สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เกษตรแบบไร่หมุนเวียน,ความเชื่อ,ความเป็นอยู่,เชียงใหม่
Author รัชกรณ์ อุแสง
Title ความเชื่อและประเพณีของชาวกะเหรี่ยงเกี่ยวกับการประกอบอาชีพเกษตร บ้านห้วยหยวก ตำบลแม่ริม อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 90 Year 2541
Source หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (เกษตร) สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตร
Abstract

ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับ ทัศคติความเชื่อที่เกี่ยวกับประเพณี และวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง บ้านห้วยหยวก ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพเกษตร ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากการทำไร่แบบเลื่อนลอยในอดีตมาเป็นแบบ การทำไร่แบบหมุนเวียนแบบปัจจุบัน ที่เป็นเกษตรแบบยังชีพ ซึ่งมีข้อจำกัด เรื่องพื้นที่ทำกิน จึงทำให้กะเหรี่ยงต้องปรับเปลี่ยนการทำการเกษตร เพื่อให้เหมาะสมกับที่ดินของตน

Focus

ศึกษาความเชื่อและประเพณีเกี่ยวกับการประกอบอาชีพเกษตร เพื่อศึกษารูปแบบและระบบการผลิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ของกะเหรี่ยงสะกอ บ้านห้วยหยวก ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ (บทคัดย่อ)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต ภาษาพูดอยู่ในตระกูลธิเบต-พม่า หรือกลุ่มภาษาย่อย คะเร้นนิค ( Karenic ) จะเรียกตนเองว่า กะเหรี่ยงเผ่าสะกอ หรือปกาเก่อญอ คนเผ่าอื่นเรียก "ยางกะเลอ" คนพื้นราบเรียก "ยาง" ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Karen กะเหรี่ยงแบ่งเป็น 4 เผ่าสาขาต่างๆ ได้แก่ สะกอ โปว์ คะยา และตองสู (หน้า 4) 1) เผ่าสะกอ เรียกตนเองว่า "คานยอ" คนไทยเรียก "ยางขาว" กลุ่มที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเชียงใหม่ เรียกตนเองว่า "บุคุนโย่" (หน้า 4) บางครั้งคนเรียกยางกะเลอ ยางป่า กลุ่มนี้มีประชากรมากที่สุด อาศัยอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน (หน้า 6 ) 2) เผ่าโป อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนทิศตะวันตกของไทย เริ่มจาก อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ตาก อุทัยธานี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี (หน้า 6) 3) คะยา หรือ บเว อาศัยอยู่ในบางหมู่บ้าน ใน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้า 6) 4) ตองสู อยู่ในบางหมู่บ้าน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน โดยมากอาศัยอยู่ในประเทศพม่า (หน้า 6)

Language and Linguistic Affiliations

กะเหรี่ยง มีภาษาพูดอยู่ในตระกูลธิเบต-พม่า หรือกลุ่มภาษาย่อยคะเร้นนิค (หน้า 4)

Study Period (Data Collection)

1 พฤษภาคม 2540 - 30 เมษายน 2541 (หน้า 61)

History of the Group and Community

ประวัติ อ.แม่วาง กิ่ง อ.แม่วาง เมื่อก่อนอยู่ในการปกครองของ อ.แม่วาง ซึ่งที่ว่าการอำเภออยู่ที่บ้านกาด หมู่ 4 ต.บ้านกาด ปี 2477 ทางการได้ยุบรวม กับอำเภอบ้านแม เป็นชื่อ อ.บ้านแม โดยตั้งที่ว่าการอำเภอที่บ้านเปียง หมู่ 13 อ.บ้านแม กระทั่งวันที่ 4 มิ.ย. 2482 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปที่บ้านสันป่าตอง หมู่ 10 ต.ยุหว่า เปลี่ยนชื่อเป็น อ.สันป่าตอง ภายหลังทางการได้แบ่งพื้นที่บางส่วนของ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ และจัดตั้งเป็นกิ่ง อ.แม่วาง และต่อมาได้รับการจัดตั้งเป็นอำเภอ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2540 (หน้า 18,แผนที่ หน้า 19 ) ประวัติ ต.แม่วิน ตำบลแม่วิน ก่อตั้งเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เวลานั้น ต.แม่วินอยู่ในเขตปกครองของ ต.บ้านกาด ภายหลังทางการได้ยุบ อ.แม่วาง ตั้งเป็น อ.บ้านแม โดยตั้งอยู่ที่บ้านเปียง ต.บ้านแม และย้ายไปตั้งที่ทำการที่ อ.สันป่าตอง เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2482 จนถึงทุกวันนี้ กระทั่งทางการแยกการปกครองท้องถิ่น เป็นกิ่ง อ.แม่วาง ต.แม่วิน จึงได้รับการจัดตั้งเป็นตำบลเมื่อ 13 มิ.ย. 2520 (หน้า 20 ) ประวัติบ้านห้วยหยวก แต่เดิมหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงเผ่าสะกอ เขตหมู่บ้านมีแม่น้ำห้วยหยวกไหลผ่าน โดยทั่วไปบริเวณหมู่บ้านมีโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก ในบริเวณนา สวน และไร่ คาดว่าน่าจะมีอายุ 400-700 ปี เท่ากับเมืองเชียงใหม่หรือลำพูน (หน้า 26 ) บ้านห้วยหยวก คนที่ก่อตั้งคือคุณปู่นะโน ซึ่งเป็นคนที่เข้ามาอยู่เป็นคนแรก ปาเก่าญอ จะเรียกว่า " ฮีโข่ " คนที่จะเป็นผู้นำคนต่อไปจะต้องเป็นลูกหลานของ "ฮีโข่" คนแรกเท่านั้น หมู่บ้านเปลี่ยนผู้นำหลายคน มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน (หน้า 27 )

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2533 ระบุว่า กะเหรี่ยงมีประชากรทั้งหมด 292,814 คน มี 55,504 หลังคาเรือน มีจำนวน 2,120 หมู่บ้าน ปี พ.ศ.2538 ประชากรกะเหรี่ยงเพิ่มขึ้น อีก 353,110 คน อาศัยอยู่ใน 15 จังหวัด 64 อำเภอ 2,104 หมู่บ้าน ใน จ.แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ มีกะเหรี่ยงสะกอ อยู่มากที่สุด (หน้า 2 ) ส่วนจำนวนประชากรกะเหรี่ยงสะกอ บ้านห้วยหยวก หมู่ 7 ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ มีจำนวน 64 หลังคาเรือน (หน้า 2,3, 29, 61) มีจำนวนประชากร 294 คน เป็นชาย 154 คน หญิง 140 คน (หน้า 2 ) จำนวนประชากร ต.แม่วิน มีทั้งหมด 9,359 คน จำนวน 1,793 ครัวเรือน แบ่งเป็นชาย 4,784 คน หญิง 4,575 คน (หน้า 22 )

Economy

- อาชีพ ทำอาชีพเกษตรเป็นหลัก และจะปลูกพืชเสริมเป็นรายได้ (หน้า 1) ทำไร่แบบหมุนเวียนการปลูกไร่ข้าวและพืชเสริม การเพาะปลูกพื้นที่ลาดเท จะเพาะปลูกโดยใช้ระบบที่นาแบบขั้นบันได (หน้า 2 ) กะเหรี่ยงทำไร่แบบหมุนเวียน โยการเพาะปลูกแบบยังชีพไม่หวังผลกำไร การทำไร่หมุนเวียน มีแบบแผนการผลิตลักษณะใช้ประโยชน์ที่ดินในช่วงสั้นๆ และปล่อยให้พื้นดินพักตัว โดยจะทำไร่ข้าว 1-3 ปี เมื่อผลผลิตลดจำนวลง ปีต่อไปก็จะไปปลูกที่ดินผืนใหม่ แล้วปล่อยให้ดินพักตัว 6 -10 ปี ( หน้า 12 ) - รายได้เฉลี่ย ในหมู่บ้านมีรายได้สูงสุดระหว่าง 10,001- 15,000 บาท จำนวนร้อยละ 31.25 อันดับสอง 5001 -10,000 บาทต่อปี หรือร้อยละ 28.12 , 1001-5,000 บาทต่อปี หรือร้อยละ 21.87 15,001 บาทขึ้นไปต่อปี หรือร้อยละ 10.93 และ 500 -1,000 บาทต่อปี หรือร้อยละ 7.81 (หน้า 29 ตารางหน้า 30 ) - ที่ดิน ในหมู่บ้านมีพื้นที่ทำการเกษตร 1,150 ไร่ ชาวบ้านทำอาชีพเพาะปลูกและรับจ้าง (หน้า 30 ) การถือครองที่ดิน ถือครองนาข้าวมากที่สุด 16-20 ไร่จำนวน 3 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 4.68 และ คนที่ไม่มีที่ดิน จำนวน 29 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 45.31 (หน้า 30 ) ถือครองพื้นที่สวน จำนวน 16-20 ไร่ 2 ครัวเรือน 1-5 ไร่ จำนวน 19 ครัวเรือน คนที่ไม่มีสวนจำนวน 39 ครัวเรือน (หน้า 31) พื้นที่ไร่ คนที่มี 16-20 ไร่ จำวน 1 ครัวเรือน มี 1-5 ไร่ จำนวน 30 ครัวเรือน และไม่มีที่ไร่ จำวน 25 ครัวเรือน (หน้า 31 ) - ทรัพย์สิน ในหมู่บ้านมีเครื่องจักกลการเกษตร และสิ่งอำนวยความสะดวกดังต่อไปนี้ (64ครัวเรือน) รถยนต์ 5 ครัวเรือน รถไถเดินตาม 8 ครัวเรือน ตู้เย็น 6 ครัวเรือน หม้อหุงข้าว 24 ครัวเรือ โทรทัศ์น์13 ครัวเรือน วิทยุ 34 ครัวเรือน มอเตอร์ไซด์ 17 ครัวเรือน (หน้า 35 ) - การผลิต ผลผลิตข้าวเฉลี่ยต่อปี ข้าวไร่ 40 ปี๊บต่อไร่ และข้าวนาปี 50 ปี๊บต่อไร่ (หน้า 38 ) ระบบการผลิตแบ่งเป็น 4 ระบบ ได้แก่ การผลิตนาดำ , การทำไร่, การทำไร่นาสวนผสม, ระบบวนเกษตร (หน้า 47 ) 1) ระบบการผลิตาดำ ชาวบ้านจะเตรียมเพาะปลูกเริ่มจากเดือน พ.ค. และจะเก็บเกี่ยวปลายเดือน ธ.ค. หลังจากเก็บเกี่ยวจะเตรียมพื้นที่ปลูกถั่ว เช่น ถั่วเหลือง เพื่อเป็นรายได้โดยจะปลูกใช่วงเดือน ธ.ค.และเก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงเดือน มี.ค. บางครอบครัวจะปลูกผักรวมกับโครงการหลวง เช่น ปลูกพริก ถั่วฝักยาว บวบ เป็นต้น (หน้า 48 ) 2) ระบบการผลิตข้าวไร่ ในอดีตการผลิตข้าวไร่จะเป็นแบบทำไร่เลื่อนลอย โดยจะเตรียมพื้นที่ปลูกแห่งใหม่ทุกปี จนเมื่อคนมากขึ้นจึงปรับเปลี่ยนจากทำไร่เลื่อนลอยมาเป็นแบบทำไร่หมุนเวียน แต่ละครอบครัวจะมีที่ดินครอบครองไม่เกิน 3 แปลง โดยเฉลี่ย แต่ละแปลงจะมีขนาด 3-5 ไร่ การทำไร่หมุนเวียนมี 2 อย่าง คือ การทำไร่หมุนเวียนแบบดั้งเดิม คือเตรียมพื้นที่ใหม่ทุกปี แต่ทุกวันนี้ทำไม่ได้ เพราะต้องตัดต้นไม้และถางป่า ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย และการทำไร่หมุนเวียนโดยปรับปรุงใหม่ จะทำในพื้นที่ที่ได้จับจองไว้ แบ่งเป็น 3 แบบ ( หน้า 49 ) แบบที่1 มี 3 แปลง จะหมุนเวียนทำแปลงละปี แล้วพักพื้นที่ไว้ให้ดินพักตัว เมื่อทำจนถึงแปลงที่ 3 ขึ้นปีที่4 จึงจะกลับมาทำแปลงที่ 1 อีกครั้ง (หน้า 50) แบบที่ 2 มีที่ 2 แปลง แต่อาจะมีที่ดินแต่ละแปลงไม่เท่ากัน เช่นแปลงที่ 1 จำนวน 2 ไร่ แปลงที่ 2 มี 3 ไร่ เป็นต้น ชาวบ้านจะทำเหมือนแบบที่ 1 แต่มีข้อจำกัดการพักพื้นที่มากกว่าแบบแรก และระหว่างทำไร่ข้าว เกษตรกรจะปลูกผลไม้เสริมไปด้วย (หน้า 50 ) แบบที่ 3 มีที่ดินแปลงเดียว โดยมากจะเป็นที่ดินที่มีขาดใหญ่ เฉลี่ยครอบครัวละ 10 ไร่ จะแบ่งที่ดินออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ส่วนบนสุด กลาง และส่วนต่ำสุด โดยจะเริ่มทำแปลงที่ต่ำที่สุดขึ้นไป แต่ละปีจนถึงแปลงบน และจะปลูกผลไม้ไปด้วย (หน้า 50 รูปหน้า 51 ) 3) ระบบสวนเกษตรผสมผสาน มีเกษตรกร 10 รายที่ทำการเกษตรแบบผสมผสาน โดยมากจะมีพื้นที่ทำสวนราว 5 ไร่ การปลูกพืชแบบผสมผสานจะปลูกพืชยืนต้น (หน้า 51 ) พืชที่ปลูกได้แก่ ไม้ผลเมืองหนาว เช่น ท้อ สาลี่ อโวคาโด บ๊วย, ไม้ผลเศรษฐกิจ เช่น มะม่วง ส้มโอ ลิ้นจี่ พืชอายุสั้น เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าว และปลูกข้าวไร่แซม (หน้า 52 ) 4) ระบบเกษตร จะเพาะปลูกไร่ ผสมกับใช้พื้นที่ป่าไม้โดยปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ไปพร้อมกันในหน้าเพาะปลูก โดยจะปล่อยสัตว์เลี้ยงให้หากินในป่า เจ้าของจะไปดูบ้างและจะเก็บของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ด เป็นต้นและล่าสัตว์ไปด้วย (หน้า 52 ) ปฏิทินการทำงานในรอบปี มกราคม - ปีใหม่ กุมภาพันธุ์ - ถางไร่ มีนาคม - เผาไร่ กำจัดวัชพืช เมษายน - เตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวไร่ วันสงกรานต์ พฤษภาคม - กำจัดวัชพืชไร่ ปลูกพืชผักไร่ เช่น เผือก มัน กระเพรา ปลูกข้าวไร่ เตรียมแปลงกล้านาดำ มิถุนายน - ปลูกข้าวไร่ เตรียมพื้นที่ก่อนปลูกข้าว กรกฎาคม - กำจัดวัชพืชไร่ ปลูกข้าวนาปี สิงหาคม - กำจัดวัชพืชไร่ และนาข้าว กันยายน - ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ตุลาคม - เกี่ยวข้าวไร่ นวดข้าว ขนข้าวเข้ายุ้ง พฤศจิกายน - เกี่ยวข้าวนาปีอายุสั้น ธันวาคม - เกี่ยวข้าวนาปี ขนข้าวเข้ายุ้ง (หน้า 60 )

Social Organization

กะเหรี่ยงให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติ คนสายเลือดเดียวกันจะไม่แต่งงานกัน เพราะเชื่อว่าจะผิดผี ครอบครัวนับถือพี่คนโตและเชื่อฟังเคารพคนสูงอายุ (หน้า 62 ) สังคมอยู่ร่วมกัน โดยึดจารีตประเพณี และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เช่นเวลามีงานประเพณีต่างๆ (หน้า 64 ) การช่วยก็ทำงาน จึงทำให้สังคมเกิดความสามัคคี (หน้า 65 ) พิธีแต่งงาน (ท่อปล่า) กะเหรี่ยงจะเลือกคู่ครอง โดยพิจารณาจากความรักอุปนิสัย เช่น ความขยันการทำงาน การแต่งงานโดยมากมักจะจัดหลังเสร็จงานในไร่ เมื่อ พ่อ แม่ ของทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว ก็จะกำหดวันแต่งงาน โดยจะเอกวันที่เป็นมงคล ( หน้า 42 ) จะไม่แต่งเดือนที่มีคนเสียชีวิต เดือนดับและเดือนที่มีจันทรุปราคา เพราะเชื่อว่าอัปมงคล คู่บ่าวสาวจะเดือดร้อนวันหน้า แต่ถ้าหากหนุ่มสาว ทำผิดประเพณีก่อนแต่งงาน หัวห้าหมอผีหมู่บ้าน หรือ " ฮีโข่ " จะเรียกค่าผิดผี เช่นหมู หรือสัตว์เลี้ยง เพื่อทำพิธีขอขมาต่อเจ้าดิน เจ้าน้ำ การกินผีจะไม่ให้หนุ่มสาวและเด็กกิน เพราะเกรงว่าความผิดจะแพร่ต่อไป (หน้า 43 ) การแต่งงานเป็นเครื่องแสดงถึงความเชื่อเรื่องการนับถือผี และทำให้เกิดความรัก ความกลมเกลียวในเครือญาติ นอกจากนี้ยังมีความหมายด้านแรงงาน เพราะทำให้ครอบครัว มีคนช่วยงานบ้านเพิ่มขึ้นอีกด้วย (หน้า 43 )

Political Organization

บ้านห้วยหยวก มีการปกครองอย่างเป็นทางการ มีผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้นำหมู่บ้าน โดยทำหน้าที่ปกครองและรักษาความสงบในหมู่บ้าน (หน้า 28 ,29) ในหมู่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านเรียกว่า "ฮีโข่" คือคนที่ก่อตั้งหมู่บ้าน และสืบต่อกันมาตามสายเลือด นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมีผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ คือ กลุ่มผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ให้คำแนะนำด้านพิธีต่างๆ นอกจากนี้ยังมีหมอผีเป็นผู้ทำพิธีต่างๆ เช่นการเป็นหมอดู ทายโชคชะตา และทำพีเซ่นไหว้ผี ถ้ามีคนเจ็บป่วย ( หน้า 1 )

Belief System

โดยมากนับถือศาสนาพุทธ และนับถือผีในหมู่บ้านมีวัดหนึ่งแห่ง เดิมเป็นวัดเก่าแก่ ที่ชาวบ้านช่วยกันบูรณะ ที่วัดมีพระและเณร ทั้งหมดจำนวน 9 รูป (หน้า 33 ) - การเกิด หากเด็กคลอด พ่อหรือญาติจะใช้ด้ายมัดสะดือ และนำไม้ไผ่มาตัดสะดือ ใส่กระบอกไม้ไผ่ไปผูกกับต้นไม้ในป่า และไม่ให้ใครตัดต้นไม้ต้นนั้น เมื่อกลับมาจะนำเศษไม้กลับมาด้วย ถ้าเป็นลูกชาย จะทิ้งในคอกหมู และถ้าเป็นลูกสาว จะนำไปทิ้งในครกกระเดื่องตำข้าว จากนั้นจะทำพิธีเรียกขวัญเด็ก ผูกข้อมือ โดยใช้ไก่ หม้อดิน เงินแถบ เสื้อ ย่าม ใบมีด สร้อยลูกปัด อย่างละชิ้น ประกอบพิธีเรียกขวัญ (หน้า 42 ) - งานศพ เมื่อมีคนเสียชีวิต ญาติจะนำเหรียญเงินมางบตาของผู้ตายทั้ง 2 ข้าง หน้าอก และริมฝีปาก แล้วนำด้ายสีขาวมามัดหัวแม่มือทั้ง2 ข้างติดกัน จากนั้น ก็จะนำส้มป่อยมารดหัวผู้ตาย ซึ่งลูกหลานจะจุ่มนิ้วในน้ำส้มป่อย แล้วก็กล่าวาต่อผู้ตายที่เคยเลี้ยงดูมา จากนั้นก็จะนำเสื่อมาห่อศพ พร้อมกับสิ่งของแล้วมัดด้วยด้ายดำที่รอบหัว รอบตัวแรอบเท้า จากนั้นก็จะจุดเทียน ที่บริเวณเหนือศีรษะ 1 เล่ม และปลายเท้าอีก 1 เล่ม ปูใต้ศพด้วยไม้ จากนั้นญาติจะเอาเสื้อมาแขวนบนไม้ไผ่ เหนือร่างคนตาย เพื่อเป็นเหมือนสัญลักษณ์ให้แก่คนตาย จะได้มีความร่มเย็นภายในโลกหน้า (หน้า 43 ) กลางคืน คนหนุ่มสาวจะมาร้องเพลง เพื่อไว้อาลัยต่อผู้ตาย งานศพจะจัด 3 วัน 3 คืน (หน้า 43 ) - ขวัญ (เก่อลา) เชื่อว่าทุกคนมีขวัญ ขวัญมีทั้งหมด 37 ขวัญ ขวัญที่สำคัญ มี 5 ขวัญ และอีก 32 ขวัญจะอยู่ตามสัตว์ต่างๆ และข้าว สำหรับขวัญประจำร่างกายได้แก่ ศีรษะ (เก่อาโข่ที ) มือขวา (เก่อลาจื้อแชว) มือซ้าย (เก่อลาจื้อเจ๊ะ) เท้าขวา (เก่อลาข่อแชว) และเท้าซ้าย (เก่อลาข่อเจ๊ะ) (หน้า 44) ส่วนอีก 32 ขวัญจะอยู่ประจำสัตว์ต่างๆ และข้าว เช่น ขวัญปู, ขวัญกวาง, ขวัญจิ้งเหลน,ขวัญหมี,ขวัญเม่นขวัญเต่า, ขวัญช้าง และขวัญข้าว เป็นต้น ความเชื่อเรื่องขวัญ ถ้าหากขวัญออกจากร่างกายแล้ว ขวัญไม่กลับ คนนั้นจะตาย แต่ถ้าเรียกขวัญมาได้จะไม่เป็นอะไร (หน้า 44 ) - ปฏิทินพิธีกรรม บวงสรวงศาลเจ้าที่ เดือน เม.ย.-พ.ค. และ พ.ย.-ธ.ค. ผูกข้อมือ ทำบุญปีใหม่ ม.ค.-ก.พ., วันสงกรานต์ เดือน เม.ย, ประเพณีแต่งงาน เดือนมิ.ย.-ธ.ค. (ตาราง หน้า 53 )

Education and Socialization

คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ เด็กนักเรียนจะไปเรียนชั้นประถม และมัธยมต้นที่ ต.แม่วิน สำหรับอัตราเฉลี่ยการศึกษา จากจำนวนประชากร 240 คน มีคนไม่ได้เรียนหนังสือ 132 คน หรืร้อยละอ 55 เรียนระดับประถม 105 คน หรือร้อยละ 43.75 เรียนชั้น มัธยมต้น 3 คน หรือร้อยละ 1.25 (หน้า 32 )

Health and Medicine

การรักษาพยาบาลมีทั้งแผนปัจจุบัน และแผนโบราณ สำหรับการรักษานั้น ถ้ารักษาแพทย์แผนปัจจุบันไม่หายก็จะไปให้หมอดูทายว่า ป่วยเพราะอะไร หมอดูก็จะทำพิธีและขอขมาต่อผีที่อยู่ตามธรรมชาติ (หน้า 1 ) สถานรักษา สถานีอนามัยมี 1 แห่ง อยู่ห่างจากหมู่บ้าน 5 กม. และโรงพยาบาลประจำอำเภออยู่ไกลจากหมู่บ้าน 15 กม.ในหมู่บ้าน มี อสม.1 คน (หน้า 33 )

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ผู้ชาย สวมเสื้อแขนสั้นสีแดง โพกผ้าสี หญิงสาวที่ยังโสด จะนุ่งกระโปรงสีขาว ปักประดับด้วยลวดลาย หญิงที่สมรสแล้ว จะสวมเสื้อแขนสั้นสีดำและสีน้ำเงิน ตอนล่างจะประดับด้วยลูกปัดสีแดง สวมกระโปรงสีแดง ประดับด้วยลวดลาย โพกผ้าแดงหรือขาว ( หน้า 4 )

Folklore

นิทานเรื่อง Ywa (ยวา) เรื่องมีว่าหลังจากที่กะเหรี่ยงเข้ามาอยู่ในเขตไทย - พม่า กะเหรี่ยงกับน้อง 2 คน ซึ่งเป็นคนไทยและคนผิวขาว ได้เดินทางไปหาพระเจ้า (Ywa) ยวา พระองค์จึงได้เตรียมหนังสือ 3 เล่มไว้ เล่มที่1เป็นทองคำ เล่มที่2 เป็นเงิน และเล่มที่3 เป็นใบลาน ซึ่งเป็นหนังสือความรู้ พระเจ้ายวา ได้มอบหนังสือทองคำให้คนขาว หนังสือเงินให้คนไทย และหนังสือใบลานให้กะเหรี่ยง ภายหลังขณะเดินทางกลับ กะเหรี่ยงลืมหนังสือไว้บนตอไม้ไร่ เมื่อเผาไร่จึงไหม้หนังสือหมด จนเหลือแต่ขี้เถ้า ไก่จึงจิกกินขี้เถ้า กะเหรี่ยงจึงต้องหาความรู้จากการทายกระดูกไก่ ขณะที่คนไทยและคนผิวขาวได้ความรู้จากหนังสือ จึงพัฒนาบ้านเมืองได้เจริญรุ่งเรือง ขณะที่กะเหรี่ยงต้องอยู่ป่าอย่างลำบาก กะเหรี่ยงบางคนรอคนขาวให้นำหนังสือมาคืน เพื่อจะได้พาให้เจริญต่อไป (หน้า 40 ) นิทานเรื่อง Htau Mei Ba (ฮท้อเมบ่า) นานมาแล้วแถบดินแดนตอนเหนือ ได้มีเหตุการณ์ หมูป่าทำร้ายกะเหรี่ยง ดังนั้น Htau Mei Ba (ฮท้อเมบ่า) กับลูกชายจึงฆ่าหมูป่าตาย และเก็บเขี้ยวหมูป่าเอาไว้ทำให้อยู่ยงคงกะพัน เมื่อประชากรกะเหรี่ยงมีจำนวน มากขึ้น พวกเขาจึงพากันอพยพถิ่นที่อยู่เพื่อหาที่อยู่ใหม่ เขาจึงพากะเหรี่ยงย้ายลงทางใต้ แล้วพักอยู่ที่แม่น้ำ Hti Sei Mai Ywa (ฮที เซ ไมยวา) แล้วเก็บหอยมาเผาทำอาหาร ฮท้อเมบ่า ได้ออกสำรวจเส้นทาง ล่วงหน้า เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้ว กะเหรี่ยงจึงออกเดินทางตาม ฮท้อเมบ่า แต่ป่าทึบมองไม่เห็นทางจึงพัดหลงทางกับ ฮท้อเมบ่า (หน้า 40 ) พระเจ้าสร้างโลก มีตำนานเล่าว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก (เก่อจ่ายวา) สร้างโลก ดิน น้ำ ป่าไม้ หลังจากสร้างโลกแล้ว จึงเดินทางกลับที่อยู่ของตนที่อยู่เหนือระบบธรรมชาติ และการรับรู้ของคน (หน้า 41)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง อายุกลุ่มประชากรบ้านห้วยหยวก ( หน้า 29 ) รายได้เฉลี่ยต่อปี (หน้า 29,30 ) พื้นที่ถือครองนาข้าว ( หน้า 30 )พื้นที่ถือครองสวน,ไร่ (หน้า 31) ระดับการศึกษา (หน้า 32) เครื่องมือสาธารณูปโภค (หน้า 34 ) เครื่องจักรกลการเกษตร และสิ่งอำนวยความสะดวก (หน้า 34,35 ) จำนวนสัตว์เลี้ยง (หน้า 35 ) แหล่งรายได้ ( หน้า 36 ) พื้นที่ทำการเกษตร( หน้า 36 )พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตร (หน้า 37 ) ภาพ โรงเรียนก่อนวัยเรียนบ้านห้วยหยวก (หน้า 32) ศาลเจ้าที่ (หน้า 47) การทำนา (หน้า 48 ) การทำสวนเกษตรผสมผสาน, รูปแบบวนเกษตร (หน้า 52 )ครอบครัวเกษตรกร (หน้า 57 ) แผนที่ อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 19) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 23) บ้านห้วยหยวก (หน้า 39) ที่ดินสำหรับปลูกถั่วเหลือง (หน้า 84) ป่าสงวนแห่งชาติท้ายกฎกระทรวง (หน้า 85)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 30 มี.ค 2561
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), เกษตรแบบไร่หมุนเวียน, ความเชื่อ, ความเป็นอยู่, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง