|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,สิทธิมนุษยชน,ชนชาติ,ภาษา,ความขัดแย้ง,กาญจนบุรี |
Author |
ทองไต (บรรณาธิการ) |
Title |
เสียงเพรียกจากคนมอญ |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
73 |
Year |
2534 |
Source |
มหาวิทยาลัยแห่งชาติมอญ |
Abstract |
ชนชาติมอญมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานทางประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดี ศิลาจารึก ภาษาและวัฒนธรรมอันเก่าแก่มาก่อน ในส่วนของความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศพบว่า ในอดีตแผ่นดินมอญเคยปกครองตนเองเป็นอิสระจากพม่ามาก่อน หลังจากถูกพม่ารุกรานและเข้ายึดครอง มอญก็หนีแตกพ่ายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์ไทยจนได้รับความไว้วางใจให้ทำราชการและงานศึก คนมอญอพยพเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยพระนเรศวรสืบเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ในขณะที่มอญในพม่ากลับต้องรวมตัวกันในนามพรรคและแนวร่วม เพื่อเรียกร้องดินแดนซึ่งตนเคยครอบครองมาก่อนคืนจากพม่า เพื่อสถาปนาสาธารณรัฐมอญในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดในเขตแดนภาคใต้ตอนล่างของพม่า แม้ผลแห่งการเรียกร้องจะทำให้รัฐบาลทหารพม่าสถาปนาพื้นที่เมืองเมาะละแหม่งและเมืองสะเทิมขึ้นเป็นรัฐมอญให้ แต่มอญกลับไม่ยอมรับและยังคงมีการเรียกร้องดินแดนบางส่วนอยู่ ในขณะที่คนมอญบริเวณรอยต่อเขตแดนไทยปัจจุบัน กลับประสบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ต้องเผชิญกับการกดขี่ข่มเหง คุกคามและการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยอยู่ นอกจากนี้ การใช้กลไกอำนาจรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าเข้าปราบปรามชนกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงมอญในรัฐของตน เหล่านี้เป็นปัญหาความขัดแย้งที่ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน |
|
Focus |
เน้นศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติมอญ รวมถึงทรรศนะด้านสิทธิมนุษยชน และสิทธิของชนชาติมอญ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามอญ (เดิงมอญ) (หน้า 29) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มอญในสาธารณรัฐมอญในเมียนมาร์ มีแต่เพียงข้อสันนิษฐานเดิม ส่วนมอญในเมืองไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท ได้อธิบายไว้ว่า ได้อพยพเข้ามาอยู่ในไทยครั้งแรกเมื่อสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร เป็นมอญโดยเสด็จเข้ามาระหว่างทำสงครามกับพม่า เนื่องจากสมัยนั้นพม่าใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองมอญ อยู่ใต้พระราชอำนาจ สมเด็จพระนเรศวรโปรดพระราชทานที่ดินในหัวเมืองเป็นที่ทำกิน และตั้งขุนนางมอญให้ปกครองกันเองเพื่อใช้ในราชการและงานศึก ความจงรักภักดีและความชอบในราชการของมอญ ที่มักคอยรายงานความเคลื่อนไหวของพม่าให้ไทยได้ทราบ ทำให้ทรงเดินทัพได้สะดวก จากเรื่องเล่าเกี่ยวกับแผ่นดินมอญโดยตะนาวศรีเล่าไว้ว่า ในปี พ.ศ.2300 ภายหลังจากที่พม่าเผากรุงหงสาวดี มอญแตกทัพก็ได้อพยพครัวเรือนเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในไทย มอญส่วนใหญ่มักอยู่ในระดับผู้นำ เป็นทหารมอญพร้อมครอบครัว และข้าทาสบริวาร มอญที่อพยพเข้ามาก็ไม่ได้ถูกตั้งข้อรังเกียจด้านเชื้อชาติ สามารถเข้ากับราชการไทยและสังคมไทยได้เป็นอย่างดี ได้เป็นเจ้าคนนายคน ทั้งยังแต่งงานข้ามเชื้อชาติได้อีกด้วย (หน้า 3, 21) ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี มีมอญอพยพเข้ามาพึ่งพระบารมี เนื่องจากไม่ยอมรับอำนาจพม่า ได้พยายามต่อสู้แต่พ่ายหนีเข้ามา พระเจ้ากรุงธนฯ โปรดพระราชทานที่ดินทำกินและตั้งขุนนางมอญขึ้นปกครองกันเอง ทั้งยังได้ประกาศความจงรักภักดีของขุนนางมอญ อย่างเปิดเผย มอญรุ่นหลังที่อพยพเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นมอญใหม่ ทรงโปรดให้จัดทัพหลวงออกไปรับอย่างสมเกียรติ เนื่องจากพระบรมราชชนนีของพระองค์ก็ทรงถือกำเนิดในตระกูลมอญ จ.สมุทรสงคราม ทรงให้มอญใหม่เข้ามาตั้งรกรากใกล้กรุงเทพ ฯ แถบหัวเมืองปทุมธานี เป็นหัวเมืองตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ เรื่อยลงมาถึงปากลัด ปากเกร็ด นนทบุรีไปจนถึงพระประแดง นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ไทยยังได้ทรงแต่งตั้งตำแหน่งพระมหาโยธา เป็นตำแหน่งขุนนางมอญที่เป็นใหญ่ที่สุด สันนิษฐานว่ามีมาแต่เมื่อครั้งสมัยพระนเรศวรเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 (หน้า 4) เรื่องเกี่ยวกับมอญจากปากคำของประธานพรรคมอญใหม่ นายส่วย เจ้น ซึ่งรวบรวม โดย ดร.จำลอง ทองดี เล่าว่า ก่อนมอญจะแตกออกเป็นสองฝ่าย มีกองกำลังมอญอิสระ ที่เรียกว่า MNLA (Mon National Liberation Army) อยู่บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ มีการตั้งฐานที่มั่นในบริเวณที่กะเหรี่ยงอิสระทำธุรกิจ ขายแร่เถื่อนและตั้งโรงเลื่อยไม้ร่วมกับนายทุนไทยเชื้อสายจีนแล้วนำเข้ามาขายในไทย หลังจากมอญแตกออกเป็น สองแผ่นดิน คนมอญในภาคใต้ของพม่าก็ได้ถือเอาวันที่สถาปนากรุงหงสาวดีเป็นเมืองหลวง เป็นวันที่ระลึกชนชาติมอญ ซึ่งตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 มีการจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นที่บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ (หน้า 7) |
|
Demography |
จากหลักฐานที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติมอญได้รวบรวมไว้ ข้อมูลการสำรวจทางสถิติสาธารณรัฐมอญเมื่อปี ค.ศ.1983 พบว่า มีจำนวนประชากรมอญทั้งสิ้น 6,399,849 คน เป็นชาย 3,182,147 คน หญิง 3,217,702 คน ภาคเหนือมี 28 อำเภอ เป็นชาย 1,888,105 คน เป็นหญิง 1,912,135 คน มอญภาคกลาง 10 อำเภอ เป็นชายจำนวน 832,980 คน เป็นหญิง 849,061 คน มอญภาคใต้มี 10 อำเภอ เป็นชาย 461,062 คน หญิง 3,217,702 คน (หน้า 24) |
|
Economy |
ประชาชนมอญในภาคเหนือตอนบนของสาธารณรัฐมอญ มีอาชีพทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานน้ำตาลทราย โรงงานกระดาษ โรงงานทำเทียนไข ทำไร่ ทำไม้ เช่น ไม้สัก ไม้ฟืน ถ่าน ไม้ไผ่ หวาย ไม้เนื้อแข็ง หวาย ทำการเกษตร อาทิ ถั่ว ปอ ยางพารา ยาสูบ ข้าวเปลือก อ้อยและถั่วแขก นอกจากนี้ยังมีโครงการต่าง ๆ อีกมากมาย อาชีพหลักของมอญในภาคกลาง คือ ทำเกษตร ปลูกข้าว ขุดแร่ จับปลาทะเล ถั่วลิสง ยางพารา พริก อ้อย สัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย อุตสาหกรรมป่าไม้ เช่น ไม้สักและไม้เนื้อแข็ง โรงงานเทียนไข โรงเลื่อย โรงงานผลิตเกลืออนามัย โรงงานกระดาษ และโรงงานน้ำตาลทราย เป็นต้น ส่วนมอญทางใต้มีอาชีพ ประมง ทำสวน ทำนาทำไร่ ทำเหมือนแร่ดีบุกและวุลแฟรม พืชเศรษฐกิจหลัก เช่น พืชไร่ ยางพารา มะพร้าว ถั่วลิสง สวนทุเรียน มังคุด งา อุตสาหกรรมป่าไม้ พืชสมุนไพร มูลค้างคาว รังนกนางแอ่น เปลือกไม้ (หน้า 24-26) |
|
Political Organization |
แผ่นดินมอญหรืออาณาจักรมอญแต่เดิม รู้จักกันในชื่อ อาณาจักรหงสาวดีหรือรามัญประเทศ (หน้า 29) ดินแดนมอญเมื่อครั้งที่ยังปกครองตัวเองอย่างอิสระอยู่ทางภาคใต้ของสหภาพพม่า อังกฤษเรียกว่า "บริทิช เบอร์มา" (หน้า 8) ปี พ.ศ.2300 เป็นปีที่มอญ แพ้สงครามและเสียเอกราชแก่พม่า ชนชาติมอญขาดผู้นำพากันแตกหนีไปคนละทางบางกลุ่มก็หลบหนีเข้ามาอยู่ในไทย บริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีและหงสาวดีซึ่งเคยเป็นราชธานีแทบไม่พบคนมอญเลย (หน้า 31) ผู้บังคับการเรือรบหลวงศรีอยุธยา ผู้ต้องหากบฏแมนฮัตตัน น.อ.อานนท์ บูรณฑริกกาภา เดินทางหนีการจับกุมไปอยู่ที่พม่าไปอยู่กับกองกำลังมอญอิสระทางภาคใต้ของพม่า มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวและได้บันทึกเกี่ยวกับขบวนการกู้ชาติมอญ เนื่องจาก น.อ.อานนท์ใกล้ชิดกับนายพลสเวจิ้น ผู้นำพรรคมอญใหม่และแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ พรรคมอญใหม่ (NMSP) ซึ่งเป็นขบวนการทางการเมือง ที่พยายามผลักดันให้รัฐบาลทหารพม่าคืนอำนาจแก่ประชาชน ขบวนการดังกล่าวได้รับความสนใจจากองค์การระหว่างประเทศ ทั้งในส่วนขององค์การสหประชาชาติ องค์การสิทธิมนุษยชน และองค์การด้านต่าง ๆ (หน้า 8-10) มอญในสหภาพสังคมนิยมพม่าในปัจจุบันพยายามเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ อาทิ งบประมาณบำรุงท้องที่ การศึกษา การสุขาภิบาล การสาธารณสุข แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองซ้ำยังถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนและได้รับการกดขี่ข่มเหง จนส่งผลให้พลเมืองชนชาติต่าง ๆ เช่น มอญ กะเหรี่ยง ฉิ่น คะฉิ่น ไทยใหญ่และยะไข่ รวมถึงกระบวนการนักศึกษาและประชาชน ที่ได้รับผลพวงจากการยึดอำนาจของนายพลเนวิน ลุกฮือขึ้นจับอาวุธต่อต้านรัฐบาลเผด็จการสังคมนิยมพม่า หลังการใช้กองกำลังและอาวุธเข้ากวาดล้าง รัฐบาลสหภาพพม่าได้สถาปนารัฐมอญขึ้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2517 (หน้า 30) แต่รัฐมอญที่กำหนดขึ้นสมัยรัฐบาลเนวิน มีเพียงเมืองเมาะละแหม่งและเมืองสะเทิม ซึ่งคนมอญไม่ยอมรับ เพราะนอกจาก 2 เมืองนี้แล้วยังมีเมืองมะริด ทะวาย (ภาคตะนาวศรี) และหงสาวดี (พะโค) เป็นพื้นที่ดินแดนสหภาพฯตอนใต้ทั้งหมดรวม 5 จังหวัดที่คนมอญต้องการเรียกร้องและนำเรื่องเสนอเข้าสู่องค์การสหประชาชาติ เพื่อรวมตัวเป็นสาธารณรัฐมอญ (รามัญ) (หน้า 22, 29) ส่วนมอญที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย บางครั้งต้องประสบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและข้าราชการทุจริต ทำให้คนมอญตกเป็นเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ความรุนแรงจากอำนาจรัฐไปโดยปริยาย กรณีตัวอย่างที่พบเช่น เมื่อปี พ.ศ.2534 นายอำเภอร่วมกับกลุ่ม อส. ตำรวจภูธร และ ตชด. ได้เข้าปิดล้อมหมู่บ้านมอญวังก์กะและจับกุมคนมอญไปควบคุมตัวไว้ แม้คนมอญบางคนจะแสดงบัตรผู้พลัดถิ่นก็กลับถูกเจ้าหน้าที่ฉีกทิ้ง คนมอญ 130 คนตกเป็นผู้ต้องหา พอเจ้าหน้าที่รัฐเมาสุราก็ได้บังคับข่มขู่หญิงมอญไปร่วมหลับนอนอีกด้วย เมื่อผู้สื่อข่าว AFP ขอสัมภาษณ์นายอำเภอเพื่อสอบถามเรื่องการข่มขืน นายอำเภอกลับปฏิเสธและอ้างเหตุผลว่าผู้เสียหายสมยอม แต่กลับทำเรื่องปลด อส. ทั้งสองคน ในขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองกลับหายสาบสูญไปโดยไม่ทราบชะตากรรม อีกกรณีหนึ่งเจ้าหน้าที่อส. ตชด.และทหารพรานได้เข้าจับกุมและตรวจค้นคนมอญที่หมู่บ้านสะเทอ แต่อส.กลับกระทำการเกินกว่าเหตุ ด้วยการใช้อาวุธปืนยิงขู่และพังประตูเข้าตรวจค้น นอกจากนี้ ยังพบกรณีความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์และแย่งชิงทรัพยากร เช่น เจ้าหน้าที่อำเภอสังขละบุรีหาทางผลักดันคนมอญที่บ้านเกริงกรังและบ้านเตยปาย (ปะโฮ) ซึ่งได้อพยพเข้ามาทำกินในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลา 8-9 ปีแล้วให้ออกนอกเขตแดนไทย เนื่องจากต้องการนำที่ดินซึ่งทำการปลูกพืชไร่ได้ผลมาใช้แสวงหาผลประโยชน์จากนายทุนซึ่งให้ผลตอบแทนสูง การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการแอบแฝงแสวงหาผลประโยชน์ โดยมิได้คำนึงถึงหลักมนุษยธรรมแม้แต่น้อย (หน้า 47-48) |
|
Belief System |
มอญนับเป็นชนชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) เข้ามาเผยแพร่ (หน้า 58) |
|
Education and Socialization |
ในประเทศไทยมีอาจารย์หลายท่านสอนเกี่ยวกับภาษา ประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่เกี่ยวกับมอญที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยมหิดล (หน้า 61) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา โบราณคดี ศิลาจารึกมอญและวัฒนธรรมมอญที่แต่งบทความ และตำราไว้มากคือ นายปันละ (Nai Pan Hla) เป็นอดีตหัวหน้ากองโบราณคดี สำหรับมหาวิทยาลัยเพื่อการฟื้นฟูชนชาติมอญได้ถูกสถาปนาอย่างเป็นทางการขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1984 (หน้า 58, 61-62) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มอญเป็นชนชาติที่มีประวัติความเป็นมา รวมถึงภาษาและวัฒนธรรมอันเก่าแก่เป็นของตนเองมาแต่อดีต อักขระภาษามอญเป็นที่มาของตัวอักษรพม่า จารึกต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ เช่น ตำรากฎหมายและหลักกฎหมายพระธรรมศาสตร์ก็เป็นผลงานต้นฉบับภาษามอญ ก็ถูกพม่าเผาทำลายไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2300 สมัยที่พม่ารุกรานและเข้าครอบครองแผ่นดินมอญ อาจกล่าวได้ว่าภาษามอญเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญต่อการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันมี ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นนักวิชาการด้านภาษา วรรณคดีและโบราณคดีมอญคือ นายปันละเป็นผู้เผยแพร่ความรู้ด้วยการออกหนังสือแบบเรียน "ภาษามอญเบื้องต้น" เป็นแบบเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง จัดพิมพ์โดยศูนย์ศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของมหาวิทยาลัยเกียวโต นอกจากนี้ ยังมีการอ้างอิงถึงพจนานุกรมภาษามอญที่มีผู้จัดพิมพ์ไว้สมัยที่อังกฤษปกครองพม่า เช่น พจนานุกรมศัพท์ภาษามอญ-อังกฤษ ที่ตีพิมพ์ในไทยเมื่อปี ค.ศ.1922 นับเป็นหลักฐานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ประเทศไทยเคยมีโรงพิมพ์ตัวหนังสือมอญที่วัดพิมพาวาส อยู่บริเวณรอยต่อ จ.สมุทรปราการกับบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (ปัจจุบันอยู่ในเขต ต.พิมพา อ.บางปะกง) และพจนานุกรมศัพท์มอญแผนใหม่ซึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยลอนดอน (หน้า 57-62) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ภาพนายพลสเวเจ้น ผู้นำมอญ ประธานพรรคมอญใหม่และแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ / น.อ.อานนท์ บูรณฑริกกาภา ผู้รู้เรื่องขบวนการกู้ชาติมอญ (หน้า 9) แผนที่แผ่นดินมอญในอดีตและพื้นที่ที่พรรคมอญใหม่กำหนดเป็นสาธารณรัฐมอญปัจจุบัน (หน้า 23) แผนที่ประเทศพม่า (หน้า 28) ภาพนาย ปันละ (หน้า 62) |
|
|