|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,คนเฒ่า,สถานภาพ,ลักษณะทางวัฒนธรรม,พิธีกรรม,สุโขทัย |
Author |
ลักษณพร กิจบุญชู |
Title |
ความชรากับสถานภาพและบทบาทของผู้สูงอายุในชุมชนโซ่ง กรณีศึกษา บ้านเนินหว้า ตำบลกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
112 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
ผู้สูงอายุหรือคนเฒ่าคนแก่ในสังคมลาวโซ่งมีบทบาทและสถานภาพตามลักษณะความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ทั้งยังมีบทบาทและความสัมพันธ์ต่อสังคมวัฒนธรรมอันเกี่ยวพันกับวิถีชีวิต ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีกรรมตามแบบของลาวโซ่งอย่างแนบแน่น เนื่องจากสังคมโซ่งให้ความสำคัญกับระบบอาวุโส ความเชื่อและการนับถือผีบรรพบุรุษ ผู้สูงอายุลาวโซ่งที่มีประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญในการธำรงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี มีบทบาทในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จึงทำให้มีสถานภาพที่สูงกว่าผู้สูงอายุลาวโซ่งส่วนใหญ่ ที่มีบทบาทและสถานภาพเพียงแค่ภายในครัวเรือน ในฐานะหัวหน้าครัวเรือนที่คอยให้คำปรึกษา เป็นที่พึ่งทางใจ อบรมสั่งสอนและถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้และวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงการเลี้ยงดูบุตรหลานก่อนวัยเรียน ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระภายในบ้าน |
|
Focus |
มุ่งศึกษาถึงความหมายของคำว่าผู้สูงอายุ คนเฒ่าคนแก่และการรับรู้ถึงความชราในสังคมลาวโซ่ง ศึกษาสถานภาพและบทบาท รวมถึงลักษณะทางวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อสถานภาพบทบาทในครัวเรือนและในชุมชนผู้เฒ่าลาวโซ่ง |
|
Ethnic Group in the Focus |
เน้นศึกษาชาติพันธุ์ลาวโซ่ง |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่คนในหมู่บ้านใช้คือภาษาโซ่ง จัดอยู่ในตระกูลภาษาไท ใช้พูดกันในชีวิตประจำวันในขณะที่ใช้ภาษาไทยกลางพูดกับคนกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ลาวโซ่ง หรือใช้พูดกับคนในหมู่บ้านหนองขานาง และหมู่บ้านเรียงกระดกซึ่งมักไปมาหาสู่กันเสมอ ลาวโซ่งเรียกตัวเองว่า "ลาวโซ่ง" โดยพูดว่า "เฮาเป๋นคนลาว" หรือ "เฮาเป๋นโส่ง" คนโซ่งเรียกผู้สูงอายุว่า "คนเฒ่า" หรือ "คนเถ่า" หรือ "เถ่า" การใช้ภาษาพูด กู มึง ถือเป็นคำปกติ แต่เด็กเล็กและเด็กที่เรียนหนังสือผู้ปกครองจะไม่ให้พูด คนเฒ่าคนแก่ใช้ภาษาลาวตลอด คำเรียกญาติมีดังนี้ พี่ชาย เรียกว่า " ปี้เอ้ย " ยาย เรียกว่า " เอ้มเถ่า" แม่ เรียกว่า "เอม" พ่อ เรียกว่า "อ่าย" ย่า เรียกว่า "เอมอู้" พี่สะใภ้ เรียกว่า "อ่ายเป้าว์" หญิงอายุมากที่ยังไม่แต่งงาน เรียกว่า "สาว" เช่น ป้าสาว ย่าสาว ยายสาว เป็นต้น (หน้า 8, 41-42) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2543-มิถุนายน 2544 (ระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน) |
|
History of the Group and Community |
เดิมลาวโซ่งบ้านเนินหว้าอพยพมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี มีสองสามีภรรยาย้ายมาตั้งรกรากที่เนินหว้า พื้นที่เดิมมีสัตว์ป่าและโจรป่าชุกชุมแต่ถูกทางการปราบปรามไป ตามประวัติในหมู่บ้านจะมีสองตระกูลเก่าแก่มาตั้งรกรากคือ ตระกูลจับแก้วเข้ามาตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้วแต่งงานกับคนในตระกูลโตอุ่นเพชร หลังจากนั้นก็มีคนในตระกูลอื่นอพยพตามกันมา ประชากรส่วนใหญ่เป็นลาวโซ่งโดยกำเนิด มีคนไทยและคนจีนที่แต่งงานกับคนโซ่งมาอยู่ในหมู่บ้าน ลูกหลานจึงมีเชื้อสายลาวโซ่ง ไทยลาว และโซ่งจีน (หน้า 49) |
