|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม สภาพปัญหา การศึกษา อิสลามวิทยาลัย ประเทศไทย |
Author |
ดวงเนตร ดิษฐลักษณ์ |
Title |
สภาพและปัญหาทางการศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
139 |
Year |
2534 |
Source |
หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาสารัตถศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
งานนี้ได้แสดงให้เห็นว่าในทัศนะของผู้บริหารวิทยาลัยฯ นโยบายของรัฐในการจัดตั้งอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยยังไม่ชัดเจนในระดับรัฐ กระทรวง กรม ทำให้เป็นปัญหาในการจัดการศึกษาและบริหารโรงเรียน วิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายไม่ต่อเนื่องกัน ทำให้ไม่สามารถวัดระดับความรู้ของนักเรียนได้ นอกจากนี้ยังขาดแคลนงบประมาณที่ใช้ดำเนินการ ผู้ปกครองของนักเรียนที่มีฐานะยากจนไม่สามารถช่วยเหลือโรงเรียนในด้านต่างๆ ได้ เอกชนและองค์กรต่างๆ ไม่ให้ความช่วยเหลือโรงเรียนเท่าที่ควร โรงเรียนไม่สามารถคัดเลือกนักเรียนที่เข้าเรียนใหม่ตามเกณฑ์ที่กำหนดได้ และยังขาดห้องประชุมขนาดมาตรฐานสำหรับการประชุมและอบรมและให้บริการแก่ชุมชน สำหรับแนวทางแก้ปัญหา ผู้วิจัยระบุว่า ต้องอบรมเทคนิควิธีการสอนด้านวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับแก่ครูผู้สอน ปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหาวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับ ส่วนการขาดแคลนงบประมาณ กรมสามัญศึกษาควรจัดสรรเงินพิเศษให้อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย บรรจุบุคลากรที่เกี่ยวกับงานหอพักนักเรียนประจำโดยตรง และเพิ่มการประชาสัมพันธ์ไปให้สังคมภายนอกได้รู้จักมากขึ้น ส่วนความต้องการการศึกษา ผู้บริหารต้องการงบประมาณมาดำเนินการในโรงเรียนมาก ส่วนผู้ปกครองและนักเรียนต้องการให้โรงเรียนเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น และต้องการให้มีการเรียนการสอนวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับควบคู่กับวิชาสามัญ (ดูหน้าบทคัดย่อ) |
|
Focus |
ศึกษาสภาพและปัญหาทางการศึกษา แนวทางการแก้ไขปัญหาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย รวมถึงศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหาร ครู อาจารย์ ผู้ปกครองและนักเรียนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาทางการศึกษา และความต้องการทางการศึกษาของนักเรียนและผู้ปกครอง (ดูบทคัดย่อ, หน้า 8, หน้า 39) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ 1) ผู้บริหารของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย จำนวน 5 คน 2) ครู อาจารย์ของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยจำนวน 63 คน 3) นักเรียนของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 6 ในปีการศึกษา 2531 โดยสุ่มตัวอย่าง 25% จำนวน 250 คน 4) ผู้ปกครองนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 250 คน (หน้า 11, หน้า 39-40) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยระบุว่าได้เก็บข้อมูลเหล่านี้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2532-28 มกราคม 2532 (หน้า 12) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยเปิดการเรียนการสอนปี พ.ศ.2493 ภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พ.ศ. 2488 โดยตอนแรกเปิดรับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีกำหนดเวลาเรียน 5 ปี แบ่งเป็น 2 ตอน ตอนต้นเรียน 2 ปี ตอนปลายเรียน 3 ปี วิชาที่เปิดสอนมีวิชาศาสนาอิสลาม ภาษาอาหรับ ภาษาต่างประเทศ และความรู้ทั่วไป โดยที่ความยากง่ายเทียบเท่าหลักสูตรอนุปริญญา นักเรียนทั้งหมดอยู่หอพักโดยไม่เสียค่าเรียนและค่าอาหาร โดยรัฐเป็นผู้ออกให้จนจบการศึกษา พ.ศ.2494 อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยย้ายสังกัดจากกรมศาสนามาเป็นกรมสามัญศึกษา เพราะการศึกษาหลักสูตรเดิม เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพตามปกติได้ จึงทำให้มีผู้สมัครเรียนน้อย จึงใช้หลักสูตรเตรียมอุดมศึกษา แผนกอักษรศาสตร์แทน โดยยังสอนศาสนาอิสลาม ภาษาอาหรับและมลายูอยู่ จนกระทั่ง พ.ศ.2489 จึงเปิดการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาแทนจนถึงปัจจุบัน อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยเป็นสถานศึกษากรมสามัญศึกษาแห่งเดียวที่ไม่มีคำว่า "โรงเรียน" นำหน้า เนื่องจากเป็นโรงเรียนแห่งเดียวที่ตั้งโดยพระราชกฤษฎีกา อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยมีนักเรียนไทยพุทธร่วมศึกษาด้วยประมาณ 20 % จำนวนครูไทยพุทธต่อจำนวนครูไทยมุสลิมในอัตราส่วน 55 : 45 (หน้า 5-7, หน้า 123-125) ประวัติศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ทางภาคใต้ของไทย สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยชาวอาหรับและอินเดียมุสลิม โดยเข้ามาในลักษณะการติดต่อค้าขาย ต่อจากนั้นจึงเข้ามาทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยชาวจีนอพยพ จนปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วประเทศไทย สมัยต้นรัตนโกสินทร์มีไทยมุสลิมถูกจับเป็นเชลยของกองทัพไทยอพยพมาจากมลายู เมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เช่น สี่แยกบ้านแขก พระโขนง หนองจอก ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา นครนายก นนทบุรี มุสลิมบางคนเป็นชาวจีนอพยพมาจากมณฑลยูนนาน มาตั้งรกรากบริเวณจังหวัดทางภาคเหนือของไทย และบางส่วนก็มาด้วยเหตุผลทางการค้า เช่น พวกอินโดนีเซีย มาตั้งถิ่นฐานแถบมักกะสัน ลุมพินี พวกเชื้อสายอินเดีย จะมาตั้งรกรากแถบพระนคร ธนบุรี ส่วนพวกเชื้อสายอาหรับจะตั้งรกรากแถบเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ หาดใหญ่ ปัตตานี เป็นต้น (หน้า 16) |
|
Demography |
กลุ่มตัวอย่าง มีรายละเอียดดังนี้ ผู้บริหารอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เป็นชาย 5 คน นับถือศาสนาอิสลามจำนวน 3 คน ส่วนอีก 2 คน นับถือศาสนาพุทธ ผู้บริหาร 3 คน มีอายุระหว่าง 40-50 ปี ส่วนช่วงอายุ 30-40 ปี และ 50 ปีขึ้นไป มีช่วงละ 1 คน ผู้บริหาร 5 คน มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ระยะเวลาการบริหารโรงเรียนอยู่ระหว่าง 1-5 ปี มีจำนวน 2 คน ส่วนที่ทำงานต่ำกว่า 1 ปี, 5-10 ปี และ 10 ปีขึ้นไป อย่างละ 1 คน (หน้า 47, หน้า 100-101, หน้า 116-119) ครู เป็นหญิงจำนวน 36 คน ชายจำนวน 27 คน นับถือศาสนาอิสลามจำนวน 28 คน นับถือศาสนาพุทธ 35 คน ครูส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 30-40 ปี (จำนวน 40 คน) ช่วงอายุ 20-30 ปี (จำนวน 13 คน) ช่วงอายุ 40-50 ปี (จำนวน 7 คน) และอายุ 50 ปีขึ้นไป (จำนวน 3 คน) ครูส่วนใหญ่ (44 คน) มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ส่วนครู 6 คน ระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ครู 7 คน มีวุฒิการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า และครูจำนวน 5 คน ไม่มีวุฒิทางครู (หน้า 59, หน้า 116-119) นักเรียนอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง เป็นชายร้อยละ 60 หญิงร้อยละ 40 (หน้า 69) และผู้ปกครองของนักเรียนอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยที่เป็นกลุ่มตัวอย่างพบว่า อยู่ในช่วงอายุ 40-50 ปี (ร้อยละ 44) รองลงมาอยู่ในช่วงอายุ 30-40 ปี (ร้อยละ 31) ช่วงอายุ 50-60 ปี (ร้อยละ 21) และสุดท้ายอายุ 60 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 4) (หน้า 81, หน้า 109-110, หน้า 116-119) |
|
Economy |
ผู้ปกครองของนักเรียนโดยส่วนใหญ่ในกลุ่มตัวอย่าง (61%) มีอาชีพรับจ้าง รองลงมา (17%) มีอาชีพค้าขาย เกษตรกร (9%) รับราชการ (7%) รัฐวิสาหกิจ (5%) และ ทำงานบริษัทเอกชน (1%) ตามลำดับ (ดูตารางที่ 18 หน้า 80-81 และดูคำอธิบายได้ที่หน้า 81-82) |
|
Political Organization |
รัฐบาลไทยได้ตรากฎหมายพิเศษเพื่อใช้กับมุสลิม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการศาสนา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและการจัดการมรดก โดยรัฐได้ตรากฎหมายขึ้น 3 ฉบับ คือ 1. พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ค.ศ. 1948 ใช้กับมุสลิมโดยเฉพาะ เพื่อบังคับฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดก สำหรับคู่กรณีที่เป็นมุสลิมและอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2. พระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 1947 เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการดูแลรักษา ทำนุบำรุง และป้องกันกรณีพิพาทในเรื่องทรัพย์สินของมัสยิด 3. พระราชบัญญัติฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม ค.ศ.1945 ให้อำนาจพระมหากษัตริย์แต่งตั้งจุฬาราชมนตรีเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องกิจการอิสลามแก่รัฐบาล ผ่านทางกรมศาสนากระทรวงศึกษาธิการ ให้อำนาจกระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยนี้มีสิทธิเข้ารับเลือกเพื่อรับพระราชทานเงินทุนส่งไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยด้วย (หน้า 19-21) พระมหากษัตริย์ไทยกับศาสนาอิสลาม บทบาทของพระมหากษัตริย์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม เช่น รัชกาลที่ 9 ได้อุดหนุนกิจการทางศาสนาอิสลามผ่านกรมการศาสนาโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดเกล้าให้แปลความหมายของคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทย ทรงส่งเสริมด้านการศึกษาของมุสลิม มีพระราชดำริสนับสนุนการจัดสร้างมัสยิดประจำจังหวัดต่างๆ เป็นต้น (หน้า 21-23) |
|
Belief System |
มุสลิมถือการปฏิบัติตามข้อบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม โดยมีพระศาสดามูฮัมหมัดเป็นผู้นำ โดยพระผู้เป็นเจ้าได้ระบุให้ใช้คำว่า "อิสลาม" เป็นชื่อศาสนาเพื่อบอกถึง "การยอมรับความจริงแท้ของศาสนานี้ ผลของการยอมรับจะนำให้ผู้ยอมรับได้รับสันติสุขและความปลอดภัย" อิสลามหมายความถึง สันติ อ่อนน้อมยอมตาม การยอมมอบตนอย่างนอบนบโดยสิ้นเชิง นอกจากจะสอนเรื่องจริยธรรมแล้ว ศาสนาอิสลามมีทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งใช้ดำเนินชีวิตอย่างครบถ้วน เป็นระบบความเชื่อที่เป็นมากกว่าศาสนาที่อัลเลาะห์ได้ประทานมาให้มนุษยชาติผ่านศาสนา (ดูหน้า 15-16) บทบัญญัติของศาสนาอิสลาม 5 ประการที่มุสลิมต้องยึดมั่น คือ 1. การประกาศศรัทธา เป็นการปฏิญาณว่าจะไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์ 2. การบำเพ็ญนมัสการ หรือละหมาด วันละ 5 เวลา โดยจะทำตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ตอนบ่าย ตอนพระอาทิตย์คล้อย หลังเที่ยง และตอนเย็นก่อนตะวันลับยอดไม้ เป็นการบำเพ็ญสมาธิจิตและบริหารร่างกายไปในตัวด้วย เป็นการสำรวมตนต่อหน้าพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า 3. การถือศีลอด มุสลิมต้องถือศีลอดเป็นเวลา 1 เดือนในรอบปี เป็นเดือนที่ 9 ของจัทรคติ ที่เรียกว่า "รอมฎอน" เป็นการงดเว้นจากการบริโภคอาหาร การดื่ม การสูบ สำรวมอากัปกิริยา วาจาจากอารมณใคร่และการใฝ่ต่ำต่างๆ นับจากแสงอาทิตย์จับขอบฟ้าจนถึงพระอาทิตย์ตก รวมเวลาประมาณ 13 ชม.ต่อวัน เป็นการฝึกให้ทุกคนประสบกับความหิวกระหายด้วยตนเอง ตระหนักถึงความหิวกระหายของผู้อื่น ฝึกให้มีความอดทน ควบคุมตนเองได้ 4. การบริจาคทรัพย์เป็นพลี เป็นการกำหนดบังคับให้ผู้ที่มีทรัพย์สินเพิ่มพูนขึ้นในรอบปีต้องบริจาคในอัตราร้อยละ 2 เป็นการส่งเสริมคนมีให้ช่วยคนจน ลดช่องว่างระหว่างระหว่างชนชั้น ป้องกันมิให้คนมีเงินเก็บเงินไว้เฉยๆ โดยมิได้นำไปลงทุนให้เกิดประโยชน์ให้แก่สังคม 5. การบำเพ็ญฮัจญ์ ให้มุสลิมที่มีฐานะดีพอ มีสุขภาพแข็งแรง ไปบำเพ็ญฮัจญ์ที่เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย 1 ครั้งในชีวิต นอกจากจะเป็นการบำเพ็ญศาสนกิจแล้วยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดสันนิบาตชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ที่นั้น มุสลิมทุกคนไม่ว่าชาติใด ภาษาใด มีฐานะทางสังคมอย่างไร ต้องแต่งกายด้วยผ้าขาวเพียง 2 ผืน มีความเป็นอยู่อย่างเสมอภาคเท่าเทียม (หน้า 17-18) |
|
Education and Socialization |
พื้นฐานการศึกษาของไทยมุสลิม ในงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าการศึกษาของไทยมุสลิมกระทำผ่าน 2 ช่องทางหลักๆ คือ 1) การศึกษาในศาสนาอิสลาม 2) การศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย 1. การศึกษาในศาสนาอิสลาม โดยศาสนาอิสลามมีบทบาทส่งเสริมการศึกษา และถือว่าการศึกษาเป็นการทำความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า และเป็นสิ่งที่สูงสุดในชีวิต ศาสนาอิสลามไม่ได้จำกัดการศึกษาเฉพาะทางโลกเท่านั้น แต่ให้ศึกษาทางธรรมควบคู่ไปด้วย เป้าหมายทางการศึกษาตามทรรศนะของศาสนาอิสลามคือ การขัดเกลาศีลธรรมและการอบรมทางจิตวิญญาณ เตรียมบุคคลประกอบอาชีพที่สุจริตตามแนวทางศาสนาและศีลธรรมอันดีเพื่อความอยู่รอดของชีวิต 2. การศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์ "เพื่ออิสลามศาสนิกชนจะได้รับการอบรมและศึกษาในทางศาสนา ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยนี้ มีสิทธิเข้ารับเลือกเพื่อรับพระราชทานเงินทุนส่งไปเข้าศาสนจารีต ณ นครเมกกะ ตามจำนวนที่จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดขึ้นเป็นคราวๆ" วิชาที่เปิดสอนในหลักสูตรมีวิชาการศาสนา ภาษาอาหรับ ภาษามลายู และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตรอนุปริญญา โดยที่การจัดการศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยเปลี่ยนแปลง พัฒนา ไปตามแต่ละยุคสมัย (หน้า 23-26) ผู้วิจัยระบุว่า การจัดการศึกษาของไทยมุสลิมควรจัดให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีและพื้นฐานทางศาสนา และองค์ประกอบต่างๆ ของการจัดการศึกษา เช่น นโยบายการศึกษา การดำเนินการจัดการศึกษา บุคลากร ความสัมพันธ์กับชุมชน เป็นต้น (หน้า 38) ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับสภาพและปัญหาทางการศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ได้ผลดังนี้ 1.สภาพทางการศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย - ผู้บริหารให้ความสำคัญกับการเน้นความรู้เพื่อการประกอบอาชีพของนักเรียนเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ ซึ่งคล้ายๆ กับจุดหมายของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (หน้า 48, หน้า 119-120) และผู้บริหารอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยทั้งหมดให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนในอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เนื่องจากเป็นสถานศึกษาที่ตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ จัดตั้งขึ้นเพื่อคนไทยมุสลิม (หน้า 48, หน้า 120) ผู้บริหารเห็นว่า งบประมาณที่ใช้ในโรงเรียนขาดแคลน ควรหางบประมาณด้วยวิธีต่างๆ โดยเฉพาะการรับบริจาค (หน้า 49, หน้า 121-122) - สำหรับผู้ปกครองโดยส่วนใหญ่ (73%) เห็นว่าการเรียนการสอนวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับที่จัดสอนในโรงเรียนเพียงพอแล้ว และเห็นด้วยกับการนำวิชาศาสนาและศาสนาอาหรับบรรจุในหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (86%) (หน้า 120) ส่วนเหตุผลในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ผู้ปกครองส่วนหนึ่ง (49%) เห็นว่า เพราะเป็นโรงเรียนที่สอนศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับควบคู่ไปกับวิชาสามัญ (หน้า 122) หรือแม้อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยไม่เปิดสอนศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ (70%) ก็ยังส่งลูกหลานเข้าเรียนอยู่ดี เพราะประหยัด อยู่ใกล้บ้าน การคมนาคมสะดวก (หน้า 83-85,123) - สำหรับนักเรียน โดยส่วนใหญ่สนใจและตั้งใจเรียนวิชาสามัญ รองลงมา (22%) สนใจศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับ นักเรียนส่วนใหญ่ (76%) มีเพื่อนสนิทต่างศาสนามากกว่า 3 คนขึ้นไป ทั้งนี้เพราะอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยมีทั้งนักเรียนที่นับถืออิสลามและศาสนาพุทธ (ดูตารางที่หน้า 70-72 และเนื้อหาที่หน้า 72-73, 123) 2.ปัญหาการศึกษา - ผู้บริหารและครูเห็นว่านโยบายการจัดตั้งอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยไม่ชัดเจนทั้งในระดับรัฐ กระทรวง กรม ทำให้เป็นปัญหาในการจัดการบริหารโรงเรียน (หน้า 51, หน้า 123) - ผู้บริหารเห็นว่าหลักสูตรการเรียนการสอนศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายไม่ต่อเนื่องกันทำให้ไม่สามารถวัดระดับความรู้ของนักเรียนได้ (หน้า 52, หน้า 125-126) ส่วนปัญหาที่อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยมีการเรียนการสอนศาสนาอิสลามและวิชาภาษาอาหรับเพิ่มขึ้นจากโรงเรียนมัธยมอื่นๆ ทำให้ครู-อาจารย์ต้องทำงานกันมากขึ้น และปัญหาบุคลากรด้านศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับไม่มีความรู้ความเข้าใจในการศึกษาที่ดีพอ ผู้บริหารและครูเห็นว่าเป็นปัญหาปานกลาง (หน้า 126) ส่วนนักเรียนเห็นว่าการเรียนภาษาทางธรรมที่เป็นเรื่องเข้าใจยากเป็นปัญหาปานกลาง (หน้า 126) - ผู้บริหารเห็นว่างบประมาณที่ใช้ภายในโรงเรียนขาดแคลนมาก เพราะโรงเรียนมีงานต้องทำเพิ่มมากขึ้น (หน้า 53, 127) - เนื่องจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่ว่าอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยเป็นสถานศึกษาของรัฐจึงทำให้องค์กรต่างๆ รวมถึงเอกชน ไม่ให้ความช่วยเหลือ ผู้บริหารมองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหามาก ในขณะที่ครู - อาจารย์เห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาปานกลาง (หน้า 54, 127) - ผู้บริหารเห็นว่าความประพฤติของครูที่ทำตัวไม่เป็นที่น่าเคารพนับถือศรัทธาและไม่เป็นตัวอย่างที่ดีงามแก่นักเรียนและประชาชนในท้องถิ่นเป็นปัญหาปานกลาง ส่วนปัญหาการนับถือศาสนาอิสลามที่ต่างกันเป็นปัญหาการทำงานร่วมกัน ครูแบ่งกันเป็นกลุ่ม ครู - อาจารย์เห็นว่าเป็นปัญหาปานกลาง (หน้า 128) - ส่วนปัญหาทั่วๆ ไป การที่นักเรียนเข้าเรียนใหม่ในแต่ละปีและโรงเรียนไม่สามารถคัดเลือกตามเกณฑ์ได้เป็นปัญหามากที่สุด รวมไปถึงการขาดห้องประชุมที่เป็นมาตรฐาน การที่กรมสามัญศึกษาหรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับสถานภาพของโรงเรียนน้อยเกินไป ปัญหาที่มีนักเรียนขาดแคลนและยากจนมากในโรงเรียน ปัญหาครูขอย้ายออกจากพื้นที่ ส่วนปัญหาด้านประชาชนเห็นความสำคัญกับการเรียนการสอนศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับ รวมถึงการประกอบศาสนกิจมากเกินไป ปัญหาการถือศีลอดของนักเรียนและครูที่ส่งผลต่อการสอน ผู้บริหารและครูเห็นว่าเป็นปัญหาปานกลาง (หน้า 55-57, 128-130) 3. ความต้องการทางการศึกษา - ผู้บริหารต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน ความช่วยเหลือจากผู้ปกครองและชุมชนด้านการให้คำปรึกษาและคำแนะนำ ผู้บริหารส่วนหนึ่งเห็นว่าควรยุบหอพักนักเรียนเพื่อที่จะนำงบประมาณมาใช้ในกิจการอื่นๆ ของโรงเรียน (หน้า 58, 130-131) - นักเรียนโดยส่วนใหญ่ (37%) ต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา รองลงมา (25%) ต้องการศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษาและประกอบอาชีพ นอกจากนี้นักเรียนโดยส่วนใหญ่ (87%) ต้องการให้เปิดสอนวิชาชีพหลักสูตรระยะสั้น ด้านความต้องการวิชาสามัญ นักเรียนจำนวนมากที่สุด (53%) ต้องการให้สอนศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับแต่เพียงอย่างเดียว (หน้า 77-78, 131-133) - ผู้ปกครองส่วนใหญ่ (66%) ต้องการให้บุตรหลานจบการศึกษาสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 44% ต้องการให้บุตรหลานเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย 62% ต้องการให้บุตรหลานรับราชการหรือทำงานรัฐวิสาหกิจ 87% ต้องการให้โรงเรียนเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น และผู้ปกครองส่วนมากต้องการให้มีการเรียนการสอนวิชาสามัญควบคู่กับวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับ 91% เห็นว่าหลักสูตรวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับที่จัดขึ้นในโรงเรียนเหมาะสม ผู้ปกครอง 53% ต้องการให้มีตู้รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาคมในท้องถิ่น รองลงมาต้องการให้โรงเรียนเผยแพร่กิจกรรมผลงานของนักเรียนให้ประชาชนทราบ และ 37% ต้องการให้ครู-อาจารย์ไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน (หน้า 90-93, 133-136) 4. ความร่วมมือ ผู้ปกครอง 67% ตอบว่านานๆ ครั้งถึงจะได้พบกับผู้บริหาร ครู-อาจารย์ 69% เห็นว่าหนังสือแจ้งผลการเรียนของบุตร-หลานมีสม่ำเสมอตลอดปีการศึกษา ผู้ปกครอง 68% ทราบผลการดำเนินงานของโรงเรียนจากหนังสือที่โรงเรียนแจ้งให้ทราบ 60% เห็นว่าจะช่วยเหลือโรงเรียนถ้ามีโอกาส และจะให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือโรงเรียนมากขึ้น ถ้าโรงเรียนสามารถสอนทั้งวิชาสามัญและวิชาศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ (หน้า 87-89, 136-137) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนใช้รายการตารางเพื่ออธิบายข้อมูลให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นถึงปัญหาทางการศึกษาของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทยในประเด็นต่างๆ เช่น เป้าหมายและนโยบายทางการศึกษา หลักสูตรการเรียนการสอน งบประมาณที่ใช้ดำเนินการ ความร่วมมือจากผู้ปกครองและหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ตามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างทั้งของผู้บริหาร ครู - อาจารย์ ผู้ปกครอง และนักเรียน เป็นต้น |
|
|