สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การเปลี่ยนแปลง,สังคม,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,กาญจนบุรี
Author ดารุพัสตร์ สำราญวงศ์
Title การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมชุมชนกะเหรี่ยง
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 175 Year 2529
Source หลักสูตรปริญญาสังคมศาสตร์มหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

          กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่ของกะเหรี่ยงบ้านเกริงกะเวีย หมู่ 2 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี เช่น เศรษฐกิจ การศึกษา สังคมและวัฒนธรรม อนามัย การปกครอง ซึ่งมีผลมาจากการได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ได้แก่ ทางราชการเข้ามาตั้งโรงเรียนภายในหมู่บ้าน และมีการพัฒนาท้องถิ่น เช่น ผลจากการสร้างเขื่อนเขาแหลม และการสร้างถนนเข้าหมู่บ้านของหน่วยงานของรัฐที่ทำให้การเดินทางติดต่อภายนอกหมู่บ้านสะดวกสบายมากขึ้น ตลอดจนมีการติดต่อกับบุคคลภายนอกหมู่บ้าน ทั้งการติดต่อค้าขายพืชผลทางการเกษตรกับพ่อค้าคนไทยที่อยู่ในเขต อ.ทองผาภูมิ และ จ.กาญจนบุรี อันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมและการปรับตัวของกะเหรี่ยง

Focus

          ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงบ้านเกริงกะเวีย ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี จำนวน 35 ครอบครัว จากทั้งหมด 37 ครอบครัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทราบการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อนามัย การศึกษา การปกครอง และเพื่อให้ทราบแนวโน้มการปรับตัวและปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง (หน้า 8, 9, 26, 30)

Theoretical Issues

          ใช้แนวคิดในการศึกษา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงสังคม ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรม สังคมกับวัฒนธรรม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวข้องกับเวลา เพราะถ้าเวลาเปลี่ยน คนก็จะแก้ไขหรือดัดแปลงสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดหรือการกระทำ จึงทำให้เกิดประเพณีใหม่ เป็นต้น (หน้า 24,25)

Ethnic Group in the Focus

          กะเหรี่ยงอยู่ในกลุ่ม Sino-Tibetan Stock เป็นกลุ่มที่ย้ายถิ่นมาจากตอนใต้ของธิเบต กับ จีน กะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่อยู่ในสาย โลโล่-โนสุ (Lolo-Nosu) คือ กลุ่มธิเบต-พม่า ในกลุ่มนี้ประกอบด้วย มูเซอ อีก้อ ลีซอและกะเหรี่ยง (หน้า 3) คนไทยในภาคกลาง เรียกว่า "กะเหรี่ยง" พม่าเรียก "คะยิ่น" คนไทยภาคเหนือเรียก "ยาง" ใน จ.ราชบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรียก "กะหร่าง" ชาวยุโรป และอเมริกัน เรียก "Karen" กะเหรี่ยงเมื่อก่อนนี้ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางทิศตะวันออกของธิเบต ย้ายเข้ามาอยู่ในจีนเมื่อ 733 ปีก่อนพุทธกาล คนจีนเรียก "ชนชาติโจว" ต่อมาใน พ.ศ. 207 ยุคราชวงศ์จิ๋น ถูกโจมตีจึงย้ายมาอยู่ตามลำน้ำแยงซีเกียงแล้วต่อสู้กับชนชาติไทย จึงย้ายมาอยู่ตามแม่น้ำโขง และ แม่น้ำสาละวิน.ในพม่า กะเหรี่ยงอยู่ในพม่ามีรัฐของตัวเอง 2 รัฐคือ รัฐกะยาของกะเหรี่ยงแดง กับรัฐก่อตูเล ของกะเหรี่ยงขาว สำหรับกะเหรี่ยงที่อยู่ในไทยแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ 1. โป (P' wo) 2.สะกอ (S'kaw, S'gaw) หรือ ปั๊กกั้นยอ 3. คะยา หรือ คาเรนนี หรือ บเว (Kayah, Karenni, B'ghwe) 4. ตองสู่ (Taungthu) กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในหลายจังหวัด เช่น จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ลำพูน กาญจนบุรี แพร่ เชียงราย ลำปาง ราชบุรี เพชรบุรี เป็นต้น (หน้า 32,33) อย่างไรก็ดีในการเรียกชื่อนั้น กะเหรี่ยงโปว์จะเรียกตัวเองว่า "กะเหรี่ยง" ส่วนกะเหรี่ยงสะกอจะเรียกตนเองว่า "กะหร่าง" สำหรับกะเหรี่ยง หรือ "โพล่ง" ในภาคกลางแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ 1. โพล่ง หรือกะเหรี่ยง คือกลุ่มที่อยู่ใน จ.กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี และราชบุรี 2. โพล่งทูเว หรือกะเหรี่ยงทะวาย กลุ่มนี้ย้ายมาจากทะวายมาอยู่ใน จ.ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ กะเหรี่ยง หรือ โพล่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มด้ายเหลือง บางครั้งเรียกกลุ่มเจ้าวัด กลุ่มนี้แต่ก่อนไม่กินเนื้อ แต่ต่อมาภายหลังได้เริ่มมากินเนื้อแล้ว กับ กลุ่มด้ายขาวคือกลุ่มที่เลี้ยงสัตว์และกินเนื้อสัตว์ (หน้า 108, 109)

Language and Linguistic Affiliations

          ภาษากะเหรี่ยงเป็นแบบภาษาซินีติค ในพม่าเมื่อปี พ.ศ. 2375 ดร.โจนาธาน เวด มิชชันนารีอเมริกันแบบติสต์ ได้ดัดแปลงตัวอักษรพม่า ในการออกเสียงเป็นภาษาของกะเหรี่ยง แต่การใช้ตัวอักษรและสัญลักษณ์ ไม่เหมือนกัน เรียกว่า หลิ-กวา มีพยัญชนะ 25 ตัว สระ 9 ตัว วรรณยุกต์ 5 ตัว ตัวควบกล้ำ 5 ตัว ส่วนในภาคเหนือของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2497 บาทหลวงโจเซฟ ซิกกีน้อต แห่งนิกายโรมัน คาทอลิค ในไทย ได้เอาตัวอักษรโรมัน มาเป็นตัวอักษรของกะเหรี่ยง เรียก " โรเหม่ " มาเผยแพร่ขณะนี้ในภาคเหนือยังมีผู้ใช้ภาษานี้อยู่ (หน้า 35, 36) กะเหรี่ยงในหมู่บ้านเกริงกะเวีย พูดภาษากะเหรี่ยงร้อยละ 97.14 และพูดภาษาไทยร้อยละ 2.86 ในจำนวนครอบครัวตัวอย่างที่ทำการศึกษา 35 ครอบครัว พูดกะเหรี่ยงกับลูกร้อยละ 91.43 และพูดกะเหรี่ยงกับภาษาไทยร้อยละ 5.71 พ่อแม่พูดไทยกับลูกร้อยละ 2.86 ในหมู่บ้านมีผู้อ่านเขียนภาษากะเหรี่ยงได้ร้อยละ 14.29 และคนที่อ่านเขียนภาษาไทยได้ร้อยละ 40 ส่วนใหญ่จะพูดภาษากะเหรี่ยงในบ้านและกับญาติพี่น้องร้อยละ 77.14 พูดกะเหรี่ยงปนภาษาไทยร้อยละ 14.29 พูดภาษาไทยร้อยละ 8.57 (หน้า 120-122) ทุกวันนี้กะเหรี่ยงพูดไทยได้เป็นอย่างดีเพราะได้เรียนในโรงเรียน และต้องใช้ในการติดต่อ สื่อสารกับเจ้าหน้าที่ และติดต่อกับบุคคลภายนอกหมู่บ้าน เช่น การค้าขาย (หน้า 136)

Study Period (Data Collection)

          22 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2528 (หน้า บทคัดย่อ, 27)

History of the Group and Community

          ประวัติกะเหรี่ยง จ.กาญจนบุรี กะเหรี่ยงย้ายตามชาวมอญ จากประเทศพม่า เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ยุคกรุงศรีอยุธยา หลังจาก พม่ายึดเมืองหงสาวดี ในภายหลังกะเหรี่ยงได้อพยพเข้ามาในไทยเรื่อยๆ โดยเข้ามาทางชายแดน ได้แก่ ด่านแม่ละเมา จ.ตาก ด่านเจดีย์ 3 องค์ จ.กาญจนบุรี และเส้นทางของ จ.อุทัยธานี (หน้า 37) ตามพงศาวดารของพม่าระบุว่า กะเหรี่ยงเมืองศรีสวัสดิ์ เคยทำหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมให้ไทย ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช โดยกะเหรี่ยงได้อยู่กองอาทมาต ทำงานเป็นหน่วยสอดแนมข้าศึกจากพม่า และคราวที่พม่าสู้รบกับไทยที่บริเวณท่าดินแดง (พื้นที่ อ.สัขละบุรี) ในปี พ.ศ. 2330 สมัยรัชกาลที่ 1 กะเหรี่ยงจาก จ.กาญจนบุรี อ.ไทรโยค และ อ.ศรีสวัสดิ์ ได้ทำหน้าที่เป็นกองสอดแนมในแนวรบ ครั้นอังกฤษทำสงครามชนะพม่า ในปี พ.ศ.2369 และยึดครองแคว้นตะนาวศรีกับอาระกันของพม่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงตั้งเมืองสังขละบุรีเป็นเมือง ซึ่งบริเวณนี้มีกะเหรี่ยงอยู่เป็นจำนวนมาก และให้ขุนสุวรรณ เป็นเจ้าเมือง โดยพระราชทานนามว่า พระศรีสุวรรณคีรี(ภวะโพ่) (หน้า 39, 40)

Settlement Pattern

          บ้านเป็นแบบยกพื้นสูง พื้นและฝาบ้านกั้นด้วยไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยหญ้าคา ใบตองตึง ใบค้อ บางครั้งใช้สังกะสี (หน้า 51) บ้านบางหลังจะสร้างครอบดินโดยใช้ดินเป็นพื้น แต่พื้นที่ที่ใช้นอนจะยกพื้นสูงประมาณเท่าหัวเข่า สำหรับบ้านจะมีหลายแบบ เช่น บ้านที่ทำจากไม้ไผ่ จะสร้างโดยใช้ไม้ไผ่ทำโครงสร้างและเสา มุงหลังคาโดยใช้ไม้ไผ่บงมัดด้วยตอก ฝาบ้านกั้นด้วยฟากไม้ไผ่ ส่วนบ้านที่สร้างด้วยไม้ โดยมากนิยมสร้างด้วยไม้แดง เพราะในท้องถิ่นมีต้นแดงขึ้นเป็นจำนวนมาก บ้านจะมุงด้วยสังกะสี กั้นฝาด้วยไม้ฟาก บ้านที่สร้างด้วยไม้จริงมีจำนวน 14 หลัง (หน้า 65) ห้องนอนมี หนึ่งห้อง โดยพ่อ แม่ ลูก จะนอนรวมกันหากลูกยังเล็ก แต่ถ้าโตแล้ว ก็จะให้นอนรวมกับตา ยาย และญาติบริเวณนอกชาน บ้านจะไม่มีหน้าต่าง จะทำช่องสี่เหลี่ยมไว้ระบายลม นอกชานจะกั้นด้วยไม้ฟากครึ่งหนึ่ง พื้นบ้านจะทำไว้ห่างเพื่อเอาไว้บ้วนน้ำลาย ใต้ถุนบ้านสูง เพราะเอาเนื้อที่ไว้ใช้ประโยชน์อื่นๆ เช่น ตำข้าว วางสิ่งของ ส่วนบันไดบ้านทำด้วยไม้ไผ่ 2 ลำ แล้วนำเอาไม้ไผ่มาผ่าเหลาสอดระหว่างลำเป็นขั้นบันได สำหรับบันได ยกเข้าออกได้ หากไม่อยู่บ้านก็จะยกนำมาพาดฝาบ้าน (หน้า 66) จะทำครัวบนบ้าน สำหรับบ้านที่ทำจากไม้ไผ่จะทำเตาไฟแบบเก่า โดยจะนำไม้ไผ่สับทำฟากวาง จากนั้นก็จะนำใบหวายมาวางทับ วางดินทับอีกครั้ง บนเตาไฟจะวางด้วยตะแกรงเหล็ก 3 ขาเรียกว่า "เตาเลี้ยงผี" สำหรับบ้านที่สร้างด้วยไม้จริง ก็จะสร้างบ้านไม้ไผ่อีกหลังวางเตาเลี้ยงผี ในบางครอบครัว หากไม่มียุ้งข้าว ก็จะเก็บข้าวไว้บนบ้าน โดยจะแบ่งเนื้อที่สำหรับวางข้าวเปลือก โดยจะปูเสื่อ หรือลำแพนล้อมด้วยไม้ไผ่ขัด (หน้า 67) การสร้างบ้าน กะเหรี่ยงจะเลือกปลูกบ้านในเดือนคู่ โดยจะไม่ปลูกบ้านในเดือน 5 เพราะเชื่อว่าเป็นเดือนร้อน ทำงานสิ่งใดจะไม่เป็นมงคล เมื่อเลือกที่ปลูกบ้านได้ก็จะนำข้าวสาร 7 เม็ดมาวางแล้วครอบด้วยกะลา ทำพิธีถามเจ้าที่ว่าควรที่จะปลูกบ้านบริเวณนี้หรือไม่ การวางข้าวจะวางไว้ตลอดคืนตอนเช้าก็จะมาดูข้าว เช่น อธิษฐานว่า ถ้าอยู่แล้วจะทำให้มีความสุข ก็ขอให้เม็ดข้าวอยู่ใกล้กัน หากมาดูตอนเช้าแล้วเป็นเช่นนั้น ก็จะสร้างบ้านตรงนั้น การสร้างบ้านจะไม่สร้างระหว่าจอมปลวก หรือค่อมจอมปลวก เพราะเชื่อว่าสร้างแล้วจะต้องไม่มีความสุข นอกจากนี้ก็จะไม่สร้างบ้านสูงกว่าบ้านแม่ เพราะเชื่อว่าจะเป็นการไม่ให้เกียรติแม่ (หน้า 129)

Demography

          ประชากรชาวเขามีประมาณ 3 แสน-5แสนคน จากการสำรวจ เมื่อปี พ.ศ.2524 มีประชากร กะเหรี่ย ง จำนวน 1,700 หมู่บ้าน มีจำนวน 199,251 คน (หน้า 37) ประชากร อ.ทองผาภูมิ จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2527 มีประชากรสัญชาติไทย จำนวน 12,749 คน ผู้ชาย จำนวน 6,900 คน เป็นผู้หญิง 5,849 คน และคนต่างด้าวถือสัญชาติพม่าจำนวนราว 5,000 คน (หน้า 45) กะเหรี่ยงในบ้านเกริงกะเวีย มีจำนวนครอบครัวทั้งหมด 37 หลังคาเรือน เป็นประชากรในการศึกษา จำนวน 35 หลังคาเรือน (หน้า 30) บ้านเกริงกะเวีย มีจำนวน 79 หลังคาเรือน ประชากร 233 คน เป็นชาย 135 คน หญิง 98 คน สำหรับครอบครัวกะเหรี่ย มี 37 หลังคาเรือน ประชากร 193 คน เป็นผู้ชาย 109 คน และผู้หญิง 84 คน (สำรวจเมื่อ พ.ศ. 2528) (หน้า 51, 116)