|
Settlement Pattern |
ลาวโซ่งมักตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มอยู่ในละแวกเดียวกัน ชาวบ้านเรียกกลุ่มบ้านว่าเกาะ ทางตอนเหนือของหมู่บ้านเรียก เกาะไผ่ใหญ่ ตอนกลางเรียก เกาะกวงบ้าน หรือเกาะกลางบ้าน ทางใต้เรียกเกาะบ้านเกาะ รอบหมู่บ้านมีลำคลองตามธรรมชาติคือ คลองคลุกช้าง คลองถ้ำเม่นถ้ำยาง และคลองกำแบก เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำและยังใช้ทำนา ชาวบ้านมักตั้งบ้านเรือนขนาบลำคลองและถนนหลวง การตั้งบ้านเรือนเริ่มจากเกาะกลางบ้าน ขยายออกมายังทิศเหนือหรือเกาะไผ่ใหญ่ ขยายออกไปทางใต้คือเกาะบ้านเกาะ ชาวบ้านมีการติดต่อไปมาหาสู่กันข้ามจังหวัดผ่านตลาดชุมชนและโรงเรียนบ้านหนองขานาง อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ลักษณะการปลูกสร้างบ้านเรือนที่บ้านเนินหว้ามี 2 แบบคือ บ้านแบบสมัยใหม่ และบ้านแบบลาวโซ่ง ซึ่งเป็นบ้านไม้ ชั้นเดียว มีใต้ถุนสูง ใช้ไม้ไผ่สานเป็นฝาบ้าน หลังคามุงจากหรือมุงด้วยสังกะสี ตัวบ้านแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นที่อยู่ของผีเรือน (ผีบรรพบุรุษ) เรียกมุมกะล่อฮ่องอยู่ด้านในสุด เป็นส่วนที่เจ้าบ้านผู้ชายหรือผู้อาวุโสที่สุดในบ้านใช้นอน ส่วนที่สองเป็นห้องที่ใช้ประกอบพิธีกรรมเรียก "ห้องเป๋ง" เป็นส่วนที่ลูกเขยลูกสะใภ้หรือหลานใช้นอน ส่วนที่สามเป็นบริเวณที่ใช้รับแขกรียกว่า "ห้องกกชาน" เป็นส่วนที่จัดให้แขกมานอน สำหรับบ้านแบบสมัยใหม่จะคงลักษณะดั้งเดิมของบ้านลาวโซ่งไว้บางส่วน มีการต่อเติมโครงสร้าง และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น มักต่อเติมส่วนใต้ถุนบ้านทำห้องครัวหรือห้องน้ำ เปลี่ยนมาใช้ปูนแทนไม้เพราะต้นทุนถูกกว่าบ้านไม้และดูทันสมัยกว่า (หน้า 35-37) |
|
Demography |
ประชากรในหมู่บ้านเนินหว้าแต่เดิม ส่วนใหญ่เป็นลาวโซ่ง ปัจจุบันมีทั้งคนไทย ไทยเชื้อสายลาวโซ่งและคนโซ่งเชื้อสายจีน จากการสำรวจจำนวนครัวเรือนปี 2544 มีครัวเรือนทั้งหมด 89 ครัวเรือน คิดเป็นประชากรทั้งหมด 399 คน ชาย 206 คน หญิง 193 คน จากข้อมูลของสำนักบริหารการลงทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอกงไกรลาศ ตำบลกง พบว่าช่วงอายุที่มีจำนวนประชากรสูงสุดคือ 31-35 ปี (หน้า 46-47) |
|
Economy |
คนส่วนใหญ่ในชุมชนลาวโซ่งประกอบอาชีพทำนา มีจำนวนทั้งสิ้น 77 ครัวเรือน คิดเป็นรายได้เฉลี่ย 8,400 บาทต่อปี โดยจะทำนากันปีละ 2 ครั้งคือนาปีกับนาปรัง บ้างก็รับจ้างทำนาในที่ของผู้อื่น รายได้หลักส่วนใหญ่ของคนในชุมชนจึงมาจากการทำนา มีที่ได้จากการปลูกผักบ้างเล็กน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ทำนาเป็นของตนเองมีไม่กี่ครัวเรือนที่ต้องเช่านาปลูกข้าว คนที่ประกอบอาชีพนี้อยู่ในวัยกลางคน มักเป็นคนรุ่นพ่อแม่ หนุ่มสาวนิยมออกไปทำงานโรงงานในกรุงเทพหรือในต่างจังหวัด แล้วส่งรายได้กลับมาให้ครอบครัว คนแก่บ้างก็ออกไปช่วยดูแลไร่นา หรืออกไปตัดไม้ ตัดฟืน จับปลา หาของป่า หากอายุมากก็จะอยู่บ้านเลี้ยงหลานหรือช่วยงานบ้าน แทบทุกบ้านจะเลี้ยงสุกรไว้เพื่อใช้ในพิธีสำคัญต่าง ๆ แรงงานในครัวเรือนจะไม่ได้กำหนดหน้าที่หรือแบ่งความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน ชายหญิงจะช่วยกันทำนา บางครอบครัวฝ่ายชายจะออกไปทำงานรับจ้างในต่างจังหวัด มอบหน้าที่ดูแลครอบครัวให้ฝ่ายหญิง บางครัวเรือนมีรายได้จากการเปิดร้านขายของชำ ขายอาหาร ขายผักขายปลาในตลาด หรือมีรายได้จากการที่บุตรหลานออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน แล้วส่งเงินกลับมาจุนเจือครอบครัว นอกจากนี้ยังมีเงินช่วยเหลือจากทางการในรูปของเงินทุนหมุนเวียน สมาชิกสามารถกู้เงินกองทุนมาใช้ก่อนจ่ายคืนเป็นดอกเบี้ย (หน้า 55-58) |
|
Social Organization |
ลาวโซ่งสืบเชื้อสายฝ่ายบิดา หญิงเมื่อแต่งงานแล้วจะย้ายมาอยู่บ้านฝ่ายชาย หากหญิงเป็นโซ่งไปแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่โซ่ง ก็จะถือผีตามฝ่ายสามี แต่ยังสามารถกลับไปนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายตนได้อยู่ การแต่งงานมีข้อห้ามแต่งงานกันภายในสายเลือดเดียวกันหรือญาติใกล้ชิด สำหรับการแต่งงานพ่อแม่ไม่มีการบังคับ ลูกที่แต่งงานไปจะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่เป็นครั้งคราว หรืออาจส่งเงินมาให้ทางบ้านใช้ ลาวโซ่งนับญาติสืบสายเลือดทางฝ่ายชาย มีลูกชายเป็นผู้สืบทอดตระกูล และเป็นผู้ทำพิธีเลี้ยงผีหรือพิธีเสน หากครอบครัวฝ่ายหญิงไม่มีบุตรชายหรือแรงงานในครอบครัว เมื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายจะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นแรงงานให้ และต้องเลี้ยงผีทั้งของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง คู่สมรสมักปลูกบ้านในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านพ่อแม่ ภายในหมู่บ้านเดียวกันหรือชุมชนใกล้เคียง (หน้า 50-51) |
|
Political Organization |
ระบบการปกครองของหมู่บ้านเนินหว้า มีผู้นำชุมชนที่มาจากระบบการบริหาร การปกครองในท้องถิ่นอย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยและคณะกรรมการหมู่บ้าน ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมักมาจากเสียงส่วนใหญ่ของคนในหมู่บ้าน ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชน โดยเน้นความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานราชการและกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีผู้นำอย่างไม่เป็นทางการซึ่งเกิดจากคนในชุมชนเห็นว่าน่าเคารพนับถือและมีความเหมาะสม เช่น ผู้นำทางวัฒนธรรมประเพณี มักเป็นผู้อาวุโสหรือผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้ด้านขนบประเพณีดั้งเดิม สามารถให้คำปรึกษาด้านพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ (หน้า 54-55) |
|
Belief System |
ความเชื่อของลาวโซ่ง ลาวโซ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับผีหลายชนิด เช่น ผีแถน เป็นเทวดาศักดิ์สิทธิ์บนฟ้า มีอำนาจดลบันดาลได้ คนโซ่งมักจะกล่าวถึงแถนในยามประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพราะถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สมาชิกทุกรุ่นจะได้รับการปลูกฝังไม่ให้ทำอะไรที่ ผิดต่อผีแถน ระดับของแถนแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ แถนหลวงเป็นหัวหน้าแถนบนฟ้า แถนโซ้ยเป็นหัวหน้ารอง แถนถ่อง แถนฮุ่งและแถนสิง มีหน้าที่ดูแลสมาชิกในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีผีประจำหมู่บ้านที่คนโซ่งตั้งศาลไว้ อาทิ ศาลตาปู่ แต่ละหมู่บ้านจะเรียกต่างกัน บ้านเนินหว้าเรียก "ศาลเจ้าพ่อนาดอน" มีกาจจัดพิธีเลี้ยงศาลในเดือน 6 ขึ้น 6 ค่ำของทุกปี ผู้ที่ทำพิธีเซ่นไหว้พ่อปู่เรียกว่า "เจ้าจ้ำ" มีการเสี่ยงทายซึ่งเรียกว่า "การถูกไก่" เพื่อให้แต่ละบ้านผลัดเปลี่ยนกันนำเครื่องเซ่นมาถวาย ชาวบ้านมักกราบไหว้ในลักษณะบนบานศาลกล่าวเพื่อขอโชคลาภเสี่ยงทาย ลาวโซ่งเชื่อว่าหากทำให้เจ้าพ่อขุ่นเคือง หมู่บ้านอาจเกิดเหตุร้าย ผู้เฒ่าผู้แก่ที่หมู่บ้านเนินหว้ายังนับถือผีเจ้าพ่ออยู่ แต่เด็กหนุ่มสาวมักไม่ให้ความใส่ใจเท่าใดนัก คนโซ่งนับถือผีบรรพบุรุษ หรือ ผีเฮือน (ผีเรือน) ซึ่งเชื่อกันว่า มีอิทธิพลต่อชีวิตมากต้องเซ่นสรวงให้ผีเรือนพอใจ เพราะหากไม่พอใจคนในบ้านอาจเจ็บไข้ได้ป่วยหรือต้องเผชิญกับเหตุร้าย ชาวบ้านจะเคารพเคร่งครัดและไม่ผิดผี บุตรมีหน้าที่สืบทอดในการเลี้ยงผีด้วยเครื่องเซ่นเหมือนตอนที่มีชีวิตอยู่ เรียกว่า "การปาดตง" และต้องทำให้ดีที่สุดแม้จะไม่เห็นตัวตน เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ผีเรือนมีระดับชั้นตามสิง (แซ่ตระกูล) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือผีน้อยและผีใหญ่ (ผีต๊าว) ชื่อเรียกแต่ละตระกูลจะเรียกตามสิงซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่าตระกูลนั้นนับถือผีน้อยหรือผีใหญ่ ผีบรรพบุรุษของลาวโซ่งมี 6 ตระกูล สิงที่เป็นตระกูลผีใหญ่มีเพียงตระกูลเดียวคือ สิงลอ สิงที่เป็นตระกูลผีน้อยมี 5 ตระกูลคือ สิงลอ สิงเลือง สิงทอง สิงวี สิงกวาง นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามของสิงต่าง ๆ อาทิ สิงเลืองห้ามเอาตอไม้มาเผา สิงคาห้ามเอาคาเข้าบ้าน สิงลอห้ามกินดอกโสน และสิงกวางห้ามกินเสือ การประกอบพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นข้อแตกต่างด้านความเชื่อในการถือผีของสองตระกูลคือ การประกอบพิธีเสนเรือน (การเซ่นไหว้ผีเรือนด้วยอาหาร) มีทั้งพิธีเสนเล็กและเสนใหญ่ ผู้ทำพิธีเป็นหมอเสนหญิง ลาวโซ่งเรียกว่า "แม่มด" หมอเสนที่อยู่ในตระกูลผีน้อยต้องทำพิธีเสนเรือนให้กับผีน้อย พิธีเสนเรือนของผีท้าวต้องให้หมอเสนผีใหญ่มาทำพิธีให้ เป็นการสืบทอดกันมาเฉพาะตระกูล หมู่บ้านเนินหว้าไม่มีหมอเสนผีท้าวต้องเชิญมาจากหมู่บ้านอื่น เพราะในพิธีเสนเรือนมีกฎเกณฑ์การแบ่งชั้นชัดเจน ห้ามบุคคลอื่นที่ถือผีต่างตระกูลเข้าไปในบริเวณกะล่อฮ่อง ถือเป็นการผิดผี ห้ามบ้านที่ถือผีน้อยนำส่วนประกอบของบ้าน พืช สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตของบ้านที่ถือผีใหญ่มาสร้างบ้านของตนเอง นอกจากนี้ยังห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนหมู ไก่กันเป็นอันขาด นอกจากการนับถือผีต่าง ๆ แล้ว คนโซ่งยังนับถือผีเจ้าที่ ด้วยการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ไว้บริเวณบ้าน นับถือผีที่เกี่ยวกับการเกษตรหรือ ผีนาด้วยการเซ่นไหว้เมื่อจะทำนาหรือเกี่ยวข้าวด้วยการทำ "ปาดตงนา" และ "การทำขวัญข้าว" อีกทั้งยังมีความเชื่อเรื่องแม่โพสพ มีข้อห้ามเกี่ยวกับยุ้งข้าวและการพิธีเลี้ยงพระแม่โพสพ หรือที่เรียกว่า "พิธีข้าวใหม่" อีกด้วย ความเชื่อเกี่ยวกับผียังปรากฏในทุกรูปแบบ เช่น ลาวโซ่งเชื่อว่าต้นไม้ต่างก็มีผีประจำอยู่ ซึ่งเป็นความเชื่อเกี่ยวกับโชคลางและเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์อีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนความเชื่อเรื่องผีร้าย อาทิ ผีตายโหง ผีปอบ ผีกระสือ ชาวบ้านจะกลัวเกรงและพยายามป้องกันไม่ให้มารบกวน แต่จะไม่มีการเซ่นไหว้ (หน้า 52-53, 60-65, 75) ประเพณีเกี่ยวกับการแต่งงานและงานศพ การแต่งงานของลาวโซ่ง หากหญิงลาวโซ่งแต่งงานกับชายไทย จะมีการผสมผสานประเพณีแบบลาวโซ่งและแบบไทยเข้าด้วยกัน ลาวโซ่งเชื่อว่าการอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่าแสดงถึงความรักที่จีรังยั่งยืน ผู้ที่จะมาหาบกะเหล็บใส่ของสู่ขอเจ้าสาวต้องเป็นหญิงที่ยังใช้ชีวิตคู่ร่วมกับสามี ห้ามหญิงหม้าย ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มาร่วมพิธีจะมารดน้ำสังข์และผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาว ส่วนพิธีศพของลาวโซ่ง ผู้ทำพิธีคือ ลูกเขยและหลานเขยเท่านั้น เรียกว่า เขยกกและเขยหาม มีการแต่งกายไว้ทุกข์ที่เรียกว่า "เสื้อต๊ก" ตัดเย็บจากผ้าดิบสีขาว มีผ้าคาดหน้าผากคล้ายเสื้อไว้ทุกข์ของจีน ส่วนศพคนตายจะสวมเสื้อฮีซึ่งเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณผ่านนายประตูและรู้ว่าผู้ตายเป็นลาวโซ่ง ใช้เงินบาทผูกคอเสื้อศพไว้สำหรับข้ามแม่น้ำ ข้ามตาข่ายขณะเดินทางไปเมืองแถน เชื่อกันว่าหากไม่มีบาปก็จะข้ามไปได้ มักตั้งศพบริเวณขื่อ ผู้ชายตั้งตรงขื่อพ่อบ้าน หญิงตั้งตรงขื่อแม่เรือนพิธีศพจัดขึ้นภายใน 3-4วัน สวดอภิธรรม 1-2 วัน ระหว่างนี้ห้ามคนในครอบครัวอาบน้ำ และห้ามคนในหมู่บ้านทำการเพาะปลูกเก็บเกี่ยวผลผลิต ทอผ้าหรือปลูกบ้าน ผู้สูงอายุจะมีบทบาทในการทำพิธีซ้อนขวัญหรือเรียกขวัญคนตาย โซ่งเชื่อว่าวิญญาณคนตายจะกินแต่เนื้อเท่านั้น อาหารเซ่นจึงไม่มีผัก "เผื่อนล้วน" ไม่มีขนม หากพี่ตาย น้องจะฆ่าหมูขึ้นบ้าน การจัดขบวนหน้าศพมีการถือธงที่เรียกว่า "จาวอวน" และ "หลักกาว" หรือเสาหลวง เป็นเสากลมยาวหุ้มผ้า ปลายหลักกาวขึ้นรูปไม้แกะสลักเป็นหงส์หรือเซียนซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพาหนะนำพาผู้ตายไปสู่เมืองแถนบนฟ้า รูปแกะสลักนี้เป็นสิ่งแสดงสถานภาพทางเพศของผู้ตาย หากศพเป็นชายจะใช้รูปหงส์ ส่วนศพหญิงจะเป็นรูปเซียนหรือปลี (หน้า 71-74) ประเพณีรดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่ แสดงให้เห็นถึงการให้ความเคารพนับถือต่อผู้อาวุโส พิธีจัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี มีการอวยพรให้ลูกหลานที่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเพื่อขอขมาปู่ย่าตายายที่เคยได้ล่วงเกินทางคำพูดและการกระทำ พิธีรดน้ำดำหัวจัดขึ้นที่วัดเนินหว้าวนารามในวันมหาสงกรานต์ พิธีจะจัดขึ้นที่วัด คนเฒ่าคนแก่จะรวมกันไปนั่งในศาลาวัดแล้วให้ลูกหลานเข้าไปรดน้ำดำหัว หากหนุ่มสาวไม่กลับมาก็จะไม่มีการจัดพิธีนี้ แต่ส่วนใหญ่หนุ่มสาวและคนที่ไปทำงานไกลบ้านจะกลับมาทุกปีไม่เคยขาด แสดงให้เห็นการให้ความสำคัญกับคนเฒ่าคนแก่อยู่ (หน้า 80-81) ค่านิยมในสังคมลาวโซ่ง นอกจากความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษแล้ว ลาวโซ่งยังยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี สมาชิกในชุมชนยังมีค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการยึดมั่นในระบบอาวุโส ในหมู่บ้านเนินหว้า การให้ความหมายของ "คนเฒ่า" ในทัศนคติของลาวโซ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในสังคม ผ่านตำแหน่งทางเครือญาติ รวมถึงบทบาทและสถานภาพของปัจเจกบุคคลเป็นหลัก เด็กและคนวัยหนุ่มสาวจะถือว่าสมาชิกรุ่นปู่ย่าตายายเป็นคนเฒ่าคนแก่ในความคิด สมาชิกในครอบครัวลาวโซ่งจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ในเรื่องการวางตัวและให้ความเคารพนับถือต่อปู่ย่าตายาย และผู้หลักผู้ใหญ่ในฐานะปูชนียบุคคล ผู้สูงอายุจึงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากลูกหลานทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ผู้สูงอายุในครัวเรือนของลาวโซ่งมีบทบาทเป็นเหมือนผู้ดูแลหรือผู้สืบทอดผีบรรพบุรุษของตระกูล ซึ่งนับเป็นบทบาทและสถานภาพหลังความตาย อันเนื่องมาจากความเชื่อในการนับถือผีบรรพบุรุษ กล่าวคือ หากพวกเขาเสียชีวิตลงก็จะกลายเป็นผีเรือนคอยคุ้มครองดูแลสมาชิกในครอบครัวให้ปลอดภัย อีกทั้งยังคอยดูแลควบคุมความประพฤติของสมาชิก ลาวโซ่งจึงปฏิบัติต่อผีเรือนเหมือนเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ (หน้า 5, 82, 85, 87) นอกจากสถานภาพของผู้สูงอายุผ่านตำแหน่งทางเครือญาติแล้ว ยังมีบทบาทและสถานภาพที่ได้มาจากความสามารถอีกด้วย ผู้สูงอายุบ้านเนินหว้าแต่ละคนจะมีความชำนาญเฉพาะทางแตกต่างกันไป อาทิ ผู้สูงอายุที่เป็นหมอเสนหรือหมอรักษาคน จะมีความสำคัญต่อชุมชนอย่างมากเพราะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น