สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ผู้นำ,การผสมผสานทางวัฒนธรรม,ราชบุรี
Author ดวงกมล วรรธโนทัย
Title บทบาทผู้นำและการผสมผสานทางวัฒนธรรม : ศึกษากรณีชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดราชบุรี
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 223 Year 2539
Source หลักสูตรปริญญาสังคมวิทยามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

กล่าวถึงบทบาทผู้นำ เช่นผู้นำทางการเมือง ศาสนา การศึกษา และการผสมผสานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการช่วยรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมกะเหรี่ยง เนื่องจากผู้นำหมู่บ้านมีอำนาจและบทบาทสำคัญในด้านการปกครอง ความเชื่อและประเพณีต่างๆ และให้การศึกษากับคนในหมู่บ้าน รวมทั้งเป็นที่ยอมรับของคนในหมู่บ้าน ซึ่งคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธและได้นำความรู้นั้นมาผสมผสานกับวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง บ้านหนองตาดั้ง ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี จึงทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นของกะเหรี่ยงคงอยู่ต่อไป

Focus

ศึกษาบทบาทผู้นำกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ใน หมู่ 3 ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ที่ดำรงรักษาวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง โดยคาดว่าจะเข้าใจบทบาทผู้นำและเข้าใจปัญหาเพื่อที่จะได้ข้อมูลไปวางนโยบาย ที่เกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยในประเทศ (หน้า 8, 9, 27)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ภาษากะเหรี่ยง ถูกจัดอยู่ในกลุ่มธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman ) และเชื่อว่ากะเหรี่ยงสืบเชื้อสายมาจากพวกโลโล-โนสุ (Lolo- Nosu) คนไทยภาคกลาง เรียกว่า " กะเหรี่ยง " พม่าเรียก " กะยิ่น " ส่วนใหญ่ในรัฐฉานประเทศพม่า และภาคเหนือของไทย เรียกว่า "ยาง" ทางภาคกลางตะวันตก คนใน จ.ราชบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรียกว่า "กะหร่าง" บ้าง และ กะเหรี่ยงบ้าง กะเหรี่ยงแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. กะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw-Karen) กลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่า ปากะญอ จอกอ คนที่อยู่ในภาคเหนือเรียกว่า ยางดอย ยางกะเลอ ยางเหียน (ยางขาว) โดยแยกตามการแต่งตัว โดยในภาคตะวันตก เรียกกะเหรี่ยงสะกอ ว่า "กะหร่าง" กลุ่มนี้อยู่ที่ จ.แม่ฮ่องสอนมากที่สุด 2. กะเหรี่ยงโปว์ หรือปโว (Pwo-Karen) กลุ่มนี้จะเรียกตัวเองว่า โพล่ง (กะโพล่ง) หรือ ปากะโญ โป คนไทยเรียกว่า บางเปียง ยางน้ำ ส่วนคนพม่า เรียกว่า กะเหรี่ยงตะเลง (หน้า 6) 3. กะเหรี่ยงปะแวหรือคยา (Kayah-Karen) ในภาคเหนือของไทยเรียกว่า ยางแดง กลุ่มนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐคยา, รัฐกะเรินนี ประเทศพม่า ในไทยอยู่ใน จ.ตาก แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ 4.กะเหรี่ยงตองสู (Thong sue) คำนี้หมายถึง "ชาวเขา" พม่าเรียกว่าปะโอ ส่วนมากจะอาศัยอยู่ในพม่า ในประเทศไทยจะอยู่ที่ จ.แม่ฮ่องสอน แต่มีจำนวนประชากรไม่มาก มีภาษาอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต (Sino-tibetan) (หน้า 4-6, 33)

Language and Linguistic Affiliations

มีภาษาอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต (Sino-tibetan) (หน้า4) กะเหรี่ยงในเขต อ.สวนผึ้ง กะเหรี่ยงโปว์ มีภาษาพูดเป็นภาษาแบบคำโดดใช้ผสมคำเหมือนกับภาษาไทย เสียงพยัญชนะเดี่ยวมี 24 เสียง พยัญชนะประสมมี 32 เสียง เสียงสระเดี่ยว มี 9 เสียง เสียงสระประสมมี 3 เสียงกับเสียงวรรณยุกต์มี 4 เสียง (หน้า 36) ส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะพูดกะเหรี่ยง คนอายุมากจะพูดภาษากะเหรี่ยง แต่เด็กที่อายุน้อยและวัยรุ่นจะพูดได้ 2 ภาษา คือภาษาไทยและกะเหรี่ยง เพราะเรียนตามโรงเรียน (หน้า 105, 188) ภาษาที่ใช้ในบ้านส่วนใหญ่จะพูดกะเหรี่ยงร้อยละ 80.30 แต่พูดกับคนภายนอกจะพูดภาษาไทยร้อยละ 60.61 (หน้า 124,125)

Study Period (Data Collection)

30 พ.ย. 2539-15 มี.ค.2540 (หน้า 31)

History of the Group and Community

มีข้อสันนิษฐานว่าเมื่อก่อนนี้อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกของธิเบตแล้ว เข้ามาอยู่ในจีน เมื่อ 733 ปีก่อนพุทธกาล คนจีนเรียกกะเหรี่ยงว่าชนชาติโจว ต่อมาในสมัยราชวงศ์จิ๋นถูกรบกวน ปี พ.ศ. 207 จึงอพยพมาตามแม่น้ำแยงซีเกียง จากนั้นจึงย้ายมาอยู่ตามลุ่มน้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน ในประเทศพม่า ย้ายเข้ามาอยู่ในไทยเมื่อประมาณ 200 ปีก่อน โดยอาศัยอยู่ตามบริเวณชายแดนไทยกับพม่าได้แก่บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน,เชียงราย,อ.ท่าสองยาง อ.แม่ระมาด จ.ตาก, อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี, ราชบุรี, เพชรบุรี, อุทัยธานี, สุพรรณบุรี และประจวบคีรีขันธ์ (หน้า 4-6) บ้านหนองตาดั้ง อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า คนในหมู่บ้านเมื่อก่อนนี้เคยเป็นลูกจ้างทำเหมืองที่บ้านห้วยม่วง เมื่อเหมืองปิด คนงานจึงเข้ามาอยู่ในพื้นที่หมู่บ้าน เพื่อปลูกพืช ภายหลังมีกะเหรี่ยง จากบ้านพระกำย้ายเข้ามาอยู่เพิ่มเติม (หน้า 103, 104)

Settlement Pattern

สร้างบ้านแบบ "คะเด่งเกี่ย" (กาแล) คือติดกาแลทั่วบ้าน บ้านสร้างด้วยไม้ไผ่ คะเด่งเกี่ย ทำจากไม้ไผ่ เสาจะใช้ต้นไม้ที่เป็นไม้ย่ามเพื่อรับเสาหรือรอดการสร้างบ้านก็จะใช้ไม้ง่ามเพื่อรองรับรอดเช่นกัน บ้านกะเหรี่ยงแต่ก่อนจะเป็นกระท่อมใต้ถุนสูง มุงหญ้าคาหรือใบกะพ้อ พื้นทำด้วยฟากไม้ไผ่ เสาไม้ทำด้วยไม้จริง ตัวบ้านกั้นเป็นห้องสำหรับลูกสาว ทำระเบียงเอาไว้ต้อนรับแขก อีกด้านหนึ่งทำด้วยห้องครัว (หน้า 45,47 ภาพหน้า 46, 106) บริเวณบ้านจะไม่ทำรั้ว แต่จะสร้างบริเวณหน้าบ้าน ปัจจุบันในหมู่บ้านราวร้อยละ 2 จะสร้างบ้านเป็นแบบห้องแถวและเป็นอาคาร (หน้า 107)

Demography

คนไทยภูเขา มีจำนวน 3,417 หมู่บ้าน 94,572 ครัวเรือน 110,922 ครัวเรือน ประชากร 552,872 คน โดยมีกลุ่มสำคัญได้แก่ ม้ง อีก้อ ลีซอ มูเซอร์ กะเหรี่ยง เย้า (หน้า 4) ส่วนประชากรกะเหรี่ยงใน จ.ราชบุรี มีราว 7,302 คน อยู่ใน อ.สวนผึ้ง ต.บ้านบึง ต.สวนผึ้ง ต.บ้านคา และ ต.ตะนาวศรี และ ต.ยางหัก อ.ปากท่อ (หน้า 34) มีสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรใน จ.ราชบุรี ซึ่งมีราว 729,262 คน (หน้า 98) สำหรับประชากรใน อ.สวนผึ้งเองมีจำนวน 39,731 คน จาก 8,845 ครัวเรือน ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ เช่น กะเหรี่ยง,ไทย, ลาว, จีน (หน้า 102) ส่วนในหมู่บ้านหนองตาดั้ง ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี มีกะเหรี่ยงอยู่ 586 คน เป็นชาย 289 คน และหญิง 297 คน นับเป็นจำนวนครัวเรือน 114 ครัวเรือน ตัวอย่างการศึกษาจำนวน 66 ครัวเรือน (หน้า 105,111)

Economy

อาชีพหลักของกะเหรี่ยงคือ การเพาะปลูกโดยจะปลูกพืชแบบย้ายที่ (Shifting Eultivation) โดยจะให้ดินฟื้นตัว 4 -10 ปี ทุกวันนี้จะทำไร่แบบหมุนเวียนที่ดิน (Land Rotation ) เพราะตั้งถิ่นฐานถาวร พืชที่ปลูกได้แก่ สับประรด อ้อย ถั่วลิสง มันสำปะหลัง ผัก ผลไม้ เช่นมะม่วง ส้มโอ เป็นต้น อาชีพอื่นได้แก่รับจ้างทำเหมืองแร่ และล่าสัตว์ (หน้า 47) หาของป่าเช่นน้ำผึ้ง ส่วนผู้หญิงอยู่บ้านก็จะทอผ้า หรือทำย่ามไว้ขาย (หน้า 48) ใน จ.ราชบุรี ประชาชนประกอบอาชีพ 2 อย่างคือการอุตสาหกรรม เช่น เหมืองแร่ โรงงานกระดาษ โรงงานน้ำตาล โรงงานทำนมผง นมสด เป็นต้น การเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงหมู วัวเนื้อ วัวนม ไก่ เป็ด (หน้า 96) ในพื้นที่ อ.สวนผึ้ง มีพื้นที่เพาะปลูกพืชต่างๆ เช่นปลูกข้าวโพด อ้อย ฝ้าย สับปะรด และอื่นๆ ประมาณ 7 แสนไร่ และมีพื้นที่ทำนา 400 ไร่ มีวัวเนื้อ และวัวพื้นเมือง ประมาณ 6 พันตัว (หน้า 102,103) สำหรับบ้านหนองตาดั้ง ชาวบ้านมีรายได้เฉลี่ย 1-2 หมื่นบาท/ปี ส่วนใหญ่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ รับจ้างเป็นอาชีพเสริม ชาวบ้านมีสิทธิ์ทำกิน แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ชาวบ้านที่ฐานะดีจะมีรถมอเตอร์ไซด์ แต่ในหมู่บ้านไม่มีรถยนต์ (หน้า 108) ส่วนประชากรกลุ่มตัวอย่างจะทำไร่ ทำนา จำนวนร้อยละ 80.30 รับจ้างร้อยละ 15.15 ค้าขายร้อยละ 3.03 และเลี้ยงสัตว์ร้อยละ 1.52 (หน้า 116) ประชาชนส่วนมากมีรายได้น้อย เพราะทำอาชีพเกษตรไม่มีรายได้อื่นและเป็นหนี้ รายได้เฉลี่ย 1-1หมื่นบาท จำนวนร้อยละ 51.52 ซึ่งมากที่สุด ในครัวเรือนตัวอย่างมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 17,600 บาทต่อครัวเรือน/ปี คนในหมู่บ้านไม่ค่อยมีเครื่องใช้อำนวยความสะดวก เช่น โทรทัศน์ วิทยุ ตู้เย็น รถกะบะ ฯลฯ (หน้า 117,129, 209)

Social Organization

ครัวเรือนเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว อยู่กันแบบเครือญาติช่วยเหลือเกื้อกูลกันในหมู่บ้าน และให้ความสำคัญกับญาติฝ่ายแม่ (หน้า 18, 107) การเกี้ยวสาว โดยมากหนุ่มสาวกะเหรี่ยงมักจะจีบกันในช่วงงานศพ โดยจะมีหนุ่มสาวจากหมู่บ้านต่างๆ มาร้องเพลงรอบศพ หรือหากไม่เจอในงานนี้ ทั้งสองฝ่ายก็จะรู้จักกันตอนที่ฝ่ายชายมาเที่ยวบ้านฝ่ายหญิงเพื่อหาคู่ครอง (หน้า 82) ประเพณีย่องสาว จะทำตอนกลางคืน หนุ่มกะเหรี่ยงจะไปจีบสาวโดยจะร้องเพลง และเล่นดนตรี เช่น เป่าแคน ตีฉิ่ง ฉาบ ไปบ้านสาวๆ ถ้าชอบใจกัน ก็จะมาย่องตอนดึก ถ้าย่องขึ้นบ้านไปแล้วผู้หญิงชอบก็ออกมาคุยด้วยในที่มืด โดยไม่จุดไฟ แต่ถ้าไม่ชอบผู้หญิงจะจุดไฟ ในรายที่ชอบกันทั้งสองจะให้ผู้ใหญ่มาตกลงวันแต่งงาน โดยผู้ชายจะให้เครื่องประดับที่ทำด้วยเงินแก่ฝ่ายหญิงเป็นของหมั้น เอาไว้ก่อนแต่งงาน (หน้า 84) การแต่งงาน จะห้ามแต่งงานกับคนที่เป็นญาติฝ่ายแม่ คนที่เป็นพี่คนโตต้องแต่งงานก่อน ถ้าน้องสาวแต่งงานก่อนจะต้องฆ่าหมู ทำขวัญ 1 ตัว เพื่อเลี้ยงพี่สาว ผู้ชายถ้าแต่งงานแล้วจะต้องอยู่ช่วยงานบ้านพ่อแม่ฝ่ายหญิงอย่างน้อย 1 ปี แต่ถ้าเป็นลูกสาวคนเดียว ฝ่ายชายจะต้องอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิงตลอดไป ในวันแต่งงานญาติฝ่ายชายจะแห่ไปบ้านฝ่ายหญิง เมื่อไปถึงจะเหยียบกระบอกไม้ไผ่ จนแตกก่อนจะขึ้นบ้าน เมื่อขึ้นไปบนบ้าน ฝ่ายชายก็จะรื้อหลังคาบ้านออกส่วนหนึ่ง แล้วก็จะผูกข้อไม้ข้อมือก่อนรับประทานอาหารร่วมกัน เมื่อเลี้ยงแล้วฝ่ายชายก็จะซ่อมหลังคาบ้าน การเตรียมอาหารในวันแต่งงานฝ่ายหญิงจะฆ่าหมูตัวใหญ่ๆ ตัดเอาส่วนหลังไปมอบแก่ฝ่ายชาย ส่วนฝ่ายชายก็จะตัดหมูส่วนหน้าไปมอบให้ฝ่ายหญิง ดังคำที่ว่า "หญิงให้ก้นชายให้หัว" พิธีฉลองการแต่งงานจะจัด 2 วัน เมื่อขบวนเจ้าบ่าวไปถึงบ้านเจ้าสาวก็จะนำน้ำมาล้างเท้า และสวมชุดใหม่ แก่เจ้าบ่าวแล้วญาติพี่น้องทั้ง 2 ฝ่ายก็จะผูกข้อมือเรียกขวัญและร้องเพลงอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาว เมื่อผู้ชายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงจะทำพิธี "เดอะ มึง เขี้ย " เพื่อบอกการแต่งงานกับแม่ผู้หญิง ต่อจากนั้นผู้หญิงก็จะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าจะให้ใครมาอยู่บ้านนั้นได้ และห้ามญาติฝ่ายหญิงของทางผู้ชายมาอยู่ในบ้านนั้นเพราะไม่เหมาะสม กะเหรี่ยงจะถือการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว และไม่ค่อยแต่งงานกับคนเชื้อชาติอื่น ถ้าหากแต่งงานแล้วภรรยาเสียชีวิต ผู้ชายจะไม่ให้ภรรยาใหม่มาอยู่ในบ้าน เพราะลูกจะไม่พอใจและเชื่อว่าผีอดีตภรรยาที่ตายไปแล้วจะโกรธ (หน้า 82-88 ภาพหน้า 83, 86, 87)

Political Organization

จ.ราชบุรี มี 9 อำเภอ อ.สวนผึ้งตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเมื่อ พ.ศ. 2517 และเป็นอำเภอเมื่อ พ. ศ. 2526 (หน้า 98) การปกครองของ อ.สวนผึ้ง มีทั้งหมด 7 ตำบล 50 หมู่บ้าน (หน้า 102) การปกครองหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ เมื่อ พ. ศ. 2516 แต่ก่อนหมู่บ้านจะมีผู้นำจารีตประเพณีแต่ทุกวันนี้ไม่มี เพราะไม่มีผู้สืบทอด ฉะนั้นถ้าชาวบ้านมีเรื่องเดือดร้อนก็จะปรึกษาครู (หน้า 18) ในหมู่บ้านหนองตาดั้ง จะมีหัวหน้าหมู่บ้านดูแลซึ่งเป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความนับถือ แต่การปกครองจะขึ้นกับผู้ใหญ่ หมู่ 3 บ้านห้วยม่วง ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง หัวหน้าหมู่บ้านมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน ทำหน้าที่จนกว่าจะลาออกหรือเสียชีวิต ส่วนการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรชาวบ้านจะไปเลือกตั้งเพียงร้อยละ 50 เพราะการเดินทางออกนอกหมู่บ้านไม่ค่อยสะดวกและหน่วยเลือกตั้งอยู่ห่างไกล (หน้า 128 ,126)

Belief System

กะเหรี่ยงนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ โดยผสมผสานกับความเชื่อเรื่องผี ที่เชื่อว่าผีสามารถให้คุณให้โทษได้ เช่น ทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย และมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์คาถาอาคม เช่น การเสกหนัง เสกตะปูเข้าท้อง หรือการปล่อยของ (หน้า 38,51,52) รวมทั้งเครื่องราง เช่นตะกรุด ผ้ายันต์ สายตะกรุด เขี้ยวสัตว์ อีกด้วย (หน้า 109) จากการสำรวจกะเหรี่ยงในหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธร้อยละ 72.73 นับถือศาสนาคริสต์ร้อยละ 15.27 นับถือผีเรือนร้อยละ 12 เมื่อก่อนจะนับถือผีเป็นจำนวนมาก ภายหลังมานับถือศาสนาพุทธและคริสต์ มากขึ้นตามลำดับ แต่ภายในหมู่บ้านไม่มีวัด และโบสถ์คริสต์ ศาสนาพุทธชาวบ้านนับถือกว่าร้อยปี แต่ศาสนาคริสต์เข้ามาภายหลัง (หน้า 127) ในเขต อ.สวนผึ้งมีวัดพุทธ 12 แห่ง และ โบสถ์คริสต์ 1 แห่ง (หน้า 102) นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออื่นๆ ผสมผสานกับการเป็นคริสต์ หรือพุทธ - พระน้ำมัน ทำจากมะพร้าวและพืชอื่นเช่นน้ำมันงา ห้ามใช้น้ำมันจากสัตว์ การนับถือเหมือนกับนับถือศาสนาพุทธ แต่มีข้อห้ามมากกว่า โดยห้ามนับถือศาสนาอื่นและไม่ให้นำสัญลักษณ์ของศาสนาอื่น หรือพระไว้ในบ้าน หากไม่เชื่อคนที่นับถือพระน้ำมันจะเจ็บไข้ได้ป่วย การปลุกเสกพระน้ำมันจะปลุกเสกในวันพระ คนที่นับถือจะนำพระน้ำมันใส่ขวดบูชาบนหิ้ง ทำพิธีกราบไว้ในวันพระ และวันโกน ไม่ให้ทำบาปและไม่ให้นำเหล้าเข้าบ้าน ถ้าปฏิบัติอย่างเคร่งครัดพระน้ำมันจะศักดิ์สิทธิ์ นำมารักษาโรคได้ เช่น ปวดหัว เป็นไข้ ก็จะนำพระน้ำมันมาทาที่ลำตัว ในกลุ่มที่ไม่ค่อยเคร่งครัดจะสร้างศาลา เก็บพระน้ำมันที่หน้าบ้าน สำหรับคนที่ทำผิด อาทิ ฆ่าสัตว์ เมื่อถึงวันพระก็จะทำให้ไม่สบายต้องไปให้หมอผีทำพิธีขอขมา (หน้า 52-54) - การบูชาต้นไม้ใหญ่ เชื่อว่า ในต้นไม้นั้นมีเจ้าที่ ต้นไม้ที่ไหว้จะเป็นต้นไม้อะไรก็ได้เติบโตอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน การทำพิธีเซ่นไหว้จะตรงกับเดือน 6 ขึ้น 6 ค่ำ ถ้าทำในวันอื่นก็ต้องอยู่ภายในเดือน 6 ชาวบ้านจะนำอาหารมาร่วมกันทำบุญ อาหารที่นำมาทำบุญเช่น ข้าวปากหม้อ ไก่ต้ม ไข่ต้ม เหล้า ดอกไม้ ธูปเทียน และอื่นๆ เมื่อทำพิธีแล้วก็จะนำกลับไปกินที่บ้าน เพราะเชื่อว่าอาหารเหล่านั้นกินแล้วจะช่วยรักษาโรค (หน้า 56-57,190) ประเพณีในรอบ 1 ปี - วันปีใหม่ ตอนเช้าชาวบ้านจะนำอาหารไปทำบุญที่วัดห้วยม่วง ห่างจากหมู่บ้าน 5 กิโลเมตรจากนั้นคนที่นับถือผี 14 ครัวเรือน จะทำพิธีเลี้ยงผีเรือน โดยจะนำไก่ต้ม ดอกไม้ ธูปเทียน เหล้า ทำพิธีเพื่อขอขมาเจ้าที่ - วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ชาวบ้านจะไปทำบุญตักบาตรที่วัดห้วยม่วง - วันสงกรานต์ 13 -15 เมษายน ตอนเช้าจะตักบาตร บางครอบครัวจะนำกระดูกญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วมาทำพิธีบังสกุล หรือนำมาสรงน้ำ ทำความสะอาดบ้านเรือน สรงน้ำพระ รดน้ำผู้ใหญ่ เล่นน้ำสงกรานต์ อาบน้ำมนต์ในวันสงกรานต์ เพื่อสะเดาะเคราะห์ - ประเพณีก่อพระทราย ขนทรายเข้าวัดในเดือน 11 ในวันออกพรรษา และวันสงกรานต์การก่อกองทรายจะประดับด้วยดอกไม้เพื่อความสวยงาม (หน้า 65-67,193) - การบวช ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 การบวชจะบวชประมาณ 2-5 วัน - วันวิสาขบูชา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตอนเช้าจะทำบุญตักบาตรที่วัดฟังเทศน์ฟังธรรม - พิธีเลี้ยงผี จะทำพิธีตั้งแต่เริ่มถางไร่ไปจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวทุกบ้านจะจัดพิธีที่ไร่ เมื่อเข้าเดือน 6 พิธีจะจัดหลังจากหัวหน้าหมู่บ้านจัดพิธีแล้วเสร็จ พิธีจะจัดอีกครั้งตอนข้าวออกรวงเรียกว่า " พิธีเรียกขวัญข้าว " (หน้า 70,71,189) - ประเพณีกินข้าวห่อ จัดในช่วงเดือน 9 เพื่อเรียกขวัญให้คนในครอบครัว และทำให้เกิดความกลมเกลียวของคนในหมู่บ้านและกับคนหมู่บ้านอื่น (หน้า 72 ภาพ 78) การบริโภคข้าวห่อ ในงานประเพณีกินข้าวห่อของที่ใช้ประกอบด้วยข้าวเหนียว น้ำตาล เกลือ มะพร้าว น้ำผึ้งใบตองแล้วมัดด้วยตอก เวลาห่อจะทำเป็นกรวยแหลมยาว 3-5 นิ้วมัดด้วยตอกแล้วนำไปต้ม นำตอกมาร้อยทำเป็นพวง พวงข้าวห่อจะทำให้ลูกคนเล็ก และคนเกิดเดือน 9 พวงใหญ่กว่าพวงข้าวห่อทั่วไป (หน้า 72, 74 ภาพ 73) - ประเพณีเรียกขวัญ การเรียกขวัญ มี 2 อย่าง คือการเรียกขวัญเด็กและเรียกขวัญในประเพณีกินข้าวห่อ สำหรับการเรียกขวัญเด็กจะทำเมื่อเด็กเกิดครบ 7 วัน วันประเพณีกินข้าวห่อจะทำในเดือน 9 ของทุกปีโดยจะจัด 4 วัน (หน้า 79-81,188) - วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 จะไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด นอกจากนี้จะมีบุญอื่น เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า การทอดผ้าป่า ชาวบ้านจะจัดผ้าสบง และเครื่องอัฐบริขาร เอากิ่งไม้มาปักจุดธูปเทียนไปถวายพระ ทอดกฐินจะทำหลังออกพรรษาได้ 1 เดือน ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 กลางเดือน 12 (หน้า 8,81,82,194 ตารางหน้า 91 - 92) งานศพ ถ้ามีคนเสียชีวิในหมู่บ้านชาวบ้าน ที่มางานจะถือถุงข้าวสารมาช่วยบ้านที่มีคนเสียชีวิต จากนั้นเพื่อนบ้านก็จะมาช่วยกันสานลำแพน หรือ โคล้ ซึ่งเป็นเสื่อลำแพนสานด้วยไม้ เพื่อใช้ห่อศพ บางครั้งก็จะนำไม้ไผ่มาสับเป็นฟากไม้ไผ่ ห่อศพในช่วงหลังจะใช้โลงแทน ก็จะมาช่วยกันทำโลงศพ ถ้าผู้ที่เสียชีวิตเป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ก็จะเก็บศพไว้ 1 ถึง 3 คืนจึงจะนำไปฝัง หากเป็นเด็กตายจะนำไปฝังผ่านไป 1 ถึง 3 ปี จึงจะขุดมาเผา สำหรับคนอาวุโสจะเก็บศพไว้เพื่อให้คนมาร่วมแสดงความเคารพศพ งานศพเมื่อพระสวดศพแล้วก็จะมีการร้องเพลง "ม่าทา" เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ตายการเผาศพจะไปเผาที่ป่าช้า ต่อมาเมื่อวัดมีเมรุก็จะเผาที่วัด

Education and Socialization

ในพื้นที่ อ.สวนผึ้ง มีโรงเรียนประถมศึกษา 38 แห่ง โรงเรียนมัธยมศึกษา 2 แห่ง (หน้า 102) เด็กในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเรียนจบชั้นประถม ส่วนหนึ่งไม่ได้เข้าโรงเรียนเพราะโรงเรียนอยู่ไกล ประกอบกับฐานะยากจน แต่โดยส่วนใหญ่ต้องการให้ลูกหลานได้เรียนสูงๆ เพราะจะได้ทำงานสบาย ๆ และนำความรู้มาพัฒนาบ้านเกิด (หน้า 108,109) การศึกษาในหมู่บ้าน มีคนที่อ่านออกเขียนได้จำนวนร้อยละ 66.67 หรือ 2 ใน 3 ของจำนวนประชากรหมู่บ้านและคนที่อ่านเขียนไม่ได้มีจำนวนร้อยละ 33.33 ซึ่งจากการวิจัยระบุว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 66.61 ไม่มีความคิดที่จะส่งลูกหลานเรียนต่อเพราะฐานะยากจน และต้องการแรงงานมาช่วยงานในครอบครัว (หน้า 115) เด็กอายุ 7-14 ปี จะเรียนชั้นประถมศึกษาส่วนหนึ่งไม่ได้เรียน เด็กเล็กจะเรียนที่ศูนย์การศึกษาชุมชนในเขตภูเขา ในหมู่บ้าน คนที่อายุ 15-20 ปี จะอ่านเขียนไม่ได้ทุกคน ส่วนในตอนค่ำในหมู่บ้านจะมีการสอนการศึกษาผู้ใหญ่ ส่วนเด็กนักเรียนจะไปชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนรุจิรพัฒน์ ซึ่งตั้งอยู่บ้านห้วยม่วง ส่วนหนึ่งอยากเรียนให้สูงเพื่อที่จะได้ทำงานสบาย แต่บางส่วนเห็นว่าเรียนเพียงชั้น มัธยมต้นก็พอ เพราะถ้าเรียนสูงขึ้นก็ไม่สามารถนำความรู้มาใช้ได้ ก็จะทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ (หน้า 128)

Health and Medicine

เด็กในหมู่บ้านยังมีน้ำหนักไม่ได้มาตรฐาน โรคที่เป็นมากที่สุด ได้แก่ มาลาเรีย และโรคทางเดินอาหาร ถ้าป่วยจะไปรักษาที่สถานีอนามัยบ้านห้วยม่วง ห่างจากหมู่บ้าน 6 กิโลเมตร ถ้าป่วยหนักจะไปรักษาที่โรงพยาบาลอำเภอสวนผึ้ง ที่อยู่ห่างประมาณ 42 กิโลเมตร นอกจากนี้ ชาวบ้านยังซื้อยากินเอง และรับการรักษาในขั้นต้นจากคนในหมู่บ้านได้รับการอบรมการรักษาพยาบาลในขั้นต้น (หน้า 109,110) - การรักษาโดยมากจะไปรักษาที่โรงพยาบาลกว่าร้อยละ 65.15 (ตารางหน้า 119,120) - การรักษาด้วยไสยศาสตร์ มีหลายวิธีเช่น การรดน้ำมนต์ เชื่อว่า จะช่วยขับไล่สิ่งอัปมงคลต่างๆ ออกจากตัวและทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง คนที่ทำพิธีจะเป็นหมอผีผู้ที่จะรดน้ำมนต์จะเตรียม ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกไม้ 5 ดอก บุหรี่ 1 ซอง และ ค่าครูซึ่งส่วนมากจะคิดราคาไม่เกิน 30 บาท และภาชนะใส่น้ำรดน้ำมนต์ขณะทำพิธี (หน้า 54-56,58,60,193) สมุนไพร - ส้มป่อย หรือพุ่งใช้ เหมือนยอดชะอมมีคุณสมบัติใช้ไล่ผี โดยนำยอดส้มป่อย 4-5 ช่อมาใส่น้ำกับขมิ้น และใช้ส้มป่อยไล่ผี นำมาแช่น้ำให้คนที่มางานศพจุ่มล้างหน้าเพื่อความเป็นศิริมงคล - ใบเล็บครุฑ หรือ ครก กะเหรี่ยงเรียก "เล่ยเย้ง " นำมาทำเป็นเครื่องหอม โดยนำมาห่อใบตองเผาไฟใส่ขมิ้น และตากให้แห้ง นำมาเหน็บหูในวันปีใหม่ สงกรานต์ เป็นต้น - ขมิ้น หรือย่างบ่าง แก้โรคผื่นคัน,ขมิ้นแดงต้มดื่ม หากผู้หญิงเลือดลมไม่ดี ขมิ้นดำ ตำผสมเกลือพอกรักษาแผลสด บดผสมน้ำมะพร้าว ใช้ป้องกันโรคบาดทะยัก - เถาวัลย์แดง (เซ่ยคุ่ยหวู่) ต้มรักษาโรคข้อเข่า ปวดตามข้อปวดหลัง - ไพล หรือ เอ่ยใช้ นำต้นมาตีตามตัวคนที่ถูกผีเข้าใช้ไล่ผีและนำหัวไพลตำพ่นใส่ศีรษะคนที่ผีเข้า - ต้นดาวเรือง (โพ่หน่วยเทิ่ง) หรือ ยอดของดอกเจ็ดชั้นใช้ในพิธีเรียกขวัญเพราะหมายถึงการเจริญเติบโต - โพ้มู่ค้งเมย คล้ายบานไม่รู้โรย ต้มดื่มรักษาโรคพุงโต หน้าซีดเหลือง รักษาโรคหลอดลมอักเสบ วัณโรค กระษัย แก้ไอ เป็นต้น - โกเหม่ยล่อง เป็นไม้หอมที่ผู้หญิงใช้ทัดหูในพิธีมงคลต่างๆ เช่นงานแต่งงาน งานพิธีเรียกขวัญ เป็นต้น - หนามหันเหลือง (กรี้หวู่) คล้ายส้มป่อย นำมาทุบไปเทลงแหล่งน้ำ ปลาจะเมาแล้วลอยขึ้นมา ใช้ได้ในกลุ่มที่ไม่มีเกล็ด ถ้าปลามีเกร็ดจะใช้หนามหันแดงหรือกรีบ่าง - หันข้าว หรือ กรี้บึ้ง เป็นเถา ผลเหมือนฝักถั่วเหลือง ต้มใส่เกลือ รักษาเมื่อปวดท้อง (หน้า 61-64) การทำคลอด ส่วนมากจะไปที่โรงพยาบาล หรือ สถานีอนามัยบ้านห้วยม่วง โดยจะทำคลอดกับหมอตำแย 2-3 ราย ซึ่งจะถือว่าเป็นส่วนน้อย เมื่อก่อนนี้จะให้หมอตำแยทำคลอดให้ หมอตำแยจะใช้ไม้ไผ่ตัดสายสะดือใส่กระบอกไม้ไผ่ แล้วเอาไปผูกหรือเอาฝังกับต้นไม้ (หน้า 82)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ผู้หญิง แบ่งการแต่งกายเป็น 2 อย่าง ชุดเด็กจะเป็นผ้าผืนยาว ทอด้วยผ้าดิบสีขาว เป็นช่วงไว้สวมตรงบริเวณศีรษะ ชายแขนเสื้อ คอ และชายผ้าถุงจะประดับด้วยสีแดง เงิน หรือลูกไม้ ชุดผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป (พุ่งซ้า) ทอด้วยด้ายสีน้ำเงิน หรือ สีแดงเป็นส่วนใหญ่ เสื้อจะสวมทางศีรษะ เป็นเสื้อแขนกุด รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สำหรับผ้าถุง บริเวณชายผ้าถุงจะติดเงิน หรือเมล็ดพืช กะเหรี่ยงเรียก "พุ่งซ้า" การแต่งกายของผู้ใหญ่จะแยกเป็น 2 ชิ้นคือเสื้อกับผ้าถุง ผู้ชาย จะนุ่งโจงกะเบนสีน้ำเงิน สีน้ำตาล ม่วง สวมเสื้อ แขนยาว (หน้า 38, 41, 42 ภาพหน้า 39, 40, 43) ในงานแต่งงานผู้ชายจะนุ่งโจงกะเบน สวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวโพกหัวด้วยผ้าเหมือนหงอนบนหน้าผากหรือ " ทูไกนุ " เหมือนหน่อแรด ทำด้วยผ้าหลายสี ถือว่าเป็นผ้าศิริมงคล (หน้า 41 ผ้าโพกหัวดูหน้า 87) เครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน - สร้อย (จี่พรึ่บ) คล้ายเงินพดด้วงรางปลายยอดติดกัน - ตุ้มหู (กรก) กลวงด้านใน คล้ายแกนหลอดด้ายยาวประมาณ 2 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. - กำไล คล้ายตัวหนอนงอเข้าหากัน ก้นปลายแหลม - เข็มขัด (ยังเด่งไค) หัวหนามีลวดลายใช้ในกลุ่มผู้ชาย ผู้ชายไม่ใช้เข็มขัด - คาดผม (คุคุ้ง) เส้นบางๆกว้างกว้างประมาณครึ่ง ซม. ยาว 2 ฟุตใช้ทั้งหญิงและชาย - กระดุม (ฉีเชียงซ้า) เหมือนผอบเล็กๆ ด้านในกลวงใช้ติดเสื้อผู้ชาย (หน้า 44, 45) เสาหงษ์ เป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านกะเหรี่ยง หงษ์บนเสาจะหันหน้าไปทางเหนือเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความคิดถึงบ้านเก่าที่จากมา เสานี้แต่ก่อนจะทำด้วยโลหะ แต่ทุกวันนี้จะเปลี่ยนเป็นไม้ยอดแหลมยาว 2-4 เมตรจำนวน 1-3 ต้น บริเวณเสาหงษ์จะประกอบด้วยเสาหงษ์ ต้นลั่นทม และต้นโพธิ์ อยู่ใกล้กันแต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยครบทั้ง 3 อย่าง แต่ก่อนเสาหงษ์ด้านบนจะเป็นรูปหงษ์กางปีก ตรงปากแขวนกระดิ่ง ด้านหลังแขวนกระดิ่งอันเล็กๆ แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยมี บริเวณเสาหงษ์บางแห่งจะถูกทำลายจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ลักลอบขุดเพราะคิดว่าด้านในมีสิ่งมีค่าจึงทำให้เสาเสียหายในบางแห่งเสาหงษ์ก็ถูกขโมย (หน้า 56, 57)

Folklore

นิทานเกี่ยวกับภาษาเขียนของกะเหรี่ยงโปว์ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ศาสนา ได้พบพี่น้อง 7 คน ที่ประกอบด้วย กะเหรี่ยงพี่ชายคนโต ชาวจีนเป็นคนเล็ก คนกลางเป็นมอญ พม่า ไทย แขก และฝรั่ง เมื่อเห็นพระองค์ก็รู้ว่าเป็นคนดี จึงมอบหนังสือให้ แต่กะเหรี่ยงกับจีนไปทำไร่ จึงวางหนังสือไว้ที่ตอไม้ ต่อมาหนังสือตกดิน ไก่ได้เขี่ยไปมาทำให้หนังสือไม่สวย เมื่อคนจีนรับไปตัวหนังสือจึงไม่สวยเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ กะเหรี่ยงซึ่งเป็นพี่ชายคนโต ไม่มีตัวหนังสือของตัวเอง จึงขอเรียนจากน้องๆ ตัวหนังสือของกะเหรี่ยง จึงคล้ายตัวหนังสือ พม่า มอญ แต่มีตัวเลขมากกว่า คนอื่นๆ 1 ตัว เพราะพระพุทธเจ้าเห็นว่าปฏิบัติตามคำสั่งสอนอย่างเคร่งครัด ในแง่ที่ถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้าโดยไม่มีเนื้อสัตว์ มีเพียงผักและผลไม้ อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 1 ตัวนั้น ทุกวันนี้ไม่มีเพราะกะเหรี่ยงไม่มีภาษาเขียนจึงไม่ได้บันทึกไว้ ต่อมามิชชันนารีจากตะวันตกมาเผยแพร่ศาสนาศริสต์ จึงได้รับการยอมรับจากกะเหรี่ยง ซึ่งตรงกับเรื่องในนิทาน (หน้า 36-37) ตำนานด้ายเหลือง เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน กะเหรี่ยงจึงเดินทางไปร่วมพิธี แต่ไปไม่ทัน มีการแบ่งอัฐิของพระพุทธเจ้าจนหมด จึงได้เฉพาะจีวรของพระพุทธเจ้า ครั้นกลับมาแบ่งกันบูชาแต่ไม่พอ ผู้นำกลุ่มเลยบอกให้นำด้ายสีเหลืองมาแทนผ้าเหลืองการบูชาด้ายเหลืองจึงปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อระลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว รวมทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ (หน้า 54) ตำนานผ้าโพกหัว ผ้าโพกหัวของกะเหรี่ยง ด้านหน้ามีงวงเหมือนหน่อแรด หรือ ทูไกนุ ตำนานมีว่า รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จประพาสน้ำตกไทรโยค จ.กาญจนบุรี เมื่อเสด็จทางเรือมาถึงราชบุรี ผ่านท่าทับตะโก พระองค์ทรงทรงพระราชทานเหรียญ และผ้าแพรแก่กะเหรี่ยง ดังนั้นจึงพันหัวด้วยผ้าสี นับตั้งแต่นั้น โดยผู้ผู้ชายจะโพกหัวเมื่อมีงานพิธีสำคัญ (หน้า 44)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ทุกวันนี้กะเหรี่ยงไม่ค่อยแต่งชุดประจำเผ่า ส่วนใหญ่ชอบแต่งตัวทันสมัยสวมเสื้อยืด กางเกงสมัยใหม่ แต่จะแต่งชุดประจำเผ่าในงานพิธีสำคัญต่างๆ (หน้า 38)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ผู้มีบทบาทในการช่วยรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงในจังหวัดราชบุรี ได้แก่ 1.ผู้นำทางการเมือง เนื่องจาก ส่วนใหญ่ผู้นำทางการเมืองเป็นฝ่ายปกครองเป็นผู้มีอำนาจ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นต้น 2.ผู้นำทางศาสนา เป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางพิธีกรรมต่าง ๆ และชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมีขนบธรรมเนียมและประเพณีปฏิบัติผสมผสานกับวัฒนธรรมกะเหรี่ยง 3.ผู้นำทางการศึกษา ส่วนใหญ่เป็นผู้มีความรู้เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน จึงง่ายต่อการขอความร่วมมือให้ชาวบ้านทำกิจกรรมซึ่งเป็นประเพณีพิธีกรรมของหมู่บ้าน ส่วนผู้นำทางศิลปะและนันทนาการ ก็มีบทบาทช่วยรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเช่นกัน แต่จะช่วยอนุรักษ์เฉพาะผลงานด้านศิลปะเท่านั้น สำหรับผู้นำทางเศรษฐกิจ ไม่ได้ช่วยรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม เนื่องจากมีบทบาทในด้านการประกอบอาชีพ เรื่องทำมาหาเลี้ยงชีพ จะช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องการประกอบอาชีพมากกว่า (หน้า 209)

Map/Illustration

ตาราง ประเพณีในรอบ 1 ปีของกะเหรี่ยง (หน้า 91) เขตปกครองของ จ.ราชบุรี (หน้า 98) อายุและเพศของประชากร (หน้า 105) ตั้งแต่หน้า 111- 204 เป็นอัตราส่วนที่แยกเป็นหัวข้อต่างๆกันดังต่อไปนี้ อัตราของประชากรแยกตามเพศ (หน้า 111) กลุ่มตัวอย่างแยกตามอายุ,การจดทะเบียนสมรส (หน้า 112) การคุมกำเนิด, ความคิดเรื่องการหย่าร้าง (หน้า 113) การรู้ที่ตั้งของที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน (หน้า 114) ที่ทำการต่างๆภายในหมู่บ้าน,การอ่านเขียนหนังสือ,ความคิดเรื่องการส่งลูกเรียนต่อหลังจากที่เรียนจบ,การหาความรู้เพิ่มเติมหลังจากเรียนจบ (หน้า 115) อาชีพของกลุ่มตัวอย่าง, รายได้ต่อปีของครอบครัว (หน้า 116) ความคิดที่จะไปทำอาชีพอื่น (หน้า 117) การครอบครองเครื่องอุปโภคบริโภคของครัวเรือน,การเข้าร่วมงานประเพณี (หน้า 118) ลักษณะการเข้าร่วมงานประเพณี,การรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย (หน้า 119) การซื้อยามากินเอง,การรับรู้ข่าวความรู้,ประเภทความรู้ทางอนามัยหรือสาธารณสุขจากทางราชการ (หน้า 120,121) การพักผ่อนของชาวบ้าน (หน้า 121) การดูการละเล่นและมหรสพ, การใช้เวลาว่างของชาวบ้าน (หน้า 122) การอ่านหนังสือพิมพ์,ฟังวิทยุ (หน้า 123) ภาษาที่ใช้ในบ้าน, นอกบ้าน, คนส่วนใหญ่ในบ้านใช้ภาษา (หน้า 124, 125) ผู้นำทางการเมืองกับการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม (หน้า 186, 187) ผู้นำทางศาสนากับการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม (หน้า 191, 192) ผู้นำทางการศึกษากับการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม (หน้า 195, 196) ผู้นำเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์วัฒนธรรม (หน้า 199, 200) ผู้นำศิลปะและนันทนาการกับการอนุรักษ์วัฒนธรรม (หน้า 203, 204) สรุปการรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมของผู้นำแต่ละด้าน (หน้า 126) ภาพ การทอผ้า,การแต่งกายของกะเหรี่ยง (หน้า 39,43) การแต่งกายของหญิงสาวและเด็ก (หน้า 40) การจักสานไม้ไผ่ (หน้า 43) บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 46, 106) การถอนกล้าข้าว,โรงนวดข้าว,ยุ้งข้าว (หน้า 49) การเล่นสะบ้า (หน้า 69) การแช่ข้าวเหนียวแล้วห่อด้วยใบตอง,ข้าวเหนียวห่อใบตองต้มและน้ำจิ้ม (หน้า 73) ภาพงานพิธีแต่งงาน (หน้า 83, 86, 87) ภาพผู้นำในด้านต่างๆภายในหมู่บ้าน (ตั้งแต่ หน้า 132-183) ผู้นำทางการเมือง (หน้า 132, 135, 138, 140, 143, 146, 149) ผู้นำทางศาสนา (หน้า 151, 153, 156, 158) ผู้นำทางการศึกษา (หน้า 161, 613, 166) ผู้นำทางเศรษฐกิจ (หน้า 169, 172, 175) ผู้นำทางศิลปะและนันทนาการ (หน้า 177, 179, 181, 183) แผนที่ จ.ราชบุรี ( หน้า 94 ) อ.สวนผึ้ง ( หน้า 100 )

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 30 มี.ค 2561
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ผู้นำ, การผสมผสานทางวัฒนธรรม, ราชบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง