|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชอง,พ่อเพลง, ดนตรี, เพลงพื้นบ้าน, พิธีกรรม, ความเชื่อ, จันทบุรี |
Author |
สายพิรุณ สินฤกษ์ |
Title |
ดนตรีในสังคมวัฒนธรรมของชาวชอง ตำบลตะเคียนทอง จ.จันทบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ชอง ตัมเร็จ สำแร,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
163 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาดนตรี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
เพลงพื้นบ้านของคนชอง ตำบลตะเคียนทอง กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรีได้รับอิทธิพลจากคนไทยภาคกลางอยู่มาก ทั้งด้านการร้องรำทำเพลงและเครื่องดนตรีที่ใช้ส่วนใหญ่เพื่อประกอบจังหวะ แต่ก็มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เพลงของชองแสดงให้ เห็นถึงบทบาทหน้าที่ของศิลปะท้องถิ่นซึ่งมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับวิถีชีวิต สังคมและวัฒนธรรมของคนชอง อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ อาทิ เพลงในพิธีอัญเชิญผีบรรพบุรุษหรือ "ผีหิ้งผีโรง" เพลงในพิธีแต่งงาน เพลงยันแย่ เพลงในพิธีศพ ลักษณะเนื้อร้องเพลงของชองมักแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับสัตว์เลี้ยงและคนกับธรรมชาติ มีหน้าที่รองคือ เป็นเครื่องสร้างความบันเทิงเริงใจ นอกเหนือจากบทบาทหลักในการร้องเพื่อประกอบพิธีกรรม ลักษณะเด่นของเพลงร้องของชอง คือ เนื้อเพลงและประโยคในทำนองส่วนใหญ่ไม่สัมพันธ์กัน การเคลื่อนที่ของระดับเสียงมีลักษณะคล้ายลูกตกของดนตรีแบบแผนไทย มีลักษณะการซ้ำโน้ต บางครั้งช่วงกลางและท้ายประโยคเพลงเกิดการเคลื่อนที่รูปแบบซ้ำๆ กัน หรือเคลื่อนที่เป็นขั้นคู่กระโดด บันไดเสียงหรือกลุ่มเสียงมีลักษณะแบบเพลงพื้นบ้านของไทย |
|
Focus |
เน้นศึกษาบทบาทหน้าที่ของเพลงที่มีต่อสังคมวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชอง ตำบลตะเคียนทอง จังหวัดจันทบุรี |
|
Ethnic Group in the Focus |
เน้นศึกษากลุ่มชอง (จอง) ตำบลตะเคียนทอง จังหวัดจันทบุรี เป็นชนพื้นเมืองกลุ่มน้อย คนเขมรเรียกแบบดูถูกว่าเป็น "พวกจวง" มีลักษณะคล้ายพวกกูยหรือส่วย ถือว่าเป็นกลุ่มชาติพันธ์ในกลุ่มมอญ-เขมร อยู่ในสายตระกูลภาษาออสโตรเชียติก (Austroasiatic) คำว่า "ชอง" แปลว่า พวกเรา หรืออาจแปลได้ว่า "เดินงุ่มง่ามอย่างหมี" ในพิธีกรรมเรียกว่า "พวก" (หน้า 26, 32) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชนเชื้อสายชองใช้ภาษาไทยกับคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ชอง และใช้ภาษาชองในการพูดคุยกันเอง ภาษาชองมีแต่ภาษาพูด ฟังยากคล้ายภาษาเขมร ไม่มีภาษาเขียนและตัวอักษร จัดอยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกซึ่งใช้พูดกันอยู่ในแถบ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออก สำหรับภาษาชองจัดอยู่ในกลุ่มย่อยเพียริก กลุ่มมอญ-เขมรตะวันออก (หน้า 37-40) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากการศึกษา ไม่พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถยืนยันการอพยพของชองแน่ชัด พระครูเจ้าคณะอำเภอซึ่งมีเชื้อสายชองกล่าวอ้างว่า แต่เดิมชนเชื้อสายชองเป็นคนไทยที่หนีภัยสงคราม อพยพร่อนเร่ไปอาศัยอยู่ตามป่าเขา โดยรวมตัวกันเป็นหมู่ มีการกำหนดภาษาเสียใหม่ ไม่พูดภาษาไทยเพื่อป้องกันการถูกฆ่า ในตอนแรกไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอก ประกอบอาชีพหาของป่าและล่าสัตว์ มีหัวหน้าเผ่าปกครอง เมื่อประมาณ 200-300 ปี ได้พากันมาตั้งหลักแหล่งอยู่ในดินแดนแห่งหนึ่ง ปัจจุบันคือ ตำบลตะเคียนทอง นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชองเป็นชนพื้นเมืองซึ่งอาศัยอยู่ทางแถบภาคตะวันออกของไทย บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด รวมถึงจังหวัดไพลินและกำปอดของเขมร ปัจจุบันชนเชื้อสายชองตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่แถบระยอง ตราดและจันทบุรี (หน้า 27) |
|
Settlement Pattern |
ชองชอบอาศัยอยู่ตามที่ราบระหว่างหุบเขา ภูมิประเทศเป็นป่าทึบ โดยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ ละประมาณ 20-30 ครอบครัว มีการตั้งบ้านเรือนรวมกันเป็นกลุ่มไม่ห่างกันนัก การปลูกเรือนเรียกว่า "ยกบ้าน" มีลักษณะเป็นเรือนเครื่องผูก ยกพื้นสูง จากพื้นดินประมาณเมตรครึ่งถึงสองเมตร ตัวบ้านแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ชานบ้าน กลางบ้าน และส่วนของบ้านที่กั้นเป็นห้องนอน มักใช้ไม้ไผ่สร้างบ้าน ใช้หวายหรือเชือกเหนียว เสาบ้านนิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง หลังคานิยมใช้ใบจาก ใบหวาย ใบระกำหรือ ใบต้นชงโคนำมาเย็บติดกันเป็นตับ ห้องครัวเชื่อมกับตัวบ้าน ส่วนห้องน้ำจะอยู่นอกตัวบ้านห่างออกไปเล็กน้อย ห้องอาบน้ำใช้ผ้าพลาสติกขึงกั้นสี่ด้าน ความสูงประมาณ 3 เมตร ด้านบนไม่มีหลังคา ไม่มีประตู (หน้า 44) |
|
Demography |
จำนวนประชากรตำบลตะเคียนทอง กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฎ จ. จันทบุรี (จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2544) รวมทั้งสิ้นจำนวน 3,265 คน เป็นชาย 1,632 คน หญิง 1,633 คน มีจำนวนครัวเรือนรวมทั้งสิ้น 859 ครัวเรือน ประกอบด้วยหมู่บ้านต่าง ๆ ได้แก่ บ้านลำพัง บ้านตะเคียนทอง บ้านชำเคราะห์ บ้านคลองกระสือ บ้านคลองน้ำเป็น (หน้า 28) |
|
Economy |
ในอดีตวิถีชีวิตดั้งเดิมชองกลุ่มชนเชื้อสายชองผูกพันกับป่าตามธรรมชาติ มีอาชีพหลักคือ ล่าสัตว์ ตัดต้นไม้ ล่องแพ หาของป่า สมุนไพร หนังและเขาสัตว์ ชันหวาย น้ำมันยาง มาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกับของใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ชองยังเพาะปลูกและเก็บกระวานตามป่าเขา ทำนาข้าวในพื้นที่ราบและนาไร่ตามชายป่าเพื่อการดำรงชีพ ปัจจุบันชองยังเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อยังชีพ รับจ้างทำนาในฤดูทำนา รวมถึงการรับจ้างปลูกผักผลไม้ ชองที่มีฐานะมักทำสวนยางหรือสวนผลไม้ เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ นอกจากนี้ ชองยังมีเครื่องมือต่าง ๆ ในการประกอบอาชีพ ได้แก่ ขวานปูลูซึ่งใช้โค่นไม้ในป่า ตัดหวาย ชำแหละเนื้อสัตว์ ผ่าฟืน ใช้แทนอาวุธ อีกทั้งยังใช้ในพิธีกรรม นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือจับปลาอาทิ สุ่ม ลอบ ข้อง แห เบ็ด เครื่องมือในการทำนาเรียก "ผะแหลก" (ผาน) กระด้ง ชี (ใช้โม่แป้ง) เครื่องมือล่าสัตว์ อาทิ บ่วง แร้ว ทุบ หน้าไม้ (หน้า 41-43) |
|
Social Organization |
กลุ่มชนเชื้อสายชองในตำบลตะเคียนทอง สามารถแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์กับคนไทยและชนชาติอื่น (หน้า 31) ครอบครัวชองมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบชัดเจนและให้ความสำคัญกับฝ่ายหญิงมากกว่า หญิงชองมีอำนาจในการตัดสินใจและจัดระเบียบภายในครอบครัวนอกจากหน้าที่ในการดูแลบ้านและบุตร ส่วนผู้ชายชองจะเป็นผู้ออกไปประกอบอาชีพนอกบ้าน เข้าป่าล่าสัตว์ ทำนา หาของป่า เมื่อแยกครอบครัวออกมาแล้ว จะเป็นครอบครัวเดี่ยว เป็นอิสระจากการปกครองของปู่ย่าตายาย แต่ยังคงมีการไปมาหาสู่กัน แม้จะยังคงอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน มีการแบ่งปันอาหาร เยี่ยมเยียนและปรึกษาปัญหากัน ลูกสาวคนโตมีหน้าที่เป็นผู้สืบทอดมรดก และดูแลพ่อแม่ยามเจ็บไข้ได้ป่วย (หน้า 40-41) |
|
Political Organization |
สังคมหมู่บ้านเป็นสังคมแบบ "ไมตรีสัมพันธ์" ช่วยเหลือกิจการงานต่าง ๆ กัน มีหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่สุดในหมู่บ้านคอยตัดสินปัญหา และจัดระเบียบให้หมู่บ้านก่อนที่ระบบการปกครองของรัฐจะเข้าถึง ปัจจุบันเมื่อมีการปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำหมู่บ้าน อาทิ กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านจะได้รับการเลือกตั้งจากชาวบ้าน คอยระงับข้อพิพาทในหมู่บ้านและดำเนินคดีตามกฎหมาย (หน้า 41) |
|
Belief System |
ความเชื่อ กลุ่มชนเชื้อสายชองจะนับถือผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีบรรพบุรุษและนับถือศาสนาพุทธ โดยการประกอบกิจกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคนไทย ทั้งยังนิยมให้ลูกชายบวชเรียน รวมถึงมีความเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ บาป บุญกรรม แต่ก็มิได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการนับถือผีบรรพบุรุษ หรือที่เรียกว่า "ผีหิ้งผีโรง" ปรากฏผ่านการประกอบพิธีกรรมการเล่นผีหิ้งผีโรงเพื่อเซ่นไหว้วิญญาณ เชื่อกันว่าวิญญาณผีบรรพบุรุษจะมาว่ากล่าวตักเตือน และคอยปกปักรักษาคนในครอบครัวให้รอดพ้นภัยพิบัติและความเจ็บไข้ได้ป่วย หากใครไม่ทำตามหรือตักเตือนแล้วไม่เชื่อ อาจถูกผู้หลักผู้ใหญ่หรือสังคมติเตียน หรือถูกผีบรรพบุรุษโกรธจนบันดาลให้เกิดภัยพิบัติ โรคร้าย ฝนแล้งได้ การบูชาผีหิ้งผีโรงจะมีการนำเครื่องเซ่น อาหารหวานคาว ธูป ดอกไม้มาเซ่นไหว้ หากมีแขกต่างถิ่นมาพักที่บ้าน ต้องให้แขกนำธูปและดอกไม้มาบอกกล่าวเสียก่อน มีการทำพิธีบวงสรวง จัดเครื่องเซ่นถวายและมีการอัญเชิญวิญญาณผีบรรพบุรุษ (หน้า 32-33) สำหรับความเชื่อเรื่องวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขา หากบังเอิญฆ่าสัตว์ในวันแรกที่เข้าป่า เชื่อว่าจะไม่ได้สัตว์กลับบ้าน หรือหากเดินไปพบช้างในวันแรกก็ให้รีบกลับออกมา เพราะเจ้าป่าไม่อนุญาตให้ล่าสัตว์ หากเข้าป่าแล้วพูดหรือทำให้ผีป่าโกรธ อาจเกิดอันตรายได้จึงต้องทำพิธีบวงสรวงก่อนเข้าป่า (หน้า 35) พิธีกรรม ชองมีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับวิถีชีวิต อาชีพและความเชื่อ ดังต่อไปนี้ 1. พิธีสำหรับเด็กแรกเกิด เมื่อมีหญิงท้องแก่ใกล้คลอด สามีต้องเตรียมแคร่ไม้ไผ่ไว้ให้อยู่ไฟ ฟืนที่ใช้ซึ่งไปตัดจากป่าต้องนำมาตากแดดไว้หลายวัน แล้วใช้หนามล้อมรอบไว้ ป้องกันผีร้ายที่มากับฟืนทำอันตรายเด็ก เมื่อถึงวันคลอด หัวหน้าครอบครัวต้องไปตามหมอกลางบ้านหรือหมอตำแย หมอจะทาน้ำมันหรือน้ำมนต์ให้คนเจ็บท้อง เป็นการขับไล่ภูตผีปีศาจไม่ให้มารบกวนทั้งแม่และเด็ก ภายในห้องคลอดต้องมี "แม่ตำแย" หรือยันต์ปิดไว้ที่ประตู หลังเด็กคลอดได้ 3 วันต้องทำพิธีเอาเด็กลงเปล แล้วเอายันต์ดังกล่าวมาผูกข้อมือเด็ก นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามระหว่างการอยู่ไฟ อาทิ หากเด็กตัวร้อนห้ามคลำตัวเด็ก ห้ามแม่เด็กเอามือลูบท้อง เพราะเชื่อว่าอาจทำให้ไหม้พอง แม่เด็กต้องกินข้าวกับเกลือและอาบน้ำต้มใบส้มโอ หลังคลอด 1-2 เดือนต้องโกนผมไฟห่อใบบอนเก็บไว้ เมื่อโตเด็กหญิงให้ไว้จุก เด็กชายไว้เปีย ทำพิธีโกนจุกเมื่ออายุไม่เกิน 14 ปี หากเด็กตายให้ใช้สุ่มหรือแหครอบศพเด็กไว้กันวิญญาณเข้าสิงแม่ ใช้ผ้าหรือกระสอบห่อศพก่อนนำไปฝัง ใช้คาถาตรึง ใช้ฟันคราดนา 7 อันตอกหลุมศพ ผู้ไปร่วมพิธีต้องใช้ด้ายมงคลผูกกันวิญญาณเข้าสิง (หน้า 51-52) 2. พิธีแต่งงาน ชองมีการหมั้นและสู่ขอกันตามธรรมเนียม พิธีแต่งงานใหญ่หรือ "พิธีการตั๊ก" เป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อลูกสาวคนโตของครอบครัว เพราะถือว่าลูกสาวคนโตเป็นหลักของครอบครัว มักใช้บริเวณบ้านเจ้าสาวเป็นสถานที่ประกอบพิธีโดยปลูกโรงประกอบพิธีขึ้นเป็นการชั่วคราว ปัจจุบันนิยมประกอบพิธีบนบ้าน เครื่องใช้ในการประกอบพิธีประกอบด้วย เครื่องขันหมากและเครื่องเซ่นผี การประกอบพิธีแต่งงานจะมีการละเล่นชนวัวชนควาย เป็นการแสดงอาชีพคือการออกล่าสัตว์ เพื่อปลูกฝังให้คู่บ่าวสาวขยันทำมาหากิน พิธีโค่นตะเคียน หมายถึง ให้เจ้าบ่าวขยันขันแข็ง อดทนทำมาหากิน พิธีขันไก่ หมายถึง เจ้าสาวต้องตื่นนอนแต่เช้าเหมือนไก่ ขยันทำมาหากิน การจับศีรษะบ่าวสาวโขกกันเบา ๆ หมายถึง ให้ร่วมกันทำมาหากิน เป่าหู 3 ทีให้เป็นคนใจคอหนักแน่น ไม่หูเบา ในการส่งตัวเข้าหอ เจ้าสาวต้องยกน้ำให้แม่ เป็นการสอนให้เจ้าสาวใจเย็นเหมือนน้ำ ส่วนเจ้าบ่าวต้องเอาฟืนให้พ่อ ถือเป็นการแทนคุณพ่อที่เตรียมฟืนมาให้ต้มน้ำเมื่อแรกเกิด (หน้า 52-57) 3. พิธีศพ หมอผีประจำหมู่บ้านจะกล่าวคำให้ผู้ตายไปสู่สุขคติ และใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ ส่วนใหญ่นิยมเผาศพตอนกลางวัน หากเป็นการตายด้วยโรคระบาดจะรีบเผาทันทีไม่ให้ค้างคืน การเผาศพทำบนเชิงตะกอน มีการสวดพระมาลัย หรือ "สวดผี" 4 วัน ศพผู้ตายใช้ด้ายผูกข้อมือเรียกว่า "ด้ายดอย" สัปเหร่อใช้ด้ายแดงและด้ายขาวผูกข้อมือ (หน้า 59) 4. พิธีการเล่นผีหิ้งผีโรง การเล่นผีหิ้งเป็นพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ อัญเชิญวิญญาณผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นญาติพี่น้องมาเข้าทรง เพื่อไต่ถามสารทุกข์สุขดิบระหว่างบรรพบุรุษกับลูกหลานที่มีชีวิตอยู่ เป็นการรวมญาติพี่น้องให้มาพบปะพูดคุยกัน เวลาเข้าทรงทำตอนกลางคืน มีร่างทรงและหมอผีกำกับ มีคนร้องเพลงเชิญดวงวิญญาณให้ลงมาเข้าทรง เมื่อเชิญวิญญาณครบ 12 ดวงแล้ว จะร้องเพลงส่งวิญญาณกลับ หมอผีกำกับร่างทรงจะจุดธูป 4 ดอกปักที่ศีรษะร่างทรง พ่นน้ำมนต์แล้วเก็บธูปไปปักที่ลานบ้าน โดยคนที่นั่งต้องเปิดทางให้ผีเดินออก การเล่นผีโรง ทำเวลากลางวันตั้งแต่ 8.00-11.00 น. หากมีการเล่นผีหิ้งแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นผีโรงอีก ซึ่งขึ้นอยู่กับการรับสืบทอดมา เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง สาเหตุที่เรียกว่าผีโรงเพราะมีการตั้งเพิงเป็นโรงเล็ก ๆ ประกอบพิธี เพลงที่ร้องเชิญผีมีเนื้อร้องคล้ายการเล่นผีหิ้ง แต่มีเจ้าที่เชิญมากกว่า คือ เพิ่มเจ้าเขาสระบาป คนร้องเพลงจะตีกลองและไม้กรับ เครื่องใช้ในพิธีผีโรงจะมีการผูกช้าง ม้า เรือจากกระดาษ ให้เห็นการเดินทางมาร่วมพิธีของดวงวิญญาณ บทร้องเชิญผีโรงจะกล่าวเชิญเจ้า เช่น พระนารายณ์และเจ้าเขาสระบาปมารับเครื่องเซ่น ทั้งยังกล่าวถึงพาหนะที่สมมติขึ้น ระหว่างที่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษเข้า ก็จะตักเตือนลูกหลานที่มีชีวิตอยู่ให้เชื่อฟังคำสั่งสอน และทำตามที่วิญญาณต้องการ (หน้า 60-65) |
|
Education and Socialization |
การที่ชองนิยมส่งบุตรหลานเข้าไปทำงานหรือศึกษาในตัวเมือง ทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาชองในการพูดคุยเพิ่มขึ้น ทำให้ภาษาชองถูกภาษาไทยกลืนไปเรื่อย ๆ (หน้า 40) |
|
Health and Medicine |
ความเชื่อและข้อปฏิบัติของหญิงมีครรภ์ ชองมีข้อห้ามสำหรับหญิงมีครรภ์ อาทิ ห้ามนอนหงายเวลาป่วย ห้ามฟังพระสวดในโบสถ์ ห้ามดูราหูอมจันทร์ ห้ามกินข้าวตอนเย็น ห้ามอาบน้ำหรือซักผ้าตอนกลางคืน เพราะจะทำให้คลอดลูกยาก ห้ามกินของเวลาเดินทางเพราะทำให้เจ็บท้อง ห้ามส่งเสียงในเวลากลางคืน เพราะเกรงว่าผีที่ให้โทษอาจทำอันตราย ห้ามนั่งหรือยืนคาบันได้เพราะหากพลัดตกลงมาจะเป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง นอกจากนี้ยังห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดหลังคลอด กินได้เฉพาะข้าวกับเกลือหลังคลอดแล้ว 7 วัน เด็กที่คลอดแล้วต้องนอนในกระด้ง แม่และลูกต้องนอนในแหหรือสุ่มครอบเพื่อป้องกันผีมารบกวน (หน้า 35) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ดนตรีและเพลงพื้นบ้าน ชองได้รับอิทธิพลจากคนไทยภาคกลางด้านการร้องรำทำเพลง รวมถึงเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นประกอบจังหวะ ซึ่งมีทั้งที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ได้รับบริจาคและซื้อหามาเอง อาทิ กลองยาว กลองตะโพน กลองหนัง โทน-รำมะนา ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ฆ้องฟาก ชองมีพ่อเพลงหรือพ่อหมอ เป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญในการประกอบพิธีกรรมสำคัญต่าง ๆ ทั้งยังร้องเพลงประกอบพิธีกรรม และยังทำหน้าที่ถ่ายทอด ฝึกสอนการร้องเพลงให้คนหมู่บ้าน และมีเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมสำคัญอยู่ 4 เพลงซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันดังนี้ (หน้า 77 - 85) 1. เพลงยันแย่ เป็นเพลงร้องเล่นของชาวบ้านหลังเสร็จพิธีกรรม เป็นเพลงที่นิยมร้องทั้งในงานมงคลและอวมงคล เนื้อร้องมีทั้งการเกี้ยวพาราสี ร้องชมธรรมชาติขณะเดินทางไปเที่ยวต่างถิ่น ร้องโต้ตอบกันหรือร้องเล่นเป็นเครื่องบันเทิงใจในหมู่ชาวบ้าน เป็นเพลงที่มีทำนองเดียวแต่เปลี่ยนเนื้อร้องไปเรื่อย ๆ เครื่องดนตรีประกอบที่ใช้ได้แก่ ฉาบ กลอง ฉิ่ง เนื้อหาอาจกล่าวถึงสัตว์และธรรมชาติ ติชมบุคคล หรือเอ่ยถามถึงเพื่อนบ้าน นักดนตรีอาจใช้พ่อเพลงเพียงคนเดียวหรือช่วยกันร้อง (หน้า 66-67, 76) 2. เพลงแต่งงาน มีผู้ทำพิธีคือ "พ่อหมอ" หรือ "คนปลูก" เป็นผู้ประกอบพิธีสงฆ์และขับร้อง เนื้อหาเพลงบ่งบอกการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของชอง หรืออาจแสดงวิถีชีวิตในอดีตที่คลุกคลีอยู่กับธรรมชาติและสัตว์เลี้ยงในป่าในดง ร้องเอ่ยชมเจ้าบ่าวขณะแห่งขันหมากมายังบ้านเจ้าสาว ทั้งยังให้ความสำคัญกับเพื่อน หรือแสดงถึงการนับถือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชองเคารพบูชา เช่น "เจ้าพ่อศรนารายณ์" เครื่องดนตรีที่ใช้เช่น กรับ โหม่ง ฉิ่ง ฉาบ กลองยาว นักดนตรีมักเป็นพ่อเพลงช่วยกันร้อง (หน้า 68-69, 76) 3. เพลงในพิธีศพ พิธีศพของชองมี 4 คืน คืนแรกจะมีเพลงไหว้ครูซึ่งใช้ในคืนแรกของงานศพเท่านั้น เนื้อหาเพลงเป็นการระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม คุณบิดา-มารดาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครอง เพลงไหว้ครูนี้ ถือว่าเป็นแบบแผนที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน ส่วนคืนที่ 2-4 จึงเป็นการละเล่นหรือร้องเพลงเล่าเรื่อง เช่น ชาละวัน ขุนช้างขุนแผน เป็นต้น (หน้า 71, 76) 4. เพลงเชิญผีบรรพบุรุษ เป็นเพลงที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมเชิญผีหิ้งผีโรง เป็นการขับร้องเชิญดวงวิญญาณลงมาให้ลูกหลานสอบถามทุกข์สุข เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษจัดขึ้นปีละครั้ง (หน้า 76) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย คนชองแต่งกายเรียบง่าย แต่เดิมมีการทอผ้าตัดเย็บเอง นิยมสีดำ ขาว น้ำเงิน มักไม่ชอบเสื้อผ้าที่มีสีสันลวดลายฉูดฉาด ปัจจุบันแต่งกายเหมือนคนเมืองทั่วไป หญิงนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อคอกระเช้า ชายนุ่งกางเกงขาก๊วยและไม่นิยมสวมเสื้อเมื่ออยู่บ้าน จะสวมเสื้อเฉพาะเวลาออกจากบ้าน และสวมรองเท้าบู๊ตไปทำงานในไร่นา วัยรุ่นมักนิยมแต่งกายตามสมัยนิยมเหมือนคนเมือง (หน้า 50) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลักษณะเด่นทางชาติพันธุ์ของคนชอง คือ มีรูปร่างสันทัดทั้งหญิงชาย ผิวดำหรือค่อนข้างคล้ำ หน้าผากเถิก ผมหยิกขอด คางเหลี่ยม รูปหน้าสี่เหลี่ยม ตาโต ริมฝีปากหนา ขากรรไกรกว้าง คิ้วดก ลักษณะนิสัยรักสันโดษ ใจเย็น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซื่อสัตย์จริงใจ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ลักษณะเฉพาะประการหนึ่งที่บ่งบอกถึงคำแปลคำเรียก "ชอง" คือ ลักษณะการเดินอย่างระแวดระวังภัย หรือระวังตัวตลอดเวลา ดังคำแปล "ชอง" ที่ว่า "เดินงุ่มง่ามอย่างหมี" แสดงถึงอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของชนเผ่าชอง ซึ่งมักไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าจนกว่าจะแน่ใจว่ามีความจริงใจต่อกันในการคบหา (หน้า 31-32) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่จังหวัดจันทบุรี (หน้า 29) แผนที่ตำบลตะเคียนทอง (หน้า 30) แผนผังลักษณะบ้านชองและพื้นที่ใช้สอย/ภาพบันไดบ้าน (หน้า 46) ภาพลักษณะรูปร่างหน้าตาของชอง (หน้า 31) ภาพที่อยู่ของวิญญาณบรรพบุรุษ "ผีหิ้ง" (หน้า 33) ภาพที่อยู่ขอวิญญาณบรรพบุรุษ "ผีโรง" (หน้า 34) ภาพหมอบูรณ์ (หน้า 37) ภาพขวานปูลู (หน้า 43) ภาพบ้านชองแบบโบราณ/ภาพบ้านชองสมัยใหม่ (หน้า 45) ภาพห้องสุขา/สถานที่อาบน้ำ (หน้า47) ภาพน้ำพริกผักจิ้มและอาหารหลักของชอง (หน้า 49) ภาพพ่อหมอทำพิธีโค่นต้นตะเคียน/พ่อหมอประกอบพิธีแต่งงานแบกขวานปูลู (หน้า 58) ภาพร่วมกันร้องเพลงในพิธีสวดศพ (หน้า 59) ภาพเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ (หน้า 78-84) ภาพสถานที่เก็บเครื่องดนตรี (หน้า 85) |
|
|