หมอเสนเรือนทำพิธีเสนคนตาย คนในชุมชนจะให้ความเคารพนับถือแม้ผู้สูงอายุท่านนั้นจะเลิกทำหน้าที่ดังกล่าวแล้วก็ตาม หรือผู้สูงอายุชายที่รู้จักใช้สมุนไพรรักษาโรคแบบพื้นบ้าน ก็จะได้รับสถานภาพเป็น "หมอมี" หรือผู้สูงอายุหญิงซึ่งทำหน้าที่ร่างทรง หรือทำนายทายทักถือเป็น "หมอเยื้อง" กรณีตัวอย่างจากงานวิจัย อาทิ ตาแฝง - - ชายชราโซ่ง อายุ 72 ปี เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในการใช้ภาษาลาว ตามา - - ผู้สูงอายุอีกท่านหนึ่งเป็นผู้มีความรู้เรื่องการใช้สมุนไพรรักษาโรค เป็นต้น (หน้า 86, 93) |
|
Education and Socialization |
การศึกษา เด็กในหมู่บ้านเนินหว้าจะถูกส่งเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน หรือศูนย์เด็กเล็กเคลื่อนที่ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในหมู่บ้านเมื่ออายุ 6 เดือนถึง 5 ขวบ การศึกษาขั้นสูงสุดคือปริญญาตรี เด็กส่วนใหญ่มักไปเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองขานางจนถึงชั้นประถมปี ที่ 6 หลังจากนั้นจะไปต่อชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนชุมแสงสงคราม และระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนในตัวจังหวัดพิษณุโลก คนวัยทำงานส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับชั้นประถมปีที่ 4 มีเพียงไม่กี่คนที่จบชั้นประถมปีที่ 6 ผู้สูงอายุมักไม่ได้รับการศึกษา มีบางส่วนที่ จบชั้นประถม 4 ประชากรในหมู่บ้านสามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ 195 คน เด็กที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่นิยมทำงานรัฐวิสาหกิจและธนาคาร ไม่นิยมรับราชการ โดยเฉพาะอาชีพตำรวจ ซึ่งชาวบ้านไม่ชอบ มีทัศนคติไม่ดีจากประสบการณ์ ที่มักถูกเอารัดเอาเปรียบ ตำรวจจากที่อื่นมักเข้ามาหาเรื่องชาวบ้านอยู่เสมอ ทำให้ชาวบ้านไม่อยากให้ลูกหลานรับราชการตำรวจ (หน้า 47-48) บทบาททางสังคมของผู้เฒ่าในชุมชนบ้านเนินหว้าบทบาทในฐานะหัวหน้าครัวเรือนผู้มีอำนาจตัดสินใจ เนื่องจากสังคมลาวโซ่งเป็นสังคมที่ยึดถือระบบอาวุโสเป็นพื้นฐาน การมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัว การดูแลอบรมสั่งสอนสมาชิก และการหารายได้สู่ครอบครัวในอดีตเป็นของผู้สูงอายุ ค่านิยมในการยึดถือระบบอาวุโสจึงได้รับการถ่ายทอดผ่านการเรียนรู้ทางสังคมในเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ ผู้น้อยต้องรู้จักการวางตัวและเคารพนับถือเชื่อฟังผู้ใหญ่ อีกทั้งยังมีหน้าที่ต้องดูแลและเป็นที่พึ่งพิงของผู้สูงอายุเมื่อพวกเขาแก่ตัวลง ผู้สูงอายุที่ยังมีสถานภาพเป็นหัวหน้าครอบครัวอยู่ จะมีอำนาจหน้าที่ตัดสินเรื่องสำคัญต่าง ๆ อาทิ กรรมสิทธิ์ในที่ดิน การจัดการทรัพย์สินและมรดก หากมีฐานะดีหรือมีทรัพย์สมบัติมากก็จะมีอำนาจในการตัดสินใจมากตามไปด้วย ผู้สูงอายุชายที่เป็นใหญ่ในบ้านจะมีอำนาจในการตัดสินใจ ในลักษณะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรืออาจเป็นที่ปรึกษาให้แก่ลูกหลาน (หน้า 87-88, 92) บทบาทในการแบ่งเบาภาระภายในบ้าน ครอบครัวลาวโซ่งเป็นครอบครัวขยาย ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก ปู่ย่าตายายและญาติ ๆ เมื่อพ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านจึงต้องผลักภาระการเลี้ยงดูบุตรหลานที่ยังไม่เข้าโรงเรียนให้กับผู้สูงอายุ บางครอบครัวพ่อแม่ออกไปทำงานต่างจังหวัดก็ทิ้งลูกหลานไว้กับผู้สูงอายุ แล้วจึงส่งเงินค่าเลี้ยงดูมาให้แม้จะดูเหมือนเป็นการผลักภาระให้ แต่ผู้สูงอายุกลับพอใจและคิดว่าเป็นหน้าที่ที่เกิดจากความผูกพันทางใจ การเลี้ยงดูเด็กในช่วงก่อนวัยเรียนอยู่กับบ้านและช่วยทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ทำกับข้าว ปัดกวาดเช็ดถู หรือทำเครื่องใช้ไม้สอยและเครื่องจักสาน รวมถึงการทอผ้าให้ลูกหลานจึงเป็นบทบาทหน้าที่หนึ่งทางสังคมของผู้สูงอายุลาวโซ่ง (หน้า 89-90) บทบาทในการให้คำปรึกษาแก่บุตรหลานและเป็นที่พึ่งทางใจเมื่อยามที่บุตรหลานประสบปัญหาในชีวิตครอบครัว แล้วไม่มีใครก็จะปรึกษากับผู้สูงอายุซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน นอกจากนี้ หากสมาชิกในครอบครัวทะเลาะเบาะแว้งกัน ผู้สูงอายุก็ยังทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยให้รู้จักประนีประนอม หากเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจมักจะไม่ก้าวก่ายหรือให้คำปรึกษามากนัก บางครั้งจะให้ความช่วยเหลือด้านการเงินบ้างหากพอทำได้ (หน้า 90-91) บทบาททางเศรษฐกิจ ในบางครั้ง ผู้สูงอายุยังคงมีบทบาทในการหารายได้มาจุนเจือครอบครัวด้วยการทอผ้าและทำเครื่องจักสานเมื่อมีผู้ขอให้ทำ แต่มิใช่เพื่อการค้า ผู้สูงอายุหญิงลาวโซ่งมีการรวมกลุ่มจัดตั้งชมรมทอผ้าขึ้น กิจกรรมเหล่านี้เป็นเหมือน งานอดิเรกที่ทำรายได้ให้ครอบครัวของผู้สูงอายุ เงินที่ได้มาลูกหลานมักไม่รับและบอกให้เก็บไว้ใช้เอง เป็นเงินส่วนตัวที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงและก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ (หน้า 91-92) บทบาทด้านการศึกษา ผู้สูงอายุมักอบรมสั่งสอนลูกหลานให้ปฏิบัติตนให้เหมาะสม ทั้งยังมีส่วนในการให้การศึกษานอกเหนือจากระบบโรงเรียน เป็นการเรียนรู้จากความเป็นจริงถ่านทอดผ่านคำสอน เช่น การสอนให้พูดเขียนตัวหนังสือลาว ซึ่งน้อยคนที่จะเขียนอ่านได้ อย่างไรก็ดี ผู้สูงอายุมักมีความขัดแย้งกับสมาชิกรุ่นเยาว์ที่หัวสมัยใหม่ ซึ่งมักมีความคิดเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย (หน้า 92-93) |
|
Health and Medicine |
ความเชื่อในการรักษาโรค ในอดีตลาวโซ่งบ้านเนินหว้านิยมรักษาโรคแบบพื้นบ้านแผนโบราณ มีการใช้สมุนไพร คาถาอาคมและน้ำมันนวด ชาวบ้านมักให้หมอยาหรือหมอพื้นบ้านรักษา หมอยาส่วนใหญ่เป็นชายสูงอายุในหมู่บ้านซึ่งมีความรู้ความชำนาญในการรักษาโรคแตกต่างกันไป สำหรับหมู่บ้านเนินหว้ามีหมอพื้นบ้าน 3 คน คือ หมอแสง หมอมี และหมอชุม ทั้งสามมีความชำนาญแตกต่างกัน "หมอแสง" ชำนาญในการรักษาอาการกระดูกหัก กระดูกแตก เข้าเฝือกไม้ไผ่ ใช้น้ำมนต์และน้ำมันนวด หาความรู้จากตำราสมุนไพร "หมอมี" ชำนาญด้านการรักษาคนไข้ที่โดนคุณไสยหรือถูกผีเข้าด้วยการร่ายเวทมนตร์จากตำราขอมโบราณ "หมอชุม" ถนัดการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยซึ่งเกิดจากบาดแผล และอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วไปด้วยยาสมุนไพร การรักษาอาการผีเข้ามักจะใช้หวายตีขู่ เพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายที่มาเข้าสิงให้ออกจากร่างผู้ป่วยเรียกว่า "การตีนอก" มีการร่ายคาถาอาคมลงหวายและร่ายพระเวท มีการใช้ด้ายหรือปูนที่ลงคาถามัดเคียนข้อมือข้อเท้า แล้วพูดขู่ให้ผีลงหม้อ (หน้า 67-68) สมุนไพรที่ใช้รักษาโรค อาทิ ทองพันชั่งมีสรรพคุณแก้กษัย ดีซ่าน ขอบชะนางมีสรรพคุณถ่ายพยาธิ หญ้าหนวดแมว สรรพคุณแก้ปวดเมื่อย แก้กษัย ฟ้าทะลายโจรแก้ร้อนใน กำแพงเจ็ดชั้นแก้กษัย เป็นยาบำรุงร่างกาย แก้ปวดเมื่อย ส่วนต้นบานเย็น แก้พิษ แก้อักเสบ ส้มป่อยและใบหนาด ใช้ทำน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ชื่อว่าหากนำใบหนาดมาห้อยคอ ปัจจุบันชาวบ้านลาวโซ่งนิยมหมอแผนปัจจุบันมากขึ้นแต่ความเชื่อในการรักษาโรคแบบพื้นบ้านยังได้รับความนิยมในหมู่ผู้สูงอายุทั้งชายหญิง (หน้า 