สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,คนเฒ่า,สถานภาพ,ลักษณะทางวัฒนธรรม,พิธีกรรม,สุโขทัย
Author ลักษณพร กิจบุญชู
Title ความชรากับสถานภาพและบทบาทของผู้สูงอายุในชุมชนโซ่ง กรณีศึกษา บ้านเนินหว้า ตำบลกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 112 Year 2545
Source หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
Abstract

ผู้สูงอายุหรือคนเฒ่าคนแก่ในสังคมลาวโซ่งมีบทบาทและสถานภาพตามลักษณะความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ทั้งยังมีบทบาทและความสัมพันธ์ต่อสังคมวัฒนธรรมอันเกี่ยวพันกับวิถีชีวิต ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีกรรมตามแบบของลาวโซ่งอย่างแนบแน่น เนื่องจากสังคมโซ่งให้ความสำคัญกับระบบอาวุโส ความเชื่อและการนับถือผีบรรพบุรุษ ผู้สูงอายุลาวโซ่งที่มีประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญในการธำรงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี มีบทบาทในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จึงทำให้มีสถานภาพที่สูงกว่าผู้สูงอายุลาวโซ่งส่วนใหญ่ ที่มีบทบาทและสถานภาพเพียงแค่ภายในครัวเรือน ในฐานะหัวหน้าครัวเรือนที่คอยให้คำปรึกษา เป็นที่พึ่งทางใจ อบรมสั่งสอนและถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้และวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงการเลี้ยงดูบุตรหลานก่อนวัยเรียน ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระภายในบ้าน

Focus

มุ่งศึกษาถึงความหมายของคำว่าผู้สูงอายุ คนเฒ่าคนแก่และการรับรู้ถึงความชราในสังคมลาวโซ่ง ศึกษาสถานภาพและบทบาท รวมถึงลักษณะทางวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อสถานภาพบทบาทในครัวเรือนและในชุมชนผู้เฒ่าลาวโซ่ง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เน้นศึกษาชาติพันธุ์ลาวโซ่ง

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาที่คนในหมู่บ้านใช้คือภาษาโซ่ง จัดอยู่ในตระกูลภาษาไท ใช้พูดกันในชีวิตประจำวันในขณะที่ใช้ภาษาไทยกลางพูดกับคนกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ลาวโซ่ง หรือใช้พูดกับคนในหมู่บ้านหนองขานาง และหมู่บ้านเรียงกระดกซึ่งมักไปมาหาสู่กันเสมอ ลาวโซ่งเรียกตัวเองว่า "ลาวโซ่ง" โดยพูดว่า "เฮาเป๋นคนลาว" หรือ "เฮาเป๋นโส่ง" คนโซ่งเรียกผู้สูงอายุว่า "คนเฒ่า" หรือ "คนเถ่า" หรือ "เถ่า" การใช้ภาษาพูด กู มึง ถือเป็นคำปกติ แต่เด็กเล็กและเด็กที่เรียนหนังสือผู้ปกครองจะไม่ให้พูด คนเฒ่าคนแก่ใช้ภาษาลาวตลอด คำเรียกญาติมีดังนี้ พี่ชาย เรียกว่า " ปี้เอ้ย " ยาย เรียกว่า " เอ้มเถ่า" แม่ เรียกว่า "เอม" พ่อ เรียกว่า "อ่าย" ย่า เรียกว่า "เอมอู้" พี่สะใภ้ เรียกว่า "อ่ายเป้าว์" หญิงอายุมากที่ยังไม่แต่งงาน เรียกว่า "สาว" เช่น ป้าสาว ย่าสาว ยายสาว เป็นต้น (หน้า 8, 41-42)

Study Period (Data Collection)

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2543-มิถุนายน 2544 (ระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน)

History of the Group and Community

เดิมลาวโซ่งบ้านเนินหว้าอพยพมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี มีสองสามีภรรยาย้ายมาตั้งรกรากที่เนินหว้า พื้นที่เดิมมีสัตว์ป่าและโจรป่าชุกชุมแต่ถูกทางการปราบปรามไป ตามประวัติในหมู่บ้านจะมีสองตระกูลเก่าแก่มาตั้งรกรากคือ ตระกูลจับแก้วเข้ามาตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้วแต่งงานกับคนในตระกูลโตอุ่นเพชร หลังจากนั้นก็มีคนในตระกูลอื่นอพยพตามกันมา ประชากรส่วนใหญ่เป็นลาวโซ่งโดยกำเนิด มีคนไทยและคนจีนที่แต่งงานกับคนโซ่งมาอยู่ในหมู่บ้าน ลูกหลานจึงมีเชื้อสายลาวโซ่ง ไทยลาว และโซ่งจีน (หน้า 49)

