|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,การจัดการทรัพยากร,การรักษาพยาบาล,เชียงราย |
Author |
อุไรวรรณ แสงศร |
Title |
อาข่ากับการจัดการทรัพยากรและรักษาความเจ็บป่วย |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
39 |
Year |
2547 |
Source |
ยศ สันตสมบัติ และคณะผู้วิจัย (บรรณาธิการ) |
Abstract |
อาข่ามีภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ทำไร่แบบตัดฟันโค่นเผา เมื่อทำไร่ติดต่อกัน 3 - 5 ปี จึงปล่อยทิ้งให้ป่าฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ สิทธิการใช้พื้นที่ทำไร่เป็นของผู้จับจอง หากละเว้นไป ผู้อื่นอาจเข้าไปทำประโยชน์ได้ พืชหลักที่ปลูกคือ ข้าว ข้าวโพด และฝิ่น ปัจจุบันอาข่าไม่สามารถพักฟื้นที่ดินได้ จึงมีการใช้ที่ดินเข้มข้น ก่อให้เกิดที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ การรักษาพยาบาลของอาข่ามีทั้งการเข้าทรงและการใช้สมุนไพร ซึ่งยังคงได้รับความนิยม ถึงแม้ว่าชาวบ้านมีทางเลือกในการรักษาพยาบาลมากขึ้น อีกทั้งสมุนไพรเริ่มหายากมากขึ้นจากพื้นที่ป่าที่ลดน้อยลง |
|
Focus |
ศึกษาภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรและการดูแลความเจ็บป่วยของ "อาข่า" บ้านแสนสุข หมู่ 9 ตำบลศรีค้ำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย |
|
Ethnic Group in the Focus |
เชื่อกันว่าอาข่าสืบเชื้อสายมาจากชนชาติโล-โล ทางตอนใต้ของประเทศจีน และได้จำแนกออกเป็น 7 กลุ่มย่อย ได้แก่ 1) ปุลี 2) ยึเชอะ 3) นาคี 4) มาเจ 5) ทูลา 6) อาเข่อ และ 7) ยึเยาะ เดิมเชื่อว่ามีอาณาจักรของตนเองบริเวณต้นแม่น้ำไท้ฮั๊วสุยในแคว้นธิเบต แต่แล้วถูกรุกรานถอยร่นลงมาที่มณฑลยูนนานและไกวเจา แคว้นสิบสองปันนา เชียงตุง ปัจจุบันอาข่าขยายตั้งถิ่นฐานในบริเวณต่างๆ ตั้งแต่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของพม่า แคว้นหัวโขง แคว้นพงสาลี และในภาคเหนือของประเทศไทย อาข่าในประเทศไทยส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นเชียงตุงในพม่า มาตั้งบ้านเรือนแห่งแรกที่ดอยตุง บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ส่วนกลุ่มที่อพยพมาล่าสุดมาจากแคว้นสิบสองปันนา ทางอำเภอเชียงแสน อาข่ามีการตั้งบ้านเรือนในประเทศไทยประมาณ 256 หมู่บ้าน 49,903 คน กระจายตามจังหวัดต่างๆ ได้แก่ เชียงราย 219 หมู่บ้าน 43,109 คน เชียงใหม่ 23 หมู่บ้าน 4,001 คน ตาก 2 หมู่บ้าน 1,237 คน ลำปาง 8 หมู่บ้าน 1,213 คน (หน้า 156-157) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอาข่าอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต กลุ่มธิเบต-พม่าในกลุ่มย่อยโล-โล (หน้า 156) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
อาข่าที่บ้านแสนสุขมาจากหมู่บ้านพระยาไพร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทยพม่า ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างตระกูลในหมู่บ้าน และภัยสงคราม ทำให้ต้องอพยพเข้ามาในเขตไทย มาอาศัยอยู่ตามบ้านญาติพี่น้องที่อพยพมาก่อนหน้าที่บ้านแสนใจเก่า เมื่อมีประชากรเพิ่มขึ้น บางส่วนจึงอพยพโยกย้ายออกมาหาพื้นที่ทำกินใหม่ตามเชิงเขาลุ่มน้ำหม้อขาง ในปี พ.ศ. 2511 ห่างจากที่ตั้งหมู่บ้านเดิม 3-4 กิโลเมตร ทำให้พื้นที่ทำกินอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน แต่ยังไม่สามารถตั้งหมู่บ้านใหม่ได้ เนื่องจากไม่มีผู้นำประกอบพิธีกรรมหยื่อมะ ต่อมาปี พ.ศ. 2514 พ่อเฒ่าปาหล่อง ปอแฉ่ ได้มาเป็นหยื่อมะ จึงสามารถนำพาชาวบ้านบางส่วนอออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่ในบริเวณบ้านแสนสุขปัจจุบัน เริ่มแรกมี 12 ครอบครัว 80 คน มีอาข่า 4 ตระกูล ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2517-2518 ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเข้ามาบุกเบิกพื้นที่ทำกินบริเวณรอบหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านสามารถจับจองพื้นที่ทำการผลิตเพิ่มขึ้น จนทำให้ประชากรหมู่บ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ขาดแคลนที่ดินทำกิน พื้นที่การถือครองที่ดินต่อครอบครัวลดน้อยลง บางครอบครัวประสบปัญหาไม่มีพื้นที่ทำกิน (หน้า 163-164) |
|
Settlement Pattern |
อาข่านิยมตั้งหมู่บ้านบนภูเขาตามสันดอยในระดับความสูงประมาณ 3,000-4,000 ฟุต สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง แวดล้อมไปด้วยดอยสูงลูกอื่น มีลำธารไหลผ่าน มีพื้นที่ราบเพียงพอสำหรับประกอบพิธีกรรมชุมชน และสำหรับทำกิน การเลือกหมู่บ้านจะทำพิธีเสี่ยงทายเพื่อขออนุญาตผีในการตั้งหมู่บ้าน หยื่อมะจะโยนไข่ลงบริเวณที่จะตั้งหมู่บ้าน 3 ใบ หากไข่ไม่แตกแสดงว่าผีไม่อนุญาตให้ตั้งหมู่บ้าน ภายในชุมชนอาข่าจะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบหมู่บ้านได้แก่ ประตูหมู่บ้าน (ลกข่อ) ป้องกันไม่ให้ผีร้ายเข้ามาในหมู่บ้าน ศาลผี (หมิซา ลอเออะ) อยู่ในบริเวณป่าศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน ให้เป็นที่พักอาศัยของผีป่า ชิงช้า (หละซา หรือโละซา) ตั้งบริเวณเขตประตูหมู่บ้าน เพื่อบูชาเทพให้ประทานความสมบูรณ์แก่พืชไร่ ลานสาวกอด (แด๊ะข่อ) เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของหนุ่มสาวเวลากลางคืน แหล่งน้ำประจำหมู่บ้าน (หละดุ) และ เขตป่าสงวนหรือป่าชุมชน (หน้า 158-159) |
|
Demography |
หมู่บ้านแสนสุขมีจำนวนประชากร 110 หลังคาเรือน รวมทั้งสิ้น 515 คน เป็นชาย 255 คน หญิง 260 คน (หน้า 162) |
|
Economy |
ชุมชนบ้านแสนสุขอยู่ใกล้ตลาด มีการคมนาคมสะดวกและตั้งอยู่บนเส้นทางการท่องเที่ยว คนในชุมชนจึงมีอาชีพที่หลากหลาย เช่น 1) ขายผลผลิตการเกษตร เช่นข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง มะเขือเทศ มันฝรั่ง 2) รายได้จากการขายของป่า มีหน่อไม้ เห็ด เก็บดอกไม้กวาดหน้าหนาว เฉลี่ยมีรายได้ประมาณ 3,000-8,000 บาทต่อปี 3) รายได้จากแรงงานรับจ้างนอกหมู่บ้าน เข้าไปทำงานในเมืองและ 4) รายได้จากการค้าขายภายในหมู่บ้านและขายให้นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นสินค้าหัตถกรรมประจำกลุ่มชาติพันธุ์ เช่นเสื้อผ้า ถุงย่าม เครื่องประดับต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการค้าขายนอกหมู่บ้าน สินค้าจำพวกสัตว์เลี้ยง โดยผู้หญิงจะมีบทบาทในการค้ามากกว่าผู้ชาย การค้าขายสินค้าทางวัฒนธรรมเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นตั้งแต่ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่นำเอากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไปแสดงและมีการขายสินค้าหัตถกรรมต่างๆ ซึ่งขายดีมาก จึงเกิดช่องทางค้าขายโดยนำสินค้ามาตั้งขายที่ไนท์บาซาร์จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกับมีบางส่วนออกมาอาศัยอยู่ในตัวเมือง และบางส่วนยังไปกลับระหว่างหมู่บ้านและไนท์บาซาร์ การผลิตของอาข่าบ้านแสนสุขไม่สามารถผลิตข้าวบริโภคพอเพียงตลอดปี อีกทั้งยังต้องพึ่งพาอาหารทั้งสดและแห้งจากภายนอกเข้าไปขายในหมู่บ้าน ขณะที่รายจ่ายของอาข่าบ้านแสนสุข เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ความเจริญทางวัตถุเข้ามาในหมู่บ้านมีการบริโภคสินค้าจากภายนอกหมู่บ้านมากขึ้น เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ มีการซื้อในระบบเงินผ่อนจากพ่อค้านอกหมู่บ้าน จึงทำให้ชาวบ้านมีปัญหาเรื่องหนี้สินเป็นจำนวนมาก (หน้า 164-167) |
|
Social Organization |
เชื่อกันว่า ในอดีตคนและผีอาศัยอยู่ด้วยกัน มีการสืบสายสกุลต่อมาถึงอันดับ 5 ซึ่งเป็นลำดับที่คนและผีเริ่มแยกจากกัน จะแยกจากกันเด็ดขาดเมื่อสืบสายสกุลต่อมาอีก 10 ลำดับ คือ "ซุมมิโอ" อาข่าจึงยกย่อง "ซุมมิโอ" ให้เป็นบรรพบุรุษคนแรก และมีการไล่เรียงลำดับมาเรื่อยๆ หัวหน้าครอบครัวจะให้บุตรของตนเองเรียนรู้การลำดับสายตระกูลตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เพราะสายตระกูลมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของอาข่ามาก ในทางพิธีกรรมต่างๆ หรือการกำหนดบุคคลสำคัญของหมู่บ้าน เช่นหากต้องเดินทางไปหมู่บ้านอาข่าอื่น จะต้องไปไล่เรียงลำดับสายสกุล เพื่อทดสอบว่าเป็นอาข่าแท้จริงหรือไม่ (หน้า 159) |
|
Political Organization |
ในเรื่องการปกครองหมู่บ้านจะมีกลุ่มผู้นำตามจารีตประเพณี ประกอบด้วย 1) หัวหน้าหมู่บ้านหรือผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน 2) หยื่อมะ หรือหัวหน้าพิธีกรรม เป็นตำแหน่งจารีตประเพณีที่สำคัญที่สุด มีการถ่ายทอดตามสายตระกูล แต่สามารถถอดถอนได้หากประพฤติตัวไม่ดี 3) พิมะ และ ผิยะ มีบทบาทในการประกอบพิธีกรรมและรักษาอาการเจ็บป่วย มีการสืบทอดตามสายสกุล แต่ยืดหยุ่นให้ผู้อื่นสามารถเป็นได้ด้วย 4) บะจี หรือช่างตีเหล็ก มีหน้าที่ทำเครื่องมือเครื่องใช้การเกษตร สืบทอดตามสายสกุล และคนนอกตระกูลได้หากจำเป็น เป็นผู้รักษากฎระเบียบของชุมชน 5) คณะอาวุโส (อะบอเซาะหม่อ) เป็นผู้นำของแต่ละตระกูลในหมู่บ้าน มีประสบการณ์ ความรู้และการปกครองหมู่บ้าน ทำหน้าที่ตัดสินคดีความ ข้อพิพาทในชุมชน และ 6) กลุ่มคนหนุ่ม เป็นกลุ่มเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อาวุโส (หน้า 159-161) ผู้นำตามจารีตประเพณีมีบทบาทสูงมากในชุมชน แม้ว่าจะมีชาวบ้านที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่ประมาณ ร้อยละ 25 แต่ก็ไม่ได้ลดความสำคัญของผู้นำตามจารีตลง ซึ่งยังคงได้รับการยอมรับนับถืออยู่มาก ผู้นำตามจารีตประเพณี ยังมีหน้าที่ในการจัดการทรัพยากรและบริหารชุมชน เช่นจัดสรรพื้นที่ทำกินในแต่ละปี จัดการประชุมหมู่บ้านในเรื่องต่างๆ เช่นการรับสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน ผลผลิตของชุมชน หนี้สินครัวเรือน ส่วนการปกครองของผู้นำราชการ จะมีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน 7 คน ซึ่งในทางปฏิบัติจะขึ้นอยู่กับผู้นำตามจารีตประเพณี (หน้า 167-168) |
|
Belief System |
ความเชื่อเกี่ยวกับผีและการรักษาพยาบาลมี 2 ลักษณะ ได้แก่ การนับถือเทพเจ้า เทพที่สำคัญที่สุดคือ "อะพือหมิแย" เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษอาข่าที่เป็นเทวดา สร้างสรรพสิ่งบนโลก ยังมีเทพ "อิ่มซา" เทพเจ้าแห่งลม "อึมแยะ" เทพแห่งฝน "อะกือ" เทพแห่งแสงสว่าง ซึ่งมีการเซ่นบวงสรวงทุกปีโดยหยื่อมะ (หน้า 182) ยังมีผีที่เรียกว่า "แหนะ" เป็นผีที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันอาข่า สามารถส่งผลดีร้ายต่อผู้คนได้ ผีดี คือ ผีบ้าน ผีเรือน ผีบรรพบุรุษ ทุกบ้านทุกครอบครัวจะมีหิ้งบูชาผี ผีที่ใหญ่ที่สุดคือ "อะเพออะพี" เป็นหัวหน้าผีทั้งปวง คอยดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน ทั้งชีวิต ความเป็นอยู่และการผลิต ผีร้าย คือผีที่อยู่ตามป่าตามเขา ผีน้ำ ผีภูเขา ผีลม อาข่าจึงต้องสร้างประตูหมู่บ้านเพื่อป้องกันผีร้าย (หน้า 182 - 183) พิธีกรรมของอาข่าจะมีการประกอบพิธีกรรมตลอดปี ขึ้นอยู่กับหยื่อมะเป็นผู้กำหนด ซึ่งมีพิธีกรรม 2 ลักษณะคือ พิธีกรรมระดับครอบครัวและพิธีกรรมระดับชุมชน พิธีกรรมระดับครอบครัวจะเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พิธีเรียกขวัญ สะเดาะเคราะห์ ทำบุญบ้าน เลี้ยงผีบรรพชน หากประกอบพิธีกรรมขนาดเล็ก หัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ทำพิธี แต่ถ้าเป็นพิธีกรรมระดับใหญ่ ต้องให้หมอผีหรือพิมะเป็นผู้ทำพิธี พิธีกรรมของชุมชน จะมีพิธีกรรมในรอบ 1 ปี เริ่มจาก 1) "พิธีกาทองผาเออะ" ฉลองปีใหม่ในเดือนสุดท้ายหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จ ตรงกับช่วงเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เลี้ยงฉลองสิ้นสุดงานในไร่ เพื่อขอพรให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในปีต่อไป 2) "พิธีสึขุ่นมิ" พิธีต้มไข่เพื่อความสมบูรณ์ ในช่วงเดือนเมษายน เป็นการเลี้ยงผีป่าหรือผีหม้อทั้งหลายก่อนเริ่มปลูกข้าว ป้องกันไม่ให้ผีร้ายเข้ามารบกวนในหมู่บ้าน 3) "พิธีลกข่อดู๋เออะ" พิธีสร้างประตูหมู่บ้าน จัดในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ประตูหมู่บ้านอาข่าจะถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกปี เพื่อรำลึกถึงซุมิโอที่เป็นบรรพบุรุษของอาข่า 4) "พิธียะอุผิ" เซ่นบวงสรวงผีใหญ่ จัดในเดือนเมษายนเป็นเวลา 3 วัน ตลอดพิธีกรรมจะห้ามชาวบ้านออกไปทำไร่ หาฟืนหรือล่าสัตว์ ทุกบ้านจะต้มไข่เลี้ยงผีใหญ่แล้วกินไข่เพื่อความเป็นสิริมงคล 5) "พิธีแซ้บ่า ผู่แบะ" เป็นพิธีเลี้ยงผีบ่อน้ำ จัดในเดือนเมษายนหลังพิธีเลี้ยงผีใหญ่ชาวบ้านจะนำเอาเมล็ดข้าวที่เตรียมปลูกไปร่วมพิธี เพื่อเอาฤกษ์ก่อนปลูกข้าวในไร่ 6) "พิธีเยียะขู่จ๋าเออะ" หรือพิธีโล้ชิงช้า จัดในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน เพื่อบูชาเทพธิดา "อึ่มซาแยะ" ผู้ประทานความสมบูรณ์ให้แก่พืชไร่ ก่อนลงมือเก็บเกี่ยวพืชผลในปีถัดไป 7) "พิธียอลาหลาเออะ" จัดในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ที่บ้านหยื่อมะ โดยผู้อาวุโสทุกคนจะมารับประทานอาหารร่วมกัน และปรึกษาหารือเรื่องราวในหมู่บ้าน 8) "พิธีหย่าจิ๊จิ๊เออะ" พิธีถอนขนไก่ เป็นการเชิญบรรพชน 7 ชั่วคนมาร่วมพิธี เพื่อดูว่าในรอบปีที่ผ่านมามีคนใดในตระกูลที่เกิดและตาย จัดในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 9) "พิธีคะแหยะแหยะเออะ" หรือพิธีไล่ส่งผีร้ายออกจากหมู่บ้าน เพราะอาข่าเชื่อว่าในฤดูฝนอาจจะมีผีร้ายเล็ดลอดเข้ามาในหมู่บ้าน จึงต้องมีการทำพิธีไล่ผี 10) "พิธีแซนึมจึ" พิธีกินข้าวใหม่ ช่วงปลายเดือนกันยายนถึงตุลาคม ทุกครัวเรือนจะเก็บข้าวประมาณ 3 รวงจากไร่ไปไหว้บรรพชน เพื่อฉลองรวงข้าวสุกและขอบคุณผีไร่ ผู้อาวุโสจะกินข้าวใหม่ก่อนเพื่อเป็นสิริมงคล (หน้า 176 - 178) |
|
Education and Socialization |
การเป็นหมอผีหรือ "ยีผ่า" ซึ่งไม่ได้สืบทอดตามสายสกุล แต่เป็นได้โดยการเรียนและการประทับทรง การเป็นโดยการเรียน จะมีบทสวด เวทมนต์คาถา เรียนทำสมาธิเพื่อวินิจฉัยโรค โดยเรียนจากอาจารย์ตัวต่อตัว จนเกิดความชำนาญ ส่วนใหญ่ใช้เวลาเรียนประมาณ 10 ปี จึงตั้งขันบูชาได้ และการเป็น "ยีผ่า" โดยการเข้าทรง โดยการกำหนดจากเทพ บอกโดยเข้าฝัน ทำให้เจ็บป่วยรักษาไม่หาย จะต้องตั้งขันและไปหาอาจารย์เพื่อเรียนคาถา (หน้า 183 - 184) ส่วนการเป็น "พิมะ" เป็นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมร่วมกับผู้นำคนอื่น รักษาความเจ็บป่วยและการเลี้ยงผี "พิมะ" จะเป็นการสืบทอดตามประเพณี แต่ในทางปฏิบัติสามารถเรียนรู้ได้เอง (หน้า 184) |
|
Health and Medicine |
ความเจ็บป่วยในความหมายของอาข่าคือ การผิดปกติหรือผิดธรรมชาติของร่างกาย หมายถึงผิดน้ำ ผิดอากาศ แต่ยังมีการจำแนกความเจ็บป่วยออกเป็นหลายแบบ ดังนี้ 1) ขวัญหาย มนุษย์มีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ร่างกายและขวัญ ผู้ชายมี 12 ขวัญ ผู้หญิงมี 9 ขวัญ หากขวัญออกไปจากร่างหรือถูกผีร้ายจับตัวไป จะทำให้เจ้าของร่างเจ็บป่วย และอาจถึงตายได้ จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญ หากไม่หายต้องมีการเลี้ยงผีตามการรักษาของหมอผี หากตายไปขวัญของผู้ตายจะไปอยู่ที่ต่าง ๆ เช่น หลุมศพ สวรรค์ และเมืองผี นอกนั้น จะอยู่ในโลกมนุษย์ คอยปกป้องดูแลลูกหลาน ขวัญของหมอผีมีลักษณะพิเศษกว่าขวัญของคนอื่น สามารถติดต่อกับผีได้ จึงสามารถติดต่อและรักษาอาการเจ็บป่วยได้ 2) การทำผิดผี ส่วนใหญ่เป็นผีไม่ดี ผู้ป่วยอาจไปล่วงละเมิดทำให้ผีไม่พอใจ บันดาลให้เกิดความเจ็บป่วย เช่น ปวดหัว ตัวร้อน เกิดอุบัติเหตุ แก้โดยทำพิธีเรียกขวัญผู้ป่วย 3) การเจ็บป่วยจากเชื้อโรค เช่น ปวดหัว ปวดท้อง เป็นไข้หวัด สามารถรักษาให้หายเองได้ไม่ต้องพึ่งหมอผี 4) เคราะห์หรือดวงไม่ดี ถือว่าผีบ้านมาว่ากล่าวตักเตือน หัวหน้าครอบครัวต้องทำบุญเลี้ยงผีบ้าน 5) การพันธุกรรม โรคลมบ้าหมู โรคจิตประสาท โรคปัญญาอ่อน พิการ และกำเนิดลูกฝาแฝด ถือว่าเป็นการผิดผี ต้องฆ่าเด็กทิ้งทั้ง 2 คน และห้ามแต่งงานสายเลือดใกล้ชิด มีข้อห้ามว่าห้ามญาติห่างกันไม่ถึง 7 ชั่วคนแต่งงานกัน 6) เกิดจากการกินผิด เช่น เห็ด หรือปลาบางชนิด อาจทำให้เกิดเสียสติได้ 7) ถูกคุณไสย ปวดหัว ปวดท้องโดยไม่มีสาเหตุ ต้องให้หมอเป่าคาถาจึงสามารถรักษาได้ 8) จากความเจ็บป่วยในอดีต เช่น ปวดกระดูก ปวดแขน ปวดขา ปวดหลังจากอุบัติเหตุหรือมีอาการสะสม (หน้า 179-181) การรักษาพยาบาลของอาข่ามี 4 วิธีคือ 1) การใช้ยาสมุนไพร 2) การใช้คาถาอาคม 3) การรักษาด้วยพิธีกรรม และ 4) การดูแลรักษาโรคที่เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ (หน้า 181-182) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันมีการรักษาพยาบาลสมัยใหม่เข้ามาในหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้การรักษาด้วยสมุนไพรและความรู้พื้นบ้านเริ่มสูญหายไป อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการลดลงของป่าไม้ ไม่สามารถหาสมุนไพรจากป่าได้เหมือนเดิม ต้องแก้ปัญหาด้วยการปลูกไว้ในบ้าน อย่างไรก็ตามอาข่าบางส่วนยังคงรักษาโรคภัยด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิม เช่นโรคผิดเดือนหลังคลอด อาการปวดท้องเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ลำไส้ กระเพาะ ปวดเส้นเอ็น ปวดตามข้อ ซึ่งอาการเหล่านี้หลายคนเคยไปรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่ แต่ไม่ได้ผลจึงกลับมารักษาแบบดั้งเดิม นอกเหนือจากการรักษาด้วยตนเอง ส่วนผู้ป่วยชราจะนิยมใช้วิธีการดั้งเดิมมากกว่า เพราะกลัวว่าหากเสียชีวิตไปจะกลายเป็นผีเร่ร่อนไม่สามารถกลับบ้านได้ (หน้า 194 - 195) |
|
Map/Illustration |
รูปนักท่องเที่ยวซื้อของในหมู่บ้าน (หน้า 165) รูปหมอสมุนไพรและสุมไพร (หน้า 190) รูปการสืบทอดการรักษาให้ลูกหลานฟัง (หน้า 190) |
|
|