69-70) เดิมการคลอดของหญิงโซ่งต้องอาศัยหมอตำแย คนที่เป็นหมอตำแย ส่วนใหญ่เป็นหญิงสูงอายุซึ่งมีความรู้ความชำนาญได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ มีการบอกกล่าวผีเรือนเพื่อให้คุ้มครองแม่และเด็กและเพื่อให้ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อและข้อห้ามสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งนิยมให้รับประทานแต่ของที่ตากแห้ง อาทิ ปลาแดดเดียว ห้ามทานของแสลง ของหมักดอง ของคาวและของที่ไม่มีเลือด เช่น ปู กุ้ง (หน้า 71) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ดนตรีพื้นบ้านของลาวโซ่ง เรียกว่า "แคน" คล้ายแคนอีสาน มักใช้ในการละเล่นพื้นบ้านของลาวโซ่ง นอกจากนี้ยังมีการร้องเพลงเกี้ยวพาราสีกัน เรียกว่า "การเล่นคอน" ผู้เล่นจะใช้ไหวพริบของตนร้องโต้ตอบกับอีกฝ่าย ปัจจุบันการละเล่นดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมในหมู่หนุ่มสาว เพราะไม่เข้ากับยุคสมัย ไม่มีใครสนใจจึงสูญหายไป เพิ่งมีการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ในงานประจำปีเมื่อประมาณปี 2540 ซึ่งจัดแสดงวัฒนธรรมลาวโซ่ง (หน้า 45) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลักษณะเด่นด้านชาติพันธุ์ของคนลาวโซ่งคือ มีผิวขาวเหลือง มีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายคนไทย บางคนผิวขาวหน้าตาคล้ายคนจีน หญิงชายลาวโซ่งมักมีรูปร่างสันทัด ไม่สูงใหญ่ หญิงแก่รูปร่างค่อนข้างเล็ก คนแก่และเด็กผิวค่อนข้างขาว หากเป็นชายหญิงที่ออกไปทำนาผิวจะค่อนข้างคล้ำเพราะกรำแดด หากได้พูดคุยจึงทราบว่าเป็นลาวโซ่ง จากภาษาที่ใช้ซึ่งแตกต่างไปจากภาษาไทย (หน้า 38) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ลาวโซ่งในปัจจุบันมีการผสมกลมกลืนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ โดยการแต่งงานกับคนไทยหรือคนจีน กลายเป็นลูกครึ่งไทย-ลาวหรือลาว-จีน (หน้า 38) |
|
Map/Illustration |
แผนผัง 1 ความสัมพันธ์ระหว่างความชรากับปัจจัยต่าง ๆ (หน้า 14) แผนผัง 2 แสดงที่ตั้งจังหวัดสุโขทัย (หน้า 31) แผนผัง 3 แสดงที่ตั้งบ้านเนินหว้า (หน้า 32) แผนผัง 4 แสดงลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในหมู่บ้านเนินหว้า (หน้า 33) แผนผัง 5 แสดงแหล่งน้ำธรรมชาติ (หน้า 34) แผนผัง 6 ผังบ้านของลาวโซ่ง (หน้า 36) ตาราง 1 แสดงจำนวนประชากรบ้านเนินหว้า (หน้า 46) ตาราง 2 แสดงจำนวนประชากรแยกตามอายุ (หน้า 46-47) ตาราง 3 ปฏิทินการทำข้าวนาปรังและข้าวนาปี (หน้า 56-57) ภาพเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของลาวโซ่ง (หน้า 118) ปานเสน(พานเสนเรือน) (หน้า 118) เชี่ยนหมาก-กะเหล็บ-ปานเสน (หน้า 119) เครื่องมือทอผ้า (หน้า 119) บ้านโซ่งที่เปลี่ยนเป็นยุ้งข้าว/ลักษณะบ้านเรือนลาวโซ่งในปัจจุบัน (หน้า 120) เครื่องแต่งกายของหญิงลาวโซ่ง/ผ้าขันเบาะ(หน้า121) ชุดฮีที่ใช้ในงานมงคล (หน้า 122) ภาพด้านหลังของชุดฮี (หน้า 123) การแต่งกายของผู้คนในชีวิตประจำวัน/การทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ (หน้า 124) การชำแหละเนื้อหมูในวันเสนเรือน (หน้า 125) การแต่งกายในพิธีเสนเรือน/ปานเสนเรือน (หน้า 126) หมอเสนอัญเชิญผีเรือนมารับอาหาร/เซ่นเหล้า (หน้า 127) การแต่งกายของบ่าวสาวในงานแต่งงานแบบไทย - ลาวโซ่ง/ญาติผู้ใหญ่ผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาว (หน้า 128) พิธีสงฆ์ในงานแต่งงานลาวโซ่ง/บรรยากาศในงานเลี้ยง (หน้า 129) หมอเยื้องช้อนขวัญผู้ตายด้วยสวิง/ชาวบ้านหามศพลงทางฝาบ้าน (หน้า 130) ลูกหลานกรวดน้ำให้ผู้ตาย/เสื้อต๊กใส่ไว้ทุกข์ (หน้า 131) ขบวนแห่ศพ/เผาศพ (หน้า 132) |
|
|