Settlement Pattern

ลาวโซ่งมักตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มอยู่ในละแวกเดียวกัน ชาวบ้านเรียกกลุ่มบ้านว่าเกาะ ทางตอนเหนือของหมู่บ้านเรียก เกาะไผ่ใหญ่ ตอนกลางเรียก เกาะกวงบ้าน หรือเกาะกลางบ้าน ทางใต้เรียกเกาะบ้านเกาะ รอบหมู่บ้านมีลำคลองตามธรรมชาติคือ คลองคลุกช้าง คลองถ้ำเม่นถ้ำยาง และคลองกำแบก เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำและยังใช้ทำนา ชาวบ้านมักตั้งบ้านเรือนขนาบลำคลองและถนนหลวง การตั้งบ้านเรือนเริ่มจากเกาะกลางบ้าน ขยายออกมายังทิศเหนือหรือเกาะไผ่ใหญ่ ขยายออกไปทางใต้คือเกาะบ้านเกาะ ชาวบ้านมีการติดต่อไปมาหาสู่กันข้ามจังหวัดผ่านตลาดชุมชนและโรงเรียนบ้านหนองขานาง อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ลักษณะการปลูกสร้างบ้านเรือนที่บ้านเนินหว้ามี 2 แบบคือ บ้านแบบสมัยใหม่ และบ้านแบบลาวโซ่ง ซึ่งเป็นบ้านไม้ ชั้นเดียว มีใต้ถุนสูง ใช้ไม้ไผ่สานเป็นฝาบ้าน หลังคามุงจากหรือมุงด้วยสังกะสี ตัวบ้านแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นที่อยู่ของผีเรือน (ผีบรรพบุรุษ) เรียกมุมกะล่อฮ่องอยู่ด้านในสุด เป็นส่วนที่เจ้าบ้านผู้ชายหรือผู้อาวุโสที่สุดในบ้านใช้นอน ส่วนที่สองเป็นห้องที่ใช้ประกอบพิธีกรรมเรียก "ห้องเป๋ง" เป็นส่วนที่ลูกเขยลูกสะใภ้หรือหลานใช้นอน ส่วนที่สามเป็นบริเวณที่ใช้รับแขกรียกว่า "ห้องกกชาน" เป็นส่วนที่จัดให้แขกมานอน สำหรับบ้านแบบสมัยใหม่จะคงลักษณะดั้งเดิมของบ้านลาวโซ่งไว้บางส่วน มีการต่อเติมโครงสร้าง และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น มักต่อเติมส่วนใต้ถุนบ้านทำห้องครัวหรือห้องน้ำ เปลี่ยนมาใช้ปูนแทนไม้เพราะต้นทุนถูกกว่าบ้านไม้และดูทันสมัยกว่า (หน้า 35-37)

Demography

ประชากรในหมู่บ้านเนินหว้าแต่เดิม ส่วนใหญ่เป็นลาวโซ่ง ปัจจุบันมีทั้งคนไทย ไทยเชื้อสายลาวโซ่งและคนโซ่งเชื้อสายจีน จากการสำรวจจำนวนครัวเรือนปี 2544 มีครัวเรือนทั้งหมด 89 ครัวเรือน คิดเป็นประชากรทั้งหมด 399 คน ชาย 206 คน หญิง 193 คน จากข้อมูลของสำนักบริหารการลงทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอกงไกรลาศ ตำบลกง พบว่าช่วงอายุที่มีจำนวนประชากรสูงสุดคือ 31-35 ปี (หน้า 46-47)

Economy

คนส่วนใหญ่ในชุมชนลาวโซ่งประกอบอาชีพทำนา มีจำนวนทั้งสิ้น 77 ครัวเรือน คิดเป็นรายได้เฉลี่ย 8,400 บาทต่อปี โดยจะทำนากันปีละ 2 ครั้งคือนาปีกับนาปรัง บ้างก็รับจ้างทำนาในที่ของผู้อื่น รายได้หลักส่วนใหญ่ของคนในชุมชนจึงมาจากการทำนา มีที่ได้จากการปลูกผักบ้างเล็กน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ทำนาเป็นของตนเองมีไม่กี่ครัวเรือนที่ต้องเช่านาปลูกข้าว คนที่ประกอบอาชีพนี้อยู่ในวัยกลางคน มักเป็นคนรุ่นพ่อแม่ หนุ่มสาวนิยมออกไปทำงานโรงงานในกรุงเทพหรือในต่างจังหวัด แล้วส่งรายได้กลับมาให้ครอบครัว คนแก่บ้างก็ออกไปช่วยดูแลไร่นา หรืออกไปตัดไม้ ตัดฟืน จับปลา หาของป่า หากอายุมากก็จะอยู่บ้านเลี้ยงหลานหรือช่วยงานบ้าน แทบทุกบ้านจะเลี้ยงสุกรไว้เพื่อใช้ในพิธีสำคัญต่าง ๆ แรงงานในครัวเรือนจะไม่ได้กำหนดหน้าที่หรือแบ่งความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน ชายหญิงจะช่วยกันทำนา บางครอบครัวฝ่ายชายจะออกไปทำงานรับจ้างในต่างจังหวัด มอบหน้าที่ดูแลครอบครัวให้ฝ่ายหญิง บางครัวเรือนมีรายได้จากการเปิดร้านขายของชำ ขายอาหาร ขายผักขายปลาในตลาด หรือมีรายได้จากการที่บุตรหลานออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน แล้วส่งเงินกลับมาจุนเจือครอบครัว นอกจากนี้ยังมีเงินช่วยเหลือจากทางการในรูปของเงินทุนหมุนเวียน สมาชิกสามารถกู้เงินกองทุนมาใช้ก่อนจ่ายคืนเป็นดอกเบี้ย (หน้า 55-58)

