|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การจัดการทรัพยากร,ความเจ็บป่วย,เชียงใหม่ |
Author |
อุไรวรรณ แสงศร |
Title |
กะเหรี่ยง : การจัดการทรัพยากรและความเจ็บป่วย |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
36 |
Year |
2547 |
Source |
ยศ สันตสมบัติ และคณะผู้วิจัย (บรรณาธิการ) |
Abstract |
กะเหรี่ยงบ้านผาผึ้งเดิมมีการผลิตแบบทำไร่หมุนเวียน แต่หลังจากการควบคุมของรัฐ ทำให้พื้นที่ทำกินมีจำนวนน้อยลง ไม่อาจทำไร่หมุนเวียนได้ครบรอบอีกต่อไป ขณะเดียวกันภูมิปัญญาการรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิม กำลังเสื่อมคลายลง เนื่องจากเยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่สนใจเรียนรู้การรักษาแบบดั้งเดิม นิยมรักษาพยาบาลแบบสมัยใหม่มากกว่า |
|
Focus |
ศึกษาการจัดการทรัพยากรและความเจ็บป่วยของกะเหรี่ยงบ้านผาผึ้ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงอพยพมาจากบริเวณตอนเหนือของพม่าและไทย โดยมีการอพยพเข้าสู่ประเทศไทยครั้งใหญ่ 2 ครั้ง และต่อมามีการอพยพมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เส้นทางแม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขง ทางตอนบนของรัฐฉาน ขยายเข้าสู่ตอนใต้ทั่วรัฐกะเหรี่ยง แต่ไม่ชัดเจนว่าอยู่ในช่วงระยะเวลาใด กะเหรี่ยงที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยกระจายตัวตามจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ บริเวณชายแดนไทย พม่า และทิศตะวันตก เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ สุโขทัย กำแพงเพชร แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรีและอุทัยธานี (หน้า 197 - 198) ปัจจุบันมีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณ 392,295 คน คิดเป็น 46.8 % ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทย (หน้า 198) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงจัดอยู่ในกลุ่มภาษา Tibeto-Burman นักวิชาการบางคนจัดให้อยู่ในกลุ่ม Sino - Tibetan หรือจัดให้เป็นกลุ่มกะเหรี่ยงเอง หรือแบ่งตามความแตกต่างด้านสำเนียง แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม คือ โปว์ (Pwo) สะกอว์ (skaw) ตองสู (Thangsu) คะยา (Kayah หรือ Karenni หรือ Red Karen) สกอว์เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด รองลงมาคือโปว์ ทั้งสองกลุ่มมีประมาณ 250,000 คน ตองสูมีประชากรประมาณ 600 คน และคะยา มีประชากรประมาณ 3,000 - 5,000 คน (หน้า 198) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงบ้านผาผึ้ง อพยพมาจากบ้านห้วยลึก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผาผึ้งประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร ในอดีตบ้านห้วยลึกมีความสมบูรณ์ มีพื้นที่ราบที่เหมาะสมสำหรับทำนา จึงเป็นชุมชนขนาดใหญ่กว่า 300 ครัวเรือน แต่กะเหรี่ยงเชื่อว่าถูกคนพื้นราบทำคุณไสยใส่คนในหมู่บ้าน ทำให้เกิดโรคระบาดและสิ่งผิดธรรมชาติ จึงอพยพออกจากหมู่บ้านไปที่บ้านอมเม็ง 1 - 1.5 กิโลเมตร แต่อยู่ได้ไม่นานเกิดทะเลาะกับคนในหมู่บ้านอมเม็ง บางส่วนจึงอพยพไปอยู่ที่ผาผึ้งปัจจุบัน ส่วนที่เหลืออพยพไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ข้างเคียง ในช่วงแรกชาวบ้านเป็นคนบุกเบิกที่นาในบ้านผาผึ้ง แต่ต่อมาในยุคฝิ่นระบาด ชาวบ้านหลายคนติดฝิ่น ไปกู้ยืมเงินกับคนในหมู่บ้านอมเม็ง เมื่อไม่มีเงินจ่ายจึงถูกยึดที่นาไป (หน้า 204 - 205) ในช่วงปี พ.ศ. 2520 รัฐเข้ามาควบคุมชุมชนกะเหรี่ยงมากขึ้น โดยเข้ามาตั้งหน่วยงานในชุมชน เจ้าหน้าที่รัฐและทหารได้เข้ามาแนะนำให้ชาวบ้านเลิกปลูกฝิ่นและเลิกทำไร่หมุนเวียน แล้วหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากเหตุผลเรื่องการปราบฝิ่น และการควบคุมการตัดไม้ทำลายป่าแล้ว ยังมีปัญหาการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จึงทำให้รัฐเข้ามาแทรกแซง โดยการพัฒนาหมู่บ้าน เช่นการสร้างโรงเรียน นำไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน ระบบการผลิตเริ่มเปลี่ยนแปลงจากวิธีดั้งเดิมมาสู่การผลิตแบบใหม่ ใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง การเก็บรักษาพันธุ์พืชพื้นเมืองยังคงมีอยู่ แต่ความหลากหลายเริ่มลดน้อยลง พืชที่รัฐเข้ามาส่งเสริมได้แก่ ข้าวโพด ถั่วเหลือง โดยมีการปลูกสลับกับการทำไร่ข้าว ยังมีการเอามื้อเอาวันและการจ้างแรงงานผสมผสานกัน ขณะที่ชาวบ้านถูกจำกัดการทำไร่หมุนเวียน ทำให้ผลผลิตไม่พอเพียง ต้องออกไปทำงานรับจ้างนอกหมู่บ้าน (หน้า 222 - 225) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนกะเหรี่ยงอยู่ในระบบนิเวศป่าดงดิบ หรือเขตป่าสนเขา มีความสูง 1,000 - 1,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล กับป่าเบญจพรรณ ป่าแดง ป่าเต็งรัง ซึ่งอยู่ในระดับความสูง 400 - 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล นิยมตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ลุ่มก้นกระทะ ล้อมรอบด้วยเนินเขาใกล้แหล่งน้ำ ไม่นิยมตั้งหมู่บ้านบนภูเขาสูง หรือสร้างบ้านบนสันเขา ลักษณะทั่วไปของป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง จะมีไม้เต็ง ไม้รัง และต้นตึง โดยปกติกะเหรี่ยงนิยมใช้ไม้ไผ่มาสร้างบ้าน ใช้หญ้าคาหรือใบตองตึงมามุงหลังคา เป็นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในท้องถิ่น (หน้า 199) |
|
Demography |
ปัจจุบันมีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณ 392,295 คน คิดเป็น 46.8 % ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทย (หน้า 198) บ้านผาผึ้งประกอบด้วย 3 กลุ่มบ้านคือ กลุ่มบ้านผาผึ้ง มี 48 หลังคา กลุ่มบ้านแม่คงคา มี 17 หลังคา และกลุ่มบ้านป่ากล้วยมี 25 หลังคา รวม 90 หลังคา รวมมีประชากรทั้งหมด 402 คน แบ่งเป็นชาย 211 คน หญิง 191 คน (หน้า 205) |
|
Economy |
แต่เดิมมีวิถีการผลิตเพื่อการยังชีพ เมื่อตอนที่ทรัพยากรธรรมชาติยังมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ต้องพึ่งสินค้าของใช้ที่ไม่สามารถผลิตเองได้จากภายนอก เช่น เกลือ เหล็ก ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างหมู่บ้าน ในช่วงปี พ.ศ. 2460 มีพ่อค้านำเครื่องมือเหล็กจากกรุงเทพและพม่า มาขายที่จอมทองและแม่สะเรียงมากขึ้น และมีพ่อค้าวัวต่างค้าขายในเส้นทางนี้จำนวนมาก แต่เดิม ทำไร่กัน 1 ปี แล้วปล่อยที่ดินทิ้งไว้ 5 - 7 ปี เพื่อให้ดินพักฟื้นจึงกลับเข้าไปปลูกซ้ำ เป็นการหมุนเวียนไร่ต่อเนื่องกันไป เรียกว่าทำไร่ในระยะสั้นและปล่อยทิ้งไว้ให้ฟื้นตัวระยะยาว (short cultivation - long fallow) จะมีการกำหนดชื่อไร่ตามจำนวนที่ปล่อยทิ้ง คือ ไร่ปัจจุบันที่กำลังเพาะปลูกเรียกว่า "คึ" ไที่ปล่อยทิ้งร้างเรียกว่า "ฉึ่ย-คึ" ไร่ที่ถูกทิ้งร้างไว้ 1-2 ปี "ฉึ่ยเอาะเม ฉึ่ยวา" สภาพจะมีพุ่มไม้ ตอไม้แตกกอ มีสาบเสือขึ้นแทรก "ฉึ่ยเบาะปู" มีอายุ 3 - 4 ปี ป่าจะรกมากขึ้น วัวควายไม่สามารถเข้าไปหากินได้ "ฉึ่ยลุถ่อ" มีอายุ 5 - 6 ปี เหมือนป่าที่ฟื้นกลับมาอีกครั้ง มีความอุดมสมบูรณ์มาก และเริ่มมีสัตว์เข้าไปอยู่อาศัย ส่วนไร่ที่มีอายุมากกว่า 8 ปี เรียกว่า "ดูบะฉี่ยเจ๊าะ" มีความอุดมสมบูรณ์พร้อมกลับมาเพาะปลูกอีกครั้ง (หน้า 208 - 209) การทำไร่ของกะเหรี่ยงแบ่งเป็น 5 ขั้น คือ ขั้นแรก การเลือกพื้นที่ ในช่วงเดือนมกราคม เป็นการตกลงภายในหมู่บ้าน โดยจะมีการจับจองพื้นที่ทำกิน นอกจากนี้ การเลือกพื้นที่ตามความเชื่อที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่อยู่ในพื้นที่ต้องห้าม ขั้นที่สอง การเตรียมพื้นที่ ตัดฟันแผ้วถางและเผาไร่ โดยจะไม่ตัดไม้ใหญ่ทั้งหมด เพียงแต่ริดกิ่งเท่านั้น ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ จากนั้นทิ้งไว้ 1 - 2 เดือน เพื่อตากดิน ในช่วงนี้ชาวบ้านจะเตรียมเมล็ดพันธุ์สำหรับเพาะปลูก จนถึงช่วงปลายเดือนเมษายน หรือฝนตก ขั้นตอนที่สาม การปลูกข้าว หลังฝนตก จะต้องเลือกฤกษ์หรือวันดีสำหรับเพาะปลูก ส่วนมากจะเลือกวันเกิดของตนเอง เช่นวันอังคาร จะต้องทำพิธี "โทราบือ" หรือแหกข้าว จะเลือกบริเวณใกล้ตอไม้ใหญ่ นำกระทงที่มีข้าว หมาก บุหรี่ เกลือ พริก เมี่ยง มาวางไว้บนตอไม้ จากนั้นจะกระทุ้งดิน 9 หลุม แล้วหยอดเมล็ดพันธุ์ที่คัดมาอย่างดี โดยฝ่ายชายเป็นผู้กระทุ้งดิน ฝ่ายหญิงเป็นผู้หยอดเมล็ดพันธุ์ พันธุ์ข้าวที่นำมาปลูก จะมี 3 - 5 สายพันธุ์ ซึ่งจะมีการปลูกพืชผักชนิดอื่นร่วมไปด้วย แต่จะแยกพืชไม้เลื้อยเพราะอาจไปทำให้ต้นข้าวเสียหาย ขั้นตอนที่สี่ การกำจัดหญ้า (เลาะหน่อ) การเผาไร่ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดิน ขั้นตอนสุดท้าย จึงเก็บเกี่ยว โดยมัดรวมเป็นฟ่อนเล็กๆ วางกระจายในไร่ ตากทิ้งไว้แล้วตีข้าวกลับไปยังหลองข้าวของตนเอง (หน้า 208 - 209) ในอดีต ชาวบ้านจะเลี้ยงควาย วัว เกือบทุกหลังคาเรือน อย่างน้อยครัวเรือนละ 3 ตัว ปัจจุบันยังคงมีการเลี้ยงวัว ควายเป็นอาชีพเสริม ประมาณครอบครัวละ 2 - 3 ตัว บางบ้านมีถึง 30 ตัว ส่วนการไถนา เริ่มมีการเปลี่ยนจากควายเป็นรถไถ และเริ่มมีรถร้านค้าเข้ามาขายของในหมู่บ้าน อาชีพนอกภาคการเกษตร ชาวบ้านเข้าไปทำงานในเมืองเชียงใหม่ กรุงเทพฯ ประมาณ 20 คน ชาวบ้านยังมีการทอผ้าใช้เอง โดยจะซื้อด้ายมาทอเป็นเสื้อผ้า การครอบครองพื้นที่ทำกิน แบ่งเป็น พื้นที่ไร่ ทุกครัวเรือนมี 1 - 3 แปลง กลุ่มที่มี 1 แปลงมี 10 หลังคาเรือน กลุ่มที่มี 2 แปลงมี ประมาณ 40 หลังคาเรือน และกลุ่มที่ 3 มีประมาณ 40 หลังคาเรือน ส่วนพื้นที่ทำไร่ข้าวเป็นเพียงสิทธิการใช้เท่านั้น ส่วนครอบครัวที่มีพื้นที่นามีประมาณ 20 หลังคาเรือน มีเฉลี่ยประมาณครัวเรือนละ 5 ไร่ บางครัวเรือนมี 1 - 2 ไร่ บางครัวเรือน มี 12 ไร่ (หน้า 207) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยงสืบสายตระกูลทางแม่ (Matrilineal) ทำให้ผู้หญิงมีสถานภาพเป็นหัวหน้าครอบครัว ลักษณะการแต่งงานเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว คู่สมรสใหม่ต้องอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อแม่ฝ่ายภรรยา ส่วนการหย่าร้างเกิดขึ้นได้ภายหลังได้คืนค่าสินสอดจากผู้ต้องการหย่าร้าง (หน้า 198) |
|
Belief System |
กะหรี่ยงมีระบบความเชื่อเรื่อง "ยวา" เพราะถือว่าเป็นพระจ้าผู้สร้างโลก "หมื่อคา" เป็นเทพคุ้มครอง อาศัยอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และโลกแห่งความตาย ผีที่ต้องการไปเกิดเป็นมนุษย์ ต้องแจ้งให้ "หมื่อคา" ทราบก่อน นอกจากนี้ "หมื่อคา" ยังทำหน้าที่เลี้ยงดูวิญญาณบรรพบุรุษครอบครัวกะเหรี่ยง "เก่อจ่า" หรือเจ้าที่ เป็นเทพที่มีอำนาจสูงสุด อาศัยอยู่บนยอดเขาสูง ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ผืนดิน (หน้า 199 - 200) กะเหรี่ยงจะมีผู้ทำพิธีกรรม คือ "ฮีโข่ว" สามารถติดต่อกับผีต่างๆ ได้ เป็นผู้ทำพิธีกรรมของหมู่บ้าน คอยดูแลความเรียบร้อยในหมู่บ้าน และเป็นผู้เลือกพื้นที่ตั้งหมู่บ้าน หาก "ฮีโข่ว" เสียชีวิตลง ลูกชายคนโตจะมาเป็น "ฮีโข่ว" ของหมู่บ้านคนต่อไป และจะต้องออกไปหาที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่สามารถอพยพย้ายหมู่บ้านได้แล้ว (หน้า 201 - 202) พิธีกรรมของกะเหรี่ยง ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการผลิตมี ดังนี้ -พิธีขึ้นปีใหม่ ทำให้ช่วงเดือน ธันวาคมถึงมกราคม เพื่อขออนุญาตเจ้าที่ ป่าเขา ขอใช้น้ำ ป่า ดินในการทำมาหากิน ในพิธีจะมีการปรึกษาหารือกันระหว่างผู้อาวุโส เพื่อเลือกพื้นที่ทำไร่นา จะเริ่มจากบ้านของ "ฮีโข่ว" จะทำพิธีผูกข้อมือ ทุกครอบครัวจะนำเหล้าต้มและไก่ มาทำพิธีและกินร่วมกัน โดยพิธีกรรมนี้จะห้ามคนนอกหมู่บ้านเข้าร่วม (หน้า 213) -พิธีเลี้ยงผีไร่ (บัวะคึ) ทำเมื่อข้าวสูงประมาณ 1 ศอก มีกระทงใส่ธูป เทียน ดอกไม้ เหล้า เมี่ยง บุหรี่ เกลือ พริก ทำพิธีเพื่อขอให้ผี กร่อเกอะจ่า ตาลือเม่ ตาเตอะเมาะ และตาแซะ ช่วยคุ้มครองดูแลพืชผลในไร่ -พิธีกินข้าวใหม่ เป็นการยกย่องคุณค่าของข้าว ตอบแทนคุณของข้าว ซึ่งจะนำสิ่งของที่เกี่ยวกับข้าว เช่นหม้อหุงข้าว ถังข้าวสาร เตาไฟ ครกตำข้าว มามัดรวมกับของแสลง เช่นผักขม เผือก กบ เขียด ปู ซึ่งถือว่าเป็นอาหารที่วิเศษกว่าอาหารชนิดอื่น -พิธีขอให้เมล็ดข้าวหนัก จะกระทำก่อนตีข้าว ให้เมล็ดข้าวหลุดจากรวงง่าย ในพิธีจะมีการฆ่าไก่เลี้ยงผี เสร็จแล้วจะลงมือตีข้าว -พิธีเรียกนกขวัญข้าวกลับฟ้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์ กลับสู่ฟ้าและกลับมาใหม่เมื่อถึงฤดูการผลิตอีกครั้งหนึ่ง เป็นการขอบคุณนกขวัญข้าวที่ลงมาเป็นขวัญข้าวทุกปี -พิธีเรียกขวัญข้าว เมื่อขนข้าวมาไว้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว รุ่งเช้าจะนำตะกร้าที่มีดอกไม้ กล้วย อ้อย ใช้ไม้ไผ่หาบตะกร้าไป (ห้ามถือไป) วางไว้ที่ไร่ ที่ยอดกองข้าว เพื่อเรียกให้ขวัญข้าวที่ค้างอยู่ในไร่นากลับไปยังบ้าน (หน้า 213 - 214) |
|
Education and Socialization |
ในด้านการให้ความรู้เรื่องสมุนไพร พ่อแม่จะเป็นผู้สอนให้ลูกรู้จักพืชต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพืชอาหารหรือพืชสมุนไพร ในระหว่างช่วงที่ไปทำงานในไร่ หาของป่าล่าสัตว์ การถ่ายทอดดังกล่าว ต้องอาศัยการจดจำ และความคุ้นเคยใกล้ชิดในครอบครัว (หน้า 232) |
|
Health and Medicine |
ความเจ็บป่วยตามความเชื่อของกะเหรี่ยง เชื่อว่าเกิดขึ้นจาก 3 สาเหตุหลัก คือ 1. ขวัญหนีออกจากร่างกาย ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์มี 37 ขวัญ เปรียบเสมือนอำนาจที่กำกับชีวิตของกะเหรี่ยง ขวัญสามารถออกจากร่างกายได้ จะทำให้เกิดความเจ็บป่วยจนถึงตายได้ ขวัญออกจากร่างอาจเกิดจากการกระทำของผีซึ่งเจ้าของได้ไปละเมิด บางครั้งขวัญชอบออกจากร่างไปเที่ยวแล้วเกิดหลงทางไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ การหาสาเหตุอาจดูจากกระดูกไก่ ไข่ไก่ หรือไม้ไผ่ เมื่อทราบสาเหตุแล้วจึงหาทางแก้ไขต่อไป 2. ผีเป็นผู้กระทำให้เกิดความเจ็บป่วย เชื่อว่าไปละเมิดล่วงเกินผีทำให้ผีโกรธ เช่นไปเหยียบแขนผี จึงลงโทษทำให้ปวดแขน หากไปทำที่หัวผีก็อาจทำให้เกิดปวดหัว การรักษาโดยการทำพิธีขอให้ผียกโทษ ใช้ไก่ หมูหรือควายในการเลี้ยงผี 3. ความเจ็บป่วยที่เกิดจากธรรมชาติ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากผี แต่เกิดจากสภาพแวดล้อม ดิน ฟ้า อากาศ จากภายในร่างกายของมนุษย์ การรักษาโดยการใช้ยาสมุนไพร หรือปล่อยให้หายเอง (หน้า 227 - 230) กะเหรี่ยงมีการค้นหาสาเหตุความเจ็บป่วยโดยการให้ผู้ทำนาย เสี่ยงทายด้วยหวาย กระดูกไก่ ไข่ไก่ นับเมล็ดข้าว ชิ้นถ่านหรือไม้ไผ่ และการเสี่ยงทายโดยถอนขนไก่ (หน้า 229 - 230) การรักษาพยาบาลของกะเหรี่ยง ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย หากเกิดจากผี จะต้องทำพิธีซึ่งมีทั้งพิธีระดับปัจเจก และพิธีระดับครอบครัว เพื่อเยียวยารักษาอาการเจ็บป่วยและการขอขมาต่อผี หรือขอให้ผีช่วยคุ้มครอง และยังมีพิธีกรรมระดับชุมชน ที่เกิดความผิดปกติหรือมีคนก่อเรื่องร้ายแรงเช่นผิดลูกเมียผู้อื่น ส่งผลกระทบไปถึงคนในชุมชนด้วย ผู้กระทำผิดต้องทำพิธีเสียค่าปรับเป็นควาย โดยให้ฮีโข่วเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ส่วนการรักษาด้วยสมุนไพร จะมีความรู้กันในระดับครอบครัว กลุ่มเครือญาติจะช่วยกันหาสมุนไพรมาให้ผู้ป่วย (หน้า 231 - 232) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การใช้ความรู้ในการรักษาพยาบาลของกะเหรี่ยงเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากการรักษาพยาบาลแผนใหม่ ทำให้คนหนุ่มสาวไม่สนใจเรียนรู้เรื่องสมุนไพรจากคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งความรู้ดังกล่าวกำลังจะสูญหายไปในไม่ช้า (หน้า 233) |
|
Map/Illustration |
-
รูปหมู่บ้านผาผึ้ง ถ่ายจากบริเวณผาผึ้ง (หน้า 204)
-
รูปการทำไร่ข้าวของกะเหรียง (หน้า 212)
-
รูปการทำพิธี "โทราบือ" ก่อนทำการหยอดข้าว (หน้า 212)
-
รูปกะเหรี่ยงเก็บพืชผักในไร่ข้าว (หน้า 217)
-
รูปป่าอนุรักษ์บ้านผาผึ้ง (หน้า 226)
-
รูปป่าเดปอ หรือป่าสะดือ (หน้า 226)
|
|
|