Economy

          การผลิต เลี้ยงชีพโดย การเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกจะปลูกข้าวไร่และนาดำ สำหรับการปูกข้าวไร่จะทำแบบหมุนเวียนโดยจะปลูกประมาณ 1 ปี แล้วจะเว้นหมุนกลับมาทำบริเวณเดิม 5-7 ปี โดยถือว่าเป็นการเกษตรแบบโค่นและเผา โดยจะทำในหน้าฝน นอกจากนี้ยังปลูกผักสวนครัว เช่น พริก ผักกาด มัน ข้าวโพด พริกไทย เป็นต้น สำหรับกะเหรี่ยงที่อยู่ในพื้นที่ราบจะค้าขาย และรับจ้าง และเลี้ยงสัตว์ เช่นเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ วัว ควาย (หน้า 36) ทำไร่แบบหมุนเวียน โดยปล่อยที่ดินพักตัว เพื่อสะสมแร่ธาตุอาหารในดิน ในหมู่บ้านเกริงกะเวีย มีการกำหนดการใช้ที่ดินเพาะปลูกที่มีความชัดเจน แต่จะหมุนเวียนปลูก ในบางครอบครัวปลูกบนที่ดินเดิม โดยจะแบ่ที่ดินเป็น 2 อย่างคือที่ที่ได้รับใบ สทก. และที่ดินที่ถือครองตามหลักประเพณี (หน้า 89, 90) การปลูกข้าว จะทำไร่ข้าวในหน้าฝน โดยจะปลูกข้าวบนเขาปีละครั้ง โดยมากกะเหรี่ยงในหมู่บ้านเกริงกะเวีย จะปลูกข้าวพอสำหรับกินตลอดปี (หน้า 90) การปลูกข้าวไร่ จะเริ่มปลูกประมาณเดือนพฤษภาคม เมื่อฝนตกจนดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอโดยดายหญ้าจนดินโล่ง ตอนปลูกจะใช้ไม้แหลมเสียบดินให้เป็นหลุม ห่างกันราว 1 ฟุต คนหนึ่งจะมีหน้าที่เจาะหลุมและอีกคน จะเดินตามและคอยหย่อนเมล็ด ในแต่ละหลุมจะหยอด 5 ถึง 10 เมล็ด เมื่อหยอดแล้วถ้าดูว่าฝนจะตกก็ไม่ต้องกลบดิน เพราะฝนจะชะดินจนปิดกลบหลุมเอง แต่ถ้าฝนไม่ตกก็ต้องกลบเอง การปลูกทุกวันนี้ กะเหรี่ยงจะคลุกเมล็ดพันธุ์กับดีดีทีผสมกับน้ำมันโซล่า เพื่อป้องกันนกและสัตว์ต่างๆ มาจิกกิน (หน้า 91-92 ,105) การเก็บเกี่ยวจะอยู่ระหว่างเดือน พ.ย. - ธ.ค. เมื่อเกี่ยวเสร็จจะมัดด้วยตอกแล้วตากให้แห้ง พอจะฟาดข้าวจะเลือกวันไม่ให้ตรงกับครอบครัวอื่น เพื่อที่จะได้มาลงแขกช่วยกันฟาดข้าว การฟาดข้าวจะอยู่ในเดือนธันวาคม โดยจะทำในเวลากลางคืน เพื่อที่เพื่อนบ้านจะได้มีเวลามาช่วย ตอนจะฟาดข้าวชาวบ้านจะสร้างแคร่สูงประมาณเอว และนำเสื่อลำแพนมารองพื้น เพื่อรองรับเมล็ดข้าว เมื่อฟาดเสร็จ เจ้าภาพจะเลี้ยงอาหารคนที่มาช่วยทำงาน (หน้า 92-93, 94) การปลูกพืชอื่น จะปลูกพืชอื่นเสริม เช่น ข้าวโพด พริก มะเขือ ฟักทอง บวบ มะระ เป็นต้น นอกจากนี้ก็จะปลูกไม้ผล เช่น มะม่วง ขนุน ส้มโอ มะละกอ เป็นต้น (หน้า 95, 96) การฟันไร่ จะทำในแต่ละครอบครัว โดยจะไม่ช่วยเหลือกัน ระหว่างครอบครัว ส่วนใหญ่คนที่ทำหน้าที่นี้จะเป็นผู้ชายที่แข็งแรง ผู้หญิงจะเข้ามาช่วยบ้าง เพื่อทำงานให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะถึงหน้าเพาะปลูก การฟันไร่จะทำในเดือน 3 ถึงเดือน 4 (ก.พ.-มี.ค.) เมื่อฟันวัชพืชเสร็จก็จะตากไว้จนแห้งปล่อยทิ้งไว้แล้วจุดไฟเผาในภายหลัง โดยมากจะเผาในระหว่างเดือน มี.ค-เม.ย. (หน้า 90,91) การเลี้ยงสัตว์ จะเลี้ยงเอาไว้กินในครอบครัว กะเหรี่ยงส่วนมากจะเลี้ยงไก่ นอกจากนี้ จะเลี้ยงเป็ดและวัว ควาย กะเหรี่ยง 26 หลังคาเรือน มีไก่รวม 460 ตัว นอกจากนี้ในหมู่บ้านมีชาวบ้านเลี้ยงช้าง 1 หลังคาเรือน จำนวน 1 เชือก คิดค่าจ้างเวลาทำงานวันละ 300 บาท คิดรายได้ต่อปี 5,000-6,000 บาทต่อปี (หน้า 96-97) อาชีพอื่น เช่น รับจ้าง มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น รับจ้างฟันไร่ โดยมากจะรับจ้างแบบเหมา ค่าแรงตั้งแต่ 130-180 บาท เฉลี่ยประมาณวันละ 50 บาท ส่วนค่าเกี่ยวข้าวหากได้ค่าแรงเป็นข้าวจะจ้างวันละ 2 ปี๊บ รับจ้างทำเปลือกไม้ เพื่อนำไม้หอมมาทำธูป ค่าจ้างกิโลกรัมละ 4-5 บาท โดยจะมีรถมารับเปลือกไม้จาก อ.ทองผาภูมิ ในหมู่บ้าน มีกะเหรี่ยงทำอาชีพนี้ 6 ครอบครัว (หน้า 98) โงหน่อไม้ (ขุดหน่อไม้มาขาย) หน่อไม้ที่ปอกเปลือกแล้วจะขายในราคา 1 ถึง 1.50 บาท ในหมู่บ้านมีกะเหรี่ยง 6 ครอบครัว ขุดหน่อไม้ขาย (หน้า 99) เศรษฐกิจครอบครัว กะเหรี่ยงจะใช้เงินอย่างประหยัด จะใช้ในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น เวลากินอาหารก็จะกินข้าวมากแล้วกินกับน้ำพริก และผัก ก็พออยู่ได้ (หน้า 99,105) ในหมู่บ้านได้ผลผลิตข้าวมากเพราะฝนตกชุก ปี 2526 ครอบครัวกะเหรี่ยงจำนวน 35 ครัวเรือน ปลูกข้าวได้ผลผลิตรวม 3,020 ถัง โดยใช้กินประมาณ 3,595 ถัง เนื่องจากมี 9 ครัวเรือนไม่ได้ปลูกข้าว เพราะสมาชิกในบ้านไม่สบาย หรือไปทำงานที่อื่น ส่วนบ้านที่ข้าวไม่พอกิน จำนวน 4 ครัวเรือน โดยจะซื้อข้าวสารจากในเมืองราว 1 ถึง 3 กระสอบ ปี 2527 บ้านที่ไม่ปลูกข้าวเหลือ 3 ครัวเรือน 35 ครัวเรือน ปลูกข้าวได้ 3,725 ถัง สำหรับอัตราการผลิตข้าวต่อไร่ ไม่มีความแน่นอนเพราะปลูกข้าวด้วยพื้นที่ไม่เท่ากัน เช่น บางบ้านใช้ที่ดิน 15 ไร่ บางบ้านก็ใช้ไม่ถึง (หน้า 100) รายได้เฉลี่ย ไม่มีความแน่นอน เช่น ปี 2527 ครอบครัวทำเปลือกไม้ 6 ครอบครัวมีรายได้สูงสุด 4,600 บาท และน้อยที่สุด 1000 กว่าบาท และครอบครัวที่หาหน่อไม้ขาย มีรายได้สูงสุด ราว 1,000 บาท รายได้ต่ำสุด 100-200 บาท ส่วนครอบครัวที่เก็บละหุ่งขาย ถ้าไปขายที่บ้านผู้ใหญ่บ้านจะขายได้ กิโลกรัมละ 5 บาท แต่ถ้านำไปขายที่ร้านใน อ.ทองผาภูมิ จะได้ในราคา ก.ก.ละ 6 บาท สำหรับรายได้ในส่วนอื่น เช่น เก็บละหุ่งขาย โดยขาย 2-3 กระสอบ จะขายได้เงิน 700-1,000 บาท ขายพริกแห้งราคา ปี๊บละ 70 บาท ขายกล้วยน้ำว้าหวีละ 1 บาท เป็นต้น (หน้า 100) ทรัพย์สินขอชาวบ้านจะขึ้นอยู่กับสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ช้าง เช่น บ้านที่เลี้ยงช้างจะมีรายได้ 5,000-6,000 บาทต่อปี สำหรับช้างมีราคา 1 แสนกว่าบาท (หน้า 102) ธนาคารข้าว ในหมู่บ้านจะมีธนาคารข้าว เพื่อช่วยเหลือเวลาที่มีข้าวกินไม่เพียงพอ คนที่จะเข้าเป็นสมาชิกจะนำข้าวมาใส่ยุ้ง เพื่อเป็นค่าสมัคร 5 ถัง จะกู้ยืมข้าวได้เฉพาะคนที่เป็นสมาชิกเท่านั้น เวลาส่งข้าวคืนจะส่งในปีถัดไปพร้อมกับดอกเบี้ย คิดในอัตราร้อยละ 20 แต่ถ้าใช้คืนไม่ได้หมดก็ให้ไปรวมในปีถัดไป ปัจจุบันนี้ในธนาคารมีข้าวอยู่ประมาณ 400 ถัง (103, 105, 106) แหล่งกู้ยืม กะเหรี่ยงจะใช้เงินอย่างประหยัด ไม่ค่อยเป็นหนี้ คนที่ไม่ยืมเงินจากคนอื่นมีจำนวนร้อยละ 43.59 (หน้า 103) กู้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติร้อยละ 23.08 กู้ญาติพี่น้องร้อยละ 20.51 ซื้อเงินเชื่อจากร้านขายขอชำร้อยละ 7.70 เป็นต้น (ตารางหน้า 104) การถือครองที่ดิน เมื่อก่อนชาวบ้านจะทำไร่ข้าวโดยจะหมุนเวียนปลูกในที่ดินผืนนั้น 3 ปี แล้วพักไป 3-5 ปี ชาวบ้านจะมีที่ดินเป็นของตัวเองโดยถือครองที่ดินตามประเพณี แม้ไม่มีเอกสารสิทธิ์กระทั่งปี 2526 รัฐบาลได้ประกาศให้พื้นที่เป็นป่าสงวน จึงรังวัดที่ดินออกใบ สทก. กับชาวบ้าน ครอบครัวละ 15 ไร่ การถือครองที่ดินตามประเพณียังมีอยู่เหมือนเดิม (หน้า 104 ,106 )

Social Organization

          ในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว (nuclear family) จำนวน 28 ครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก และครอบครัวขยาย (Extened family) มีจำนวน 9 ครอบครัว ในครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก และ พ่อแม่ของคู่สมรส หรือพี่น้อง เป็นต้น (หน้า 110, 134) สามีเป็นผู้นำครอบครัว และอบรมลูก หากลูกทำผิดก็จะตักเตือนลูก ภรรยามีหน้าที่ดูแลค่าใช้สอยในครอบครัว ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเลือกคู่ครองที่มีอายุมากกว่า 5 ถึง 6 ปี หรือมากกว่านั้น คู่สมรสที่ผู้ชายมีอายุน้อยกว่าผู้หญิง มีเพียง 2 คู่ ในหมู่บ้าน คู่สมรสจะรักเดียวใจเดียว และไม่ชอบการมีชู้ ไม่ชอบการหย่าร้าง ยกเว้นจะปรับตัวเข้ากับนิสัยใจคอกันไม่ได้จริงๆ จึงจะแยกทางกัน กะเหรี่ยงจะไม่รังเกียจที่จะแต่งงานกับคนที่เป็นหม้าย หากแต่งานกันก็อยู่กันด้วยดี คนในครอบครัวอยู่แบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเคารพนับถือคนมีอายุ เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า เป็นต้น (หน้า 112, 113) การสืบสกุล นับทางฝ่ายแม่ หากแต่งงานแล้วผู้ชายจะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง และ นับถือตามฝ่ายหญิง ในปี พ.ศ 2517 ทางการได้พิจารณาให้สัญชาติกับชาวเขา กะเหรี่ยงบ้านเกริงกะเวีย จึงได้มีบัตรประชาชนและมีสำมะโนครัว แต่กะเหรี่ยงในหมู่บ้านเกริงกะเวียทั้งหมดยังไม่มีนามสกุล ทางอำเภอจึงได้แจ้งมายังผู้ใหญ่บ้าน ว่าจะจัดตั้งนามสกุลให้ชาวบ้านต่อไป (หน้า 114) ประเพณีย่องสาว ทุกวันนี้ประเพณีนี้ไม่มีแล้ว การย่องสาวเป็นประเพณีของกะเหรี่ยงในการเลือกคู่ โดยผู้หญิงกะเหรี่ยงจะให้ผู้ชายที่ตนรักไปหาที่ห้อง ถ้าคนที่ไปหาคือคนที่รัก ผู้หญิงก็จะคุยด้วยโดยไม่จุดไฟ แต่ถ้าไม่ใช่คนที่รักก็จะจุดไฟสว่าง แต่จะนั่งคุยด้วย การย่องสาวจะนัดเวลากันก่อนจะมาพูดคุยกัน สำหรับคนที่รักกันจะบอกพ่อแม่ ให้ไปทำพิธีสู่ขอเพื่อแต่งงานต่อไป (หน้า 131) งานแต่งงาน จะแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว เมื่อแต่งานแล้วฝ่ายชายจะอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี เมื่อจะแต่งงานก็จะบอกพ่อ แม่ให้รู้ ของหมั้นอาจจะเป็นสร้อยทอง ฝ่ายชายจะนำมาให้ในพิธีแต่งงาน ในงานจะนำไก่ต้ม 1 ตัว ดอกไม้ ธูป เทียน เพื่อนำไปไหว้ผีต้นไม้ แล้วนำมาไหว้ พ่อ แม่ และผู้สูอายุ แล้วนำเงิน 7.50 บาท ให้ผู้อาวุโสที่ทำพิธี จากนั้นฝ่ายหญิงก็จะนำข้าว กับข้าว ขนม อย่างละนิด ละหน่อย มาวาบนไหล่ผู้ชายแล้วผูกข้อมือ จากนั้จะโยนเหรียญ 1 สลึง ให้พ้นเขตบ้าน และโยนน้ำอีก 1 สลึง หรือเรียกว่า "โยนบก" "โยนน้ำ" เพื่อเป็นการไหว้ผีจากนั้นก็จะรับประทานอาหาร (หน้า 39 ,110-111) การเลือกคู่ครอง ส่วนมากจะเลือกคู่เพราะนิสัยใจคอเป็นสำคัญ เช่น ขยันทำงาน นิสัยดี คิดเป็นร้อยละ 47.94 และรองลงมาเป็นความรักคิดเป็นร้อยละ 31.51 และอาชีพร้อยละ 8.22 (หน้า 111) การแต่งงานจะไม่แบ่งตามเชื้อชาติเพราะกะเหรี่ยงถือว่า เป็นเรื่องของโชควาสนา (หน้า 112) อนึ่งกะเหรี่ยงถือว่า คนที่มีชาติพันธุ์เป็นกะเหรี่ยงเป็นญาติกัน (หน้า 115) คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นญาติพี่น้องกัน โดยการเกิดในสายเลือดเดียวกัน การแต่งงาน และเคารพนับถือกัน คนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นเพราะคนในหมู่บ้านอื่น ย้ายมาอยู่เพราะการแต่งาน และย้ายมาเพื่อให้ลูกหลานได้เล่าเรียนหลังจากโรงเรียนสร้างขึ้น หรือที่อยู่เก่าน้ำท่วม เพราะอยู่ในพื้นที่เขื่อนเขาแหลม คนในหมู่บ้านอยู่แบบช่วยเหลือกัน เช่น การเพาะปลูก งานพิธี และการใช้แรงงานด้านอื่นๆ เช่นการสร้างบ้าน (หน้า 115-116,135)

Political Organization

          การปกครองแบ่งเป็น 2 แบบ คือการปกครองแบบทางการและแบบจารีตประเพณี (หน้า 139) การปกครองอย่างเป็นทางการ หมู่บ้านเกริงกะเวียมีผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน โดยได้รับการแต่งตั้งจากทางการ เมื่อ พ.ศ. 2519 โดยเป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่สองต่อจากคนแรกที่ดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ.2526-2519 ซึ่งเดิมทีก่อนจะมีผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านเกริงกะเวียอยู่ในการปกครองของบ้านคลิตี้ เพราะตอนนั้นมีประชาชนอยู่กันน้อย (หน้า 140) ในหมู่บ้านจะมีการประชุมประจำเดือนทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนที่ศาลาเอนกประสงค์ (หน้า 140) ผู้ใหญ่บ้านจะทำหน้าที่ดูแลความสงบ และตัดสินปัญหาในหมู่บ้าน และเป็นตัวแทนชาวบ้านเวลาติดต่อกับทางการ (หน้า 141) นอกจากนี้ ในหมูบ้านยังมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 ฝ่ายงาน คือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง หมู่บ้านเกริงกะเวีย มี 4 คน เป็นกะเหรี่ยง 2 คน และคนไทย 2 คน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ เป็นคนไทย 1 คน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจะดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี (หน้า 141) บ้านเกริงกะเวีย ได้รับการจัดตั้งเป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนอง (หมู่บ้าน อพป.) เมื่อปี พ.ศ. 2519 (หน้า 142) โดยทางการได้จัดอบรมความรู้ให้แก่ชาวบ้าน ในปี พ.ศ. 2524 เพื่อให้เข้าใจโครงการ อพป.เป็นเวลา 7 วัน ที่โรงเรียนบ้านเกริงกะเวีย (หน้า 144) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้กับชาวบ้าน ที่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นเขตแทรกซึมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) เพื่อให้ชาวบ้านสามารถรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านได้ (หน้า 142) การปกครองแบบจารีตประเพณี จะนำโดยผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ที่รู้ประเพณีต่างๆ และเป็นผู้นำเวลาประกอบพิธีและตัดสินในเรื่องต่างๆ (หน้า 151) เช่น เรื่องชู้สาว สำหรับคนที่กระทำผิดก็จะถูกสังคมลงโทษ เช่น ไล่ออกนอกหมู่บ้าน (หน้า 152) ทุกวันนี้การปกครองแบบผู้นำแบบจารีตประเพณีไม่มีแล้ว เพราะไม่มีผู้สืบทอด จึงถือระบบการปกครองหมู่บ้านแบบทางการอย่างเดียว (หน้า 152)

Belief System

          กะเหรี่ยงบ้านเกริงกะเวีย นับถือศาสนาพุทธ และนับถือผี โดยนับถือศาสนาพุทธ 23 ครอบครัว จาก 35 ครอบครัว กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธเรียกว่า พวกไหว้พระ (หน้า 122) กะเหรี่ยงร้อยละ 86.9 นับถือศาสนาพุทธ เลิกนับถือผี 10 กว่าปีมาแล้ว (หน้า 123) ใกล้หมู่บ้านจะเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์สาขาของวัดพุทโธภาวนา อ.สามพราน จ.นครปฐ ม ซึ่งมาตั้งใกล้กับทางไปบ้านทิพุเยที่อยู่ห่างจากบ้านเกริงกะเวีย 2 กิโลเมตร โดยจะมีพระอยู่ประจำประมาณ 2 -3 รูปและอีกแห่งหนึ่งเป็นสำนักสงฆ์กะเหรี่ยง ตั้งอู่บ้านทิพุเย โดยมีพระสงฆ์อยู่ 1 รูป และเณร 2 รูป (หน้า 123) การนับถือผี (animism) เช่น วิญญาณที่อยู่ในธรรมชาติ และผีเรือน ได้แก่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียชีวิตแล้ว (หน้า 124) ซึ่งทำหน้าที่ดูแลคุ้มครองลูกหลาน กะเหรี่ยงเชื่อว่าการเจ็บไข้ไม่สบายต่างๆ ผีเป็นผู้ทำกะเหรี่ยงร้อยละ 34.29 ยังนับถือผียังเลี้ยงผีกันอยู่ (หน้า 125) การนับถือผี จะขึ้นอยู่ที่ฝ่ายผู้หญิง แต่ถ้าหากแม่ไม่นับถือแล้ว คนในครอบครัวก็จะเลิกนับถือผีตามผู้เป็นแม่ (หน้า 126) การเลี้ยงผี (พิธีกินผี) หัวหน้าครอบครัวจะเป็นคนบอกวันว่าจะทำพิธีวันไหน เมื่อกำหนดวันได้แล้ว ก็จะบอกลูกหลานที่บ้าน ตอนเช้าพ่อ แม่ก็จะไปหาปลา โดยมากจะเป็นปลาตัวเล็กๆ หาได้ 14 ตัว ก็จะย่างให้สุก แล้วกินตามความอาวุโส คนละ 3 คำ ช่วงที่ประกอบพิธีคนที่เข้าร่วมพิธีจะต้องนอนที่บ้าน ไม่ให้ไปนอนที่อื่น ในระหว่างประกอบพิธีหากมีคนมาจะต้องเริ่มพิธีใหม่ และต้องปรับคนที่ขึ้นมาบนบ้านแล้วแต่เจ้าของบ้านจะเรียก เมื่อกินปลาแล้ววันต่อมา พ่อ กับแม่ จะไปหาตัวอ้น 1 ตัวมาต้ม แล้วนำมาทำพิธีเลี้ยงผีป่าที่ต้นไม้พร้อมกับข้าวสวย ดอกไม้ ธูป และเทียน 3 เล่ม ปล่อยไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็จะนำมารับประทานตามอันดับอาวุโส คนละ 3 คำก็จบพิธี (หน้า 125) ต้นไม้ที่นำอ้นไปวางจะไม่วางซ้ำต้นกัน สำหรับบ้านที่เป็นบ้านไม้จะทำที่เลี้ยงผีเป็นบ้านไม้ไผ่อีกหลังต่างหาก เพราะเชื่อว่าถ้าเลี้ยงที่บ้านไม้จริงจะไม่เป็นมงคล (หน้า 126) การนับถือผีนี้มีความเคร่งครัดมาก เช่น เวลาเลี้ยงผีนั้น ไก่เดินลอดใต้ถุนบ้านพิธีนั้นต้องล้มเลิก และต้องทำกันใหม่ ขวัญ กะเหรี่ยงมีความเชื่อเรื่องขวัญ ทุกคนจะมีขวัญประจำตัว ขวัญทั้งหมดมี 33 ขวัญ ขวัญที่สำคัญมีอยู่ 6 ขวัญ เช่น ที่หัว หู คอ และข้อมือ กะเหรี่ยงเชื่อว่าถ้าคนตายขวัญจะออกจากตัว ส่วนเด็กที่เพิ่งเกิดขวัญยังไม่มาอยู่ประจำที่ร่างกาย ต้องทำพิธีเรียกขวัญ (หน้า 126) ปลูกข้าว 9 กอ เชื่อว่าจะทำให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก และเป็นมงคลข้าวที่ปลูก กะเหรี่ยงจะนำข้าวพันธุ์ดี นำมาปลูกก่อนข้าวที่จะปลูกจริงในไร่ จำนวน 9 กอ เมื่อสุกก็จะเก็บผลผลิตเอาไว้ต่างหาก หลังจากที่เก็บเกี่ยวข้าวในไร่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนฟาดข้าวจะผูกปลายไม้ไผ่ด้วยดอกไม้ต่างๆ กลางลำไผ่จะนำข้าว 9 กอ ใส่เอาไว้เพื่อรับขวัญข้าว (หน้า 128) การนำข้าวเข้ายุ้ง กะเหรี่ยงจะเอาข้าวพันธุ์ดีมาปูรองพื้น ตรงหน้าประตูจะนำดอกไม้มาแขวน จากนั้นก็จะขนข้าวมาใส่ยุ้ง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ข้าวอุดสมบูรณ์มีข้าวกินทั้งปี (หน้า 128) ประเพณี ประเพณีกะเหรี่ยงหมู่บ้านเกริงกะเวีย ส่วนใหญ่จะอยู่ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา เช่น วันสงกรานต์ การทำบุญเข้าพรรษา วันออกพรรษา (หน้า 129) - วันปีใหม่กะเหรี่ยงตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 กะเหรี่ยงจะนำอาหารไปทำบุญที่สำนักสงฆ์ทิพุเย หลังจากกลับบ้าน ผู้หลักผู้ใหญ่จะนำด้ายมาผูกข้อไม้ข้อมือลูกหลาน (หน้า 130) - ประเพณีต่ออายุ กะหรี่ยงจะนำไม้ไผ่คนละ 1 ลำหรือครอบรัวละ 1 ลำ โดยนำลำไผ่พาดกับต้นไทร หรือต้นใหญ่ ภายในหมู่บ้านพร้อมกับดอกไม้ ธูป เทียน ผู้เฒ่า ผู้แก่ก็จะนำพิธี โดยสวดเป็นภาษากะเหรี่ยง ประเพณีจะทำในเดือน 4-6 ของทุกปี (หน้า 131) - ประเพณีไหว้พระ จะทำปีละครั้งช่วงเดือน 3-4 พ่อ แม่ และลูกๆ จะมารวมกันเพื่อสวดมนต์ (หน้า 131) พ่อกับแม่จะเป็นคนนำสวดโดยจะใช้เวลา 3 คืน สำหรับบ้านที่เลี้ยงผีจะไม่ทำพิธีนี้ (หน้า 132) - การทำศพ ถ้ามีคนเสียชีวิตในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงจะหยุดงาน 1 วันเพื่อมาช่วยงานบ้านของญาติผู้เสียชีวิต การห่อศพจะใช้ไม้ไผ่สับเป็นฟากเพื่อห่อศพ ก่อนห่อศพ คนที่มาาช่วยงานจะอาบน้ำศพและจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ศพ จากนั้นก็จะนำเหรียญเงินมาปิดเพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้ที่เสียชีวิต จำทางกลับบ้านได้ ต่อมาได้ใช้โลงแทนฟากไม้ไผ่ การเก็บศพจะเก็บไว้ที่บ้าน 1 คืน จึงจะนำไปเผา เมื่อถึงป่าช้าจะปูใบที่พื้นดินก่อนวางศพ เมื่อพระสวดศพเรียบร้อยแล้ว จึงเผาศพที่วางบนกองไม้หลังจากเผาได้ 7 วันจึงเก็บกระดูก บางหลังคาเรือนก็ไม่เก็บกระดูกผู้เสียชีวิต โดยจะปล่อยตามธรรมชาติ (หน้า 132)

Education and Socialization

          โรงเรียนประถมศึกษาบ้านเกริงกะเวีย ก่อตั้งขึ้นครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ.2513 สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา อ.ทองผาภูมิ (หน้าบทคัดย่อ, 51, 62) อาคารเรียนเริ่มแรกเป็นแบบอาคารไม้ชั้นเดียว มุงด้วยสังกะสี มี 3 ห้องเรียน และมีบ้านพักครู 1 หลัง เปิดสอนตั้งแต่ ป.1-ป.4 ครั้งแรกใช้ชื่อโรงเรียนว่า " โรงเรียนบ้านชะแล" ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น " โรงเรียนบ้านเกริงกะเวีย" โรงเรียนสร้าง เมื่อ 4 มี.ค. 2513 ในเวลานั้นมีนักเรียน 52 คน เป็นผู้ชาย 25 คน และผู้หญิง 27 คน โดยเรียนชั้น ป.1 ทั้งหมด (หน้า 54) เด็กนักเรียนอายุตั้งแต่ 6 ปี ถึง 14 ปี โดยในจำนวนนักเรียน เด็กอายุ 11 ปี มีจำนวนมากที่สุด จำนวน 11 คน (หน้า 55, 63) นักเรียนชุดแรก 52 คน เรียนจบชั้น ป.4 จำนวน 8 คน เป็นนักเรียนชาย 3 คน และหญิง 5 คน หรือร้อยละ 4.16 (หน้า 56) ปี 2527 โรงเรียนเกริงกะเวีย มีนักเรียน 67 คน ชาย 31 คน หญิง 36 คน มีครู 6 คน ศึกษาต่อ 1 คน ครูที่สอนในโรงเรียน 5 คน เปิดสอนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ป.6 มีจำนวน 6 ห้อง จากที่สอนตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2513 ถึงปี พ.ศ. 2527 มีนักเรียนเข้าลงทะเบียนทั้งหมด 205 คน (หน้า 58) สำหรับความคิดเห็นต่อการศึกษานั้น เดิมทีกะเหรี่ยง ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เพราะอยู่ในป่าเขา ไม่ได้ติดต่อกับภายนอก กระทั่งภายหลังได้ติดต่อกับคนภายนอกมากขึ้น จึงเห็นความสำคัญของการศึกษา อีกทั้งทางการก็ให้ความสนับสนุนด้านการศึกษา และอุปกรณ์การเรียนแก่นักเรียนด้วย (หน้า 59, 155, 156)

Health and Medicine

          สุขภาพอนามัย กะเหรี่ยงมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องสุขภาพอามัยเท่าที่ควร (หน้า 64) เช่น กะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะดื่มน้ำจากลำห้วย ซึ่งผู้วิจัยพบว่า มีจำนวน 23 ครอบครัว จากทั้งหมด 35 ครอบครัว ที่ดื่มน้ำจากห้วยโดยไม่ต้ม คิดเป็นร้อยละ 65.71 นอกจากนี้แล้ว มีต้มบ้างไม่ต้มบ้าง (หน้า 71) กะเหรี่ยงมีสุขภาพร่างกายที่สะอาดเพราะอยู่ใกล้แหล่งน้ำ อาบน้ำได้สะดวก (หน้า 71,72) ชาวบ้าน ไม่ค่อยเจ็บป่วยทั้งผู้หญิง และผู้ชาย เนื่องจากชาวบ้านทำงานอยู่เป็นประจำ โรคที่เป็นในกลุ่มชาวบ้านได้แก่ ไข้หวัด ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องร่วง เป็นต้น (หน้า 76) สุขภาพฟัน กะเหรี่ยงไม่มีปัญหาเรื่องฟัน ส่วนใหญ่สุขภาพฟันดี สำหรับคนที่ได้ใช้ยาสีฟัน ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยเรียนในโรงเรียนมาก่อน เด็กๆ ไม่ค่อยฟันผุ ถึงแม้จะไม่เคยแปรงฟัน เพราะว่าส่วนหนึ่งเด็กๆไม่ค่อยได้กินขมหวาน นอกจากนี้ยังชอบกินอ้อย จึงทำให้ฟันสะอาด ส่วนผู้สูงอายุก็ไม่ค่อยสวมฟันปลอม (หน้า 72, 73) ส้วมในหมู่บ้านมี 7 หลังคาเรือนที่มีส้วมซึมใช้ หลังจากที่หน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ 13 ของ กรป.กลาง นำหัวส้วมมาให้ชาวบ้านเมื่อปี พ.ศ.2519 จำนวน 10 หัว แต่มีเพียง 7 หลังคาเรือนที่ทำส้วม (หน้า 76) ในหมู่บ้านมีส้วมหลุมใช้ 6 ครอบครัว (หน้า 83) เนื่องจากเห็นว่าการใช้ส้วมไม่มีความจำเป็น และต้องลำบากตักน้ำเข้าส้วม ดังนั้น จึงไปขับถ่ายในป่าและใช้ไม้ไผ่ทำความสะอาดหลังจากขับถ่ายเรียบร้อยแล้ว (หน้า 76) การรักษาโรค จะรักษาโรคแบบโบราณ เช่นกินยาสมุนไพร และรักษาโรคด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น ซื้อยามากินเอง (หน้า 77) สถานีอามัยเกริงกะเวีย สร้างใน พ.ศ. 2526 (หน้า ง, 52, 77) มีเจ้าหน้าที่อนามัยทำงานประจำ 1 คน ดูแลพื้นที่บ้านเกริงกะเวีย และบ้านทิพุเย (หน้า 77) นอกจากนี้ยังมีหน่วยอนามัยที่แคมป์ สร้างทางของการไฟฟ้า โดยมีชาวบ้านส่วนหนึ่งไปรักษา ซึ่งจากที่ผู้วิจัยได้สอบถามชาวบ้านพบว่า กะเหรี่ยงชอบรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น ตามโรงพยาบาล สถานีอนามัย จำนวนร้อยละ 54.55 ซื้อยามารับประทานเองร้อยละ 18.18 (หน้า 77) รักษาด้วยวิธีจับชีพจร กินสมุนไพร จำนวนร้อยละ 13.64 รักษาด้วยตนเองตามคำแนะนำของพ่อ แม่ โดยกินสมุนไพร คิดเป็นร้อยละ 11.36 รักษากับพระร้อยละ 2.27 (หน้า 78) การเกิด คนที่แต่งงานแล้ว จำนวน 27 ครอบครัว พบว่า ทั้งหมดคลอดลูกที่บ้านโดยไม่ไปคลอดที่โรงพยาบาล เพราะมีความสะดวกกว่า และเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก ส่วนอัตราการเกิดของกะเหรี่ยงเฉลี่ย 3-4 คน ต่อปี (หน้า 78, 85) การคลอดโดยหมอตำแย เมื่อคลอดแล้วหมอตำแยจะใช้ไม่ไผ่บางๆ ตัดสายสะดือและจะนำรกใส่กระบอกไม้ไผ่ ไปฝังใต้บันไดบ้าน หรือไม่ก็เอาไปแขวนต้นไม้ในป่า หมอตำแยจะอยู่คอยดูแลกระทั่งครบ 3 วัน ให้สะดือเด็กหลุดแล้วตั้งชื่อ ผูกข้อมือ และเรียกขวัญ เมื่อทำขวัญลูกแล้วพ่อ แม่เด็ก ก็จะมอบดอกไม้ ธูป เทียน และค่าตอบแทนตามกำลังศรัทธา แก่หมอตำแย สำหรับแม่เด็กก็จะอยู่ไฟต่อประมาณ 2-3 สัปดาห์ (หน้า 79) การคุมกำเนิดในจำนวน 35 ครอบครัว จะมีลูกเฉลี่ย 3-4 คน (หน้า 79) การคุมกำเนิดแบบพื้นบ้าน เมื่อเลิกอยู่ไฟแล้ว หากไม่ต้องการมีลูกอีกก็จะกินยา โดยจะกินหัวปลีต้ม 7 หัว ก่อนจะกินก็จะท่องคาถาด้วยภาษากะเหรี่ยง ซึ่งแปลว่า ไม่ต้องการมีลูกอีก อย่ามาเกิดอีก การกินยานี้ โดยมากจะได้ผล แต่บางรายกินแล้วก็ยังมีลูกอีก (หน้า 80) การรักษาด้วยไสยศาสตร์ การเสี่ยงทายด้วยข้าวปั้น เพื่อให้หายจากเจ็บป่วย โดยจะนำข้าวหุ้มกับเส้นด้าย จากนั้นก็จะถือที่ปลาย แล้วอธิษฐานว่า โรคที่เป็นอยู่จะหายหรือไม่แล้วก็ให้ข้าวหมุนหรือสั่น (หน้า 128) แล้วแต่คนอธิษฐานว่าจะให้หมุนหรือสั่นอย่างไร (หน้า 129)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          การแต่งกาย กะเหรี่ยงสะกอ ผู้ชายจะแต่งกายด้วยกางเกงคล้ายแบบจีน มีทั้งสีดำและสีขาว สวมเสื้อสีแดงแขนสั้นประดับด้วยพู่ บางคนจะโพกผ้าสีที่หัว จะโพกสีใดก็ได้ยกเว้นสีดำเท่านั้น (หน้า 34) หญิงสาว และเด็กหญิง คนที่ยังโสดจะนุ่งกระโปรงยาวกรอมข้อเท้าสีขาว เสื้อเป็นทรงกระสอบแขนสั้น คอรูปสามเหลี่ยม ผมมวยไว้ด้านหลัง รัดด้วยเส้นด้ายถักสีแดง บางครั้งโพกผ้าขาว ใส่ต่างหูรูปทรงกลม และห้อยเส้นด้ายเป็นพู่ พันคอด้วยเส้นด้าย สวมสร้อยลูกเดือย (หน้า 34) หญิงที่แต่งงานแล้ว จะสวมเสื้อสีดำ หรือสีแดง เป็นเสื้อแบบสั้นยาวเลยเอว เสื้อตอนล่าง จะเย็บด้วยด้ายกับลูกเดือยหินสีขาว เป็นรูปตาหมากรุก หรือลายจุด สวมผ้าถุงลายขวางสีแดงสลับด้ายสีต่างๆ (หน้า 34) กะเหรี่ยงโปว์ หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน สวมกระโปรงสีขาว (หน้า 34) รอบลำตัวตอนหน้าบริเวณหน้าอก คาดปิดด้ายแถบผ้าสีแดงกว้าวราว 1 คืบ ชายผ้าด้านล่างปักด้วยด้ายลายสีแดง สำหรับกลุ่มที่อยู่ในป่าลึกจะมวยผมเป็นพุ่มทรงกลม ใช้แถบผ้าสีขาวหรือสีชมพูปิดผมเหนือหน้าผากโดยรอบ บริเวณใต้แขนเสื้อจะมีผ้าดำเป็นปลอก มีความยาวจนถึงข้อมือ โดยใช้หวายกลมๆ คาดเป็นช่วงๆ สวมลูกปัด ข้อมือถึงข้อศอกมีปลอกโลหะซ้อนกัน ข้อมือประดับด้วยลูกเดือยหิน หรือสตางค์แดงร้อยเป็นพวงที่ข้อเท้าจะพันลูกกระพรวน หรือกระดิ่งขาดเล็ก (หน้า 35) ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ปกติจะสวมเสื้อทรงกระสอบถึงเอว ตัวเสื้อด้านบนพื้นสีดำ บริเวณใต้อกเสื้อเป็นสีแดง เย็บลวดลาย ติดลูกปัด ลูกเดือยหิน หรือหลอดด้ายสีขาว รูปตารางหรือลายตั้ง สวมผ้านุ่งสีแดงลายสีขาว (หน้า 35) ผู้ชาย สวมเสื้อสีดำ เมื่อไปร่วมงานต่างๆ จะสวมเสื้อสีแดงมีลวดลายเส้นสีขาว บางครั้งจะสวมเสื้อสีขาวลายแดงขนาดเล็ก ยาวจนถึงครึ่งขา สวมกางเกงแบบจีนสีดำ (หน้า 35) กะเหรี่ยงบเว คนทางเหนือและไทยใหญ่ เรียก " ยางแดง " ส่วนใหญ่จะสวมชุดสีแดง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วกับที่ยังเป็นโสด จะสวมชุดสีดำ กับสีแดง ใช้ผ้าพันเอวห้อยชายยาวลงมา คลุมไหล่ด้วยผ้าผืนขนาดใหญ่ คลุมผม บางครั้งโพกผ้าแดง (หน้า 35) ผู้ชาย สวมเสื้อดำกับแดง ส่วนใหญ่ชอบเสื้อกับกางเกงลายแดงสลับขาว (หน้า 35) กะเหรี่ยงตองสู พม่าเรียกว่า กะเหรี่ยงขาว กะเหรี่ยงสะกอ จะเรียก กะเหรี่ยงตองสู่ ว่า "กะเหรี่ยงดำ" ผู้หญิงจะสวมใส่ชุดสีดำ (หน้า 35) ในอดีตกะเหรี่ยงจะไว้ผมยาวทั้งชายและหญิง ใช้ผ้าโพกหัว หญิงสาวและเด็กผู้หญิง จะสวมชุดกระสอบสีขาวยาวกรอมข้อเท้า ตอนล่างประดับด้ายลายปัก บริเวณรอบคอ ประดับด้วยไหมแดง หรือสีชมพู (หน้า 38, 119) หญิงที่แต่งงานแล้ว จะสวมเสื้อยาวเหนือเข่า สวมผ้านุ่งเป็นเส้นลายขวาง หรือตรง สลับกัน เช่ น แดงสลับขาว หรือดำสลับขาว สวมสร้อยลูกปัด สวมกำไลมือ ใส่ต่างหูรูปกลม ห้อยปุยฝ้ายย้อมสีเป็นพู่ (หน้า 38, 119) ผู้ชาย สวมกางเกงขายาวสีดำแบบจีน สวมเสื้อยาวถึงครึ่งขา (หน้า 119) ทุกวันนี้กะเหรี่ยงบ้านเกริงกะเวีย ไม่มีใครสวมชุดประจำเผ่าแล้ว การแต่งกายของผู้หญิงจะแต่งตัวโดยนุ่งผ้าถุงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เด็กสาววัยรุ่นบางคนก็สวมกางเกง (หน้า 120) ผู้หญิงจะเจาะหูทุกคน และส่วนใหญ่จะไว้ผมยาว รวบผมเอาไว้ เด็กหญิงที่เป็นนักเรียนจะตัดผมสั้น (หน้า 120) ผู้ชาย จะสวมเสื้อ กางเกงแบบสมัยใหม่ วัยรุ่นส่วนใหญ่จะใส่กางเกงยีนส์ สวมรองเท้าผ้าใบ (หน้า 120) การแต่งตัวทั้งชายหญิงจะเหมือนคนไทยโดยทั่วไป (หน้า 135) กะเหรี่ยงแต่งตัวด้วยชุดสมัยใหม่ เพราะหาซื้อง่าย และราคาย่อมเยา ไม่ต้องปลูกฝ้ายทอเอง (หน้า 136) พัดวีข้าว เป็นรูปใบโพธิ์กว้างเท่ากระด้ง สานด้วยตอกไม้ไผ่ ใช้พัดข้าวลีบ หรือฟางข้าวให้ออกจากจากกองข้าวเปลือก พัดจะมีน้ำหนักเบากว่ากระด้ง (หน้า 94) ครกกระเดื่อง ทำด้วยท่อไม้ใหญ่ ตัดให้ยาวระดับหนึ่งแล้วเจาะส่วนกลางของเนื้อไม้จนเป็นหลุม แล้วขัดจนเรียบ นำมาฝังลงดิน โดยให้ปากพ้นจากพื้นดิน ไม้ที่ใช้ตำจะนำไม้ยาวทำเป็นคาน ตรงปลายจะทำสลักยึด ปลายอีกด้านจะเหยียบด้วยเท้า โดยจะขุดหลุมบริเวณนั้น (หน้า 94)

Folklore

          นิทานบ้านเกริงกะเวีย บ้านเกริงกะเวีย เมื่อก่อนชื่อว่า บ้านบึงกำมะเกียง เมื่อก่อนตั้งไกลจากที่ตั้งปัจจุบัน 9-10 กม.แต่เมื่อ 70-80 ปีก่อนนั้น ได้เกิดโรคระบาด มีคนป่วยตายชาวบ้านจึงได้ย้ายมาอยู่ยังที่ตั้งในบริเวณปัจจุบัน (หน้า 46) นิทานประจำหมู่บ้านมีว่า หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นเมืองใหญ่มาก่อน ต่อมาน้ำท่วมเมืองจนกลายเป็นบึง ภายหลังมีคนไปจับปลาในบึง เมื่อหาได้ปลาก้างปากแดง ช่วงเดินกลับบ้าน ปลาร้องบอกว่า ปลาคือชาวเมืองที่ถูกน้ำท่วมตายแล้วกลายเป็นปลา ส่วนเจ้าเมืองกลายเป็นจระเข้เผือก เมื่อคนจับปลาถามว่าจริงหรือ ปลายืนยันว่าจริง ส่วนสาเหตุที่ปากแดงก็เพราะว่า ตอนตายกินหมากอยู่นั่นเอง ดังนั้นเขาจึงนำปลาไปปล่อยคืนในบึง (หน้า 46) จากการสันนิษฐานเชื่อว่า เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นที่อยู่ของมอญ เพราะคำว่า "เกริงกะเวีย" หรือ " เกริงกระเวีย " ไม่มีในภาษากะเหรี่ยง ส่วนความหมายของชื่อหมู่บ้าน ผู้วิจัยได้สอบถามคนไทยเชื้อสายมอญจากโพธาราม ได้ให้ความหมายว่า คำว่า เกริงกะเวีย มาจากคำว่า เกริง แปลว่า " ห้วย" หรือ " บึง " กะ แปลว่า " กับ " หรือ "ปลา" กับคำว่า เวีย แปลว่า "นา" "ที่นา" (หน้า 46) ดังนั้นคำว่าเกริงกะเวีย น่าจะหมายถึง บึงกับนา หรือ บึงปลา และที่นา (หน้า 47)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          พ่อค้านอกหมู่บ้านจะเอารัดเอาเปรียบกะเหรี่ยง เช่น หน้าปลูกพริกและฝ้าย กลุ่มพ่อค้าก็จะมาตีราคาและให้เงินมัดจำเอาไว้ เมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยว พอกะเหรี่ยงนำลงมาขาย พ่อค้าก็จะกดราคา หาว่าสินค้าไม่สวยต้องลดราคา บางครั้งก็โกงตาชั่ง เป็นต้น (หน้า 118) ทุกวันนี้แม้การเดินทางสะดวก มีพ่อค้าขับรถมาซื้อสินค้าเกษตรถึงในหมู่บ้าน ก็ยังซื้อของในราคาถูก แต่กะเหรี่ยงก็ยอมขายของให้พ่อค้า เพราะต้องการเงินมาซื้อของใช้ในครัวเรือน (หน้า 118)

Social Cultural and Identity Change

          เมื่อมีการสร้างโรงเรียน ในปี พ.ศ.2513 กะเหรี่ยงเริ่มเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพอนามัย สังคม และวัฒนธรรม (บทคัดย่อ,155) ด้านอนามัย เปลี่ยนจากการอยู่บ้านไม้ไผ่มาอยู่บ้านไม้จริง มุงสังกะสี (หน้า ง, 80, 81, 156) แต่อาหารการกินชาวบ้านจะชอบกินผงชูรส น้ำปลา น้ำมันพืช และบะหมี่สำเร็จรูป ซึ่งไม่มีคุณค่าทางอาหาร (หน้าง, 82) การถือครองที่ดิน เปลี่ยจากการถือครองที่ดินแบบประเพณีมาเป็นรับใบแสดงสิทธิทำกินเขตป่าสงวน คือได้ใบ สทก.(สิทธิทำกิน) เนื่องจากทางการไม่ต้องการให้ชาวบ้านถางป่าเพิ่มขึ้น โดยทางการแบ่งที่ดินให้ชาวบ้าน ครอบครัวละ 15 ไร่ (หน้า ง ,158) ด้านวัฒนธรรม ทุกวันนี้ไม่มีใครแต่งกายด้วยชุดกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน (หน้า ง,161) กะเหรี่ยงนับถือศาสนาพุทธ และนับถือผีน้อยลง (หน้า จ) สำหรับการเปลี่ยนแปลงเกิดจากการเลี้ยงผี มีขั้นตอน ยุ่งยาก พิธีมาก ตัวอ้น สัตว์ที่ใช้ในการประกอบพิธีหายาก (หน้า 137) ส่วนใหญ่จะถือประเพณีตามคนไทย เช่น ทำบุญเข้าพรรษา วันสงกรานต์ เป็นต้น (หน้า จ) ทุกวันนี้กะเหรี่ยงไม่มีผู้นำประเพณีที่นำคนในหมู่บ้านปฏิบัติตามประเพณีกะเหรี่ยง เพราะผู้นำเหล่านั้นเสียชีวิต และไม่มีผู้สืบทอด (หน้า จ) การเปลี่ยนแปลงเรื่องพิธีแต่งงาน ไม่ทำพิธีแบบกะเหรี่ยงดั้งเดิม โดยจะใช้ประเพณีของไทย บางครั้งหนุ่มสาวก็อยู่ด้วยกันเลย เพียงแต่บอกพ่อแม่เท่านั้น (หน้า 160)

Critic Issues

          ไม่มีข้อมูล

Other Issues

          ไม่มี

Map/Illustration

  • ตารางอายุตอนเข้าเรียนของนักเรียนรุ่นแรก พ.ศ. 2513 (หน้า 55)
  • ตารางจำนวนนักเรียนที่เข้าเรียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 (หน้า 57)
  • การอ่าน,เขียนภาษากะเหรี่ยงและไทย (หน้า 121)
  • ความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐ (หน้า 149)
  • ความรู้เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ (หน้า150)
  • แผนที่อำเภอทองผาภูมิ (หน้า 44)
  • หมู่บ้านเกริงกะเวีย (หน้า 48)
  • การตั้งบ้านเรือน (หน้า 50)
  • จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 170)
  • บริเวณอ่างเก็บน้ำและหมู่บ้านอพยพของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (หน้า 171)
  • แผนภูมิเครือญาติของกะเหรี่ยงบ้านเกริงกะเวีย (หน้า 173)
  • การสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ของชาวเขา (หน้า 174)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 30 ม.ค. 2560
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), การเปลี่ยนแปลง, สังคม, วัฒนธรรม, ความเชื่อ, กาญจนบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง