สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,วัฒนธรรม,ระบบการศึกษา,บูรณาการทางวัฒนธรรม,เชียงราย
Author เสาวลักษณ์ อัศวยิ่งถาวร
Title การศึกษากระบวนการบูรณาการวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอาข่าของนักเรียนชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่าในระดับประถมศึกษา: การศึกษาเฉพาะกรณีนักเรียนชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า บ้านปลายฟ้า อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
สำนักวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Total Pages 320 Year 2545
Source หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาถึงกระบวนการการศึกษาในแบบบูรณาการด้านวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอ่าข่าของนักเรียนไทยภูเขาเผ่าอ่าข่าระดับประถมศึกษา โรงเรียนทอฝัน บ้านปลายฟ้า อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในด้านที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมการดำรงชีพ ภาษา ศาสนา ศิลปะและสังคม และพบว่า ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติและการปฏิบัติตัวของเด็กๆ ต่อวัฒนธรรมอ่าข่า อันมีที่มามาจากวัฒนธรรมจากภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางการศึกษา ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมที่ความเป็นเมืองเข้ามาสู่ชุมชนมากขึ้นเข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของเด็กๆ กลุ่มที่ทำการศึกษามากขึ้นกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขา สำนึกของความเป็นชาติพันธุ์อ่าข่ามีความยืดหยุ่นมากขึ้นระหว่างความเป็นอ่าข่าและความเป็นพลเมืองไทย (หน้า 232,239) อย่างไรก็ตาม การบูรณาการวัฒนธรรมไทยของเด็กชั้นประถมชนเผ่าอ่าข่าบ้านปลายฟ้าไม่ได้เป็นการนำเข้าไปแทนที่วัฒนธรรมอ่าข่าดั้งเดิมทั้งหมด แต่เป็นการรับเข้ามาทดแทนวัฒนธรรมอ่าข่าที่ไม่มีความหมายในชีวิตปัจจุบันแล้ว การบูรณาการทางวัฒนธรรมลักษณะนี้จึงเป็นไปในลักษณะที่ทำให้การดำเนินชีวิตของเด็ก ๆ มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นในโลกปัจจุบันที่วัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามามีบทบาทในกลุ่มชนเผ่าอ่าข่ามากยิ่งขึ้น เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่ายังดำรงอยู่ได้สืบต่อไปและมีความเป็นปึกแผ่น (solidarity) ในชุมชนมากขึ้น (หน้า 247-248)

Focus

ศึกษาถึงกระบวนการบูรณาการวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอ่าข่า ภายใต้บริบทการเรียนรู้วัฒนธรรมไทยในระบบโรงเรียนและการเรียนรู้วัฒนธรรมอ่าข่าในวิถีชีวิตของชุมชนของนักเรียนชาวไทยภูเขาเผ่าอ่าข่าระดับประถมศึกษาในหมู่บ้านปลายฟ้า อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยใช้การวิจัยในเชิงชาติพันธุ์วรรณา (an Ethnographic Study) (หน้า 68) เพื่อให้เห็นถึงกระบวนการบูรณาการทางวัฒนธรรมของเด็กโดยไม่เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรม และสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างมีความสุข (หน้า 6)

Theoretical Issues

ไม่ระบุ

Ethnic Group in the Focus

ชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า (Akha) หรือที่คนไทยทั่วไปรู้จักในชื่อ "อีก้อ" (Ekaw) อาข่าในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ โดยอาศัยความแตกต่างทางภาษาและเครื่องแต่งกายเป็นเกณฑ์ ได้แก่ กลุ่มอู่โล้อาข่า กลุ่มลอมิอาข่า และกลุ่มผาหมีอาข่า (หน้า 4) อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้เขียนคำเรียกชนเผ่านี้ว่า "อ่าข่า" เนื่องจากเป็นการเทียบสำเนียงเสียงพูดที่ใกล้เคียงกับการเรียกตนเองของชนเผ่ามากที่สุด โดยเป็นสำเนียงจากเขตสิบสองปันนา ในมณฑลยูนานของประเทศจีน (หน้า 36)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาของอ่าข่าเป็นภาษาพูดที่อยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต กลุ่มธิเบต-พม่า ในกลุ่มย่อยของชนชาติโลโล หรือโนซู มี 3 รากฐานภาษา ได้แก่ JEV GOC (โจโก่ว) หรือที่ชาวฉานเรียกว่า Puli ซึ่งใช้กันเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ก็มี A JAW (อาจอ) และ A KUI (อาเคอะ) ภาษาอ่าข่ามีการออกเสียงพยางค์เดียว มีเสียงสูงต่ำและมีพยัญชนะสุดท้ายออกเสียงควบกล้ำ คำศัพท์บางคำเป็นการยืมจากภาษาอื่น เช่น ภาษาจีน ภาษาพม่า ภาษาไทยใหญ่ และภาษาไทยภาคเหนือ ในภาษาอ่าข่าเป็นภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2512 ได้มีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศพม่านำอักษรโรมันมาใช้เขียนเทียบภาษาอ่าข่าโดยเติมเครื่องหมายอักขระพิเศษ เพื่อสะกดในการออกเสียง และเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายนับแต่นั้น จนถึงปี พ.ศ. 2534 สมาคมเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมอ่าข่า จ. เชียงราย ก็ได้พัฒนาภาษาเขียนขึ้นใหม่เพื่อให้สามารถใช้กับเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้

Study Period (Data Collection)

ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการเป็นหลัก โดยใช้ระยะเวลาในการเก็บรวมรวมข้อมูล 6 เดือน (หน้า 7) แบ่งเป็นการศึกษาสภาพของชุมชนและโรงเรียน และเก็บข้อมูลภาคสนามโดยการสังเกต สัมภาษณ์รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นระยะเวลา 4 เดือน ซึ่งแบ่งย่อยออกมาเป็น 2 ช่วง ครั้งแรกเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2545 เป็นเวลา 2 เดือน เพื่อศึกษาสภาพโดยทั่วไปรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสภาพชุมชนและโรงเรียน ต่อมาเป็นการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมเด็กเมื่ออยู่บ้านและที่โรงเรียน เป็นเวลาอีก 2 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 และเก็บข้อมูลภาคสนามเพิ่มเติมครั้งที่ 2 เป็นระยะเวลา 2 เดือน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 (หน้า 10, 74)

