สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลื้อ,วัฒนธรรม,การเมือง,ประเพณี,น่าน
Author ยงยุทธ ไชยศิลป์
Title ไทลื้อเมืองน่าน
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 60 Year 2539
Source เชียงใหม่ : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

กล่าวถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของไทลื้อ ใน จ.น่านซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ใน อ.ทุ่งช้าง อ.เชียงกลาง อ.ปัว และ อ.ท่าวังผา ซึ่งแต่เดิมไทลื้อมีถิ่นฐานอยู่ในสิบสองพันนา มณฑลยูนนานทางภาคใต้ของประเทศจีน ก่อนที่จะอพยพมาอยู่ที่น่าน โดยได้ระบุถึงสาเหตุของการย้ายถิ่นอันเนื่องมาจากสงคราม และปัญหาทางการเมืองในอดีต และการดำรงวัฒนธรรมของไทลื้อ ที่ยังปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในด้านความเชื่อศาสนา วัฒนธรรมประเพณีต่างๆ เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้น

Focus

เนื้อหาเกี่ยวกับไทลื้อ เช่น ถิ่นกำเนิด การอพยพ การตั้งถิ่นฐาน ความเป็นอยู่ ประเพณี พิธีกรรม และ วัฒนธรรม

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ไทลื้อ มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในสิบสองพันนา (หน้า 1) อยู่ทางตอนใต้ของจีน อาศัยอยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำและที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขา (หน้า 32) คนจีนเรียกลื้อว่า "หลี่"หรือ สุ่ยไปอี๋ (หน้า 32) อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนล้านนา หรือภาคเหนือของไทย ส่วนใหญ่อยู่ที่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน สาเหตุการอพยพมาจากการทำสงครามกู้เอกราช (หน้า 4)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาลื้ออยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลไท (ไต) มีลักษณะเด่นคือ เปลี่ยนแปลงเสียงสระ ภายในคำ โดยการเปลี่ยนระดับของลิ้น ภาษาลื้อมีเสียงสระเดี่ยว มีทั้งเสียงสั้นและสระเสียงยาวไม่มีสระผสม (หน้า 47) อักษรไทลื้อ กับไทยวน (ล้านนา) ใช้ด้วยกัน บางครั้งสะกดเหมือนกัน แต่ออกเสียงไม่เหมือนกัน เช่น เสียงสระ (หน้า 47)

Study Period (Data Collection)

ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2539

History of the Group and Community

ถิ่นเดิมไทลื้ออยู่ในสิบสองพันนา 6 เขต อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง และอีก 6 เขตอยู่ทางฝั่งตะวันออก (หน้า 1) ปัจจุบันดินแดน " สิบสองพันนา" บางส่วนอยู่ในเขตประเทศลาว และส่วนที่เหลือเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลยูนนาน มีไทลื้อใน " สิบสองพันนา " ประมาณ 2 แสนคน จากประชากรทั้งหมด ประมาณ 5 แสนคน นอกจากนั้น มี คนจีน อีก้อ แม้ว เย้า หยี และมูเซอร์ (หน้า 2) ช่วง 300 ปีที่ผ่านมา ไทลื้อได้อพยพเคลื่อนย้ายไปอยู่ตามเมืองต่างๆ ในลาว พม่า แต่เนื่องจากหลักฐานมีน้อยจึงไม่ทราบความเป็นมามากนัก (หน้า 2) สำหรับที่อยู่ในไทยกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง น่าน เชียงราย พะเยา เป็นต้น (หน้า 2) ต้นศตวรรษที่ 24 เมืองเชียงใหม่ และเมืองน่าน มีบทบาททางการเมือง และการทหาร ใน "สิบสองพันนา" และเชียงตุง จึงได้กวาดต้อนไทลื้อจากเมืองต่างๆ ให้มาตั้งรกรากในเมืองน่าน ยุคนั้น (หน้า 3) ตามนโยบาย "เก็บผ้กใส่ซ้า เก็บผ้าใส่เมือง" ในสมัยพระเจ้าเจ็ดตน การสร้างอาณาจักรล้านนา ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 18 และต้นคริสศตวรรษ ที่ 19 การกวาดต้อผู้คนจึงทำให้ล้านนามีคนหลายเชื้อชาติ (หน้า 8) ในปี พ.ศ 2331 เจ้าอัตถวรปัญญา (2325-2353) เจ้าเมืองน่าน ซึ่งยอมสวามิภักดิ์กับกรุงเทพฯ มีนโยบาย " เก็บผักใส่ซ้า เก็บผ้าใส่เมือง" และได้เริ่มกวาดต้อนไทลื้อมายัง เมืองน่าน ในช่วงสงครามเชียงตุง (พ.ศ. 2393-2397) เมืองน่านได้ร่วมกับไทย และเมืองต่างๆ เพื่อทำสงครามกับเชียงตุง (หน้า 12) ในช่วงสงครามเมืองน่าน ได้กวาดต้อนผู้คนมาอยู่เมืองน่าน แต่ภายหลัง ไทลื้อได้อพยพเพราะภัยสงคราม และปัญหาทางการเมือง อีกทั้งน่านอยู่ใกล้กับสิบสองพันนา กับลาว จึงมีไทลื้อเข้ามาอยู่ที่น่าน (หน้า 13) ที่อยู่เดิมของไทลื้อที่มาอยู่เมืองน่าน เมื่อก่อนอยู่ตามพื้นที่ชายแดนของสิบสองพันนา เชียงตุง ลาว และล้านนา เช่นเมืองล้า เมืองเลน เมืองขอน เมืองยอง เมืองอู้ เมืองหลวย เมืองแขง เชียงลาบ เมืองเงิน เมืองพวน และเมืองงอบ (หน้า 17) การอพยพของไทลื้อจังหวัดน่าน ในสมัยก่อนเกิดจากการทำสงคราม และกวาดต้อนผู้คน เช่น "ศึกกะหล่อม" ทำให้คนย้ายจาก "สิบสองพันนา" เป็นจำนวนมาก ทำให้บางเมืองใน "สิบสองพันนา" เป็นเมืองร้างไร้ผู้คน แต่ในบางส่วนก็ย้ายมาด้วยความสมัครใจ เพื่อหนีปัญหาสงครามและปัญหาทางการเมือง (หน้า 18)

Settlement Pattern

บ้านเรือนสร้างเป็นเรือนไม้ ยกใต้ถุนสูง มีหลายทรงเช่นทรงปั้นหยา ทรงหน้าจั่ว ทรงมนิลา หลังคามุงด้วยหญ้าคา "แป้นเกล็ด" (กระเบื้องไม้) และ "ดินขอ" (กระเบื้องดินเผา) แป้นเกล็ดจะทำด้วยไม้สักรูปร่างคล้ายกระเบื้องปลายมน เรือนแบบเดิมจะทำเตาไฟ ไว้ที่หน้าห้องนอน ถัดจากระเบียงบ้านทำที่ตั้งร้านน้ำ (หน้า 26) ยุ้งข้าวจะสร้างติดกับตัวบ้าน ลานบ้านหรือ "ข่วงบ้าน " จะปัดกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน และปลูกไม้ประดับสวยงาม (หน้า 27)

Demography

ไทลื้อมีประชากรมากที่สุด ใน 4 อำเภอ 1 ) อ.ทุ่งช้าง ต.งอบมี 5 หมู่บ้าน ได้แก่บ้านงอบศาลา 585 คน บ้านงอบเหนือ 584 คน บ้านงอบใต้ 791 คน บ้านงอบกลาง 391 คน บ้านทุ่งสน 480 คน (ข้อมูล ก.ค.2535) (หน้า 19) ต.ปอน บ้านหล้ายทุ่ง 164 คน บ้านใหม่ 345 คนบ้านห้วยโก๋น 126 คน (หน้า 20) 2) อ.เชียงกลาง ต.เชียงกลาง บ้านศรีอุดม 522 คน บ้านเชียงโคน 573 คน บ้านงิ้ว 481 คน , ต.พระพุทธบาท บ้านอ้อ 641 คน บ้านเหล่า 421 คน (หน้า 20) 3) อ.ปัว ประชากรไม่ระบุจำนวนเพียงแต่ระบุว่าอยู่ใน ต.ปัว ต.ศิลาแลง ต.สถาน ต.ศิลาเพชร เป็นต้น (หน้า 21) 4) อ.ท่าวังผา ต.ป่าคา บ้านต้นฮ่าง 902 คน บ้านหองบัว 859 คน ต.ศรีภูมิ บ้านดอนมูล 675 คน (ข้อมูล ส.ค. 2535 ) (หน้า 22)

Economy

การผลิต ทำอาชีพเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ เก็บของป่า พืชที่ปลูก เช่นข้าว พืชเศรษฐกิจ เช่น ยาสูบ ถั่วเหลือง ข้าวโพด ผลไม้ เช่น ลำไย ส้ม ลิ้นจี่และมะม่วง นอกจากนี้ ก็ปลูกผัก เช่นหอม กระเทียม บางครั้งก็หาของป่ามาขายที่ตลาด เช่น น้ำผึ้ง หน่อไม้ สมุนไพร ปลา และเนื้อสัตว์ เป็นต้น (หน้า 23) การแลกเปลี่ยน คนที่ต้องการใช้เงินเร่งด่วน อาจจะหาของมาขายให้ญาติพี่น้อง เช่น เก็บผลไม้มาขาย ญาติๆ ก็จะช่วยซื้อ (หน้า 23) ไทลื้อที่บ้านห้วยโก๋นจะทอผ้าขาย บางรายมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 2 พันบาทต่อเดือน เป็นต้น (หน้า 24) อาหาร กินข้าวเหนียว เป็นอาหารหลัก ชอบกินผักที่ปลูกเอง และหาของป่า เช่นหน่อไม้ ไข่มดแดง อาหารไม่ค่อยมีส่วนผสมของไขมัน อาหารแต่ละมื้อมักทำกับข้าวชนิดเดียว ในช่วงเทศกาล จะทำอาหารสำหรับเลี้ยงดูแขกเหรื่ออย่างอิ่มหนำสำราญ (หน้า 32)

Social Organization

"อยู่ข่วง" ประเพณี " อยู่ข่วง " คือประเพณีสาวปั่นฝ้ายและเปิดโอกาสให้หนุ่ม สาว มาจีบกันที่ลานบ้านยามค่ำคืน ในขณะปั่นฝ้ายหลังจากที่พ่อ แม่ เข้านอนแล้ว (หน้า 25) เมื่อตกลงแต่งงาน ก็จะจัดพิธีที่บ้านเจ้าสาว เมื่อทำพิธีผูกข้อไม้ ข้อมือแล้ว ก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน บางแห่งการเกี้ยวพาราสีระหว่างอยู่ข่วง(ปั่นฝ้าย) ถ้าผู้หญิง ชอบพอเสียงซึง ที่ผู้ชายดีดให้ฟัง แล้วตัดสินใจแต่งงาจะเรียกว่า "เอาคำไปป่องกั๋น" (เป็นทองแผ่นเดียวกัน) ในวันแต่งงานจะไหว้เทวดาบ้าน เทวดาเรือน (ผีแมบ) เครื่องไหว้ได้แก่ ดอกไม้ขาว ธูปเทียน อย่างละ 12 ดอก (หน้า 26) การอยู่ข่วง เป็นการให้อิสระกับหนุ่มสาว ในการเลือกคู่ แต่พ่อแม่จะคอยดูแลลูกไม่ให้ออกนอกจารีตประเพณี (หน้า 41) "กินดอง" คือประเพณีแต่งงานของไทลื้อ หลังจากที่หนุ่ม สาว ชอบพอกัน หลังจากที่อยู่ข่วงปั่นฝ้าย หนุ่มก็จะไปเยี่ยมฝ่ายสาว 2-3 วันครั้ง เมื่อถึงวันนัดหมายที่ทั้งสองจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ฝ่ายชายก็จะเป่าเปลวไฟตะเกียงจนไฟดับ เรียกว่า "ดับโคม " เมื่อลงจากบ้านไป ฝ่ายชายต้องเสียงผี (หน้า 42) ถึงตอนเย็นของวันรุ่งขึ้น ฝ่ายหญิงก็จะไปบอกพ่อ แม่ฝ่ายชาย ถ้าฝ่ายชายตกลงอยากแต่งงานก็จะส่งธูป 12 คู่ไปไหว้ผี แต่หากไม่ตกลงก็จะส่งตัวแทนไปพูดคุย เพื่อเสียค่าทำขวัญ (หน้า 42) หลังจากดับโคมแล้ว ไทลื้อถือว่า ทั้งสองเป็นสามี ภรรยา กันแล้วแต่จะแยกกันอยู่จนฝ่ายหญิงขอให้มาอยู่ด้วยกัน ในช่วงนั้นผู้ชายก็จะทำงานเพื่อเตรียมเงินทอง ฝ่ายหญิงก็จะเตรียมตัวเป็นแม่บ้าน เมื่อถึงวันสงกรานต์ ผู้หญิงก็จะไปรดน้ำพ่อแม่ของผู้ชาย และนำของฝากไปให้เรียกว่า "ส่งครัว " เช่น อาหาร ปลา หมาก เมี่ยง บุหรี่ ส่วนฝ่ายชายก็จะเตรียมผ้าห่ม ปลอกหมอน เป็นต้น และเงินจำนวนหนึ่งเพื่อตอบแทน การเลือกคู่ ชอบทำในเดือนสี่ เดือนหก หรือเดือนแปดเหนือ ต้นฤดูทำไร่นา ญาติฝ่ายหญิงจะไปขอให้ฝ่ายชายให้มาอยู่บ้าน ให้หนุ่มสาวมาอยู่เป็นสามี ภรรยากัน (หน้า 42)

Political Organization

ไทลื้อที่เข้ามาอยู่น่าน เป็นพวกที่มาจาก "สิบสองพันนา" ซึ่งดินแดนนี้เป็นเมืองขึ้นของพม่าหรือจีนแต่ก็อยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะตั้งอยู่ห่างไกลทั้งจีนและพม่า การปกครองของ "สิบสองพันนา" ประกอบด้วย กษัตริย์ ตอนหลังเรียกว่า "เจ้าหม่อน" มีอำนาจมากที่สุดจากนั้นก็จะเป็น เจ้านายเชื้อพระวงศ์ ขุนนางกับข้าราชการ (หน้า 54) ทรัพย์สินและที่ดินทั้งหมดเป็นของกษัตริย์ สิบสองพันนา "มีเจ้าบ้านนา" และที่น่าน มี "นาศักดิ์ต้นดอก" ศักดินาปกครองของสิบสองพันนาแบ่งเป็น 7 ชั้นคือ นาแสนหลวง ,หมื่นหลวง, นาชาวหลวง, นาสิบ, นาสิบน้อย หรือนาหวน (หน้า 55) ชนชั้นปกครองของน่านได้แก่ เจ้านาย ท้าวขุน พ่อเมือง นายบ้าน เจ้านาย และ ท้าวขุน บริหารราชการ "เวียงน่าน" และ "หน้าบ้าน" พ่อเมืองกับนายบ้าน ดูแลเมือง และหมู่บ้าน (หน้า 56) การรักษากำลังคน น่าน เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ในสมัยก่อน ทำโดยการควบคุมการเดินทาง เช่น คนใน 4 เมือง เวลาเดินทางจะมีหนังสือเดินทางหากเดินทางไปเยี่ยมญาติ แต่ถ้าย้ายไปอยู่ถาวรก็จะต้องเสียเงินให้ "เจ้าบวกนายตอ" เพื่อเป็นค่าชดเชย (หน้า 56 )

Belief System

ความเชื่อ ไทลื้อนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และนับถือผี (หน้า 57) มีการประกอบพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ เช่น งานสงกรานต์ วันสังขารล่อง วันเน่า วันพญาวัน วันปากปี ส่วนพิธีกรรมของไทลื้อเกี่ยวกับการนับถือผี " ในสิบสองพันนา "มีพิธีกรรม 2 ระดับ คือ "พิธีกรรมเมือง" คือการเลี้ยงผีเจ้าเมือง และ "พิธีเข้ากรรมบ้าน" คือพิธีเลี้ยงผีประจำหมู่บ้าน (หน้า 28) การนับถือผี ผีที่มีอำนาจมากที่สุด คือผีเมือง หรือ "เสื้อเมือง" เป็นผีอารักษ์ของเมือง โดยเจ้าหลวง หรือพระเจ้าแผ่นดินจะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม เพื่อขอให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และให้ผีคุ้มครอง ส่วนชาวบ้านจะตอบแทนชนชั้นปกครองโดยจะจ่ายภาษี ส่วนในหมู่บ้านจะมีผีอารักษ์หมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นบรรพบุรุษที่ก่อตั้งหมู่บ้าน โดยจะจัดเลี้ยงทุกปี ในครอบครัวจะมีผีปู่ผีย่า เป็นผีประจำตระกูล คอยดูแลคนในครอบครัว (หน้า 57) ประเพณีบวงสรวงดวงวิญญาณเจ้าหลวงเมืองล้า ประเพณีนี้บวงสรวงดวงวิญญาณเจ้าเมืองล้า โดยจะคัดเลือกคนที่สืบเชื้อสายจากเจ้าเมืองล้ามาประกอบพิธี เป็นตัวแทนของเจ้าหลวง ส่วนใหญ่จะเลือกจากบ้านดอยมูล ต.ศรีภูมิ และถือว่าสืบเชื้อสายมาจากเจ้าหลวงเมืองล้า และเลือกคนที่เป็นลูกหลานของหมอ เมื่อครั้งที่อยู่ "สิบสองพันนา" อีก 1 คน (หน้า 29) หมอเจ้าจะป้อนอาหารวิญญาณเจ้าเมืองล้า ที่ไทลื้อเรียก "จ้ำยัก" พิธีนี้จะจัดประมาณเดือนยี่ หรือธันวาคม (หน้า 30) จากคำบอกเล่าเจ้าหลวงเมืองล่า เป็นเจ้าเมืองล่า หรือ ล้า ใน "สิบสองพันนา" มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งไทลื้อที่อยู่ อ.ท่าวังผา จ.น่าน ที่มีบ้านเดิมอยู่ที่เมืองล้า มีอยู่ 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านหนองบัว บ้านต้นฮ่าง ต.ป่าคา กับบ้านดอนมูล ต.ศรีภูมิ (หน้า 29, 59) ในเวลาประมาณ 17.00 น. ชาวบ้านจะแห่ขบวนเจ้าเมืองและหมอเมือง ไปบริเวณที่ประกอบพิธีกลางหมู่บ้าน ที่ใช้เป็นที่ประกอบพิธี สถานที่ดังกล่าวเชื่อว่าเป็นที่พักของเจ้าเมือง และหมอเมือง (หน้า 30) ในวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านจะจัดขบวนแห่ โดยจะแต่งกายให้หมอเมืองด้วยชุดสีแด ง ไปยังบริเวณประกอบพิธีแห่งที่สอง พิธีบวงสรวง จุดธูปเทียนบูชาเจ้าหลวง แล้วจะเป็นพิธี "จ้ำยัก" โดยจะเลี้ยงบริวารเจ้าหลวงก่อน ซึ่งจะเป็นหอเรียงรายใกล้กับหอเจ้าหลวงเมืองล้า การเลี้ยงจะใช้ไก่ ที่ยังไม่ตายถอนขน แล้วใช้ข้าวสุกปั้นเป็นก้อน แล้วจิ้มที่ไก่จากนั้นก็จะโยนไก่ขึ้นฟ้า ชาวบ้านที่มาร่วมพิธีก็จะแย่งไก่เพื่อนำไปเลี้ยงที่บ้าน (หน้า 30) สำหรับของสังเวยประกอบด้วย วัว ควาย หมูดำ หมูเผือก อย่างละตัว โดยจะฆ่าสัตว์ที่บริเวณพิธีเสร็จแล้วก็จะเอาเนื้อบวงสรวงวิญญาณเจ้าเมืองล้า พิธีบวงสรวงจะใช้เวลา 3 วัน ภายในเวลานี้ จะห้ามไทลื้อออกนอกหมู่บ้าน (หน้า 31) สืบชะตา ทำเพื่อความเป็นศิริมงคล ไล่สิ่งไม่ดีออกจากคนและสถานที่การสืบชะตามี 2 อย่าง คือสืบชะตาคน และสืบชะตาหมู่บ้าน (หน้า 35) พิธีสืบชะตาคน จะทำในช่วงขึ้นบ้านใหม่ หลังจากไม่สบาย หรือดวงไม่ดีหรือทำเพื่อสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ชีวิตดีขึ้นของที่ใช้ประกอบพิธีได้แก่ ไม้ง่ามเล็กๆ นำมามัดรวมกันให้มากกว่า อายุคน ที่ทำพิธีสืบชะตา 1 อัน และไม้ค้ำศรี ซึ่งมีความยาวเท่าความสูงของคนที่เข้าพิธี 3 ท่อน อุปกรณ์อื่นๆ ก็มี กระบอกข้าว กระบอกทราย กระบอกน้ำ สะพานลวดเงิน สะพานลวดทอง เบี้ยแถว โดยจะใช้เปลือกหอยแทน มะพร้าวอ่อน กล้วย อ้อย หมอน เสื่อ ดอกไม้ ธูปเทียน 1 เล่ม จัดสถานที่ใช้ไม้ตั้งเป็นกระโจมสามเหลี่ยม (หน้า 35) ตรงกลางวางสะตวง และอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธี ใกล้กระโจม จะเป็นที่นั่งของผู้เข้ารับสืบชะตา วนด้วยสายสิญจน์ 3 รอบ โยงกับเสากระโจมพันรอบพระพุทธรูป กับพระที่สวดทำพิธี พระที่สวดจะใช้พระเพียง 1 รูป เพื่อสวดแล้วจะผูกด้ายที่ข้อมือคนป่วย (หน้า 36) พิธีสืบชะตาบ้าน ทำเพื่อความเป็นศิริมงคลให้กับหมู่บ้าน พิธีนี้จะจัดที่หอเสื้อบ้าน หรือศาลากลางหมู่บ้าน ก่อนถึงวันงานชาวบ้านจะประดับประดาหอเสื้อบ้าน หรือศาลากลางบ้านให้สวยงาม ทำแท่นบูชาทั้งสี่ และเทพารักษ์ สิ่งของที่นำมาประกอบพิธี เช่นข้าว พริกแห้ง เกลือ ขนม ข้ามต้ม ดอกไม้ ธูปเทียน หมาก พลู บุหรี่ เมี่ยง เป็นต้น ในวันประกอบพิธีจะตักบาตรตอนเช้า เมื่อพระสวดเรียบร้อยแล้วก็จะพรมน้ำมนต์ให้แก่ผู้เข้าร่วมพิธี พิธีนี้จะทำหลังสงกรานต์ของทุกปี (หน้า 36) ปู่จาเตียน (บูชาเทียน) คือพิธีสะเดาะเคราะห์อีกชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่จะทำในวันเข้าพรรษา ออกพรรษา และวันสงกรานต์ และสามารถประกอบพิธีนี้ได้ทั้งปี เทียนที่ใช้ได้แก่เทียนไข หรือเทียนขี้ผึ้งทั่วไป คนที่ประกอบพิธีได้แก่ พระ เณร อาจารย์ หรือคนที่เคยบวชเรียนมาก่อน จะเขียนคาถาเป็นตัวพื้นเมืองล้านนาลงบนเทียนไข วิธีเขียนจะมี 3 แบบ ได้แก่ บูชาเพื่อหลีกเคราะห์ บูชาเพื่อรับโชค และบูชาสืบชะตา (หน้า 37) "ป๊กเฮิน" คือประเพณีปลูกบ้าน ในตอนเช้าวันประกอบพิธีป๊กเฮิน ผู้ชายในหมู่บ้านจะมาช่วยทำพิธียกเสาขวัญ หรือเสามงคลและเสาอื่นๆ และตั้งโครงสร้างของบ้าน จากนั้นเจ้าของบ้านก็จะทำการสร้างต่อไป ก่อนที่จะปลูกบ้าน เจ้าของบ้านจะไปดูฤกษ์ยาม จากอาจารย์ประจำหมู่บ้าน เพื่อความเป็นศิริมงคล (หน้า 37) การปลูกบ้านจะทำในเดือนคู่ ได้แก่เดือน 4 เดือน 6 และเดือน 8 แต่ไม่นิยมทำในเดือน 10 เนื่องจากเป็นเดือนเข้าพรรษา ชาวบ้านไม่นิยมทำพิธีมงคล สำหรับเดือนคี่ถือว่าไม่เป็นศิริมงคล (หน้า 38) ก่อนขุดหลุมผู้ประกอบพิธี จะทำพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ จากนั้นก็จะขุดหลุม และทำพิธีเรียกเสาขวัญ ของที่ใช้ประกอบพิธี ได้แก่ กล้วย 1 เครือ มะพร้าว 1 ทะลาย ต้นกุ๊ก หน่อกล้วย หมาก พลู บุหรี่ ด้าย ผูกติดกับเสาขวัญ การปลูกบ้านเสาขวัญจะอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนเสานางจะอยู่ทางทิศตะวันตก หลังจากประกอบพิธีเรียบร้อยแล้ว เจ้าของบ้านจะเลี้ยงอาหารแขกเหรื่อที่มาช่วยงาน (หน้า 38) ขึ้นเฮินใหม่ (ขึ้นบ้านใหม่) จะทำเพื่อความเป็นศิริมงคล กับผู้อยู่อาศัย และสร้างความสามัคคีในหมู่บ้าน (หน้า 38) การประกอบพิธีแบ่งเป็น 2 วันได้แก่ วันดา เป็นวันเตรียมของ จะจัดก่อนวันทำบุญ 1 วัน โดยจะจัดเตรียมอาหารและสถานที่ วันทำบุญตอนเช้าจะทำบุญตักบาตร เลี้ยงแขกเหรื่อ ที่มาร่วมงาน และฟังเทศน์ (หน้า 39) พิธีเก็บขวัญข้าว จะทำหลังฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อความเป็นศิริมงคลกับยุ้งฉาง และครอบครัว จนช่วงการเก็บเกี่ยวชาวบ้านจะหาฤกษ์กับอาจารย์ประจำหมู่บ้าน เพื่อหาวันที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยว โดยแบ่งเป็น 2 วันคือวันจม กับวันฟู วันจมจะถือว่าเป็นวันที่ไม่เป็นศิริมงคล และวันฟูถือว่าเป็นวันมงคล เมื่อได้ฤกษ์ก็จะเก็บเกี่ยวข้าว แล้วนำข้าวเข้ายุ้งฉาง แล้วก็จะทำพิธีเก็บขวัญข้าว ของที่นำมาประกอบพิธี ได้แก่ กระบุง สวิง บายศรีปากชาม 1 ชุด ดอกไม้ 1 คู่ ธูปเทียน 1 คู่ ไข่ต้ม 1 ฟอง ตาแหลก (เฉลียว) 1 อัน นำมาประกอบพิธีที่ลานนวดข้าว ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงที่ทำพิธีนี้ (หน้า 44) การประกอบพิธี จะใช้มือซ้ายจับมัดข้าวใส่กระบุง มือวาจับพัด เรียกว่า "ก๋า" พัดโบกเกระบุง 3 ครั้งและกล่าวคำเชิญขวัญ "มาเนอขวัญข้าว มาอยู่ในเล้าในเย จ้างชักย่ำหัว งัวจักย้ำเก้า หื้อมาอยู่เล้าอยู่เย" "มาเถิดขวัญข้าว มาอยู่ในยุ้งในฉาง ช้างจะเหยียบหัว วัวจะเหยียบเกล้า ให้มาอยู่ในยุ้งในฉาง" ในระหว่างที่เก็บขวัญข้าว ก็จะเรียกขวัญ เดินรอบลานนวดข้าว ใช้สวิงตักขวัญข้าวและรวงข้าวที่ตกในกระบุง นำไปยุ้งข้าว เลือกมุมของยุ้งนำกระบุงขวัญมาวางแล้วพูดว่า "กิ๋นอย่าให้ตั๊ก จ๊กอย่าไปลง หื้อมั่นเหมือนบ่าหิน ก้อนดินบ่าผาก้อนใหญ่ " หมายถึงอย่าให้สิ้นเปลือง ให้มั่นคงเหมือนกับหินผา จากนั้นก็เอาสวิงวางใกล้ๆ ก็จบพิธี (หน้า 44) พีธีตานข้าวใหม่และกินข้าวใหม่ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเข้ายุ้งฉาง ก่อนจะนำข้าวไปตำหรือนำไปสี จะหาฤกษ์ โดยดูจากตำรา (หน้า 44) พิธีจะทำตอนเช้า โดยจะนำอาหารไปทำบุญที่วัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อ แม่ ญาติๆ ที่เสียชีวิตไปแล้ว จากนั้น หลังจากทำบุญก็จะนำอาหารไปมอบแก่ พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ให้กินก่อน เมื่อกินเสร็จ ก็จะให้ศีลให้พรกับลูกหลาน (หน้า 45) ประเพณีเกี่ยวกับการตาย เมื่อมีคนเสียชีวิตจะนำศพห่อไม้ไผ่ จากนั้นก็จะใช้ผ้าขาวปิดทับข้างนอก สำหรับด้านบนจะสานด้วยไม้ไผ่ ปิดทับเรียกว่า "หล้อง" ส่วนมากจะเก็บศพไว้ 1 คืน แล้วก็จะนำไปฝัง ตอนที่นำศพไปป่าช้า "เย" หรือ สัปเหร่อ จะนำไม้นาด 3 เมตร 2 ลำ ผูกติดกับหล้อง 2 ข้าง จากนั้นก็จะให้เขย 4 คน หามไปฝัง เสร็จแล้วก็จะนำแผ่นไม้ปิดทับและตัดหนามไม้ไผ่ (หน้า 45) ส่วนกรณีตายท้องกลม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า " ตายพราย " จะรีบฝังในทันที ถ้าตายจะเจาะพื้นบ้านแล้วนำศพออกจากบ้าน โดยไม่นำศพผ่านประตู ศพจะห่อด้วยเสื่อแล้วนำไปฝัง ที่บริเวณที่เรียกว่าป่าช้าผีดิบ (หน้า 45)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

การเกิด เมื่อเด็กคลอด หลังจากที่ตัดสายสะดืออาบน้ำให้เด็กแล้ว หมอตำแยจะส่งให้ "แม่ฮับ" หรือแม่รับ โดยมากจะเป็นยายของเด็กให้นำผ้าขาวพันตัวเด็ก ใส่กระด้ง แล้วนำไปวางไว้ที่หัวบันได กระทืบเท้าแล้วพูดว่า ถ้าเป็นลูกผีก็ให้เอาไปเลี้ยงวันนี้ ถ้าเป็นลูกคนก็อย่าเอาไป โดยจะพูด 3 ครั้ง แล้วนำเด็กมานอนข้างแม่ ซึ่งหลังจากคลอดแล้วต้องอยู่เดิน หรืออยู่ไฟจนครบเดือนในวันแรกให้กินได้เฉพาะข้าวจี่ ดื่มน้ำต้มใส่หัวไพล หรือ "ปู่เลย" เพราะจะทำให้มีน้ำนมให้ลูกดื่ม เมื่ออยู่ครบ 7 วันจะกินผักต้มจิ้มน้ำพริกดำ หมูปิ้ง ปลาช่อน และปลาเกล็ด ปลาหาง และให้กินผักเฉพาะที่มีสีขาว ห้ามกินเนื้อวัว ควายเผือก หมูเผือก (หน้า 39) การอยู่ไฟจะใช้ไม้แงะ (ไม้เต็ง) เพราะไม่มีกลิ่นและควันมาก หญิงอยู่ไฟจะสวมเสื้อหนาๆ และใช้ผ้ารัดเอว ผูกผมให้เหงื่อออก และจะต้อง "เข้าฟืนกรรม" โดยจะคีบถ่านไฟใส่ "เบื้อง" อ่างดินเผาใช้เก้าอี้หวายหรือไม้ไผ่สาน เป็นช่องให้หญิงอยู่ไฟนั่งครอบ เพื่อให้มดลูกข้าอู่เร็ว ช่วงอยู่ไฟจะอาบน้ำใส่ใบกล้วย ใบเปล้า และใบหนาด จะอาบทุกๆ 7 วันจนถึง 1 เดือน หากคลอดลูกเป็นลูกสาวจะอยู่ไฟ 31 วัน เนื่องจากเชื่อว่าโตขึ้นลูกจะรักงานบ้านงานเรือน ถ้าเป็นลูกชายจะอยู่ 29 วัน เชื่อว่าถ้าโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ หากไปสงครามจะคลาดแคล้วจากคมอาวุธต่างๆ (หน้า 40) "ฮ้องขวัญ" (เรียกขวัญ) จะทำเพื่อเรียกขวัญคนที่เพิ่งหายจากไม่สบาย ให้มีขวัญและกำลังใจ การประกอบพิธีญาติของ คนเจ็บป่วย จะเตรียม หมาก พลู บุหรี่ เมี่ยง กล้วย ข้าวเหนียว ปลาปิ้ง ไข่ต้ม ไก่ต้ม อย่างละ 1 ชิ้น และสายสิญจน์ 1 เส้นหรือ 9 เส้น ข้าวสาร 64 เม็ดใส่ลงในถ้วยเพื่อประกอบพิธี เมื่อทำพิธีใกล้จบ หมอขวัญจะเสี่ยงทาย เพื่อดูว่าคนป่วยใกล้จะหายหรือยัง โดยจะหยิบข้าวสาร ถ้าหยิบได้เลขคู่ เชื่อว่าขวัญกลับมาแล้ว แต่ถ้าได้เลขคี่เชื่อว่าขวัญยังไม่มา ต้องทำพิธีเรียกขวัญอีก (หน้า 33) "ส่งเคราะห์" ทำเพื่อส่งสิ่งไม่ดี และเพื่อทำให้อยู่อย่างมีความสุข การส่งเคราะห์จะทำเมื่อหมอดูทายว่าจะมีเคราะห์และทำเมื่อประสบอุบัติเหตุหรือไม่สบาย การทำพิธี จะเตรียมสะตวง ซึ่งทำจากกาบกล้วยกว้างยาวประมาณ 1 ศอก กั้นเป็นช่อง จำนวน 9 ห้อง แต่ละช่องจะใส่สิ่งของอย่างละ 8 ชิ้น หรือ เครื่องแปด ซึ่งประกอบด้วย แกงส้ม แกงหวาน ข้าว (มะพร้าว) ตาล (น้ำตาล) กล้วย อ้อย หมาก พลู บุหรี่ ข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปิ้ง) ข้าวตอก ดอกไม้ ธูป เทียน และประดับตรงมุมสะตวงซึ่งประกอบด้วยธง 6 สี ได้แก่ ดำ แดง ขาว (หน้า 34) ขันตั้งหรือขันยกครู ประกอบด้วย ดอกไม้ 4 ดอก เทียน 4 เล่ม เงิน 10 บาท (หน้า 34) หมอผู้ประกอบพิธีจะยกครูกล่าวคำยกครู หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วก็ประกอบพิธีส่งเคราะห์ เมื่อท่องคาถาปัดเคราะห์ ออกจากร่างคนที่เข้าประกอบพิธี หมอพิธีก็จะเก็บเครื่องยกครู ใส่ย่ามส่วนตัว สำหรับสะตวงก็จะนำไปทิ้งนอกบ้าน (หน้า 35)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผ้า ผ้าที่มีชื่อเสียงของไทลื้อ ได้แก่ ผ้าซิ่นลายลื้อ และลายน้ำไหล สำหรับผ้าซิ่นที่ทอใช้แต่เดิมคือ ซิ่นปล้อง กับซิ่นม่าน โดยจะเป็นรูปลายขวาง (หน้า 24) เครื่องแต่งกาย - ผู้หญิงสูงอายุ สวมเสื้อปั๊ก ส่วนใหญ่นิยมสีดำ หรือสีคราม เสื้อรัดรูปเอวลอย ประดับด้วยกระดุมเงิน นุ่งซิ่นลายขวางมีลวดลาย คนสูงอายุชอบใช้สีดำเป็นพื้น ส่วนหญิงสาวจะแทรกด้วยสีสดใส ในบางแห่งคนสงอายุจะโพกหัวด้วยผ้าขาว หรือสีชมพู ปล่อยชายห้อยไปทางด้านซ้าย คนสูงอายุจะมวยผมเรียกว่า "มวยหว่อง" เจาะหูใส่ลานเงิน และสวมกำไลเงิน - ผู้ชาย ในสมัยก่อนจะไม่ค่อยสวมเสื้อ นุ่งกางเกงทรงขาก๊วย หรือเรียกว่า "เตี่ยวสะดอ" ถ้าสวมเสื้อจะเป็นเสื้อเอวลอยขลิบด้วยผ้าสีต่างๆ เสื้อ กางเกงส่วนใหญ่จะเป็นสีดำหรือสีคราม ชอบโพกผ้าขาวแล้วห้อยชายผ้าไปทางขวา (หน้า 27) แหล่งทอผ้าของชุมชนไทลื้อ อยู่ใน 4 อำเภอได้แก่ อ.ทุ่งช้าง อ.ปัว อ.ท่าวังผา อ.เชียงกลาง (หน้า 49) - ใน อ.ทุ่งช้าง ผ้าส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากเมืองเงิน เพราะอยู่ติดกับประเทศลาว ผ้าที่ทอได้แก่ ผ้าซิ่น ผ้าคลุมไหล่ เป็นต้น บ้านที่ทอผ้าแบบเมืองเงิน ได้แก่ บ้านห้วยโก๋น บ้านหล่ายทุ่ง (หน้า 49) - อ.ปัว หมู่บ้านที่ทอผ้าได้แก่ บ้านดอนไชย บ้านตีนตก บ้านเฮี้ย บ้านฝาย บ้านทุ่งรัตนา บ้านหัวน้ำ อ.ท่าวังผา จะทอผ้ากันมากที่บ้านหนองบัว (หน้า 50) - อ.เชียงกลาง จะทอผ้าที่บ้านเชียงโคม บ้านศรีอุดม บ้านอ้อ บ้านเหล่า บ้านส้อ ผ้าที่ทอจะเป็นผ้าขาวม้า ซิ่น ทอตุง ย่าม เป็นต้น (หน้า 51) การทอผ้าของน่านมีหลายแบบ 1) มัดก่าน (มัดหมี่) คือลวดลายจะปรากฎบนผ้า หลังจากมัดลายด้วยเชือกก่อนนำไปย้อม ก่อนนำไปทอ 2) จก เป็นแบบเพิ่มเส้นด้ายพุ่งพิเศษ เป็นช่วงๆ ไม่ติดกันตลอดหน้ากว้างของผ้า 3) ขิด ใช้วิธียกแยกเส้นยืนขึ้นลง แต่ไม่ได้เพิ่มด้าย แต่ลายขิดทำติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผ้า โดยใช้ไม้ค้ำหรือเขาที่ทำเป็นการเฉพาะ 4) ยกดอก ใช้วิธีการยกแยกเส้นยืนขึ้นลง แต่ไม่ได้เพิ่มด้ายเส้นพิเศษเข้าในผืนผ้า (หน้า 51) 5) เกาหรือล้วง เป็นการใช้ส้นด้ายพุ่งหลายๆ สี เป็นช่วงๆ ด้วยเทคนิก โดยเกี่ยวและผูกเป็นห่วงรอบด้วยเส้นยืน 6) หมุก ทอผ้าให้เกิดลวดลายโดยเพิ่มด้าย เส้นยืนพิเศษ โดยใช้เขาขึงด้ายเส้นยืนพิเศษ เหนือเส้นยืนธรรมดา ลวดลายจะเกิดจากเส้นยืนพิเศษ (หน้า 52) ซิ่น มีหลายอย่าง เช่น 1) ซิ่นก่าน ทอด้วยวิธีมัดหมี่เรียกว่า มัดก่าน 2) ซิ่นคำเดิม ทอด้วยดิ้นเงิน ดิ้นทอง เป็นลายขิด เย็บแบบสองตะเข็บ 3) ซิ่นเชียงแสน เป็นผ้าแดง มีริ้วเข้ม เช่น ดำ หรือสีครามตัด 4) ซิ่นป้อง ทอด้วยเทคนิคขิด เป็นลายขวางสลับริ้วสีพื้น มีช่วงขนาดของลายที่เท่ากัน 5) ซิ่นม่าน คล้ายซิ่นป้อง แต่ลายไม่ท่ากัน 6) ซิ่นน้ำไหล ลักษณะลายคล้ายน้ำไหล (หน้า 52)

Folklore

การขับลื้อ เป็นการร้องโต้ตอบของชาย หญิง คนหนึ่งจะใช้เวลา 3 -5 นาที โดยจะร้องสลับกัน เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบได้แก่ ปียาว 2 เลา ปี่เล็ก 2 เลา เมื่อก่อนนี้ในงานสงกรานต์ หนุ่มสาวจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มเพื่อขับร้องโต้ตอบกัน (หน้า 46)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง หมู่บ้านไทลื้อ ใน อำเภอต่างๆ ใน จ.น่าน (หน้า 14-16) ผีประจำหมู่บ้าน (หน้า 58-59)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 04 เม.ย 2556
TAG ลื้อ, วัฒนธรรม, การเมือง, ประเพณี, น่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง