|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การถ่ายทอดวัฒนธรรม,ค่านิยม,ความเชื่อ,พิธีกรรม,การทอผ้า,เพชรบุรี |
Author |
รัชพล ปัจพิบูลย์ |
Title |
กระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้าของชาวไทยทรงดำ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
124 |
Year |
2538 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานวิจัยนี้เป็นกระบวนการถ่ายทอดการทอผ้าที่สืบต่อกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยการสอนการทอผ้า มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอด ผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการถ่ายทอด ได้แก่ พ่อ แม่ และญาติพี่น้องที่มีความรู้เป็นผู้ถ่ายทอดแก่ลูกหลานที่ยังไม่ได้รับการเรียนรู้ จนสามารถปฏิบัติเองได้เพื่อจะได้มีผ้าทอของไทยทรงดำ ไว้ใช้เข้าร่วมพิธีกรรมของชุมชน |
|
Focus |
ศึกษาการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้าและวัฒนธรรมท้องถิ่นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ของไทยทรงดำ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยทรงดำมีชื่อเรียกอย่างอื่นด้วย เช่น ลาวโซ่ง ลาวทรงดำ หรือผู้ไทยดำ ที่หมายถึงกลุ่มเดียวกัน ในเขตพื้นที่ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ที่จัดว่ามีไทยทรงดำอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด ได้แก่ ต.หนองชุมพล ต.หนองชุมพลเหนือ ต.ทับคาง ต.หนองปรง และ ต.ห้วยท่าช้าง ประชากรไทยทรงดำของอำเภอเขาย้อยมีจำนวน 22,545 คน จากประชากรของอำเภอเขาย้อยทั้งหมด 37,320 คน จัดได้ว่าอำเภอเขาย้อยมีไทยทรงดำหนาแน่นที่สุด (หน้า 22, 31) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
การอ่านการเขียนของไทยทรงดำจะใช้ภาษาไทยทรงดำของตนเองนับตั้งแต่ได้อพยพเข้ามาในอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ไทยดำไม่ได้จัดระบบการศึกษาในชุมชนของตนเองการเรียนรู้ภาษาเป็นเพียงการถ่ายทอดในครอบครัวเท่านั้น และเน้นที่ภาษาพูดเท่านั้น ในปัจจุบันจำนวนไทยทรงดำที่อ่านหนังสือไทยทรงดำได้มีน้อยลง ภาษาไทยทรงดำมีลักษณะไม่แตกต่างจากภาษาไทยกลางมากนัก จะมีลักษณะเป็นคำโดด เช่น คำว่า อ้าย เอม แลง ง่าย ช่วง ถ้าคำมีหลายพยางค์ก็จะเอาคำโดดมาผสมกัน เช่น ช่วงฮี กางเกงขายาว ลุกกก-ลูกคนแรก เป็นต้น (หน้า 40-41) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามประมาณ 5 เดือน (หน้า 18) |
|
History of the Group and Community |
ไทยทรงดำเป็นชนชาติหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบริเวณจีนตอนใต้บริเวณสิบสองจุไทยและเมืองแถง(ปัจจุบันคือเมืองเดียนเบียนฟู) เมืองสิบสองจุไทยประกอบด้วยผู้ไทยขาว 4 เมือง ผู้ไทยดำ 8 เมืองรวมเป็น 12 เมือง จึงเรียกว่าสิบสองจุไทย ส่วนที่อยู่ในประเทศไทยเป็นลูกหลานของไทยทรงดำที่มีถิ่นฐานเดิมบริเวณเมืองแถง แคว้นสิบสองจุไทย ซึ่งได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อำเภอเขาย้อยเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ตามหลักฐานมีการอพยพเข้ามาถึง 2 สมัยด้วยกัน คือ สมัยแรกในปี พ.ศ. 2322 สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้กองทัพสมเด็จพระเจ้ามหากษัตริย์ศึกและพระเจ้ายาสุรสีห์พิษณุวาธิราชไปตีเมืองล้านช้างและก็ให้เก็บทรัพย์สิ่งของเข้ามาที่เมืองพันพร้าว แล้วให้ทัพเมืองหลวงพระบางไปตีเมืองทันต์แล้วนำครอบครัวลาวเวียง ลาวทรงดำลงมาถึงกรุงในเดือนยี่ ปีกุน ลาวทรงดำในโปรดให้ไปตั้งบ้านเรือนที่เพชรบุรี ใน พ.ศ.2371 สมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาธรรมาฯ ยกทัพขึ้นมาถึงเมืองแถง จัดการราชการเรียบร้อยแล้วได้พาครอบครัวเมืองแถงและสิบสองจุไทย ซึ่งเป็นไทยดำลงมาที่กรุงเทพฯ แล้วจึงโปรดให้ไทยดำเหล่านั้นตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองเพชรบุรี (หน้า 22-27) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งบ้านเรือนนิยมปลูกเรือนรวมกันเป็นกลุ่ม มีการกระจัดกระจายบ้างเป็นบางส่วนซึ่งไปปลูกบ้านตามที่นาของตนเอง บ้านแต่ละหลังจะอยู่ใกล้ๆ กัน มีถนนซอยผ่านหน้าบ้านเป็นสายๆ บริเวณบ้านแต่ละหลังมีรั้วกั้นเป็นอาณาเขตซึ่งบางที่จะมี 2-5 หลังอยู่ในรั้วเดียวกัน สิ่งปลูกสร้างทุกบ้านจะมีตัวบ้านและฉางข้าวซึ่งไทยทรงดำรียกว่า "ทงเล้า" ลักษณะบ้านไทยทรงดำแท้ๆ เรียกว่า "เฮือนลาว" ซึ่งหาดูได้ยาก ส่วนมากจะสร้างผสมผสานกับบ้านสมัยใหม่ (หน้า 31-33) (รายละเอียดลักษณะบ้านดูหัวข้อ Art and Crafts) |
|
Demography |
ไทยทรงดำอาศัยอยู่ที่ ต.หนองชุมพล ต.หนองชุมพลเหนือ ต.ทับคาง ต.หนองปรง และ ต.ห้วยท่าช้าง ประชากรไทยทรงดำของอำเภอเขาย้อยมีจำนวน 22,545 คน จากประชากรของอำเภอเขาย้อยทั้งหมด 37,320 คน จัดได้ว่าอำเภอเขาย้อยมีไทยทรงดำหนาแน่นที่สุด (หน้า 22, 31) |
|
Economy |
อาชีพหลักของไทยทรงดำคือ ทำนา ปัจจุบันทำนาปีละ 2 ครั้ง แต่สมัยก่อนจะทำนาปีละ 1 ครั้ง จะทำทั้งนาข้าวจ้าวและข้าวเหนียว เมื่อเสร็จฤดูปักดำผู้ชายจะออกรับจ้างทั่วไป บ้างก็เข้าป่าหาของป่า บ้างก็ทำไร่ปลูกถั่ว พริก มัน ปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน บางคนจะลงมือทอผ้าซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องทำเพราะสมัยก่อนต้องทอผ้าเพื่อไว้นุ่งห่มในครอบครัว การเพาะปลูกทั่วไปจะปลูกผัก ผลไม้ ไว้เพื่อกินในครัวเรือน แต่ที่พิเศษคือ การปลูกต้นครามเพื่อเป็นน้ำนิลไว้ย้อมผ้าฝ้าย บริเวณริมรั้วบ้านจะนิยมปลูกต้นหม่อนไว้เพื่อเลี้ยงตัวไหมเพื่อผลิตเส้นไหมไว้ทอผ้า บางครอบครัวสามารถผลิตไว้จำหน่ายเป็นรายได้ของครอบครัวด้วย (หน้า 34) |
|
Social Organization |
สภาพทางสังคม สถาบันครอบครัวของไทยดำจะให้ความสำคัญต่อผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ลูกชายทุกคนต้องเป็นผู้เลี้ยงผีพ่อแม่ ส่วนลูกสาวเมื่อแต่งงานต้องไปเข้าผีฝ่ายสามีและเลี้ยงผีฝ่ายของสามีแทน สังคมในชุมชนไทยดำมีการจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาในชุมชนมากมาย มีทั้งกลุ่มที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ กับกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ - กลุ่มที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการได้แก่ กลุ่มที่ตั้งขึ้นด้วยกฎระเบียบที่แน่นอนเช่น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มเครดิตยูเนี่ยน เป็นต้น - กลุ่มที่จัดตั้งขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มที่จัดตั้งขึ้นเองไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่แน่นอน จัดตั้งขึ้นมาด้วยความสัมพันธ์ของสมาชิก เพื่อประโยชน์รวมกัน เช่น กลุ่มทอผ้า กลุ่มย้อมผ้า กลุ่มแม่บ้านการเกษตร เป็นต้น (หน้า 35-36) วัฒนธรรมประเพณีลงข่วงเป็นสถานที่ที่หญิงกลุ่มหนึ่งนั่งทำการฝีมือเกี่ยวกับเย็บปักถักร้อย งานประดิษฐ์ ในระหว่างนั้นมีการแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน เริ่มกันประมาณ 22.00 นาฬิกา โดยเปิดไฟให้สว่างเพื่อเปิดโอกาสสนทนาอย่างเสรี การลงข่วงเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายหญิงได้รู้จักอุปนิสัย และฝ่ายชายรู้จักฝ่ายหญิงด้วย (หน้า 54-57) |
|
Political Organization |
สังคมในชุมชนมีผู้นำทั้งเป็นทางการและผู้นำที่ไม่เป็นทางการ ผู้นำทั้งสองแบบจะมีบทบาทมากในการถ่ายทอดวัฒนธรรมแต่มีบทบาทแตกต่างกันไป - ผู้นำที่เป็นทางการได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูใหญ่ ผู้นำเหล่านี้จะใช้การสนับสนุนอำนวยความสะดวกต่อการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่จัดขึ้นในหมู่บ้าน และผู้นำที่เป็นทางการบางคนได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการสืบทอดวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการทอผ้า ทำให้วัฒนธรรมการทอผ้าและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญมีน้ำหนัก เกิดความเชื่อถือมากขึ้นในการนับถือปฏิบัติ - ผู้นำที่ไม่เป็นทางการได้แก่ ผู้สูงอายุที่ให้การถ่ายทอดวัฒนธรรมในการทอผ้าและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้นำที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ผู้นำเหล่านี้จะมีบทบาทมากกว่าผู้นำที่เป็นทางการ เพราะจะเป็นผู้นำในการสืบทอดวัฒนธรรม และจะคอยสอดแทรกแนะนำอบรมให้รู้ระเบียบข้อบังคับต่างๆ และสมาชิกในชุมชนจะเชื่อฟังผู้นำเหล่านี้เพราะเป็นผู้อาวุโส (หน้า 37-38) |
|
Belief System |
ไทยทรงดำเกือบทั่งหมดนับถือพุทธศาสนา มีบางครอบครัว ที่นับถือศาสนาคริสต์โดยนับถือผีควบคู่ไปด้วย พวกที่นับถือพุทธศาสนาจะนิมนต์พระมาทำพิธีในบางพิธีเช่น พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีแต่งงาน ดังนั้น ตำบลแต่ละตำบลจะมีวัดไม่ต่ำกว่า 1 แห่ง และผู้ชายเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จะบวชพระทดแทนพระคุณพ่อแม่ (หน้า 40-41) การเสนเฮือนคือการเซ่นผีเรือน การเสนเฮือนแบ่งได้ 2 แบบคือ เสนเฮือนธรรมดา ปกติการ "เสนผู้ท้าว" เรียกว่าเสนใหญ่จะมีการฆ่าควาย ส่วนเสนผู้น้อยจะฆ่าสุกร การฆ่าสุกรเพื่อเสนผี ก่อนฆ่าจะบอกผีเรือนและพระภูมิก่อน การชำแหละเนื้อสุกรต้องทำในห้องผีเฮือน เมื่อถึงเวลาหมอผีจะเชิญวิญาณผีญาติเจ้าของเรือนที่เชื่อว่าอยู่บนสวรรค์ให้ลงมาที่ห้องพิธี เพื่อเชิญกินอาหารเมื่ออิ่มแล้วจะแนะนำให้ผีรู้จักลูกสะใภ้ และจะเชิญผีกินอาหารอีกครั้งเวลาประมาณบ่ายสองโมง เมื่อเสร็จแล้วก็จะเชิญวิญาณกลับแล้วหมอผีจะกล่าวลา การเสนผีเรียกขวัญ เมื่อมีคนในบ้านเจ็บป่วยฝันเพ้อบ่อย เจ้าของบ้านจะจัดการเสนเรียกขวัญ การเสนจะมีการฆ่าสุกร ส่วนเครื่องเสนจะต่างจากการเสนธรรมดาคือมีผ้าฝ้ายที่ทอเองความยาวไม่น้อยกว่า 1 วา การเยื้องเป็นความเชื่อด้านความเจ็บป่วย เมื่อเกิดการเจ็บป่วยจะนำเสื้อของผู้ป่วยไปให้หมอเยื้องทำพิธี 3 วัน หลังจากนั้นญาติผู้ป่วยจะมาถามสาเหตุ ถ้าเสี่ยงทายหาสาเหตุไม่พบก็จะยกเลิกการเยื้อง ถ้าทราบสาเหตุการป่วยก็จะแก้ด้วยวิธีการของหมอเยื้องเป็นผู้แนะนำและญาติผู้ป่วยไปปฏิบัติตาม การจัดงานศพเมื่อมีผู้ตายเจ้าของบ้านจะยิงปืนขึ้นฟ้า 1-2 นัดเพื่อบอกชาวบ้านให้ทราบ ชาวบ้านก็จะหยุดงานมาช่วยในการทำหีบศพ ทำอาหาร ฯลฯ และในพิธีศพต้องมี "เขยกก" เพื่อทำพิธีศพตั้งแต่ อาบน้ำศพ บรรจุศพลงหีบ พิธีเผาศพ และบอกทางให้ผีกลับบ้านเกิดเมืองเดิม การอาบน้ำศพ ญาติผู้ตายต้องช่วยกันอาบน้ำศพซึ่งเป็นการอาบน้ำทั้งตัว ผัดหน้าทาแป้งแต่งชุดใหม่ เสื้อผ้าต้องไม่มีกระดุม และจะสวมเสื้อ 2 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นเสื้อก้อม ชั้นที่ 2 เป็นเสื้อฮี แต่ต้องเอาด้านในออกที่คอเสื้อจะมีเงินเหรียญผูกติดเอาไว้ และนุงผ้าซิ่นให้ศพ 3 ผืน และใช้ผ้าแพรแดงปิดหน้าศพจากนั้นเขยกกจะมัดศพโดยมัดหัวแม่เท้าอย่างเดียว พิธีเผาศพ เมื่อมาถึงป่าช้า เขยกกจะเลือกสถานที่ที่จะใช้เผาศพ เมื่อเลือกแล้วจึงก่อกองไฟ และหามวนซ้าย 3 รอบกองไฟ แล้วนำศพไปวางบนกองไฟ ขณะที่ไฟลุกจะมีญาติ 2 คนยืนอยู่สองข้างโยนสิ่งของเครื่องใช้ผู้ตายข้ามไปมา 3 ครั้ง สิ่งของเหล่านี้จะไม่เผาจะเก็บไว้แจกตอนงานพิธีเผาศพเสร็จ พิธีเก็บกระดูก วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 9.00 น.เขยกก ลูกผู้ตายและญาติสนิทจะไปเก็บกระดูกที่ป่าช้าโดยเก็บกระดูกวางไว้บนผ้า และทำความสะอาดกระดูกด้วยน้ำผสมยาอบไทยและขมิ้น ลูกชายคนโตจะแบ่งกระดูกไปเก็บไว้ที่บ้าน และขุดหลุมตรงที่เผาศพและนำหม้อดินบรรจุกระดูก ฝังในหลุมแล้วช่วยกันกลบ ขั้นตอนสุดท้ายพิธีบอกทางศพ เขยกกจัดทำเครื่องเซ่นมาวางแทนที่เป็นของใช้ ผู้ตายและจะมีเครื่องเซ่นผี เขยกกจะเรียกผีมากินเครื่องเซ่น ให้ญาติทุกคนที่สวมเสื้อทุกข์มานั่งในห้องพิธี และทำพิธีการทำก้อยเนื้อให้กิน และเขยกกจะรินเหล้าให้ญาติผีเดียวกันดื่มทุกคนเพื่อเป็นการลาผู้ตาย และก้มลงเป็นการคำนับศพ ต่อจากนั้นเขยกกจะบอกทางศพให้กลับบ้านเกิดเมืองเดิม จากนั้นก็ไปป่าช้าไปช่วยกันประกอบเสาหลวงที่ป่าช้า ประกอบเสาหลวงเสร็จ เขยกกจะขุดหลุมหน้าบ้านจำลอง ญาติพี่น้องต้องช่วยกันกลบหลุมและกราบหน้าเสาหลวงและหน้าบ้านจำลอง 1 ครั้ง อันเป็นเสร็จพิธีศพ แต่เจ้าของบ้านต้องหาวันดีเพื่อเชิญผีขึ้นเรือนและจดชื่อผู้ตายไว้ในบัญชีรายชื่อผีเรือน |
|
Education and Socialization |
การศึกษาในชุมชนมีทั้งการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบโรงเรียน การศึกษาทั้ง 2 ระบบนี้มีบทบาทแตกต่างจากการดำรงชีวิตในชุมชน แต่การดำรงชีวิตส่วนมากจะเกี่ยวกับการศึกษานอกระบบโรงเรียน การศึกษาในระบบโรงเรียนในอดีตที่ผ่านมา การศึกษายังไม่มีการพัฒนาและการบังคับเหมือนสมัยปัจจุบันคนในชุมชนส่วนหนึ่งจะไม่รู้หนังสือส่วนมากจะอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้หญิงจะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเพราะการเรียนหนังสือสมัยนั้นต้องเรียนตามวัด ดังนั้น ผู้ที่คลุกคลีกับพระได้จึงเป็นผู้ชาย การเรียนไม่มีการแบ่งชั้นเรียน ไม่กำหนดวัน เวลา และอายุเอาเพียงสามารถอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น ภาษาที่ใช้เรียนสมัยนั้นเป็นเป็นภาษาไทยดำและภาษาไทยกลางทั้งภาษาพูดภาษาเขียนใช้ผสมผสานกัน ในปัจจุบันแต่ละตำบลมีโรงเรียนอนุบาลจนถึงชั้น ป.6 การเรียนการสอนเป็นภาษาไทยทั้งหมด ในการศึกษาภาคบังคับนี้ทุกตำบลจะมีสมาชิกเข้าศึกษาเกือบ 100% เว้นแต่ผู้ที่มีร่างกายพิการเท่านั้น (หน้า 138-140) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะบ้านของไทยทรงดำแท้ๆ เรียกว่า "เฮือนลาว" มีลักษณะเป็นบ้านแบบหลังคาไม่มีจั่ว เป็นการยกอกไก่ขึ้นสูงและติดตั้งเครื่องบนเช่น แป กลอน เสร็จแล้วมุงด้วยหญ้าคา รูปหลังคาเป็นรูปวงรีคล้ายกระโจมคลุมต่ำลงมาถึงฝา ชายหลังคาสูงจากพื้นประมาณ 1-2 เมตร มองจาภายนอกเหมือนบ้านไม่มีฝาเพราะหลังคาปกคลุมหมดบ้าน บ้านยกพื้นสูงจากดิน 2-3 เมตร กั้นห้องอย่างน้อย 1 ห้อง สำหรับเป็น "กะล้อห่อง" สำหรับไว้ผู้ผีตระกูลเพื่อประกอบพิธีทางผี ด้านสกัดจะต่อเติมเป็นห้องเรียกว่า "กว้าน" มีประตูติดต่อกับตัวบ้านและอีกด้านหนึ่งมีบันไดลงพื้นดิน ส่วนที่ทำใต้ถุนสูงเพื่อไว้เป็นที่ตั้งกี่ทอผ้า อีกส่วนหนึ่งเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย จะเห็นได้ว่าการปลูกเรือนจะอำนวยต่อการทอผ้าของไทยทรงดำ (หน้า 32) การเล่นคอน ในเดือน 5 ทั้งเดือนจะมีการเล่นคอน ทั่วไปหนุ่มๆ มักไปเล่นที่หมู่บ้านอื่น ส่วนใหญ่จะเล่น 5-10 คน ในนี้มักมี หมอแดน หมอขับ หมอลำ การแต่งกายในการเล่นทั้งหญิงชาย สวมเสื้อฮีไม่เอาลายออก จะมีเครื่องแต่งด้วย สไบ ผ้าซิ่น กางเกงมาอวดกันใครสนใจก็จะสอบถามถึงการทอการตกแต่ง การเล่นคอนมีอยู่ 2 อย่างคือ การเล่นคอนธรรมดาและการเล่นคอนค้าง(หน้า 57) การแต่งกายของไทดำที่ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มคือเสื้อผ้า จะนิยมทำขึ้นเองทั้งหมดไม่ว่างานมงคล หรืออวมงคลจะใช้เป็นเสื้อผ้าแบบเดียวกันทั้งหญิงและชาย ยกเว้นในงานพิธีกรรมจะใส่ชุดพิเศษ สีเสื้อผ้านิยมใช้สีดำหรือสีครามเข้มจะมีสีอื่นก็แค่ตกแต่งเท่านั้น ไทดำมีการทอผ้าใช้เองเพราะเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งในอดีตไทดำอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีนจะอยู่ตามที่ดอนซึ่งด้านหนึ่งเป็นที่ลุ่มจะปลูกข้าวอีกด้านหนึ่งจะติดป่าและไว้ปลูกฝ้าย เพื่อเป็นวัตถุดิบในการทอผ้าฝ้าย ผ้าทอของไทดำมี 4 ชนิดคือ ผ้าฝ้าย ผ้าซิ่นลายแตงโม ผ้าตีนซิ่นและผ้าไหม - การทอผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่ได้จากดอกฝ้ายนำมาผ่านกรรมวิธีต่างๆ และปั่นเป็นเส้นด้ายในการทอผ้า การทอผ้าจะใช้กระสวยในการเดินเส้นนอน สอดช่องว่างของด้ายยืนที่สลับกันโดยใช้เท้าเหยียบขายันซึ่งมีเชือกผูกไว้ขยับขึ้นลงได้ และทำให้เกิดช่องว่างพร้อมทั้งจับกระสวยให้สอดเข้าไปในช่องว่างกระสวยก็จะปล่อยด้ายนอนและกดฟิมให้แน่นทำไปเลยๆ จนกว่าด้ายนอนจะเต็มด้ายยืนก็จะได้ผ้าฝ้ายหนึ่งผืน - การทอผ้าซิ่นลายแตงโมเหมือนกับการทอผ้าฝ้ายจะแตกต่างกันคือ ด้ายยืนย้อมสีแดง ด้ายนอนกับด้ายพุ่งย้อมสีดำและขาว การทอจะใช้กระสวย 2 อันคือด้ายสีดำและด้ายสีขาวสลับกัน ทอด้ายดำประมาณ 2 นิ้วสลับสีขาว 4 เส้นและด้ายสีดำอีก 2 นิ้วสลับด้วยด้ายขาว 2 หุน 2 เส้น โดย 2 เส้นจะห่างกันอยู่ 2 หุนซึ่งสลับด้วยสีดำ จากนั้นก็ทอเหมือนการเริ่มต้นใหม่ - การทอผ้าตีนซิ่น การทอเหมือนการทอผ้าฝ้ายแต่ใช้เส้นฝ้ายที่โตกว่า ด้ายยืนจะย้อมสีดำและสลับด้ายสีฟ้าขนาดผ้าที่ทอจะกว้างประมาณ 3 นิ้ว - การทอผ้าไหมจะได้จากเส้นใยไหมที่ไทดำเลี้ยงและสาวเอาใยไหมออกมาและนำมาแช่น้ำด่างเพื่อให้เส้นไหมอ่อนตัวและเพื่อสะดวกในการกรอ การทอผ้าไหมแตกต่างจาการทอผ้าฝ้ายคือการทอนั้นเส้นด้ายนอนจะเปียกตลอดเวลาเพื่อให้เส้นไหมกระชับแน่นมากขึ้น การทอผ้าไหมจะไม่นิยมทอกันมาก จะทอไว้ในพิธีงานศพและไม่นิยมนำมาตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม การย้อมสีผ้า ผ้าฝ้ายทอแล้วจะมีสีขาว ก่อนนำไปใช้งานต้องย้อมสีก่อน สีย้อมจะได้จากธรรมชาติ เช่น ต้นครามซึ่งปลูกไว้ริมรั้วหรือชายป่า โดยนำต้นครามทั้งต้นแช่น้ำประมาณ 5-7 วัน ใบจะร่วงนำต้นทิ้งไปและแช่หมักใบครามอีกหนึ่งสัปดาห์ จนใบเน่าเปื่อยหมด นำไปกรองให้เหลือแต่น้ำ นำผ้าที่จะย้อมมาแช่ไว้ 1 คืน แล้วนำออกมาล้างและตากแดดนำไปใช้งานต่อไป (หน้า 46-50) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การรวมกลุ่มมีผลต่อกระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้าเป็นอย่างมากเนื่องจากสมาชิกในกลุ่มมารวมกันเมื่อใครไปประสบวิธีปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างไปจากแนวการปฏิบัติของกลุ่มตน ก็จะมีการเล่าสู่กันฟังแลกเปลี่ยนความคิด ทำให้สมาชิกในชุมชนหันไปให้ความสนใจในกิจกรรมใหม่ที่ถูกนำเข้ามาจากชุมชนภายนอก ทำให้สมาชิกในชุมชนมีเวลาที่จะสนใจต่อวัฒนธรรมการทอผ้าน้อยลง (หน้า 36) จากการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้าของไทดำมีดังนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมปัจจุบันไทดำที่อำเภอเขาย้อยก็ได้รับอิทธิพลนี้ เนื่องจากอำเภอได้ประกาศเป็นเขตอุตสาหกรรม สภาพความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ จึงได้รับผลกระทบ และเกิดการเปลี่ยนแปลงตามมา การเปลี่ยนแปลงของระบบครอบครัว แต่เดิมไทดำอยู่แบบครอบครัวใหญ่แต่ปัจจุบันกลายเป็นครอบครัวเล็กๆมากขึ้น หนุ่มสาวเมื่อแต่งงานกันก็แยกครอบครัวมีลูกมีหลานก็อบรมกันเองตามรูปแบบทันสมัย การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ส่งผลถึงความสนิทสนมของครอบครัวห่างไปและส่วนใหญ่จะเป็นผลจากการถ่ายทอดของผู้อาวุโส เด็กๆ จะไม่เห็นผู้อาวุโสในครอบครัว พ่อแม่ก็ออกไปทำงานนอกบ้านเวลาในการอบรมสั่งสอนน้อยลงการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวจึงมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมการทอผ้าของไทดำประการหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของระบบคมนาคมปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าการเดินทางไปชุมชนอื่นสะดวก จึงมีโอกาสได้รู้จักบุคคลชุมชนอื่น ได้รู้จักเห็นวัฒนธรรมอื่น การซื้อสิ่งของเครื่องใช้สะดวกขึ้น ขั้นตอนการทอผ้าจึงจางหายเนื่องจากการเจริญของการคมนาคมซึ่งปัจจุบันนิยมซื้อฝ้ายสำเร็จมาจากตลาดมาใช้ในการทอหรือบางส่วนก็ซื้อผ้าสำเร็จรูปมาใช้เลย การเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาการเรียนเปลี่ยนเป็นการศึกษาในโรงเรียนไม่เหมือนเรียนรู้จากผู้อาวุโสในชุมชน เมื่อถึงวัยบังคับต้องเรียนหนังสือและบางส่วนต้องเรียนสูงขึ้น การถ่ายทอดกระบวนการทอผ้าจากผู้อาวุโสจึงน้อยลง การเปลี่ยนแปลงด้านการประกอบอาชีพ จาการที่ไทดำประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำไร่ทำนา แต่ปัจจุบันไทดำได้ขายที่นาให้กับบริษัทอุตสาหกรรมและไปทำงานโรงงาน เวลาในการพักผ่อน ช่วงว่างฤดูเก็บเกี่ยวน้อยลงไป ดังนั้นการถ่ายทอดวัฒนธรรมหรือรับการถ่ายทอดลดน้อยลงไปด้วยและเวลาในการทอผ้าไว้ใช้เองก็หมดไปหันไปซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาใช้กัน (หน้า 75-77) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนภูมิกรอบแนวความคิดในการวิจัยเอศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแผนที่แสดงถิ่นฐานเดิมของลาวโซ่ง แผนที่แสดงที่ตั้งเมืองแถง กรุงเทพฯและเพชรบุรี และแผนที่แสดงที่ตั้งเขตอำเภอเขาย้อย (หน้า15, 25, 26, 30) |
|
|