Social Organization

ลาวโซ่งสืบเชื้อสายฝ่ายบิดา หญิงเมื่อแต่งงานแล้วจะย้ายมาอยู่บ้านฝ่ายชาย หากหญิงเป็นโซ่งไปแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่โซ่ง ก็จะถือผีตามฝ่ายสามี แต่ยังสามารถกลับไปนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายตนได้อยู่ การแต่งงานมีข้อห้ามแต่งงานกันภายในสายเลือดเดียวกันหรือญาติใกล้ชิด สำหรับการแต่งงานพ่อแม่ไม่มีการบังคับ ลูกที่แต่งงานไปจะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่เป็นครั้งคราว หรืออาจส่งเงินมาให้ทางบ้านใช้ ลาวโซ่งนับญาติสืบสายเลือดทางฝ่ายชาย มีลูกชายเป็นผู้สืบทอดตระกูล และเป็นผู้ทำพิธีเลี้ยงผีหรือพิธีเสน หากครอบครัวฝ่ายหญิงไม่มีบุตรชายหรือแรงงานในครอบครัว เมื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายจะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นแรงงานให้ และต้องเลี้ยงผีทั้งของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง คู่สมรสมักปลูกบ้านในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านพ่อแม่ ภายในหมู่บ้านเดียวกันหรือชุมชนใกล้เคียง (หน้า 50-51)

Political Organization

ระบบการปกครองของหมู่บ้านเนินหว้า มีผู้นำชุมชนที่มาจากระบบการบริหาร การปกครองในท้องถิ่นอย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยและคณะกรรมการหมู่บ้าน ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมักมาจากเสียงส่วนใหญ่ของคนในหมู่บ้าน ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชน โดยเน้นความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานราชการและกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีผู้นำอย่างไม่เป็นทางการซึ่งเกิดจากคนในชุมชนเห็นว่าน่าเคารพนับถือและมีความเหมาะสม เช่น ผู้นำทางวัฒนธรรมประเพณี มักเป็นผู้อาวุโสหรือผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้ด้านขนบประเพณีดั้งเดิม สามารถให้คำปรึกษาด้านพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ (หน้า 54-55)