History of the Group and Community

เชื่อกันว่าชนเผ่าอ่าข่าสืบเชื้อสายมาจากชนชาติโลโลที่อยู่บริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีน เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ลีซอ (Lisu) และมูเซอ (Lahu) และมีภาษาพูดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต กลุ่มธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman Speaking) ในกลุ่มย่อยโลโล (Loloish) ถิ่นฐานเดิมของอ่าข่าอยู่ในพื้นที่ภูเขาสูงบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ แถบมณฑลยูนนาน ประเทศจีน รวมทั้งในแคว้นสิบสองปันนาและมณฑลไกวเจา ซึ่งแต่เดิมเป็นอาณาจักรอิสระที่อยู่บริเวณต้นน้ำไท้ฮั่วสุย แต่ถูกชนชาติอื่นเข้ารุกรานจนต้องถอยร่นลงใต้สู่แคว้นเชียงตุง ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า แคว้นหัวโขงและแคว้นพงสาลีที่อยู่ทางตะวันตกและทางเหนือของประเทศลาวตามลำดับ, และทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองไล หรือไลเจาของเวียดนาม เรื่อยมาจนถึงจังหวัดเชียงรายซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของประเทศไทย (หน้า 36-37) "อู่โล้อ่าข่า" หรืออ่าข่าไทย เป็นอ่าข่ากลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยบริเวณใกล้สามแยกทางไปดอยแม่สลอง จากนั้นก็มีอ่าข่าอีกกลุ่มหนึ่งอพยพเข้ามาในเขตดินแดนไทยทางสันดอยตุงตามหลังกลุ่มแรกไม่นาน ได้แก่ "ลอมิอ่าข่า" หรืออ่าข่าพม่า โดยอ่าข่ากลุ่มนี้ตั้งหมู่บ้านที่บ้านผาหมี ในเขตดอยตุง อ่าข่ากลุ่มที่สามซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย คือ "ลาบืออ่าข่า" หรือผาหมีอ่าข่า ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก โดยเข้าไปอยู่อาศัยแทนที่กลุ่มลอมิอ่าข่าที่ได้ย้ายไปอยู่ยังพื้นที่อื่น ๆ ในเขตอำเภอแม่จัน (หน้า 38) สำหรับอ่าข่าบ้านปลายฟ้าประกอบไปด้วยกลุ่มอ่าข่า 3 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลเชอหมือกู่ (อ่าข่ากลุ่มอู่โล้อ่าข่า) ตระกูลเบี่ยงกากู่ (อ่าข่ากลุ่มลอมิอ่าข่า) และตระกูลหม่อโป๊ะกู่ (อ่าข่ากลุ่มผาหมีอ่าข่า) เดิมมีถิ่นฐานอยู่ที่บ้านป่าละ ในแคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน โดยอพยพเข้ามายังดินแดนไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2458 แต่ก็ไม่ได้เป็นการอพยพโยกย้ายเข้ามายังประเทศไทยโดยตรง เพราะก่อนหน้านั้นตระกูลหม่อโป๊ะกู่ ลงมาถึงแค่ประเทศลาว ส่วนตระกูลเชอหมือกู่ และตระกูลเบี่ยงกากู่แยกไปทางประเทศพม่า ต่อมาจึงได้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยผ่านทางเขตอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (หน้า 106-107) กลุ่มอ่าข่าตระกูลเบี่ยงกากู่ และตระกูลเชอหมือกู่ เป็น 2 กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย มีนายแสนบรรพต เชอหมือเป็นผู้นำของกลุ่มอ่าข่าทั้งสองกลุ่ม ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 กลุ่มอ่าข่าตระกูลหม่อโป๊ะกู่ก็ได้อพยพตามมา ภายใต้การนำของนายเคอฉ่ะ ปัจจุบันบ้านปลายฟ้ามีนายชาญยุทธ รุ่งทวีพิทยากูล (อาโย หม่อโป๊ะกู่) เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 4 ของหมู่บ้าน (หน้า 107-108)

Settlement Pattern

อ่าข่ามักสร้างบ้านเรือนอยู่บนดอยสูงที่มีระดับความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 3,000-4,000 ฟุตจากน้ำทะเล และเป็นดอยลูกกลางซึ่งแวดล้อมด้วยดอยสูงจึงจะทำให้ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข พื้นที่ของหมู่บ้านต้องมีความกว้างขวางสำหรับเป็นที่เล่นของเด็กๆ และเป็นสถานที่ชุมนุมหรือประกอบพิธีกรรมของชาวบ้าน ทั้งนี้ต้องไม่ตั้งห่างไกลจากหมู่บ้านมากนัก และจะต้องมีป่าอยู่โดยรอบเพื่อสะดวกในการหาอาหารและไม้ฟืนจากป่า ที่สำคัญคือหมู่บ้านของอ่าข่าต้องอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ เพราะไม่นิยมต่อรางน้ำเข้ามาใช้ในหมู่บ้าน เนื่องจากมีความเชื่อว่าผีน้ำอาจนำอันตรายเข้าสู่หมู่บ้านได้ บุคคลสำคัญของหมู่บ้าน ได้แก่ หัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าพิธีกรรมของหมู่บ้าน ช่างตีเหล็ก และผู้อาวุโสจะเป็นผู้เลือกทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านโดยใช้พิธีกรรมเสี่ยงทายขอสถานที่จากผีเจ้าที่ ปัจจุบันนิยมใช้วิธีการดูกระดูกขาไก่ ถ้ามีรูก็เชื่อกันว่าดี โดยปกติแล้วในการตั้งหมู่บ้าน บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านต้องตั้งอยู่สูงที่สุดและอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน โดยมีบ้านของลูกบ้านปลูกเรียงรายสลับกันไปตามไหล่เขา ทางเข้าหมู่บ้านด้านตะวันตกและด้านหลังหมู่บ้านทางทิศตะวันออก จะมีประตูซึ่งสร้างตามความเชื่อของอ่าข่า เรียกว่า "ประตูคุ้มครองหมู่บ้าน" (ล้อข่อง) และจะต้องสร้างนี้เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี บ้านเรือนของอ่าข่าส่วนใหญ่ปลูกยกพื้นมีเสา ด้านหน้าของบ้านตั้งบนเสา ฝาทำด้วยไม้หรือไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าคา หน้าบานมีชานยื่นออกมาสำหรับนั่งเล่นหรือทำงานเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านแบ่งเป็น 2 ส่วน สำหรับผู้ชายและผู้หญิง แต่ละส่วนจะมีเตาไฟเป็นของตนเอง ประตูหน้าบ้านเป็นประตูผู้ชาย ส่วนประตูด้านหลังเป็นประตูผู้หญิง (หน้า 45) พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านแบ่งเป็นส่วนที่ทำงานหรือสำหรับแขก และเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว ภายในบ้านมีเสาเอกซึ่งทำเป็นหิ้งบูชาผีบ้าน อยู่ตรงหัวนอนของเจ้าบ้าน นอกจากนี้ อาจยังมีบ้านหลังเล็กๆ อยู่ด้านหลังสำหรับบุตรชายและสะใภ้ที่ยังไม่ออกเรือน เพราะประเพณีอ่าข่าจะไม่ยอมให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบ้านร่วมหลับนอนบนบ้านหลังใหญ่เด็ดขาด ภายในบ้านและหมู่บ้านของอ่าข่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายอย่าง เนื่องจากวิถีชีวิตของอ่าข่าทั้งด้านขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี และวัฒนธรรมมีความเกี่ยวพันกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งใดที่ผิดธรรมชาติถือว่าเป็นการผิดผี เป็นอัปมงคล จึงต้องมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญของชุมชน เช่น ประตูคุ้มครองหมู่บ้าน, ชิงช้า (หละเฉ่อ), ลานวัฒนธรรม (แดขว่อง), ศาลพระภูมิเจ้าที่ (มี้ซ้อง), บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (อี๊ซ้อล้อเขาะ) และป่าช้า (หล่อบยุ้ม) ในขณะที่ภายในบ้านจะมีศาลขวัญข้าว หิ้งผีบรรพบุรุษที่ถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ และห้องนอนฝ่ายหญิงเป็นที่หวงห้าม (หน้า 46-48) สำหรับบ้านเรือนของอ่าข่าบ้านปลายฟ้า จะสร้างตามแนวยาวของถนน (หน้า 109) ทางเข้าหมู่บ้านมีประตูคุ้มครองหมู่บ้านตั้งอยู่ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน นอกไปจากการตั้งบ้านเรือนเป็นระยะตามเส้นทางสัญจรที่เป็นถนนลาดยางตัดเข้าหมู่บ้านแล้ว ก็ปรากฏสถานที่สำคัญประจำหมู่บ้าน ได้แก่ โรงเรียนทอฝัน โรงเรียนระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ประจำหมู่บ้าน สถานีอนามัย ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมอ่าข่า ซึ่งใช้พื้นที่อาคารห้องสมุดและห้องแนะแนวของโรงเรียน ลานกีฬาต้านภัยยาเสพติด ศาลาอเนกประสงค์ ใช้เป็นที่ประชุมชาวบ้านและประกอบพิธีกรรมต่างๆ สหกรณ์ร้านค้า ศาลาพักร้อนชื่อ "คุ้มกระทิงแดง" เป็นหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ป้อมตรวจการณ์อาสาสมัครป้องกันยาเสพติด ศูนย์ข้อมูลบ้านปลายฟ้า และลานวัฒนธรรมประจำหมู่บ้าน (หน้า 111-112) จะเห็นได้ว่าสถานที่สาธารณะภายในหมู่บ้านนั้นมีทั้งสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประจำวันของชาวบ้านในหมู่บ้านปลายฟ้า และสถานที่ปฏิบัติงานของภาครัฐปะปนอยู่ภายในหมู่บ้านด้วย

Demography

อ่าข่าบ้านปลายฟ้าได้รับการเปลี่ยนแปลงสัญชาติจากสัญชาติอีก้อมาเป็นสัญชาติไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 และมีการใช้ชื่อ-นามสกุลไทยนับแต่นั้นมา ภายในหมู่บ้านประกอบด้วยบ้านเรือนจำนวน 83 หลังคาเรือน แบ่งย่อยเป็น 126 ครัวเรือน มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 455 คน เพศชาย 227 คน และเพศหญิง 218 คน สมาชิกโดยเฉลี่ยครอบครัวละ 4 คน สมาชิกในบ้านมี 3 ช่วงอายุ ประชากรเหล่านี้อาศัยอยู่รวมกันภายในพื้นที่หมู่บ้าน 4,800 ไร่ (หน้า 113 และ 241) สำหรับประชากรกลุ่มที่ทำการศึกษาเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาภายในโรงเรียนทอฝัน มีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 93 คน เป็นนักเรียนชาย 42 คน นักเรียนหญิง 51 คน แบ่งเป็นนักเรียนชาวไทยภูเขาเผ่าอ่าข่า 90 คน และเป็นนักเรียนชาวไทยใหญ่ 3 คน (หน้า 82)

Economy

เนื่องจากว่าพื้นที่ของหมู่บ้านปลายฟ้าเป็นที่ดินในพื้นที่ป่าไม้สงวนแห่งชาติ เขตป่าไม้ดอยนางนอน การครอบครองที่ดินจึงเป็นลักษณะของการได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิ์ทำกินชั่วคราว สิทธิการครอบครองดังกล่าวเป็นของผู้ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้และทายาทโดยชอบธรรม พื้นที่สำหรับทำกินนี้มีจำนวน 1,109 ไร่ 3 งาน จากพื้นที่หมู่บ้านทั้งหมด 4,800 ไร่ แต่เดิมนั้นชาวบ้านหมู่บ้านปลายฟ้ามีระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ คือ ทำการเกษตรเพาะปลูก - เลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภคในครัวเรือน เนื่องจากไม่มีการติดต่อกับสังคมภายนอก ระบบเศรษฐกิจจึงเป็นแบบพึ่งพาตนเอง แต่ในปี พ.ศ. 2531 การสร้างเส้นทางเดินลูกรังและการเข้ามาดำเนินงานของโครงการพัฒนาดอยตุง ทำให้ชาวบ้านเริ่มติดต่อกับชุมชนภายนอกมากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการบริโภค มีการรับวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาภายในหมู่บ้าน ขณะเดียวกันผลิตผลของหมู่บ้านก็แพร่หลายสู่ภายนอก ปัจจุบันการผลิตทางการเกษตรจึงได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่เชิงพาณิชย์ พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงทำการเพาะปลูกเฉพาะพืชเศรษฐกิจที่ขึ้นชื่อเท่านั้น เช่น กาแฟ ลิ้นจี่ และส้มเขียวหวาน และการเลี้ยงสัตว์ประเภท ไก่ หมู และวัว (หน้า 116-117, 119) การหาเลี้ยงชีพของอ่าข่าในหมู่บ้านปลายฟ้าจึงขึ้นอยู่กับการเกษตรและการค้าขายเป็นหลัก

Social Organization

สังคมอ่าข่ามักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและเป็นครอบครัวใหญ่ ในครัวเรือนหนึ่งจะมีหลายครอบครัวอยู่รวมกันและเป็นครัวเรือนที่ขยายทางฝ่ายบิดา ทำให้เน้นความสำคัญของฝ่ายชายมาก ตลอดจนถึงการมีบุตรชายเพื่อสืบสกุล และการห้ามแต่งงานกับคนในสกุลเดียวกัน การรักษาสกุลเป็นหน้าที่สำคัญของบุตรชายโดยเฉพาะบุตรชายคนโตที่ต้องจดจำสายสกุลของตนเองให้แม่นยำ เพราะเกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่องขวัญของผู้ตายที่ต้องไปอยู่ตามสกุลนั้น ๆ รวมไปถึงการขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผีบรรพบุรุษประจำตระกูลด้วย ระบบเครือญาติของอ่าข่าจึงได้ก่อให้เกิดความผูกพันต่าง ๆ ขึ้นหลายประการ คือ ความเกี่ยวพันกับผีบรรพบุรุษ พิธีกรรมและการสืบสกุล ฝ่ายหญิงเมื่อแต่งงานแล้วต้องหันไปถือสกุลของฝ่ายชาย และขาดจากสกุลเดิมโดยสิ้นเชิง แม้จะหย่าร้างก็กลับไปใช้สกุลของบิดาไม่ได้ การลำดับญาติของอ่าข่าจึงมีความโดดเด่นกว่าชนเผ่าอื่น เพราะผู้ชายเมื่อถึงวัยมีครอบครัวต้องจดจำสายตระกูลฝ่ายบิดาย้อนขึ้นไปถึงประมาณ 50 ชื่อ ในขณะที่ผู้หญิงจดจำเพียงแค่ 5 ชั่วรุ่นเท่านั้น (หน้า 52-53) การให้ความสำคัญกับเพศชายนอกเหนือไปจากการสืบสกุลแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและการได้รับสิทธิพิเศษทางการมีอำนาจในการตัดสินใจภายในครอบครัวอีกด้วย ภายในครอบครัวของอ่าข่าบ้านปลายฟ้า ผู้ชายจึงเป็นผู้นำและผู้หญิงเป็นผู้ตาม เพราะฝ่ายชายเป็นผู้สืบต่อระหว่างอดีตกับอนาคตของครอบครัว ทั้งนี้ บุคคลต่าง ๆ ในครอบครัวจะมีความผูกพันแน่นแฟ้นต่อกัน ในรูปแบบภรรยาเคารพสามี บุตรเคารพบิดามารดา และน้องเล็กเคารพพี่ใหญ่ (หน้า 219-220) ส่วนใหญ่แล้วครอบครัวของอ่าข่าประกอบด้วยสมาชิก 3 ช่วงอายุ คือ รุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก และรุ่นหลาน แต่ปัจจุบัน แนวโน้มการเป็นครอบครัวเดี่ยวของบ้านปลายฟ้าขยายจำนวนมากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกครอบครัวจะมีสถานภาพการสมรสที่ถูกต้องตามหลักพิธีกรรมทางศาสนาของอ่าข่า แต่ไม่นิยมการจดทะเบียนสมรส เพราะชาวบ้านเชื่อว่าพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งเป็นแบบแผนจารีตประเพณีที่ชนเผ่าของตนได้กำหนดขึ้น เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์กว่าการจดทะเบียนสมรส (หน้า 113)

Political Organization

ระบบการปกครองของหมู่บ้านปลายฟ้าเป็นการผสมผสานระหว่างการปฎิบัติตามขนบธรรมเนียมเดิมของชนเผ่า และเป็นไปตามกลไกการปกครองของภาครัฐบาล คือ 1. การปกครองโดยผู้นำทางศาสนา (หรือผู้นำทางวัฒนธรรม) ภาษาอ่าข่าเรียกว่า "เจ่วมา" เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของหมู่บ้าน มีหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมของชุมชนทุกพิธีกรรมและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมของชุมชนให้คงอยู่สืบไป ตลอดจนการรักษากฎระเบียบของหมู่บ้านให้มีความสงบเรียบร้อย มีการตัดสินคดีร่วมกับคณะผู้อาวุโสของหมู่บ้าน การรับตำแหน่งผู้นำทางศาสนานั้น ต้องสืบเชื้อสายมาจากผู้นำคนก่อน ๆ โดยปกติจะเป็นลูกชายคนโต แต่หากไม่มีบุตรชายต้องเป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุด (หน้า 54, 115) 2. การปกครองโดยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานของราชการ รวมทั้งเป็นผู้ช่วยเหลือและแจ้งข่าวสารในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐให้ลูกบ้านได้รับทราบ กฎระเบียบที่ใช้ในหมู่บ้านปลายฟ้าก็มี 2 ลักษณะเช่นกัน คือ กฎหมายไทย และกฎของอ่าข่า โดยกฎของอ่าข่านี้เป็นกฎหมายที่ทั้งควบคุมทางสังคมและทางจิตวิญญาณด้วย การกระทำที่ผิดกฎอ่าข่าจะมีผู้นำทางศาสนาและกลุ่มผู้อาวุโสเป็นผู้ตัดสิน ในขณะที่ผู้ใหญ่บ้านจะคอยดูแลการรักษากฎหมายไทย นอกจากนี้การควบคุมสังคมชุมชนบ้านปลายฟ้าในระบบผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบันเป็นไปในรูปของคณะกรรมการบริหารงานในหมู่บ้าน โดยแบ่งเป็น 10 ฝ่าย คือ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายป้องกัน ฝ่ายที่ปรึกษา ฝ่ายการเงิน ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายการศึกษา ฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายเยาวชน ฝ่ายสวัสดิการ และฝ่ายแม่บ้าน นอกจากนี้แล้ว ภายในหมู่บ้านยังได้แบ่งการปกครองย่อยออกเป็น 6 คุ้ม คือ คุ้มช้างเผือก คุ้มมาลาย คุ้มนกยูง คุ้มกระทิงแดง คุ้มอินทรี และคุ้มสิงห์โต ซึ่งทำให้สะดวกและง่ายต่อการควบคุมลูกบ้านมากขึ้น (หน้า 115-116)

Belief System

ความที่ชนเผ่าอ่าข่าบ้านปลายฟ้า มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ต้องมีการพึ่งพาธรรมชาติอย่างเบ็ดเสร็จ ชีวิตความเป็นอยู่จึงขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ ความเหมาะสมของดิน น้ำ และอากาศ ซึ่งส่งผลต่อคติความเชื่อทางศาสนาของอ่าข่า อ่าข่าเชื่อกันว่า "อะเพ่วหมี่แย" เป็นเทพเจ้าสูงสุดของอ่าข่า โดยเป็นชื่อเรียกรวมของเทพ 3 องค์ของอ่าข่า คือ เทพเจ้าอึ่มแย้ เป็นเทพผู้สร้างน้ำฝน เทพเจ้าอึ่มซ้า เทพผู้สร้างท้องฟ้า และเทพเจ้าจาบีหล่อง เทพผู้สร้างแผ่นดิน เทพเจ้าสูงสุดยังเป็นผู้สร้างมนุษย์โดยนำส่วนประกอบต่างๆ ของธรรมชาติมารวมกัน และยังเชื่อว่าคนและผีมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ผีของอ่าข่ามี 2 ประเภท คือ ผีภายนอกที่เป็นผีร้าย และผีภายในที่มีหน้าที่คอยปกป้องลูกหลาน นอกจากนี้ อ่าข่าบ้านปลายฟ้ายังเชื่อเรื่องวิญญาณอีกด้วย สำหรับผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของอ่าข่าบ้านปลายฟ้านั้น ประกอบไปด้วย ผู้นำศาสนา หมอผี และคนทรง การประกอบพิธีกรรมของผู้นำศาสนา หมอผี และคนทรงเป็นการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับคนเป็น (แดะย้อง) และคนตาย (ซี้ย้อง) โดยทั่วไปแล้ว ประเพณีและพิธีกรรมที่สำคัญทางศาสนาของอ่าข่าบ้านปลายฟ้าแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เป็นการทำบุญและมีงานรื่นเริง มีทั้งหมด 21 พิธีกรรม แบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ 1.1 พิธีกรรมระดับครัวเรือน ได้แก่ พิธีแช้จี้ชีเออ (เก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว) ประเพณีแช้คาอะเพ่วล่อเออ (ปลูกข้าวต้นแรก) ประเพณีขึ่มผี่ล่อเออ (บูชาเจ้าที่ไร่ข้าว) พิธียาจิจิอ่ะเพ่วล่อเออ (ถอนขนไก่) พิธีแจบ๊องล่อเออ (จับตั๊กแตน) ประเพณีห่อสึจ่าเออ (กินข้าวใหม่) พิธีแช้สึจี้บ่าชิล่อเออ (บูชาพันธุ์ข้าวใหม่) และพิธีบ่องเยวแปยะเออ (เกี่ยวข้าวครั้งสุดท้าย) 1.2 พิธีกรรมระดับชุมชน ได้แก่ พิธีหมี่จ่าเข่อหมี้ลองเออ (อยู่กรรมไม่จุดไฟ) ประเพณีขึ่มสึขึ่มมี้ล่อเออ (ปีใหม่ชนไข่) พิธีล้อคองดู่เออ (สร้างประตูคุ้มครองหมู่บ้าน) พิธีค๊าด่าฉี่ล่อเออ (ถวายสังฆทานให้สิ่งชั่วร้าย) พิธีมี้ซ้องล่อเออ (สร้างและบูชาศาลพระภูมิเจ้าที่) พิธีบู้เด้แจ๊ะลองเออ (ไว้อาลัยสัตว์) พิธีเบ่วโกะล่อเออ (จับด้วงดิน) ประเพณีแย้ขู่อะเพ่วล่อเออ (โล้ชิงช้า) พิธีจอลาอะเพ่วล่อเออ (เชิดชูอดีตผู้นำ) พิธีแซ้ยลองเออ (อยู่กรรมวันแซ้ย) พิธีกะลองเออ (อยู่กรรมวันหมู) ประเพณีค๊องแย๊ะแย๊ะเออ (ไล่ผี) และประเพณีค๊าท๊องผ่าเออ (ปีใหม่ลูกข่าง) 2. ประเพณีและพิธีกรรมอันเกี่ยวข้องกับชีวิต เป็นพิธีที่เกิดจากคนแต่ละคนที่ผ่านภาวะแต่ละช่วงแห่งวงจรชีวิต มี 4 พิธี ได้แก่ พิธีแดะเลเออย้อง (เกิด) พิธีหนะซี้กะกอย้อง (เจ็บไข้ได้ป่วย) พิธีอุ้มบะย้อง (แต่งงาน) และพิธีซี้ย้อง (ศพ) สำหรับในรอบ 1 ปี อ่าข่ามีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและหมู่บ้านที่สำคัญๆ 9 พิธี คือ พิธีปีใหม่ พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ พิธีหุ่มมิ้ พิธีทำประตูคุ้มครองหมู่บ้าน พิธียะอุผิ พิธีเซ่นผีบ่อน้ำ พิธีโล้ชิงช้า พิธีส่งผี และพิธีกินข้าวใหม่ (หน้า 56-57, 152-176, 244)

Education and Socialization

การเล่าขานสืบต่อกันมา ถือเป็นกฎเกณฑ์กระบวนการเรียนรู้ของอ่าข่าบ้านปลายฟ้าในการดำรงอยู่และการสืบทอดเผ่าพันธุ์ การเรียนรู้ของเด็กอ่าข่าบ้านปลายฟ้าเป็นการยึดถือหลักภูมิปัญญาชาวบ้านผ่านการปฏิบัติและการจดจำ กลวิธีการสอนและการเรียนรู้เริ่มตั้งแต่ภายในบ้าน โดยมีครูผู้สอนเป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ผู้อาวุโส และผู้มีภูมิความรู้ในหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้อาวุโสของหมู่บ้านเป็นผู้มีความสำคัญที่สุดในการถ่ายทอดความเป็นมาของเผ่าพันธุ์ และการดำรงอยู่ให้อ่าข่ารุ่นหลังได้ปฏิบัติสืบมา (หน้า 122) แต่สำหรับอ่าข่าบ้านปลายฟ้าส่วนใหญ่ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ก็ได้รับการศึกษาตามระบบนอกเหนือไปจากความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาของเผ่าพันธุ์ เนื่องจากทางภาครัฐได้จัดให้มีการศึกษาภาคบังคับขึ้นในหมู่บ้านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา ทำให้อ่าข่าบ้านปลายฟ้ามีความรู้ภาษาไทยในระดับที่สื่อสารได้ และผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความตื่นตัวและให้ความสำคัญต่อการศึกษา โดยการสนับสนุนให้ลูกหลานได้เข้าสู่ระบบโรงเรียนเพื่ออนาคตที่ดีในการประกอบอาชีพ (หน้า 114-115)

Health and Medicine

อ่าข่าเชื่อว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเกิดจากขวัญออกจากร่างไปท่องเที่ยวและถูกผีจับไว้ หมอผีจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้เรียกขวัญที่ไปท่องเที่ยวให้กลับคืนมาจนครบ 12 ขวัญ นอกจากนี้ คนทรง หรือ หยี้ผะ ก็มีหน้าที่หาสาเหตุและรักษาอาคารเจ็บป่วยเช่นกัน มักเป็นอาการเจ็บป่วยที่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากวิญญาณ โดยคนทรงจะเป็นผู้ติดต่อกับวิญญาณดังกล่าว (หน้า 55-56) การรักษาอาการป่วยไข้ได้เจ็บก็มีการใช้ยาสมุนไพรควบคู่ไปกับการเป่าปัดรักษาโดยหมอผี แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการรักษาแบบการแพทย์แผนใหม่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญแล้วก็ตาม เห็นได้จากการมีสถานีอนามัยอยู่ภายในพื้นที่ของหมู่บ้าน แต่หมอผีและหมอยาสมุนไพรก็ยังเป็นบุคคลสำคัญในการรักษาโรคของอ่าข่าบ้านปลายฟ้าเช่นเดิม (หน้า 62) ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ที่เข้าศึกษาในโรงเรียนทอฝัน จะได้รับการปลูกฝังให้มีการรักษาสุขภาพตามโครงการส่งเสริมสุขภาพของโรงเรียน เพื่อให้เด็กมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง รักการออกกำลังกาย ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการอาหารกลางวัน โครงการน้ำดื่มเสริมไอโอดีน โครงการยิ้มสวย และโครงการแข่งขันกีฬาสีภายในโรงเรียน (หน้า 94-95)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

งานศิลปหัตถกรรมของอ่าข่าตามที่ปรากฏในการศึกษานี้ ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความเชื่อทางศาสนา ได้แก่ ประตูคุ้มครองหมู่บ้านซึ่งสร้างด้วยท่อนไม้ใหญ่ 2 ต้น ทำเป็นเสารองรับท่อนไม้อีก 1 ท่อนที่พาดอยู่ด้านบน และยังประกอบไปด้วยงานแกะสลักไม้รูปสัตว์ 3 ชนิด คือ นกฮูก กา และนกแซงแซว เชื่อกันว่านกทั้ง 3 ชนิดนี้จะคอยเตือนภัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ก็ยังมีการแกะสลักรูปตุ๊กตาชายหญิงให้เป็นเหมือนเทพารักษ์คอยเฝ้าดูแลรักษาประตูแห่งนี้ รวมถึงชาวบ้านในหมู่บ้านด้วย ตุ๊กตาเพศหญิง เรียกว่า "ล้อข่องหย่าหมี่ข่องโต๊ะแจม้อง" ส่วนตุ๊กตาเพศชาย เรียกว่า "ล้อข่องหย่าโยบ๊องเจ่อ" ซึ่งได้รับการเคารพนับถือจากชาวบ้านเป็นอย่างมาก (หน้า 45-47) ลานวัฒนธรรมเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สามารถศึกษาศิลปะการแสดงของอ่าข่าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นแหล่งที่อ่าข่าบ้านปลายฟ้าใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและถ่ายทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี มากมายหลายรูปแบบ เช่น การร้องเพลง การเป่าแคน การเป่าขลุ่ย การเป่าใบไม้ เป็นต้น การแต่งกายของอ่าข่านับเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุที่สามารถเห็นได้ชัดเจนที่สุดสำหรับบุคคลภายนอก เสื้อผ้าของอ่าข่ามักทำจากผ้าทอที่ทอเองจากฝ้าย ย้อมเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือดำ ด้วยสีย้อมผ้าที่ได้จากพืชและเปลือกไม้ (หน้า 49) หญิงอ่าข่าจะเป็นผู้ทอผ้าและตัดเย็บสำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัว โดยใช้เวลาว่างจากการทำงานประจำวัน เครื่องแต่งกายหญิงอาข่า ประกอบด้วย หมวก เสื้อชั้นนอก เสื้อตัวใน กระโปรง ผ้าแถบกระโปรง เข็มขัด และถุงน่องพร้อมสายรัด นอกจากนั้น แล้วยังประกอบด้วยเครื่องประดับซึ่งทำจากเงิน หิน กระดูกสัตว์ และเมล็ดพืชบางชนิด จึงจะถือว่าเป็นการแต่งกายเต็มยศซึ่งจะพบเห็นได้เพียงเฉพาะบางโอกาสที่เป็นวันพิเศษของหมู่บ้านเท่านั้น สำหรับเครื่องแต่งกายชายนั้นไม่มีองค์ประกอบมากเท่าของฝ่ายหญิง มีเพียงแต่หมวกทรงกลมสำหรับเด็ก ผ้าโพกศีรษะ เสื้อและกางเกง ในขณะที่เสื้อผ้าของเด็กๆ และผู้สูงวัยก็ลดความยุ่งยากลงไปด้วยเช่นกัน (หน้า 133-138) อ่าข่าเป็นชนเผ่าที่รักในเสียงดนตรี เสียงเพลง พวกเขามีบทเพลงที่ขับขานเรื่องราวของตนเองและธรรมชาติที่แวดล้อม โดยใช้เครื่องดนตรีหลายชนิดบรรเลงร่วมกับเสียงร้อง ได้แก่ เดิ้ม (พิณ) ฉู่ลู้ (ขลุ่ย) แหม่ลี้ (ขลุ่ย) บอเลาะ (ขลุ่ย) พิปะ (เป่าใบไม้) ลาเย (แคนน้ำเต้า) ถ่อง (กลอง) จะแล้ะ (ฉิ่ง, ฉาบ) และ ฉ่อง (กระบอกไม่ไผ่) เพลงของอ่าข่าไม่เฉพาะแต่ร้องรำเพื่อการผ่อนคลาย ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังมีบทเพลงที่ใช้ในงานพิธีกรรมด้วย บทเพลงพื้นบ้าน หรือที่เรียกว่า "อะชิกู้" มีการร้องกันมาแต่โบราณ โดยใช้วิธีการจดจำเนื้อหามาแต่รุ่นบรรพบุรุษ ไม่มีการแต่งขึ้นใหม่ แต่การใช้คำอาจเปลี่ยนแปลงไปโดยยังคงความหมายเดิมไว้ ภาษาที่ใช้มักมีลักษณะเป็นภาษาแบบบทกวีต่างจากภาษาพูดโดยทั่ว ๆ ไป อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ ได้เกิดเพลงอ่าข่าแบบใหม่ในทำนองสากล ซึ่งมีกีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีชิ้นหลักในการบรรเลง ทำให้มีท่วงทำนองที่เป็นสากล และมีเนื้อร้องที่เข้าใจง่าย เด็กๆ ในปัจจุบันจึงเริ่มหันมาฟังเพลงอ่าข่ากันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เท่าความสนใจในเพลงกระแสหลักของวัฒนธรรมภายนอกที่ได้รับจากสื่อต่างๆ เพลงที่เด็กๆ อ่าข่ารู้จักและสามารถร้องได้ มีดังนี้ คือ เพลง อย่าให้วิถีแห่งอ่าข่าสูญหาย, เพลง พี่น้องอ่าข่า, เพลง เราคือชนอ่าข่า, เพลง รื่นเริงวันปีใหม่, เพลง คนไร้ค่า และเพลง รักที่หมายปอง (หน้า 210-218)

Folklore

นิทานนับเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของอ่าข่าบ้านปลายฟ้าที่ได้รับการถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน โดยผ่านการบอกเล่าจากปากต่อปากเป็นภาษาร้อยแก้ว เป็นส่วนสำคัญของชีวิตความเป็นอยู่ของอ่าข่าบ้านปลายฟ้าเมื่อสมัยอดีตอย่างมาก เพราะการเล่านิทานถือเป็นความสนุกสนานของเด็กๆ ที่มักนั่งล้อมวงฟังผู้ใหญ่เล่านิทานให้ฟังในขณะที่ตัวเด็กๆ เองก็อาจทำงานตามหน้าที่ของตัวเองไปด้วย ทั้งยังเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเลี้ยงดูที่นำมาซึ่งความผูกพันรักใคร่กลมเกลียวในครอบครัวและในชนเผ่าอ่าข่าด้วยกัน นิทานพื้นบ้านของอ่าข่านั้นมีอยู่มากมายหลายเรื่อง บางเรื่องก็อาจสูญหายไปแล้วตามกาลเวลา และเหตุปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม แต่บางเรื่องก็ยังคงได้รับการเล่าขานต่อ ๆ กันมา ตัวอย่างที่ผู้ศึกษาได้ยกมาประกอบการศึกษา ได้แก่ นิทานเรื่อง กบ นิทานเรื่อง พ่อที่สูญหายไป นิทานเรื่อง ต้นไม้ชีวิต นิทานเรื่อง นกฮูก นิทานเรื่อง ผีกับคนคอพอก นิทานเรื่อง แม่ นิทานเรื่อง สุนัขกับสุกร นิทานเรื่อง เสือผู้จองหอง และนิทานเรื่อง หินบิน (หน้า 191-210) นอกจากนี้ นิทานบางเรื่องก็ได้แต่งขึ้นมาเพื่ออธิบายถึงปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของพวกเขา เช่น เรื่องเล่าที่สะท้อนความเชื่อเรื่องความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างคนและผี เกี่ยวกับชายหนุ่มที่แต่งงานกับผีสาวตนหนึ่ง ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของเครื่องแต่งกายของหญิงสาวอ่าข่าและประเพณีการตั้งประตูคุ้มครองหมู่บ้าน เป็นต้น (หน้า 153-154) นิทานเหล่านี้ก็เช่นเดียวกับนิทานในอีกหลาย ๆ วัฒนธรรมที่สะท้อนภาพประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตของชุมชนนั้น ๆ และมีคติสอนใจให้เด็กๆ อย่างไรก็ตาม นิทานพื้นบ้านของอ่าข่าก็กำลังเผชิญกับการสูญหายเพราะเด็กๆ ไม่มีความสนใจในนิทานของตนเองเท่ากับสิ่งบันเทิงที่มาจากวัฒนธรรมภายนอก

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

วิถีชีวิตของอ่าข่าที่นิยมความเรียบง่าย ยึดติดกับธรรมชาติ รักความสงบสันโดษ และมีการติดต่อกับคนนอกเผ่าน้อยที่สุด ทำให้ชนเผ่าอ่าข่าเป็นชนเผ่าที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเผ่าอื่น นอกจากนี้อ่าข่ายังมีวัฒนธรรมในการปลูกฝังให้ลูกหลานเชื่อฟังบรรพบุรุษสืบต่อกัน โดยเฉพาะอ่าข่าหมู่บ้านปลายฟ้า ซึ่งจัดว่าเป็นหมู่บ้านที่มีชนเผ่าอ่าข่าในกลุ่มผาหมีอ่าข่าเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ในขณะที่อ่าข่ากลุ่มอื่นๆ หันไปรับคริสตศาสนาแทนที่การนับถือผีบรรพบุรุษ อ่าข่าบ้านปลายฟ้ายังคงมีการอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง (หน้า 4-5) ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ส่งเสริมให้ลูกหลานซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่เข้ารับการศึกษาตามระบบด้วย ซึ่งทำให้การธำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (Ethnic Identity) ในหมู่เด็กรุ่นใหม่ถูกแทรกแซงด้วยแนวคิดของวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ราบ เพราะเด็กๆ มีการติดต่อกับคนไทยตลอดเวลา ปัจจุบันเด็กอ่าข่าบ้านปลายฟ้ามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อรวมอยู่ในกลุ่มอ่าข่า พวกเด็กๆ ก็ยังคงยึดถือในประเพณีของอ่าข่าบางประการอยู่ ซึ่งยังคงเป็นที่ยึดเหนื่ยวให้อ่าข่ารวมกลุ่มกันได้อย่างเป็นปึกแผ่น (หน้า 251-253) กระบวนการบูรณาการวัฒนธรรมอ่าข่าและวัฒนธรรมไทยของเด็กไทยภูเขาเผ่าอ่าข่าบ้านปลายฟ้าสะท้อนประเด็นที่น่าสนใจ 2 ประการ คือ การจัดการศึกษาสำหรับชาวเขาของรัฐบาลไทย และการธำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของเด็กอ่าข่า ในช่วงยุคทศวรรษที่ 50 รัฐบาลไทยได้ริเริ่มนโยบายการจัดการศึกษาสำหรับชาวเขาอย่างจริงจัง อันเนื่องมาจากปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดน ปัญหาชาวเขา ปัญหาการปฏิวัติสังคมนิยมจีน และปัญหาสภาพความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศพม่าและลาว กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนจึงถูกตั้งขึ้นเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่บริเวณชายแดนไทย ทำให้เกิดโครงการจัดตั้งโรงเรียนไทยให้กับชาวเขา การศึกษาตามระบบและค่านิยมไทยจึงได้สอดแทรกเข้ามาในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเขา นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงค่านิยมต่อวัฒนธรรมประจำกลุ่มชาติพันธุ์ของตน ในการนี้ การศึกษาแบบพหุวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับเด็กอ่าข่า ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวทางการธำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของเด็กอ่าข่าบ้านปลายฟ้า ที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเด็กๆ เหล่านี้ต้องการที่จะรักษาอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมที่มีมาแต่รุ่นบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งดีที่อ่าข่าบ้านปลายฟ้ายังคงรวมกลุ่มกันอย่างแน่นแฟ้น วัฒนธรรมส่วนใหญ่จึงยังคงดำรงไว้ได้และสืบทอดต่อมาให้เด็กๆ รุ่นใหม่ได้ปฏิบัติตามท่ามกลางกระแสของวัฒนธรรมไทยที่หลั่งไหลเข้ามา (หน้า 248 - 253)

Social Cultural and Identity Change

การถ่ายทอดวัฒนธรรมเพื่อการดำรงอยู่ และสืบทอดเผ่าพันธุ์ของอ่าข่าโดยระบบการเรียนรู้แบบการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นโดยสมาชิกในครอบครัว และกลุ่มผู้อาวุโสถ่ายทอดสู่ผู้น้อยอันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่รุ่นบรรพบุรุษของอ่าข่าหมู่บ้านหลายฟ้า เริ่มมีวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาเมื่อชุมชนมีการติดต่อจากโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น โดยมาจากการขยายตัวของสาธารณูปโภคของภาครัฐ ได้แก่ การตัดถนน (พ.ศ. 2535) ไฟฟ้า (พ.ศ. 2535) และโทรศัพท์ (พ.ศ. 2543) การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเด็กๆ ในหมู่บ้านโดยตรง (หน้า 241-242)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

การนำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการบรรยาย พร้อมทั้งมีการใช้ตาราง แผนภูมิและรูปภาพประกอบตามความเหมาะสมและลักษณะของข้อมูล เป็นวิธีการนำเสนอผลการศึกษาวิจัยที่ให้ภาพที่ชัดเจน ซึ่งผู้เขียนให้ความสำคัญค่อนข้างมาก ตั้งแต่แผนที่และแผนภาพแสดงเชื้อสายของชาวเขาเผ่าต่างๆ ในประเทศไทย (หน้า 39-40) เพื่อให้ผู้อ่านได้มีความเข้าใจในกลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่าได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น รวมทั้งแผนภาพเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของการบูรณาการวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอ่าข่า (หน้า 79) ที่เหมือนเป็นการสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากการวิจัยทั้งหมดมาอธิบายได้อย่างกระชับและง่ายต่อความเข้าใจ

Text Analyst เอกสุดา สิงห์ลำพอง Date of Report 10 ก.ย. 2561
TAG อาข่า, วัฒนธรรม, ระบบการศึกษา, บูรณาการทางวัฒนธรรม, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง