|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คะแมร์ลือ,เขมร,วัฒนธรรม,สตรี,สุขภาพ,แพทย์พื้นบ้าน,บุรีรัมย์ |
Author |
รุ่งทิพย์ ชาญชัยสิริกุล |
Title |
สตรีแม่บ้านในชุมชนวัฒนธรรมเขมรกับบทบาทด้านการดูแลรักษาสุขภาพ กรณีศึกษาบ้านตลุงเก่า อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ขแมร์ลือ คะแมร คนไทยเชื้อสายเขมร เขมรถิ่นไทย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
126 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Abstract |
บทบาทของผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านในชุมชนวัฒนธรรมเขมรถูกกำหนดโดยปัจจัยทางสรีรวิทยา และปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมที่มีการผสมผสานกันอย่างลึกซึ้ง ให้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพทั้งด้านการส่งเสริม และการป้องกันสุขภาพในสภาวะที่ร่างกายปกติ นอกจากนั้น ยังมีบทบาทในการดูแลรักษา การฟื้นฟูสุขภาพเมื่อเกิดการเจ็บป่วย โดยใช้องค์ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมอยู่ในความคิด ความเชื่อที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากระบบสุขภาพของชุมชนวัฒนธรรมเขมร ซึ่งเป็นกระบวนการจัดร่วมกันระหว่างผู้ป่วยและบุคคลอื่นๆ ในชุมชนของผู้ป่วย ภายใต้ระบบการแพทย์สามัญชน ที่ผสมผสานทั้งความรู้และประสบการณ์จากระบบการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์แบบตะวันตก การแสดงออกซึ่งพฤติกรรมในการดูแลรักษาสุขภาพจะไหลเวียนอยู่ในชุมชนและถูกเลือกเอามาใช้ต่อสถานการณ์เจ็บป่วยที่เกิดขึ้น และจะมีวิวัฒนาการไปตามกระแสของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เมื่อตนเอง สมาชิกในครัวเรือนหรือในชุมชนเจ็บป่วย ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านจะมีพฤติกรรมแสดงออกต่อปัญหาทางสุขภาพเพื่อให้หายจากการเจ็บป่วยตามกระบวนการรักษาสุขภาพ โดยจะร่วมกับบุคคลในครัวเรือน เครือญาติหรือผู้ใกล้ชิด เพื่อประเมินอาการเจ็บป่วย การเลือกแหล่งรักษาพยาบาล การกำหนดวิธีการรักษาและประเมินผลการรักษาทุกขั้นตอนเป็นระยะๆ รวมถึงการประเมินค่าใช้จ่าย และประเมินถึงความคุ้มประโยชน์หรือผลสุทธิในการรักษาแต่ละวิธีด้วย ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านส่วนหนึ่งในชุมชน แสดงบทบาทในการดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับสมาชิกในชุมชนหลายวิธี เช่น เป็นหมอโบล หมอทรง เพื่อค้นหาสาเหตุของการเจ็บป่วยและวิธีการบำบัดรักษา ตามวิธีการทางไสยศาสตร์ เป็นหมอยาสมุนไพร หมอนวดแผนโบราณ เพื่อรักษาผู้ป่วยในชุมชนตามความคิด ความเชื่อของสมาชิกในชุมชน นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่าผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านทั้งสามฐานะ มีบทบาทด้านการดูแลรักษาสุขภาพ อันเป็นพฤติกรรมทางสุขภาพคล้ายคลึงกัน เนื่องจากบทบาทดังกล่าวมีอยู่ในวิถีการดำรงชีพอันเป็นวัฒนธรรมของชุมชน ที่แสดงออกทางพฤติกรรมการรักษาสุขภาพ โดยมีความคิดความเชื่อ ที่ใช้ในการวินิจฉัยสาเหตุของการเกิดโรคเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาทางสุขภาพและพบว่าหญิงทั้งสามฐานะเลือกใช้บริการระบบการแพทย์พื้นบ้านและระบบการแพทย์แบบตะวันตกในระดับที่ไม่แตกต่างกัน การจะพึ่งบริการทางการแพทย์ระบบใดขึ้นอยู่กับความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดโรคเป็นสำคัญ ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านได้แสดงความต้องการที่จะให้มีการปรับเปลี่ยนความคิด ความเชื่อและทัศนคติ ให้ผู้ชายเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยเหลือและรับผิดชอบกิจกรรมในครัวเรือนเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระส่วนหนึ่งของผู้หญิง เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีบทบาทสาธารณะมากขึ้น ปลูกฝังให้ผู้ชายสนใจและใส่ใจปัญหาทางสุขภาพของตนเองมากขึ้น ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางวัฒนธรรมของสังคมเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์หญิงชายในด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จะมีขึ้นทุกฝ่ายในชุมชนต้องให้ความสำคัญและร่วมกันทำในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านต้องการให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข เห็นความสำคัญในบทบาทที่สังคมวัฒนธรรม กำหนดให้ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพ จึงต้องการที่จะได้รับเลือกให้เข้ารับการชี้แนะเพิ่มพูนความรู้ในด้านการดูแลรักษาสุขภาพในทุกรูปแบบของการเรียนรู้ เพื่อจะได้นำความรู้ไปปฏิบัติและถ่ายทอดแก่ครอบครัวและชุมชนต่อไป |
|
Focus |
ศึกษาบทบาทและแนวทางส่งเสริมการดูแลรักษาสุขภาพของผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านในชุมชนวัฒนธรรมเขมร กรณีศึกษา บ้านตลุงเก่า อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทย-เขมร หรือ "เขมรถิ่นไทย" (หน้า 43) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาเขมรถิ่นไทย (หน้า 61) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
บ้านตลุงเก่า เดิมคนในท้องถิ่นเรียกชุมชนนี้ว่า "ปันเตียย" เพราะในอดีตมีคูน้ำล้อมรอบหมู่บ้านสองชั้น แต่ปัจจุบันตื้นเขินจนไม่ปรากฏร่องรอยและเรียกบ้านประโคนชัยซึ่งเป็นอำเภอประโคนชัยในปัจจุบันว่า "บ้านตลุง" คำว่า "ปันเตียย" ภาษาเขมรแปลว่า ที่เนินสูงหรือที่ตั้งกองทหาร ส่วน "ตลุง" แปลว่า เสาใหญ่ เสาหินหรือหลักผูกช้าง ชุมชนบ้านตลุงเริ่มมีขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2441 โดยมีตาขาวและยายเหน็บ พวงประโคนเป็นครัวเรือนแรกที่เข้ามาก่อตั้งชุมชน ต่อมาได้มีครัวเรือนจากบ้านโคกม้า อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์และจากบ้านสวาย อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ อพยพตามเข้ามาในลักษณะทยอยเข้ามาอาศัย (หน้า 34, 42-43) |
|
Settlement Pattern |
การปลูกบ้านส่วนใหญ่จะปลูกบริเวณใกล้เคียงกัน รวมกันเป็นกลุ่มๆ โดยแต่ละกลุ่มจะเป็นเครือญาติกัน ภายในหมู่บ้านมีศาลปู่ตา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ริมห้วยบอสเวง (หน้า 37, 40) สภาพบ้านเรือนในหมู่บ้านตลุงเก่า จำแนกได้เป็น 3 ลักษณะได้แก่ 1) แบบแรกเป็นบ้านรูปแบบเดิม มีลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงประมาณ 180 ซม.เป็นบ้านแฝดหลังคาติดกันมีรางน้ำเชื่อมต่อตรงกลางระหว่างบ้านทั้งสอง 2) แบบที่สอง เป็นบ้านสองชั้น ครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ส่วนชั้นที่สองสร้างด้วยไม้ 3) ส่วนบ้านแบบที่ 3 เป็นบ้านชั้นเดียวติดดิน ยกโครงหลังคาด้วยเสาคอนกรีต ต่อด้วยไม้จำนวน 9 ต้น ลักษณะแบบบังกะโล ฝาบ้านด้านนอกก่ออิฐบล็อก ฉาบปูนหยาบๆ สภาพทั่วไปของหมู่บ้านไม่มีรั้วเป็นแนวปิดกั้นระหว่างครัวเรือน มีเพียงเสาปักแสดงแนวเขตที่ดิน บ้านที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ มีกำแพงบ้านก่ออิฐถือปูนและมีประตูรั้วมิดชิด แสดงถึงความมีฐานะของเจ้าของบ้าน (หน้า 37) |
|
Demography |
ชุมชนบ้านตลุงเก่า แบ่งออกเป็น 2 หมู่บ้าน โดยหมู่ที่ 3 มี187 หลังคาเรือน มีประชากรจำนวน 935 คน เป็นชาย 453 คน เป็นหญิง 482 คน ส่วนหมู่ที่ 9 มี 104 หลังคาเรือน มีประชากรจำนวน 582 คน เป็นชาย 307 คน เป็นหญิง 275 คน(หน้า 43) |
|
Economy |
บ้านตลุงเก่ามีที่ดินสาธารณะที่ใช้ร่วมกันที่ทางราชการได้ออกเอกสารหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) 2 แห่งคือ โคกป่าช้าของหมู่บ้านและที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ โคกป่าช้าตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน มีเนื้อที่ประมาณ 800 ไร่แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 200 ไร่เศษเนื่องจากชาวบ้านบุกรุกเพื่อทำนา ส่วนทำเลเลี้ยงสัตว์มีเนื้อที่ประมาณ 1,800 ไร่ (หน้า 38) ชาวบ้านประมาณร้อยละ 90.0 ประกอบอาชีพทำนา การทำนาส่วนใหญ่จะเป็นการปักดำเพราะต้นข้าวขึ้นเป็นระเบียบ แตกกอดีและได้ผลผลิตมาก แต่หากฝนแล้งจะทำนาโดยการหว่านแทนการปักดำเพราะใช้เวลาสั้นและเปลืองค่าแรงน้อยกว่าการปักดำ โดยคิดค่าจ้างดำนาหรือเกี่ยวข้าว คนละ 100-120 บาทต่อวัน นอกจากนี้ ชาวบ้านส่วนมากมีวัว ควายครัวเรือนละ ประมาณ 1-5 ตัว ซึ่งเป็นการเลี้ยงในลักษณะการออมทรัพย์เพราะเลี้ยงเพื่อขาย มิได้นำมาใช้แรงงาน และยังมีการเลี้ยงเป็ด ไก่ ไว้เพื่อเป็นอาหารและเพื่อขาย เศรษฐกิจนอกภาคเกษตรมีการเปิดร้านค้าขนาดเล็กในชุมชนจำนวน 6-7 ร้าน นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและการสหกรณ์ได้เข้ามามีบทบาทในการระดมทุนและให้สินเชื่อแก่ชาวบ้าน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ปัจจุบัน ประมาณร้อยละ 85.0 ของครัวเรือนในหมู่บ้าน เป็นสมาชิกธนาคารฯ และเป็นหนี้เกือบทุกราย (หน้า 39, 44-45) |
|
Social Organization |
ลักษณะโครงสร้างของครอบครัวส่วนใหญ่เป็นกึ่งครัวเรือนขยาย เป็นสังคมแบบปิตาลัย ลูกจะสืบสกุลข้างพ่อมากกว่าข้างแม่ห้าเท่า (หน้า 62) การแต่งงาน ของคนในชุมชน รุ่นอายุ 50-80 ปี จะแต่งงานกับคนภายในหรือหมู่บ้านใกล้เคียง ส่วนคนรุ่นใหม่มีการพบปะกับคนต่างถิ่นมากขึ้น จากการไปทำงานหรือไปเรียนหนังสือต่างจังหวัด จึงมีการแต่งงานกับคนต่างถิ่นมากขึ้น การแต่งงานของคนในหมู่บ้านจะประกอบพิธีตามประเพณีแบบเดิม เช่น มีการสู่ขอ ให้สินสอด เป็นต้น จำนวนสินสอดขึ้นกับฐานะของทั้งสองฝ่าย โดยมีญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายร่วมพิธีในแต่ละขั้นตอน บางรายได้ตกลงอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาก่อน โดยไม่ได้แต่งงานและไม่ได้รับความเห็นชอบจากบิดา มารดา เมื่อกลับมาบ้านจะต้องจัดพิธีแต่งงานที่เรียกว่า "การเสียผี" ซึ่งเป็นการแต่งงานอย่างเรียบง่าย เพื่อเป็นการบอกกล่าวผีบรรพบุรุษให้ทราบว่าได้รับสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ในครัวเรือน ครัวเรือนในชุมชนมีความผูกพันโดยขนบธรรมเนียมประเพณี การพูดภาษาท้องถิ่นเดียวกัน และมีความผูกพันกันในระบบเครือญาติโดยสายโลหิตและเครือญาติโดยการแต่งงาน (หน้า 43-44) การรวมกลุ่มและกิจกรรมทางสังคมของชาวบ้านส่วนใหญ่ได้รับการชี้นำจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กลุ่มฌาปณกิจหมู่บ้าน จัดขึ้นโดยการแนะนำของฝ่ายปกครองเพื่อให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่สมาชิกเสียชีวิต เงินกองทุนหมู่บ้าน เป็นโครงการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จัดเพื่อให้ชาวบ้านได้รู้จักออมทรัพย์และจัดสรรเงินงบประมาณให้กู้ยืมเงินหมู่บ้าน มีการจัดตั้งคณะกรรมการเงินกองทุนหมู่บ้าน กลุ่มแม่บ้านหรือคณะกรรมการพัฒนาสตรีประจำหมู่บ้าน (กพสม.) เป็นแนวคิดของกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จัดตั้งเพื่อพัฒนาบทบาทของผู้หญิงให้รวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้มีบทบาททางสังคม (หน้า 53-54) |
|
Political Organization |
บ้านตลุงเก่าปกครองตามระบบราชการ มีผู้ใหญ่บ้านปกครองและทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานราชการ แบ่งการปกครองออกเป็นหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 9 ตำบลโคกม้า อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ นอกจากนี้ ยังแบ่งการปกครองออกเป็นค้ม เมื่อปี พ.ศ. 2526 แบ่งเป็นหมู่บ้านละ 10 คุ้ม โดยแต่ละคุ้มจะมีหัวหน้า รองหัวหน้าและกรรมการประจำคุ้ม เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการพัฒนา รูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบล มีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งมาจากการเลือกตั้ง หมู่ละ 2 คน โดยคะแนนเลือกตั้งจะอิงกับระบบเครือญาติมากกว่าความดีหรือผลงานของผู้สมัคร นอกจากนี้ ยังมีกรรมการหมู่บ้านซึ่งมีอำนาจเสนอนโยบาย ให้คำปรึกษาแนะนำและให้ความเห็นต่อการปฏิบัติงานต่างๆ ของผู้ใหญ่บ้าน (หน้า 34, 41, 51-53) ระบบการเมืองการปกครองในชุมชนยังถือว่าผู้ชายเป็นใหญ่มีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่าผู้หญิง (หน้า 62) |
|
Belief System |
ชาวบ้านตลุงเก่าทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ มีความเชื่อเรื่องบาปบุญ คุณโทษ เคราะห์กรรม โชควาสนา เครื่องรางของขลัง มีการให้ทาน และมีความเชื่อเรื่องชาติภพ ภูตผี วิญญาณ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อและนับถือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่บ้านตามความเชื่อของบรรพบุรุษ (หน้า 50-51) ศาลปู่ตา เป็นที่ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ เช่น การประกอบพิธีทำบุญหมู่บ้าน ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี โดยผู้นำชุมชนจะเป็นผู้กำหนดวันประกอบพิธี นอกจากนี้ชาวบ้านจะนำเครื่องเซ่นไหว้มาถวายหรือมาบนบานในโอกาสต่างๆ เช่น เมื่อมีคนในครอบครัวเจ็บป่วยหรือประสบภัยพิบัติต่างๆ (หน้า 40) การฌาปณกิจศพ จะตั้งบำเพ็ญกุศลและสวดอภิธรรมที่บ้านประมาณ 2-3 วันหรือมากกว่านี้ จะไม่เผาศพในวันอังคารและวันศุกร์ ถือเป็น "วันผีกินคน" เชื่อว่าหากเผ่าในวันต้องห้ามจะทำให้มีคนตายตามอีก การส่งศพไปยังเมรุที่วัดของชุมชนนี้จะมีหญิงสาวพรหมจรรย์ 5 คนอยู่ในขบวนแห่ศพ แต่งกายและโพกศีรษะด้วยผ้าขาวหรือไม่ก็แต่งชุดสีดำแล้วนำผ้าขาวมาห่มทับ หญิงสาวคนแรกเดินนำหน้าศพ ต่อจากพระภิกษุ ถือขันเงินบรรจุข้าวตอกและเงินบาท โปรยเป็นระยะๆ ส่วนอีสี่คนเดินข้างโลงศพ ถือ "สรากะฮอม" คนละ 1 ชุดสำหรับล้างหน้าศพก่อนทำพิธีเผาศพ ซึ่งประกอบด้วย มะพร้าวอ่อนที่ปักธูป 1 ดอก โดยเสียบหมากไว้ที่ปลายก้านธูป 1 ลูก ส่วนพิธีกรรมก่อนเผามีลักษณะคล้ายกับพิธีที่ทำในเมือง การแต่งงาน นิยมจัดในเดือน 4 (มีนาคม) ชายหญิงบางรายนามสกุลเดียวกันก็สามารถแต่งงานกันได้ พิธีแต่งงานถือว่าผู้ชายจะเข้ามาเป็นผู้อาศัยอยู่กับผู้หญิงเพื่อเข้ามาใช้แรงงาน โดยผู้ชายเป็นฝ่ายมาสู่ขอ เพราะพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะต้องรับเลี้ยงดูและให้มรดกเพื่อสร้างตัว การเชิญแขกญาติพี่น้องจะต้องนำบุหรี่ใส่พานไปด้วยเรียกว่า "ขันห้า" และผู้รับเชิญจะหยิบบุหรี่ในขันห้าสองมวนเป็นอันเสร็จพิธี ก่อนวันแต่งงาน 1 วัน ที่บ้านฝ่ายหญิงจะจัดเลี้ยงแก่ญาติและแขกที่มาร่วมงาน ซึ่งเรียกว่า "ไปจองได" ผู้ร่วมงานจะนำเงินใส่ซองมอบให้ เรียกว่า "ขี่กัน" ในวันพิธี ก่อนที่พราหมณ์ (อาจา) จะมาสวด ญาติผู้ใหญ่จะตรวจนับสินสอดและมีการประกาศให้ผู้ไปร่วมงานทราบโดยทั่วกัน หลังจากนั้น จึงเข้าสู่พิธีบายศรีสู่ขวัญและผูกข้อมือบ่าวสาวเป็นอันเสร็จพิธี พิธีโกนจุก หากเด็กที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง เลี้ยงดูยากและเจ็บไข้บ่อย เด็กผู้หญิงจะไว้ผมจุก ส่วนเด็กผู้ชายจะไว้ผมแกละ และจะมีพิธีโกนจุก ในพิธีจะทำกรวยเจ็ดชั้นหรือใช้ต้นกล้วยสูงเท่าผู้โกนจุก มีการนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 9 รูปมาสวดและมีการจัดเลี้ยงอาหารและสุราแก่ผู้มาร่วมงาน ครัวเรือนที่มีฐานะดีจะมีการจัดมหรสพ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลิเก ประเพณีงานบวช หากเป็นแบบเรียบง่ายก็จะไปพบเจ้าอาวาสเพื่อกำหนดวันเมื่อถึงวันบวช ตอนเช้าจะมีการทำอาหารไปที่วัดและทำพิธีบวช หากจะทำพิธีให้สมเกียรติจะมีการสู่ขวัญและแห่นาครอบหมู่บ้านและมีการจัดงานเลี้ยงเช่นเดียวกับประเพณีอื่นๆ งานประเพณีประจำหมู่บ้าน เช่น - งานปีใหม่ จะหยุดติดต่อกันหลายวัน ไม่มีพิธีกรรมใดๆ เป็นการรวมญาติเพื่อพบปะสังสรรค์เช่นเดียวกับชุมชนอื่นๆ - งานเทศมหาชาติ โดยปกติจะจัดในเดือนยี่ของทุกปี โดยชาวบ้านจะจัดทำกัณฑ์เทศน์แห่ต้านเงินมาวัดและร่วมฟังเทศน์มหาชาติ - งานทำบุญหมู่บ้านหรือเลี้ยงศาลปู่ตา จะจัดในเดือนหกทางจันทรคติ โดยมีผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้กำหนดวัน ในพิธีจะนำพระพุทธรูป 1 องค์และนิมนต์พระสงฆ์ 1 รูปนั่งบนเสลี่ยง เดินแห่ไปตามถนนรอบหมู่บ้าน ผู้ร่วมขบวนจะดื่มสุราและเต้นรำ ฟ้อนรำนำหน้าขบวนแล้วไปรวมกันที่ลานข้างศาลปู่ตา - งานแห่เทียนเข้าพรรษาจัดในวันวันอาสาฬหบูชา - ประเพณีสารทไทย บ้านตลุงเก่ามีวันสารทเล็กตรงกับวันแรม 15 ค่ำเดือน 9 ส่วนวันสารทใหญ่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ในวันสารทเล็กไม่มีพิธีอะไรนอกจากนำอาหารไปถวายวัด ส่วนวันสารทใหญ่จะทำกระยาสารทและขนมต่างๆ ไปทำบุญที่วัดเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ (หน้า 46-50) |
|
Education and Socialization |
ชาวบ้านมีค่านิยมใฝ่การศึกษา มองว่าการศึกษาทำให้สถานภาพทางสังคมและครอบครัวดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ปัจจุบันบ้านตลุงเก่ามีโรงเรียน 1 แห่ง ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2474 เดิมชื่อโรงเรียนประชาบาล ตำบลโคกม้า 2 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนวัดบ้านตลุงเก่า เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียน 345 คน มีครู 18 คนและมีนักการ 1 คน (หน้า 55) |
|
Health and Medicine |
ชุมชนบ้านตลุงเก่ามีสถานีอนามัยอยู่ติดกับหมู่บ้าน ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2503 และมีโรงพยาบาลประโคนชัย ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 10 กิโลเมตร การวางแผนครอบครัว มีหญิงวัยเจริญพันธุ์ อายุระหว่าง 15-44 ปี จำนวน 341 คน คิดเป็นร้อยละ 44.0 ของประชากรหญิงทั้งหมด และเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อยู่ร่วมกับสามี จำนวน 159 คู่ คิดเป็นร้อยละ 43.0 ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ทั้งหมด หญิงที่ตั้งครรภ์มีการฝากครรภ์ตามเกณฑ์ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก และนิยมคลอดที่โรงพยาบาล ด้านการเจ็บป่วย ส่วนใหญ่จะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ รองลงมาคือโรคระบบทางเดินอาหาร สำหรับโรคเรื้อรังที่พบได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ 11 ราย ผู้พิการทางร่างกาย 13 ราย พิการทางสติปัญญา 2 ราย นอกจากการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ชาวบ้านบางรายยังมีความคิดความเชื่อในการรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์หรือแพทย์แผนโบราณ โดยมีหมอพื้นบ้านเป็นผู้รักษา ได้แก่หมอน้ำมนต์ หมอยาสมุนไพร หมอทรงหรือแม่มด หมอโบลและหมอกระดูก เป็นต้น (หน้า 56-58) ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านมีบทบาทเกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพทั้ง 3 ระบบที่มีอยู่ในชุมชน ซึ่งได้แก่ ระบบการแพทย์สามัญชน ระบบการแพทย์พื้นบ้านและระบบการแพทย์แบบตะวันตก ในลักษณะที่เป็นทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพ โดยนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดมาใช้ในชีวิตประจำวันทั้งในสภาวะที่ร่างกายปกติและเมื่อเกิดการเจ็บป่วย (หน้า 65) - การนวด เป็นวิธีรักษาอาการเจ็บป่วย ไม่มีการใช้ยารักษา มีเพียงการนวดและกดจุดบริเวณที่ปวดเท่านั้น นอกจากนี้ผู้นวดยังนำความคิดความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์มาใช้ในการรักษาอีกด้วย - การทำพิธีทรง เป็นพิธีเพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาอาการเจ็บป่วย โดยมีคนทรงเป็นผู้กำหนดรูปแบบพิธีกรรม (หน้า 70-71) - การโบล เป็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์วิธีหนึ่งที่ใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพ โดยมีผู้เชื่ยวชาญ ทำพิธีโบลเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วยและบอกวิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ แต่ไม่ใช่วิธีการรักษาโดยตรง (หน้า 77) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันขนบธรรมเนียมและประเพณีดั้งเดิมบางอย่างได้ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสังคมและบางอย่างได้เปลี่ยนให้สอดคล้องกับการเคลื่อนย้ายกำลังแรงงานของคนรุ่นใหม่ (หน้า 55) |
|
Other Issues |
บทบาทของผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านในการดูแลสุขภาพ ความคิดความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพ ผู้หญิงจะมีบทบาทมากกว่าผู้ชายในชุมชน ในด้านความเชื่อทางศาสนา แม้ผู้หญิงจะบวชเป็นสงฆ์ไม่ได้ แต่ก็สามารถเข้าร่วมและเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้เป็นอย่างดี เช่น เป็นผู้นำในการสวดมนต์ในการประกอบพิธีกรรมเซ่น "ศาลจรีรโยง" เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในชุมชน ทำให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทสาธารณะในสัดส่วนเพิ่มขึ้น (หน้า 62-63) |
|
Map/Illustration |
ภาพ - แสดงพิธีแห่ศพที่ผู้หญิงพรหมจรรย์ช่วยส่งดวงวิญญาณของผู้ตาย (หน้า 64) - นางเพียง วินประโคน นวดเพื่อคลายเครียด (หน้า 69) - นางเพียง วินประโคน นวดเพื่อการรักษา (หน้า 69) - นางปรานี ปะรัมย์ ทำพิธีทรงเพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วย (หน้า 73) - แม่กวง พวงประโคน ทำพิธีโบลเพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วย (หน้า 79) - แม่กวง พวงประโคน ทำพิธีโบลเพื่อการรักษา (หน้า 79) - แม่ยัง สิทธิสังข์ กับยาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษา (หน้า 81) - โครงสร้างของระบบสุขภาพในชุมชน (หน้า 83) แผนที่ - แผนที่หมู่บ้านตลุงเก่า (หน้า 33) |
|
|