Belief System

ความเชื่อของลาวโซ่ง ลาวโซ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับผีหลายชนิด เช่น ผีแถน เป็นเทวดาศักดิ์สิทธิ์บนฟ้า มีอำนาจดลบันดาลได้ คนโซ่งมักจะกล่าวถึงแถนในยามประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพราะถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สมาชิกทุกรุ่นจะได้รับการปลูกฝังไม่ให้ทำอะไรที่ ผิดต่อผีแถน ระดับของแถนแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ แถนหลวงเป็นหัวหน้าแถนบนฟ้า แถนโซ้ยเป็นหัวหน้ารอง แถนถ่อง แถนฮุ่งและแถนสิง มีหน้าที่ดูแลสมาชิกในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีผีประจำหมู่บ้านที่คนโซ่งตั้งศาลไว้ อาทิ ศาลตาปู่ แต่ละหมู่บ้านจะเรียกต่างกัน บ้านเนินหว้าเรียก "ศาลเจ้าพ่อนาดอน" มีกาจจัดพิธีเลี้ยงศาลในเดือน 6 ขึ้น 6 ค่ำของทุกปี ผู้ที่ทำพิธีเซ่นไหว้พ่อปู่เรียกว่า "เจ้าจ้ำ" มีการเสี่ยงทายซึ่งเรียกว่า "การถูกไก่" เพื่อให้แต่ละบ้านผลัดเปลี่ยนกันนำเครื่องเซ่นมาถวาย ชาวบ้านมักกราบไหว้ในลักษณะบนบานศาลกล่าวเพื่อขอโชคลาภเสี่ยงทาย ลาวโซ่งเชื่อว่าหากทำให้เจ้าพ่อขุ่นเคือง หมู่บ้านอาจเกิดเหตุร้าย ผู้เฒ่าผู้แก่ที่หมู่บ้านเนินหว้ายังนับถือผีเจ้าพ่ออยู่ แต่เด็กหนุ่มสาวมักไม่ให้ความใส่ใจเท่าใดนัก คนโซ่งนับถือผีบรรพบุรุษ หรือ ผีเฮือน (ผีเรือน) ซึ่งเชื่อกันว่า มีอิทธิพลต่อชีวิตมากต้องเซ่นสรวงให้ผีเรือนพอใจ เพราะหากไม่พอใจคนในบ้านอาจเจ็บไข้ได้ป่วยหรือต้องเผชิญกับเหตุร้าย ชาวบ้านจะเคารพเคร่งครัดและไม่ผิดผี บุตรมีหน้าที่สืบทอดในการเลี้ยงผีด้วยเครื่องเซ่นเหมือนตอนที่มีชีวิตอยู่ เรียกว่า "การปาดตง" และต้องทำให้ดีที่สุดแม้จะไม่เห็นตัวตน เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ผีเรือนมีระดับชั้นตามสิง (แซ่ตระกูล) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือผีน้อยและผีใหญ่ (ผีต๊าว) ชื่อเรียกแต่ละตระกูลจะเรียกตามสิงซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่าตระกูลนั้นนับถือผีน้อยหรือผีใหญ่ ผีบรรพบุรุษของลาวโซ่งมี 6 ตระกูล สิงที่เป็นตระกูลผีใหญ่มีเพียงตระกูลเดียวคือ สิงลอ สิงที่เป็นตระกูลผีน้อยมี 5 ตระกูลคือ สิงลอ สิงเลือง สิงทอง สิงวี สิงกวาง นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามของสิงต่าง ๆ อาทิ สิงเลืองห้ามเอาตอไม้มาเผา สิงคาห้ามเอาคาเข้าบ้าน สิงลอห้ามกินดอกโสน และสิงกวางห้ามกินเสือ การประกอบพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นข้อแตกต่างด้านความเชื่อในการถือผีของสองตระกูลคือ การประกอบพิธีเสนเรือน (การเซ่นไหว้ผีเรือนด้วยอาหาร) มีทั้งพิธีเสนเล็กและเสนใหญ่ ผู้ทำพิธีเป็นหมอเสนหญิง ลาวโซ่งเรียกว่า "แม่มด" หมอเสนที่อยู่ในตระกูลผีน้อยต้องทำพิธีเสนเรือนให้กับผีน้อย พิธีเสนเรือนของผีท้าวต้องให้หมอเสนผีใหญ่มาทำพิธีให้ เป็นการสืบทอดกันมาเฉพาะตระกูล หมู่บ้านเนินหว้าไม่มีหมอเสนผีท้าวต้องเชิญมาจากหมู่บ้านอื่น เพราะในพิธีเสนเรือนมีกฎเกณฑ์การแบ่งชั้นชัดเจน ห้ามบุคคลอื่นที่ถือผีต่างตระกูลเข้าไปในบริเวณกะล่อฮ่อง ถือเป็นการผิดผี ห้ามบ้านที่ถือผีน้อยนำส่วนประกอบของบ้าน พืช สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตของบ้านที่ถือผีใหญ่มาสร้างบ้านของตนเอง นอกจากนี้ยังห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนหมู ไก่กันเป็นอันขาด นอกจากการนับถือผีต่าง ๆ แล้ว คนโซ่งยังนับถือผีเจ้าที่ ด้วยการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ไว้บริเวณบ้าน นับถือผีที่เกี่ยวกับการเกษตรหรือ ผีนาด้วยการเซ่นไหว้เมื่อจะทำนาหรือเกี่ยวข้าวด้วยการทำ "ปาดตงนา" และ "การทำขวัญข้าว" อีกทั้งยังมีความเชื่อเรื่องแม่โพสพ มีข้อห้ามเกี่ยวกับยุ้งข้าวและการพิธีเลี้ยงพระแม่โพสพ หรือที่เรียกว่า "พิธีข้าวใหม่" อีกด้วย ความเชื่อเกี่ยวกับผียังปรากฏในทุกรูปแบบ เช่น ลาวโซ่งเชื่อว่าต้นไม้ต่างก็มีผีประจำอยู่ ซึ่งเป็นความเชื่อเกี่ยวกับโชคลางและเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์อีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนความเชื่อเรื่องผีร้าย อาทิ ผีตายโหง ผีปอบ ผีกระสือ ชาวบ้านจะกลัวเกรงและพยายามป้องกันไม่ให้มารบกวน แต่จะไม่มีการเซ่นไหว้ (หน้า 52-53, 60-65, 75) ประเพณีเกี่ยวกับการแต่งงานและงานศพ การแต่งงานของลาวโซ่ง หากหญิงลาวโซ่งแต่งงานกับชายไทย จะมีการผสมผสานประเพณีแบบลาวโซ่งและแบบไทยเข้าด้วยกัน ลาวโซ่งเชื่อว่าการอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่าแสดงถึงความรักที่จีรังยั่งยืน ผู้ที่จะมาหาบกะเหล็บใส่ของสู่ขอเจ้าสาวต้องเป็นหญิงที่ยังใช้ชีวิตคู่ร่วมกับสามี ห้ามหญิงหม้าย ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มาร่วมพิธีจะมารดน้ำสังข์และผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาว ส่วนพิธีศพของลาวโซ่ง ผู้ทำพิธีคือ ลูกเขยและหลานเขยเท่านั้น เรียกว่า เขยกกและเขยหาม มีการแต่งกายไว้ทุกข์ที่เรียกว่า "เสื้อต๊ก" ตัดเย็บจากผ้าดิบสีขาว มีผ้าคาดหน้าผากคล้ายเสื้อไว้ทุกข์ของจีน ส่วนศพคนตายจะสวมเสื้อฮีซึ่งเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณผ่านนายประตูและรู้ว่าผู้ตายเป็นลาวโซ่ง ใช้เงินบาทผูกคอเสื้อศพไว้สำหรับข้ามแม่น้ำ ข้ามตาข่ายขณะเดินทางไปเมืองแถน เชื่อกันว่าหากไม่มีบาปก็จะข้ามไปได้ มักตั้งศพบริเวณขื่อ ผู้ชายตั้งตรงขื่อพ่อบ้าน หญิงตั้งตรงขื่อแม่เรือนพิธีศพจัดขึ้นภายใน 3-4วัน สวดอภิธรรม 1-2 วัน ระหว่างนี้ห้ามคนในครอบครัวอาบน้ำ และห้ามคนในหมู่บ้านทำการเพาะปลูกเก็บเกี่ยวผลผลิต ทอผ้าหรือปลูกบ้าน ผู้สูงอายุจะมีบทบาทในการทำพิธีซ้อนขวัญหรือเรียกขวัญคนตาย โซ่งเชื่อว่าวิญญาณคนตายจะกินแต่เนื้อเท่านั้น อาหารเซ่นจึงไม่มีผัก "เผื่อนล้วน" ไม่มีขนม หากพี่ตาย น้องจะฆ่าหมูขึ้นบ้าน การจัดขบวนหน้าศพมีการถือธงที่เรียกว่า "จาวอวน" และ "หลักกาว" หรือเสาหลวง เป็นเสากลมยาวหุ้มผ้า ปลายหลักกาวขึ้นรูปไม้แกะสลักเป็นหงส์หรือเซียนซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพาหนะนำพาผู้ตายไปสู่เมืองแถนบนฟ้า รูปแกะสลักนี้เป็นสิ่งแสดงสถานภาพทางเพศของผู้ตาย หากศพเป็นชายจะใช้รูปหงส์ ส่วนศพหญิงจะเป็นรูปเซียนหรือปลี (หน้า 71-74) ประเพณีรดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่ แสดงให้เห็นถึงการให้ความเคารพนับถือต่อผู้อาวุโส พิธีจัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี มีการอวยพรให้ลูกหลานที่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเพื่อขอขมาปู่ย่าตายายที่เคยได้ล่วงเกินทางคำพูดและการกระทำ พิธีรดน้ำดำหัวจัดขึ้นที่วัดเนินหว้าวนารามในวันมหาสงกรานต์ พิธีจะจัดขึ้นที่วัด คนเฒ่าคนแก่จะรวมกันไปนั่งในศาลาวัดแล้วให้ลูกหลานเข้าไปรดน้ำดำหัว หากหนุ่มสาวไม่กลับมาก็จะไม่มีการจัดพิธีนี้ แต่ส่วนใหญ่หนุ่มสาวและคนที่ไปทำงานไกลบ้านจะกลับมาทุกปีไม่เคยขาด แสดงให้เห็นการให้ความสำคัญกับคนเฒ่าคนแก่อยู่ (หน้า 80-81) ค่านิยมในสังคมลาวโซ่ง นอกจากความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษแล้ว ลาวโซ่งยังยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี สมาชิกในชุมชนยังมีค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการยึดมั่นในระบบอาวุโส ในหมู่บ้านเนินหว้า การให้ความหมายของ "คนเฒ่า" ในทัศนคติของลาวโซ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในสังคม ผ่านตำแหน่งทางเครือญาติ รวมถึงบทบาทและสถานภาพของปัจเจกบุคคลเป็นหลัก เด็กและคนวัยหนุ่มสาวจะถือว่าสมาชิกรุ่นปู่ย่าตายายเป็นคนเฒ่าคนแก่ในความคิด สมาชิกในครอบครัวลาวโซ่งจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ในเรื่องการวางตัวและให้ความเคารพนับถือต่อปู่ย่าตายาย และผู้หลักผู้ใหญ่ในฐานะปูชนียบุคคล ผู้สูงอายุจึงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากลูกหลานทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ผู้สูงอายุในครัวเรือนของลาวโซ่งมีบทบาทเป็นเหมือนผู้ดูแลหรือผู้สืบทอดผีบรรพบุรุษของตระกูล ซึ่งนับเป็นบทบาทและสถานภาพหลังความตาย อันเนื่องมาจากความเชื่อในการนับถือผีบรรพบุรุษ กล่าวคือ หากพวกเขาเสียชีวิตลงก็จะกลายเป็นผีเรือนคอยคุ้มครองดูแลสมาชิกในครอบครัวให้ปลอดภัย อีกทั้งยังคอยดูแลควบคุมความประพฤติของสมาชิก ลาวโซ่งจึงปฏิบัติต่อผีเรือนเหมือนเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ (หน้า 5, 82, 85, 87) นอกจากสถานภาพของผู้สูงอายุผ่านตำแหน่งทางเครือญาติแล้ว ยังมีบทบาทและสถานภาพที่ได้มาจากความสามารถอีกด้วย ผู้สูงอายุบ้านเนินหว้าแต่ละคนจะมีความชำนาญเฉพาะทางแตกต่างกันไป อาทิ ผู้สูงอายุที่เป็นหมอเสนหรือหมอรักษาคน จะมีความสำคัญต่อชุมชนอย่างมากเพราะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น หมอเสนเรือนทำพิธีเสนคนตาย คนในชุมชนจะให้ความเคารพนับถือแม้ผู้สูงอายุท่านนั้นจะเลิกทำหน้าที่ดังกล่าวแล้วก็ตาม หรือผู้สูงอายุชายที่รู้จักใช้สมุนไพรรักษาโรคแบบพื้นบ้าน ก็จะได้รับสถานภาพเป็น "หมอมี" หรือผู้สูงอายุหญิงซึ่งทำหน้าที่ร่างทรง หรือทำนายทายทักถือเป็น "หมอเยื้อง" กรณีตัวอย่างจากงานวิจัย อาทิ ตาแฝง - - ชายชราโซ่ง อายุ 72 ปี เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในการใช้ภาษาลาว ตามา - - ผู้สูงอายุอีกท่านหนึ่งเป็นผู้มีความรู้เรื่องการใช้สมุนไพรรักษาโรค เป็นต้น (หน้า 86, 93)

Education and Socialization

การศึกษา เด็กในหมู่บ้านเนินหว้าจะถูกส่งเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน หรือศูนย์เด็กเล็กเคลื่อนที่ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในหมู่บ้านเมื่ออายุ 6 เดือนถึง 5 ขวบ การศึกษาขั้นสูงสุดคือปริญญาตรี เด็กส่วนใหญ่มักไปเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองขานางจนถึงชั้นประถมปี ที่ 6 หลังจากนั้นจะไปต่อชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนชุมแสงสงคราม และระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนในตัวจังหวัดพิษณุโลก คนวัยทำงานส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับชั้นประถมปีที่ 4 มีเพียงไม่กี่คนที่จบชั้นประถมปีที่ 6 ผู้สูงอายุมักไม่ได้รับการศึกษา มีบางส่วนที่ จบชั้นประถม 4 ประชากรในหมู่บ้านสามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ 195 คน เด็กที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่นิยมทำงานรัฐวิสาหกิจและธนาคาร ไม่นิยมรับราชการ โดยเฉพาะอาชีพตำรวจ ซึ่งชาวบ้านไม่ชอบ มีทัศนคติไม่ดีจากประสบการณ์ ที่มักถูกเอารัดเอาเปรียบ ตำรวจจากที่อื่นมักเข้ามาหาเรื่องชาวบ้านอยู่เสมอ ทำให้ชาวบ้านไม่อยากให้ลูกหลานรับราชการตำรวจ (หน้า 47-48) บทบาททางสังคมของผู้เฒ่าในชุมชนบ้านเนินหว้าบทบาทในฐานะหัวหน้าครัวเรือนผู้มีอำนาจตัดสินใจ เนื่องจากสังคมลาวโซ่งเป็นสังคมที่ยึดถือระบบอาวุโสเป็นพื้นฐาน การมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัว การดูแลอบรมสั่งสอนสมาชิก และการหารายได้สู่ครอบครัวในอดีตเป็นของผู้สูงอายุ ค่านิยมในการยึดถือระบบอาวุโสจึงได้รับการถ่ายทอดผ่านการเรียนรู้ทางสังคมในเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ ผู้น้อยต้องรู้จักการวางตัวและเคารพนับถือเชื่อฟังผู้ใหญ่ อีกทั้งยังมีหน้าที่ต้องดูแลและเป็นที่พึ่งพิงของผู้สูงอายุเมื่อพวกเขาแก่ตัวลง ผู้สูงอายุที่ยังมีสถานภาพเป็นหัวหน้าครอบครัวอยู่ จะมีอำนาจหน้าที่ตัดสินเรื่องสำคัญต่าง ๆ อาทิ กรรมสิทธิ์ในที่ดิน การจัดการทรัพย์สินและมรดก หากมีฐานะดีหรือมีทรัพย์สมบัติมากก็จะมีอำนาจในการตัดสินใจมากตามไปด้วย ผู้สูงอายุชายที่เป็นใหญ่ในบ้านจะมีอำนาจในการตัดสินใจ ในลักษณะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรืออาจเป็นที่ปรึกษาให้แก่ลูกหลาน (หน้า 87-88, 92) บทบาทในการแบ่งเบาภาระภายในบ้าน ครอบครัวลาวโซ่งเป็นครอบครัวขยาย ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก ปู่ย่าตายายและญาติ ๆ เมื่อพ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านจึงต้องผลักภาระการเลี้ยงดูบุตรหลานที่ยังไม่เข้าโรงเรียนให้กับผู้สูงอายุ บางครอบครัวพ่อแม่ออกไปทำงานต่างจังหวัดก็ทิ้งลูกหลานไว้กับผู้สูงอายุ แล้วจึงส่งเงินค่าเลี้ยงดูมาให้แม้จะดูเหมือนเป็นการผลักภาระให้ แต่ผู้สูงอายุกลับพอใจและคิดว่าเป็นหน้าที่ที่เกิดจากความผูกพันทางใจ การเลี้ยงดูเด็กในช่วงก่อนวัยเรียนอยู่กับบ้านและช่วยทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ทำกับข้าว ปัดกวาดเช็ดถู หรือทำเครื่องใช้ไม้สอยและเครื่องจักสาน รวมถึงการทอผ้าให้ลูกหลานจึงเป็นบทบาทหน้าที่หนึ่งทางสังคมของผู้สูงอายุลาวโซ่ง (หน้า 89-90) บทบาทในการให้คำปรึกษาแก่บุตรหลานและเป็นที่พึ่งทางใจเมื่อยามที่บุตรหลานประสบปัญหาในชีวิตครอบครัว แล้วไม่มีใครก็จะปรึกษากับผู้สูงอายุซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน นอกจากนี้ หากสมาชิกในครอบครัวทะเลาะเบาะแว้งกัน ผู้สูงอายุก็ยังทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยให้รู้จักประนีประนอม หากเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจมักจะไม่ก้าวก่ายหรือให้คำปรึกษามากนัก บางครั้งจะให้ความช่วยเหลือด้านการเงินบ้างหากพอทำได้ (หน้า 90-91) บทบาททางเศรษฐกิจ ในบางครั้ง ผู้สูงอายุยังคงมีบทบาทในการหารายได้มาจุนเจือครอบครัวด้วยการทอผ้าและทำเครื่องจักสานเมื่อมีผู้ขอให้ทำ แต่มิใช่เพื่อการค้า ผู้สูงอายุหญิงลาวโซ่งมีการรวมกลุ่มจัดตั้งชมรมทอผ้าขึ้น กิจกรรมเหล่านี้เป็นเหมือน งานอดิเรกที่ทำรายได้ให้ครอบครัวของผู้สูงอายุ เงินที่ได้มาลูกหลานมักไม่รับและบอกให้เก็บไว้ใช้เอง เป็นเงินส่วนตัวที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงและก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ (หน้า 91-92) บทบาทด้านการศึกษา ผู้สูงอายุมักอบรมสั่งสอนลูกหลานให้ปฏิบัติตนให้เหมาะสม ทั้งยังมีส่วนในการให้การศึกษานอกเหนือจากระบบโรงเรียน เป็นการเรียนรู้จากความเป็นจริงถ่านทอดผ่านคำสอน เช่น การสอนให้พูดเขียนตัวหนังสือลาว ซึ่งน้อยคนที่จะเขียนอ่านได้ อย่างไรก็ดี ผู้สูงอายุมักมีความขัดแย้งกับสมาชิกรุ่นเยาว์ที่หัวสมัยใหม่ ซึ่งมักมีความคิดเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย (หน้า 92-93)

Health and Medicine

ความเชื่อในการรักษาโรค ในอดีตลาวโซ่งบ้านเนินหว้านิยมรักษาโรคแบบพื้นบ้านแผนโบราณ มีการใช้สมุนไพร คาถาอาคมและน้ำมันนวด ชาวบ้านมักให้หมอยาหรือหมอพื้นบ้านรักษา หมอยาส่วนใหญ่เป็นชายสูงอายุในหมู่บ้านซึ่งมีความรู้ความชำนาญในการรักษาโรคแตกต่างกันไป สำหรับหมู่บ้านเนินหว้ามีหมอพื้นบ้าน 3 คน คือ หมอแสง หมอมี และหมอชุม ทั้งสามมีความชำนาญแตกต่างกัน "หมอแสง" ชำนาญในการรักษาอาการกระดูกหัก กระดูกแตก เข้าเฝือกไม้ไผ่ ใช้น้ำมนต์และน้ำมันนวด หาความรู้จากตำราสมุนไพร "หมอมี" ชำนาญด้านการรักษาคนไข้ที่โดนคุณไสยหรือถูกผีเข้าด้วยการร่ายเวทมนตร์จากตำราขอมโบราณ "หมอชุม" ถนัดการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยซึ่งเกิดจากบาดแผล และอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วไปด้วยยาสมุนไพร การรักษาอาการผีเข้ามักจะใช้หวายตีขู่ เพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายที่มาเข้าสิงให้ออกจากร่างผู้ป่วยเรียกว่า "การตีนอก" มีการร่ายคาถาอาคมลงหวายและร่ายพระเวท มีการใช้ด้ายหรือปูนที่ลงคาถามัดเคียนข้อมือข้อเท้า แล้วพูดขู่ให้ผีลงหม้อ (หน้า 67-68) สมุนไพรที่ใช้รักษาโรค อาทิ ทองพันชั่งมีสรรพคุณแก้กษัย ดีซ่าน ขอบชะนางมีสรรพคุณถ่ายพยาธิ หญ้าหนวดแมว สรรพคุณแก้ปวดเมื่อย แก้กษัย ฟ้าทะลายโจรแก้ร้อนใน กำแพงเจ็ดชั้นแก้กษัย เป็นยาบำรุงร่างกาย แก้ปวดเมื่อย ส่วนต้นบานเย็น แก้พิษ แก้อักเสบ ส้มป่อยและใบหนาด ใช้ทำน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ชื่อว่าหากนำใบหนาดมาห้อยคอ ปัจจุบันชาวบ้านลาวโซ่งนิยมหมอแผนปัจจุบันมากขึ้นแต่ความเชื่อในการรักษาโรคแบบพื้นบ้านยังได้รับความนิยมในหมู่ผู้สูงอายุทั้งชายหญิง (หน้า 69-70) เดิมการคลอดของหญิงโซ่งต้องอาศัยหมอตำแย คนที่เป็นหมอตำแย ส่วนใหญ่เป็นหญิงสูงอายุซึ่งมีความรู้ความชำนาญได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ มีการบอกกล่าวผีเรือนเพื่อให้คุ้มครองแม่และเด็กและเพื่อให้ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อและข้อห้ามสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งนิยมให้รับประทานแต่ของที่ตากแห้ง อาทิ ปลาแดดเดียว ห้ามทานของแสลง ของหมักดอง ของคาวและของที่ไม่มีเลือด เช่น ปู กุ้ง (หน้า 71)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ดนตรีพื้นบ้านของลาวโซ่ง เรียกว่า "แคน" คล้ายแคนอีสาน มักใช้ในการละเล่นพื้นบ้านของลาวโซ่ง นอกจากนี้ยังมีการร้องเพลงเกี้ยวพาราสีกัน เรียกว่า "การเล่นคอน" ผู้เล่นจะใช้ไหวพริบของตนร้องโต้ตอบกับอีกฝ่าย ปัจจุบันการละเล่นดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมในหมู่หนุ่มสาว เพราะไม่เข้ากับยุคสมัย ไม่มีใครสนใจจึงสูญหายไป เพิ่งมีการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ในงานประจำปีเมื่อประมาณปี 2540 ซึ่งจัดแสดงวัฒนธรรมลาวโซ่ง (หน้า 45)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลักษณะเด่นด้านชาติพันธุ์ของคนลาวโซ่งคือ มีผิวขาวเหลือง มีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายคนไทย บางคนผิวขาวหน้าตาคล้ายคนจีน หญิงชายลาวโซ่งมักมีรูปร่างสันทัด ไม่สูงใหญ่ หญิงแก่รูปร่างค่อนข้างเล็ก คนแก่และเด็กผิวค่อนข้างขาว หากเป็นชายหญิงที่ออกไปทำนาผิวจะค่อนข้างคล้ำเพราะกรำแดด หากได้พูดคุยจึงทราบว่าเป็นลาวโซ่ง จากภาษาที่ใช้ซึ่งแตกต่างไปจากภาษาไทย (หน้า 38)

Social Cultural and Identity Change

ลาวโซ่งในปัจจุบันมีการผสมกลมกลืนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ โดยการแต่งงานกับคนไทยหรือคนจีน กลายเป็นลูกครึ่งไทย-ลาวหรือลาว-จีน (หน้า 38)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนผัง 1 ความสัมพันธ์ระหว่างความชรากับปัจจัยต่าง ๆ (หน้า 14) แผนผัง 2 แสดงที่ตั้งจังหวัดสุโขทัย (หน้า 31) แผนผัง 3 แสดงที่ตั้งบ้านเนินหว้า (หน้า 32) แผนผัง 4 แสดงลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในหมู่บ้านเนินหว้า (หน้า 33) แผนผัง 5 แสดงแหล่งน้ำธรรมชาติ (หน้า 34) แผนผัง 6 ผังบ้านของลาวโซ่ง (หน้า 36) ตาราง 1 แสดงจำนวนประชากรบ้านเนินหว้า (หน้า 46) ตาราง 2 แสดงจำนวนประชากรแยกตามอายุ (หน้า 46-47) ตาราง 3 ปฏิทินการทำข้าวนาปรังและข้าวนาปี (หน้า 56-57) ภาพเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของลาวโซ่ง (หน้า 118) ปานเสน(พานเสนเรือน) (หน้า 118) เชี่ยนหมาก-กะเหล็บ-ปานเสน (หน้า 119) เครื่องมือทอผ้า (หน้า 119) บ้านโซ่งที่เปลี่ยนเป็นยุ้งข้าว/ลักษณะบ้านเรือนลาวโซ่งในปัจจุบัน (หน้า 120) เครื่องแต่งกายของหญิงลาวโซ่ง/ผ้าขันเบาะ(หน้า121) ชุดฮีที่ใช้ในงานมงคล (หน้า 122) ภาพด้านหลังของชุดฮี (หน้า 123) การแต่งกายของผู้คนในชีวิตประจำวัน/การทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ (หน้า 124) การชำแหละเนื้อหมูในวันเสนเรือน (หน้า 125) การแต่งกายในพิธีเสนเรือน/ปานเสนเรือน (หน้า 126) หมอเสนอัญเชิญผีเรือนมารับอาหาร/เซ่นเหล้า (หน้า 127) การแต่งกายของบ่าวสาวในงานแต่งงานแบบไทย - ลาวโซ่ง/ญาติผู้ใหญ่ผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาว (หน้า 128) พิธีสงฆ์ในงานแต่งงานลาวโซ่ง/บรรยากาศในงานเลี้ยง (หน้า 129) หมอเยื้องช้อนขวัญผู้ตายด้วยสวิง/ชาวบ้านหามศพลงทางฝาบ้าน (หน้า 130) ลูกหลานกรวดน้ำให้ผู้ตาย/เสื้อต๊กใส่ไว้ทุกข์ (หน้า 131) ขบวนแห่ศพ/เผาศพ (หน้า 132)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 29 มิ.ย 2560
TAG ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, คนเฒ่า, สถานภาพ, ลักษณะทางวัฒนธรรม, พิธีกรรม, สุโขทัย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง