีแดง การแยกแยะเด็กหญิงหรือเด็กชายดูได้จากการตกแต่งหมวก เด็กผู้หญิงใช้ลายปักตกแต่งหมวก ส่วนเด็กผู้ชายใช้ผ้าตัดปะ สำหรับเมี่ยนบางกลุ่มและมุนหลานยังคงแต่งกายตามจารีตประเพณีอยู่เมื่อต้องเดินทางไปตลาด และเย้าทั่วไปยังคงสวมเสื้อ ผ้าโพกศรีษะและผ้าคาดเอวในโอกาสพิเศษ ? อิ้วเมี่ยนในประเทศลาวและไทย ใส่เสื้อผ่าคอมาทางด้านขวาและติดกระดุมเงินเป็นแถวยาว ชายเสื้อใช้ผ้าแถบเล็กๆเย็บติด ปักลายที่กระเป๋าตรงหน้าอก ใช้ผ้าคาดเอวปักลายที่ปลายทั้งสองข้างและเย้าในประเทศลาวใช้เส้นเงินเล็กๆพันรอบเป็นช่วงๆติดตามชายผ้าตรงหน้าอก ปลายแขนเสื้อและขอบเสื้อด้านล่าง ? เมี่ยนส่วนใหญ่ ใส่เสื้อเปิดหน้าอกด้านหน้า ตกแต่งหน้าอกเสื้อด้วยลายปักและรอยปะ "ตราประทับพ่านฮุ่ง" สำหรับเย้าโลกาง ใส่เสื้อแบบเดียวกันซ้อนกัน 2 ตัว แต่ละตัวมีกระเป๋า 4 ใบและเปิดตรงหน้าอก เสื้อตัวนอกสีคราม ส่วนตัวในสีขาว และเย้าควานเช็ดสวมเสื้อที่มีคอสีแดง กระเป๋า 3 ใบ และประดับลายปักที่ละเอียดมาก ผู้ชายใช้ผ้าโพกศรีษะที่เป็นผ้าฝ้ายผืนยาวสีครามน้ำเงิน ปักลายเป็นรูปต่างๆ ตรงปลายด้านที่มองเห็น (หน้า 36-60) - การแต่งกายของอาจารย์พิธีกรรม อาจารย์พิธีกรรมเมี่ยนผู้ผ่านการบวชระดับต้นจะสวมกระโปรงกว้าง และสวมทับกางเกงขายาวกับผ้าพันแข้งสีขาวปักลายสวมเสื้อคลุมผ้าไหมจีนสีทึบ (ปัจจุบันใช้ผ้าฝ้ายและผ้าต่วน) และใส่เสื้อไม่มีแขนสีสดใส ใช้ผ้าคาดเอวผ้าฝ้ายมีลายปักที่ปลายทั้งสองด้าน สวมหมวกที่ทอด้วยเส้นผมใช้แถบผ้าฝ้ายผืนยาวติดพู่สีแดงพันที่หมวกกับมงกุฎกระดาษฟามชิงหรือเกี่ยมกุย รวมทั้งหน้ากากกระดาษในตำแหน่งเดียวกัน ส่วนการแต่งกายของอาจารย์พิธีกรรมระดับต่ำกว่านี้ใช้กระโปรงและสวมหมวกผ้าฝ้ายประดับลาย (หน้า 81) -เครื่องประดับเงิน เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของเย้า เครื่องเงินตามแบบประเพณีหลายชนิดยังคงมีอยู่ในปัจจุบันและได้ผสมกลมกลืนแบบเครื่องเงินตามท้องถิ่นที่อาศัย มีเครื่องเงินบางแบบที่ใช้สวมใส่ในชีวิตประจำวันเช่นการไปตลาดนัดในเมืองและบางชนิดใช้เฉพาะในโอกาสพิเศษเช่นในพิธีกรรม บางกรณีที่ผู้ใส่เครื่องเงินรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยก็จะใส่เครื่องเงินไม่เต็มรูปแบบ ทั้งผู้หญิง ผู้ชายและเด็กเย้าเมี่ยนและเย้ามุนต่างก็ใช้เครื่องประดับเงินทั้งสิ้น เย้านิยมซื้อเครื่องประดับเงินหรูหรา เมื่อสามารถซื้อได้ นอกจากเงินจะเป็นเครื่องประดับแล้วยังเป็นสิ่งแสดงฐานะเศรษฐกิจของครอบครัว รวมทั้งแซ่สกุลด้วย ทั้งนี้ เครื่องเงินเป็นสิ่งที่นำติดตัวได้ง่ายเมื่อมีการอพยพเคลื่อนย้ายและที่สำคัญคือเป็นหลักทรัพย์ เพราะเย้าไม่สามารถถือครองที่ดินได้ถาวร ซึ่งหัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ซ่อนเครื่องเงินส่วนใหญ่ไว้นอกบ้านบริเวณเนินเขาใกล้บ้าน และเป็นผู้เดียวที่รู้ที่ฝังหากว่าหัวหน้าครอบครัวตายกระทันหันครอบครัวอาจเดือดร้อนมาก นอกจากนี้ เย้ายังเชื่อว่าเงินช่วยปกป้องขวัญในร่างกายอีกด้วย - สำหรับเครื่องเงินของเย้าในประเทศลาวและประเทศไทยเป็นเงินที่มีคุณภาพสูงที่สุด ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีการแข่งขันการผลิตเครื่องเงินกับช่างในท้องถิ่น เครื่องเงินของเย้าเมี่ยนและเย้ามุนนั้นมีลักษณะร่วมกันในเรื่องกรรมวิธีการประดิษฐ์ สัญลักษณ์ เอกลักษณ์และการกำหนดคุณค่าที่ตัววัตถุ รวมทั้งการแสดงความผูกพันกับเครื่องเงินซึ่งเย้าเมี่ยนและเย้ามุนมีความรู้สึกร่วมกันใน "ความเป็นเย้า" จากผลงานเครื่องเงินที่มีที่มาจากวัฒนธรรมเย้าแหล่งเดียวกัน ทั้งนี้ มีเครื่องเงินบางชิ้นที่ใช้เฉพาะเย้ามุน แต่เย้าเมี่ยนไม่ได้ใช้ คือ มงกุฎเทพยดา (ที่มีความหมายทางศาสนาอ้างถึงองค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม) แผ่นเงินสำหรับติดหน้าอก และเข็มขัดเงิน โดยปกติเย้าจะซื้อโลหะเงินจากช่างเงินเย้า แต่ถ้าหาไม่ได้เย้าจะสั่งซื้อหรือสั่งทำจากชนกลุ่มอื่นที่ชำนาญหรือนำเหรียญเงินฝรั่งเศสมาหลอม มีเย้าเพียงส่วนน้อยที่ซื้อเครื่องเงินที่มีรูปแบบของท้องถิ่น ทว่ามีชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มที่อาศัยใกล้กัน ได้นำรูปแบบหรือสัญลักษณ์ตามจารีตประเพณีของเย้าไปใช้ เช่น ม้งใช้ห่วงคอหลายชิ้นหรือต่างหูแบบลูกศร มูเซอบางกลุ่มใช้แผ่นเงินทับหน้าอกตามแบบของอิ้วเมี่ยน สำหรับเครื่องเงินที่เย้าเมี่ยนและเย้ามุนใช้เป็นเครื่องปะดับ คือ แหวน ต่างหู กำไรเงิน สร้อยห้อยประดับด้านหลัง ส่วนเครื่องเงินที่ใช้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเสื้อผ้า ได้แก่ กระดุม เข็มกลัด เข็มขัด (ใช้เฉพาะหลานเตียน) หรือห่วงที่ใช้แขวนด้านหน้าของผ้าปิดหน้าอก (ใช้เฉพาะเย้ากิมเมินฮัวโถวควานซาง) และโดยทั่วไปเย้าเมี่ยนจะใช้สร้อยรูปตัว V ที่เชื่อมด้วยสร้อยขนาดต่างๆ กันในลักษณะห้อยลงมาและมีพู่ ส่วนเย้ามุนใช้สร้อยแบบเดียวกันแต่การเชื่อมต่อสร้อยรูปตัว V นั้นหย่อนกว่า สายสร้อยนั้นเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากของสร้อยเงินเย้าเพราะมีเครื่องประดับหลายชิ้นที่ต้องแขวนกับสร้อย - นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับที่นิยมกันมากรองลงมา คือ กระดิ่งเงินรูปทรงกลม ข้างในมีเศษโลหะใช้แขวนติดกับสร้อยเส้นสั้นๆ และยังใช้กระดิ่งประดับตามส่วนต่างๆ ของเครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับเงิน รวมทั้ง ดาบยาวที่มีฝักห่อหุ้มด้วยแผ่นเงินและแกะสลักทั้งฝักและตกแต่งด้วยลายเส้นที่ผู้นำหรือบุคคลสำคัญหรือหัวหน้าหมู่บ้านใช้เมื่อเดินทางไปตลาดนัดในเมืองและทุกโอกาสที่ต้องการแสดงตำแหน่งเมื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ (ใช้เมื่อสองสามทศวรรษที่ผ่านมา) - สำหรับช่างเงินเย้ามักจะเป็นอาจารย์พิธีกรรมที่มีตำแหน่งสูง เย้าจะหาซื้อโลหะเงินจากในเมืองหรือจากพ่อค้าเร่ ช่างเงินจำนวนมากมักสลักชื่อตัวเองเป็นภาษาจีนลงบนชิ้นงานสำคัญตรงจุดที่มองไม่เห็น เช่นห่วงคอ กำไลมือ ต่างหูรูปลูกศร ซึ่งเย้ามีสัญลักษณ์หลักที่ใช้ตกแต่งเครื่องเงิน คือ น้ำเต้าและน้ำเต้าคู่ดาวหลายแฉก ร่มฟามชิงปลา นก ผีเสื้อ มังกร และต่างหูรูปคล้ายลูกศร (ซึ่งกลุ่มเมี่ยนใช้บ่อยที่สุด แต่ปัจจุบันมีความหมายเป็นสิ่งที่ดูคล้ายอาวุธ) รวมทั้งต่างหูรูปดาบของสามนายพลแห่งลัทธิเต๋าหรือดาบซานหยวน - นอกจากนี้เย้าเมี่ยนและเย้ามุนยังรับเอาเครื่องประดับและเครื่องใช้ของคนจีนภาคใต้สมัยโบราณมาใช้ เช่น ไม้เกา พลั่ว ปิ่นสำหรับเกาผมผ่านผ้าโพกศรีษะ เป็นต้น และยังมีดอกไม้เงินที่เป็นเครื่องประดับที่เป็นแบบเฉพาะของเย้าเมี่ยน มีลักษณะเป็นแผ่นเงินชิ้นเล็กๆ บางๆ เป็นรูปดอกไม้ คู่บ่าวสาวมักใช้ดอกไม้เงินในพิธีแต่งงาน ดอกไม้นี้เป็นตัวแทนของขวัญเด็ก โดยเด็กๆ มีความสำคัญมากต่อการอยู่รอดของชีวิตคู่และการอยู่รอดของกลุ่มชาติพันธุ์ และในช่วงปีใหม่จะมีการนำดอกไม้เงินมาตกแต่งที่หิ้งผีของครอบครัว และนำไปประดับเครื่องแต่งกายด้วย ทั้งนี้ เย้าทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดจะสวมแหวนที่เป็นแหวนลงยาหรือไม่ลงยาแบบใดแบบหนึ่ง สำหรับการเก็บรักษาเครื่องเงิน เย้าเมี่ยนจะเก็บไว้ในช่องกระเป๋าลับที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าใบเล็กๆ รู |
|
Folklore |
นิทานปรัมปราเกี่ยวกับต้นกำเนิด ทั้งเย้าเมี่ยนและเย้ามุนต่างก็มีนิทานปรัมปราเรื่องต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ร่วมกัน ซึ่งกล่าวว่าเทพเจ้า "พ่านกู" เป็นผู้สร้างโลกและเมื่อกษัตริย์ "ผิง" ผู้ปกครองแคว้นหนึ่งกำลังประสบปัญหาความยุ่งยากกับกษัตริย์ผู้ปกครองอีกแคว้นหนึ่ง ราชสำนักกษัตริย์ "ผิง" จึงประกาศหาผู้กำจัดกษัตริย์แคว้นที่เป็นศัตรู โดยจะยกพระราชธิดาและที่ดินส่วนหนึ่งให้เป็นรางวัล มีเพียงสุนัขมังกรห้าสีตัวใหญ่ที่ชื่อ "พ่านฮุ่ง" เท่านั้นที่เสนอตัวเข้าช่วยและก็ได้รับการยอมรับ และในที่สุดสุนัขมังกรได้กลับมาพร้อมกับศีรษะของผู้ครองแคว้นที่เป็นศัตรู กษัตริย์ "ผิง" พอพระทัยมากจึงทำตามสัญญาของพระองค์ แม้ว่าการอยู่ร่วมกันของสุนัขมังกรและมนุษย์เป็นเรื่องแปลกก็ตาม ดังนั้น "พ่านฮุ่ง" จึงได้รับรางวัลเป็นเจ้าสาวคนใหม่ ตำนานเรื่องนี้บางแห่งกล่าวว่าในเวลานั้น "พ่านฮุ่ง" มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่มีหางเป็นสุนัข ขณะที่บางแห่งกล่าวว่าการเปลี่ยนร่างกายเป็นมนุษย์ของ "พ่านฮุ่ง" เกิดขึ้นในภายหลัง (คำในภาษาจีนเรียก "พ่านหวาง" เย้ากลุ่มเมี่ยนเรียก "โก้วฮุ่ง", "เปี้ยนฮุ่ง" และภาษาเวียดนามเรียก "บานโฮ" ) ต่อมาทั้งคู่ได้ให้กำเนิดลูกชาย 6 คนและลูกหญิง 6 คน เป็นบรรพบุรุษมนุษย์ 12 คนแรกของเย้า ผู้ซึ่งตั้งตระกูลเย้าขึ้นมาสิบสองตระกูล และวันหนึ่งขณะที่ "พ่านฮุ่ง" ออกล่าสัตว์ได้ถูกสัตว์ตัวหนึ่งฆ่าตาย พระจักรพรรดิจึงได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นกษัตริย์พ่านว่าง กษัตริย์พ่านเป็นทั้งบรรพบุรุษคนแรกของเย้าและเป็นเทพยาดาที่คอยช่วยเหลือบุตรหลานเย้าทุกเมื่อตามที่พวกเขาต้องการ (หน้า 9) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เย้ากลุ่มต่างๆ ที่อพยพเข้าสู่ดินแดนหรือประเทศที่มีความแตกต่างกันทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่เกิดขึ้นตามเวลาที่เปลี่ยนไป แต่พวกเขายังคงเป็นเย้าเหมือนกันด้วยชื่อเรียกเย้าเมี่ยนและเย้ามุน แต่ชื่อเรียกนี้ถูกตั้งขึ้นโดยคนอื่นที่ไม่ใช่เย้า สำหรับเย้าเมี่ยนแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้หลายกลุ่ม เช่น กว๋อซาน เจียนโถว หงโถว ต้าปาน โลกางและเย้าอิ้วเมี่ยน ซึ่งมีภาษาพูดใกล้เคียงกับภาษาเมี่ยน (หน้า 15) การเรียกชื่อในแต่ละท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับรูปแบบของเสื้อผ้า และถิ่นที่อยู่ ตัวอย่างเช่นเย้าแดง เย้าจินผิง เย้าโพกหัวสีแดง (เย้าฮัวโถว) เย้าควานซาง (เย้ากางเกงสีขาว) เย้าควานเช็ด (เย้ากางเกงคับ) ซอนจ๋าว (เย้าใช้ขี้ผึ้งทาผม) จ๋าวเตียน (เย้าห้อยเหรียญ) การเรียกชื่อเหล่านี้พบว่ามีหลายภาษาและสำเนียงเนื่องจากว่าเย้าอาศัยอยู่ช่วงต่อระหว่างชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ หลายกลุ่มในประเทศที่ตนอาศัยอยู่ จึงใช้คำเรียกตามความหมายของตนเอง (หน้า 17) สำหรับเย้ากลุ่มกิมเมี่ยน จะมีเอกลักษณ์ของกลุ่มตนที่ต่างกันดังนี้ ? เย้าหงโถว ใช้ผ้าพันศรีษะสีดำปักลายและบางคนใช้เครื่องสวมศรีษะทรงกวยสีแดง ? เย้าต้าปานใช้ผ้าโพกศรีษะสีดำปักลาย เย้าแดงใช้ผ้าโพกศรีษะสีแดง ? อิมเมี่ยน/หงโถว/จินผิง/เย้ามานเด็น ใช้ผ้าโพกศรีษะ (บางครั้งปักลาย) (หน้า 18) ? กัมเมี่ยนกลุ่มที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ได้แก่กัม/เย้าเก็มเมี่ยน เย้าเซียวปานและปานจ๋าวเตียน ชาวเวียดนามรู้จักเย้ากลุ่มนี้ว่ากลุ่ม "ห้อยเหรียญ" ผู้ชายและผู้หญิงใช้เหรียญ 6-7 อันห้อยลงมาจากด้านหลังของคอเสื้อเป็นตัวแทนขวัญของพวกเขา เย้ากลุ่มนี้พูดภาษากัมเมี่ยน (หน้า 20) ? เย้าเมี่ยนในประเทศไทยและประเทศลาว เย้ากลุ่มนี้อาศัยอยู่ทางเหนือสุดของประเทศลาวในเขตบ้านห้วยทราย เมืองสิงห์ หลวงน้ำทา อุดมชัยและพงสาลีกับทางใต้ของหลวงพระบางแถบตะวันตกของชัยบุรี และบริเวณตะวันออกของเชียงขวาง สงครามช่วง ค.ศ.1960 และ 1970 มีกลุ่มเย้าอิ้วเมี่ยนจำนวนมากอพยพเข้าสู่ประเทศไทย บางส่วนยังคงอยู่ที่เดิมและบางส่วนไปอยู่ที่ค่ายอพยพก่อนที่จะไปตั้งถิ่นฐานที่ประเทศตะวันตก การตั้งถิ่นฐานในช่วงแรก (ปลายคริสต์ศวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศวรรษที่19) คงเป็นเย้าอิ้วเมี่ยนที่อพยพมาจากบริเวณสิบสองปันนาในมณฑลยูนนานพร้อมกับกลุ่มเย้าต้าปานที่มาจากตอนใต้ของมณฑลยูนนานที่แต่งกายแตกต่างกันหรือเย้ากิมเมี่ยนที่มาจากบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนามและกลุ่มกิมมุน/เย้าหลานเตียนฉาที่มาจากบริเวณเดียวกันพร้อมกับกลุ่มอื่นๆที่มาจากเมืองล่า ภายหลังมีเย้าจากมณฑลกวางตุ้งหรือมณฑลกวางสีหรือภาคเหนือของประเทศเวียดนามซึ่งมีขนบธรรมเนียมและการแต่งกายที่แตกต่าง ผู้อพยพเหล่านี้ได้รับคำแนะนำจากเย้าในท้องถิ่นให้ผสมผสานวัฒนธรรมของตนเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อให้กลมกลืนกับเย้าต้าปานและหลานเตียนฉาที่อยู่ในท้องถิ่น ดังนั้นจึงไม่มีเย้ามุนและเย้าฮัวโถวในประเทศลาวและประเทศไทย (หน้า 21) สำหรับเย้าที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา รวมทั้งทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ประชากรส่วนใหญ่เป็นเย้าอิ้วเมี่ยน โดยเย้าในวัยหนุ่มสาวสามารถผสมกลมกลืนตนเองให้เข้ากับสังคมใหม่ได้ง่ายกว่าคนรุ่นเก่าที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้ มีการปรับขนบธรรมเนียมประเพณีบางส่วนแต่เย้ายังคงภูมิใจกับการเป็นคนเย้า (หน้า24) เย้าจะยึดมั่นในสายแซ่สกุลเพื่อรักษาเอกลักษณ์ของตนไว้ การแบ่งกลุ่มย่อยเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับสายแซ่และข้อกำหนดในการแต่งงานของแต่ละชุมชน มีการแต่งงานกับคนต่างเผ่า มีการรับเอาคนเย้าและคนที่ไม่ใช่เย้ามาเป็นบุตรบุญธรรม เย้ามีข้อกำหนดในการสืบสายสกุลและการรับมรดกในสังคมที่มีการสืบสายสกุลทางฝ่ายบิดา การนับถือลัทธิเต๋าของเย้าได้ช่วยรักษาสังคมเย้าไว้ เย้าจะยึดมั่นในความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอย่างเคร่งครัดแต่ขณะเดียวกันก็ปรับตัวให้เข้ากับอิทธิพลโลกภายนอกที่เป็นประโยชน์แก้เย้าเองด้วย (หน้า 30) ผู้หญิงเย้าที่แต่งงาน จะแสดงสถานะของตนผ่านเครื่องประดับและการแต่งกาย เช่น ผู้หญิงเมี่ยนหงโถว ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน เมื่อแต่งงานแล้วจะใช้แถบเงินอันใหญ่ที่ทำมาจากสร้อยเงินเส้นเล็กๆ พันรอบผ้าโพกศรีษะรูปทรงกรวยสีแดง หรือ ผู้หญิงเมี่ยนต้าปานในประเทศลาวที่แต่งงานแล้วจะสวมผ้าโพกศรีษะสีคราม และมีเปียเส้นยาวหลายเส้นที่ขดด้วยเส้นเงินกับสร้อยเงินพันรอบผ้าโพกศรีษะ เป็นต้น (หน้า70) |
|
Social Cultural and Identity Change |
มีเย้าจำนวนหนึ่งเมื่อมาถึงประเทศเวียดนามได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยอาศัยอยู่อย่างถาวรทางภาคเหนือ การอพยพโยกย้ายได้ทำให้เย้ามีความแตกต่างกันในเรื่องประเพณีและพิธีกรรมรวมทั้งสำเนียงภาษาที่ใช้พูดกันในประเทศเวียดนาม (หน้า 14) เย้ามีการคำนึงถึงความอยู่รอดของกลุ่มชาติพันธุ์ จึงได้รับเด็กจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมาเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อเพิ่มจำนวนเด็ก และให้ความเป็นเย้าแก่เด็กเหล่านั้นด้วยการให้การศึกษาอบรม สำหรับเย้าที่อยู่ในประเทศจีนที่รัฐบาลมีการควบคุมประชากรให้แต่ละครอบครัวมีบุตรเพียงคนเดียวก็ได้รับอนุญาตให้มีบุตรได้ 2 คน อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการเพิ่มจำนวนประชากรของเย้า (หน้า 24) |
|
Map/Illustration |
1. หน้ากากกระดาษถิ่นตู ที่เย้าเมี่ยนและเย้าควานเช็ดในเวียดนามใช้สวมใส่ขณะประกอบพิธีกรรม (ปกหน้าด้านใน) 2. ภาพเทพยดาพิพากษาตัดสินความดีความชั่วของมนุษย์หลังความตาย (ปกหลังด้านซ้าย) 3. ภาพไต้ไหว้นายพลทั้งสาม ผู้ปกป้องคุ้มครองมนุษย์จากผีร้าย (ปกหลังด้านขวา) |
|
Text Analyst |
วิริยา วิฑูรย์สฤษฎ์ศิลป์ |
Date of Report |
26 ก.ย. 2567 |
TAG |
เย้าเมี่ยน, เย้ามุน, การอพยพ, ความเชื่อ, พิธีกรรม, เครื่องแต่งกาย, การตั้งถิ่นฐาน, จีน, เวียดนาม, ลาว, ไทย, |
Translator |
มงคล จันทร์บำรุง, สมเกียรติ จำลอง |
|